Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
พุทธเถรวาทกับพุทธมหายาน : นพ.สุวัฒน์ จันทรจำนง
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ผู้ตั้ง
ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2007, 6:03 pm
พุทธเถรวาทกับพุทธมหายาน
เรียบเรียงโดย นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง
ทัศนะของนักศาสนศาสตร์หลายคนมักจะมองว่า
พุทธศาสนานิกายเถรวาทนั้นเป็นเพียงปรัชญาหรือเป็นหลักจริยธรรม
ที่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
สำหรับ
พระธรรมปิฎก
(สมณศักดิ์ปัจจุบันที่พระพรหมคุณาภรณ์)
ท่านได้แสดงความเห็นในเรื่องไว้ในหนังสือพระพุทธธรรมว่า
คำสอนในพุทธศาสนาดั้งเดิมหรือพุทธเถรวาทนั้นไม่ใช่ปรัชญา
แต่เป็นพุทธธรรม ที่มีลักษณะทั่วไปอันพอสรุปได้ ๒ ประการ ดังนี้
๑. แสดงหลักความจริงตามทางสายกลางที่เรียกว่า
มัชเฌนธรรม
ว่าด้วยความจริงตามแนวของเหตุผลบริสุทธิ์ตามกระบวนการธรรมชาติ
นำมาแสดงเพื่อประโยชน์ในทางปฏิบัติในชีวิตจริงเท่านั้น
ไม่ส่งเสริมความพยายามที่จะเข้าถึงสัจจธรรมด้วยวิธีถกเถียงสร้างทฤษฎีต่างๆ ขึ้น
เพื่อความยึดมั่นหรือปกป้องทฤษฎีนั้นๆ ด้วยการเก็งความจริงทางปรัชญา
๒. แสดงข้อปฏิบัติตามทางสายกลางที่เรียกว่า
มัชฌิมาปฏิปทา
อันเป็นหลักครองชีวิตของผู้ฝึกอบรมตน ให้รู้เท่าทันชีวิต ไม่หลงงมงาย
มุ่งผลสำเร็จคือ ความสุข สะอาด สว่าง สงบ
เป็นอิสระที่สามารถมองเห็นได้ในชีวิตนี้
และการปฏิบัติความสายกลางนี้ควรเป็นไปโดยสัมพันธ์กับองค์ประกอบอื่นๆ
เช่นสภาพชีวิตของบรรพชิต หรือคฤหัสถ์ เป็นต้น
๓. พุทธรรมฝ่ายเถรวาทนั้น เน้นในเรื่องการกระทำ
(กรรมวาทและกิริยวาท)
เน้นความเพียร พยายาม
(วิริยวาท)
มุ่งผลในทางปฏิบัติโวยตนเอง
ภายใต้หลัก
อัปปมาทธรรม
และ
หลักแห่งกัลยาณมิตร
พุทธศาสนาเถรวาทจึงไม่ใช่ศาสนาแห่งการอ้อนวอนปรารถนา
หรือศาสนาแห่งความความห่วงหวังกังวล
หากจะถือว่า พุทธธรรมดังกล่าวเป็นปรัชญา
ก็เป็นปรัชญาที่สอนให้มนุษย์พึงพิงตนเองแต่เพียงอย่างเดียว
ส่วนปรัชญาพุทธแบบมหายานนั้น มีหลักปรัชญาอันหลากหลาย
นิกายมหายานจึงมีลักษณะของความเชื่อและการปฏิบัติที่แตกต่างกัน
ดังเช่นนิกายที่อิงอาศัย
ปรัชญามาธยมิก
ย่อมแตกต่างจากมหายานที่ยึดถือ
ปรัชญาโยคาจาร
และ
มหายานสุขาวดี
ย่อมแตกต่างจาก
มหายานเซน
ดังนี้ เป็นต้น
ข้อสรุปความแตกต่างในปรัชญาอันเป็นหลักคำสอนระหว่าง ๒ นิกาย *
๑. ความแตกต่างในเป้าหมายสูงสุด
มหายานยึดในหลักโพธิจิต สอนให้มนุษย์ตั้งความปรารถนาในโพธิญาณ
ไม่ใช่มุ่งปรารถนาในอรหัตญาณดังความเชื่อในฝ่ายเถรวาท
มหายานเชื่อในพุทธการกธรรม ยึดหลักของพุทธบารมีเป็นประทีปนำทาง
แทนการเน้นในเรื่องอริยสัจ ๔ เช่นของฝ่ายเถรวาท
๒. หลักการเชิงคุณภาพและปริมาณของศาสนิกชน
ของฝ่ายเถรวาท คือเอาคุณภาพของศาสนิกชนเป็นสำคัญ
ยึดถือและคงไว้ซึ่งพระธรรมวินัยแลสิกขาบททุกข้อ
ที่พระพุทธองค์เคยบัญญัติไว้ในพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด
ส่วนมหายานถือเอาทางด้านปริมาณ
ดังนั้นปรัชญามหายานจึงลดหย่อนผ่อนปรนพระธรรมวินัย
เช่นในเรื่องสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เป็นเหตุ
อปยคมนีย
ที่นำไปสู่อบายภูมิลง คงไว้แต่สิกขาบทที่สำคัญส่วนใหญ่
๓. เงื่อนไขของปณิธานในความปรารถนาพุทธภูมิ
มหายานมีความเชื่อมั่นต่อปณิธานที่ปรารถนาในพุทธภูมิ
ผู้ที่บรรลุโพธิจิตหากมีความจำเป็นที่จะต้องประพฤติปฏิบัติสิ่งใดแม้จะขัดกับพระธรรมวินัย
หากแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงของพระศาสนา
แม้จะเป็นการกระทำถึงขั้นปาณาติบาตด้วยการเผด็จชีวิตต่อผู้ทรยศต่อพระศาสนา
ก็พร้อมที่จะทำ แม้กรรมนั้นจำต้องทำให้พระโพธิสัตว์ต้องตกนรก
ทั้งนี้เพื่อแลกกับบุญกุศลที่ได้คุ้มครองพระศาสนา
แต่การกระทำนั้นต้องปราศจาก
วิหิงสาพยาบาท
เป็นการกระทำที่มหายานถือว่าให้ความเมตตาต่อผู้ที่สร้างอกุศลกรรม
คติธรรมที่ว่านี้มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์โยคาจารภูมิศาสตร์
ส่วนฝ่ายเถรวาทถือว่า
การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ว่าด้วยเหตุผลใดใด
ย่อมเป็นบาป ผิดหลัก
เบญจศีล
เถรวาทสอนแต่เพียงว่า
ให้กล้าที่จะเสียสละแม้แต่ชีวิตเพื่อรักษาไว้ซึ่งสัจธรรม
เถรวาทไม่เชื่อและสอนให้เชื่อว่า
ปาณาติบาต
ไม่ว่ากรณีใดใด จะก่อให้เกิดกุศลกรรมต่อตนเองหรือต่อพระศาสนา
๔. การพัฒนาการเรียนการสอนพระธรรม
มหายาน พัฒนาการเรียนการสอนพระธรรม
เพื่อเพิ่มสมาชิกด้วยลัทธิและพิธีกรรมต่างๆ
รวมทั้งการจัดธรรมสังคีตเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการประกาศพระศาสนา
ขับกล่อมชักจูงศรัทธาของประชาชน ซึ่งลักษณะเช่นนี้ไม่มีในฝ่ายเถรวาท
๕. อรรกถาธิบายพุทธมติ
คณาจารย์ที่มีความรู้ในปรัชญามหายาน เช่น
ท่านนาคารชุน ท่านอสังคะ
ฯลฯ
ได้เพิ่มอรรกถาธิบายพุทธมติออกไปอย่างกว้างขวาง
มหายานจึงมีกิ่งนิกายหรือนิกายย่อยออกไปเป็นจำนวนมาก มีปรัชญาเฉพาะเป็นของตนเอง
ทำให้พุทธศาสนามหายานมีปรัชญาหลากหลายเหมาะต่อการเลือกเชื่อ เลือกศรัทธา
มีลักษณะที่เป็นทั้ง
หลักปฏิฐานนิยม สัจจนิยม อภิปรัชญาและตรรกวิทยา
ส่วนทางเถรวาทยังยึดหลักปรัชญาพุทธตามที่ปรากฏในคัมภีร์ดั้งเดิม
คือพระไตรปิฎกอย่างเคร่งครัด จะมีเป็นเพียง
อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา
ที่มีผู้รู้แต่งขึ้นภายหลังเพื่อการขยายความเพิ่มเติมในอรรถรสที่ไม่ชัดเจนในพระไตรปิฎก
๖. พระสูตร
คณาจารย์มหายานได้พระสูตรขึ้นใหม่เป็นจำนวนมาก
โดยอิงอาศัยพุทธมติ พุทธปรัชญาเดิม
ก็ด้วยเจตนาที่จะทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่แพร่หลาย
ต่อชนทุกชั้นทุกระดับปัญญา ที่สามารถเลือกเชื่อเลือกนับถือ
คณาจารย์เหล่านี้ประกอบด้วยบุคคลทั้งที่อยู่ในเพศบรรพชิตและฆราวาส
ที่แตกฉานในรสพระธรรม มีการใช้สำนวนกวีชวนอ่านชวนฟังกว่าพระสูตร
ที่ปรากฏในฝ่ายเถรวาทเป็นอย่างมาก
ผู้ที่เคยอ่าน
สัทธรรมปุณฑริกสูตร
ที่
อาจารย์ ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
แปลมาจากภาษาฝรั่ง
หรือ
หนังสือกามนิต วาสิฏฐี
ที่
ท่านเสถียรโกเศศ และนาคะประทีป
แปลมาจากเรื่องที่
คาร์ล เลอ รุป
แต่งสดุดีปรัชญาพุทธมหายาน
ย่อมเป็นพยานในความไพเราะเพราะพริ้งของภาษาที่แฝงอยู่
ในอรรถรสแห่งพุทธธรรมแบบมหายานได้เป็นอย่างดี
๗. การดำเนินนโยบายเผยแผ่พระศาสนา
มหายานดำเนินนโยบายการเผยแผ่พระศาสนาโดยมุ่งสามัญชนเป็นเป้าหมายหลัก
เพราะเชื่อว่าปรัชญาพุทธนั้นลึกซึ้งยากต่อการทำความเข้าใจ
แม้แต่ในปัญญาชนที่รับการศึกษาทางโลกมามากแล้วก็ตาม
นอกจากนั้นมหายานยังปรับความเชื่อให้เขากับลัทธิธรรมเนียมดั้งเดิมของสามัญชน
ที่เคยเชื่อถือมาเป็นเวลานาน
ความเชื่อเดิมที่ไม่ขัดกับหลักธรรมใหญ่
หรือแม้ขัดกับหลักธรรมเดิมของพุทธศาสนาเป็นบางส่วน
มหายานจะรับเข้าไว้โดยไม่รีรอ
จึงทำให้ความเชื่อเดิมของชาวมหายานที่เป็นอเทวนิยม
กลายเป็นเทวนิยมไปโดยปริยาย มีพระพุทธเจ้ามากมาย
องค์ที่สำคัญที่ได้รับการยกย่องขึ้นเป็นพระโพธิสัตว์
จนเป็นเหตุให้นักปราชญ์ชาวอินเดียที่ศึกษาพระพุทธศาสนายังไม่แตกฉานทึกทักเอาว่า
พุทธศาสนาคือนิกายหนึ่งของศาสนาฮินดู
พระพุทธเจ้าคือปางที่ ๙ ของพระวิษณุที่อวตารลงมาช่วยแก้ปัญหาให้กับมนุษย์
หากจะลองมาพิจารณาด้วย
อหังการ มมังการ
อาจจะตั้งสมมติฐานได้ว่า
มหายานพยายามปรับความเชื่อของตนเองเพื่อจะดึงศาสนิกชาวฮินดูสมัยนั้น
ให้เข้ามายอมรับนับถือในศาสนาของตน
หรือมิฉะนั้นก็อาจเป็นเพราะแนวคิดของมหายาน
ถูกกลืนอย่างไม่รู้ตัวโดยปรัชญาฮินดู
หมายเหตุ
:
เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในประเด็นความแตกต่างระหว่าง ๒ นิกายนี้โดยง่ายขึ้น
ผู้โพสต์จึงได้จัดทำเป็นหัวข้อขึ้นเพิ่มเติม
โดยคำอธิบายในแต่ละหัวข้อนั้น ยังคงไว้ซึ่งเนื้อหาเดิมตามต้นฉบับทุกประการ
(มีต่อ)
แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 15 ก.ย. 2007, 7:03 pm, ทั้งหมด 7 ครั้ง
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.
ตอบเมื่อ: 15 ก.ย. 2007, 6:18 pm
อาจารย์สมภาร พรมทา
สรุปแนวความคิดพื้นฐานของฝ่ายมหายานว่า
มีความแตกต่างจากฝ่ายเถรวาทอยู่ ๒ ประการ
คือ
ทัศนะต่อพระพุทธเจ้า
กับ
ทัศนะต่ออุดมคติสูงสุดในชีวิต
ดังนี้
๑. ทัศนะต่อพระพุทธเจ้า
ชาวเถรวาทเชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นมนุษย์ มิใช่เทพผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ
พระองค์คือผู้ที่ได้ทุ่มเทสติปัญญา
และความเพียรพยายามเพื่อไปให้ถึงจุดหมายที่ทรงมุ่งหวังคือ
นิพพาน
ในทางรูปธรรมพระองค์ทรงมีเนื้อหนังร่างกาย
ที่อยู่ภายใต้กฎธรรมชาติเดียวกับคนธรรมทั่วไป
คัมภีร์เถรวาทกล่าวว่า ความเป็นพระพุทธเจ้ามิได้อยู่ในเนื้อหนังร่างกาย
หากอยู่ที่ธรรม อันหมายถึงปรัชญาที่เป็นคำสั่งสอนของพระองค์
พุทธธรรมเท่านั้นคือแก่นหรือสาระของความเป็นพระพุทธเจ้า
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต
ส่วนชาวมหายานเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามิได้มีฐานะเป็นมนุษย์ธรรมดา
พระพุทธเจ้าสิทธัตถะนั้นเป็นเพียง
นิรมาณกาย
อันเป็นปรากฏการณ์ส่วนหนึ่งของ
ธรรมกาย
และ
สัมโภคกาย
ซื่งถือว่าเป็นอมตะ นิรันดร
ปรัชญาโยคาจาร
และ
ปรัชญาจิตอมตะวาทะ
ของฝ่ายมหายาน
มีความเชื่อว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระกาย ๓ ภาค คือ
ภาคธรรมกาย สัมโภคกาย และนิรมาณกาย
เช่นเดียวกับที่ ปรัชญาอุปนิษัทเชื่อว่ามี
ปรมาตมัน
มีพระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ
หากจะลองเปรียบเทียบกันดูจะเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น ดังนี้ คือ
ธรรมกายของฝายมหายานเปรียบได้กับ
ปรมาตมัน
ซึ่งเป็นอรูปเทวะ
สัมโภคกายเปรียบได้กับองค์พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ชาวมหายานเชื่อว่า
สถิตอยู่ในสรวงสวรรค์อันเป็นรูปเทวะ
เช่นเดียวกันกับพระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ ในศาสนาพราหมณ์
ส่วนพระพุทธเจ้าสิทธัตถะนั้น
มหายานเชื่อว่าเป็นเพียง
นิรมาณกาย
ของพระพุทธเจ้า
เช่นเดียวกับที่ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดูเชื่อว่า
พระนารายณ์ หรือพระราม เป็นเพียงภาคหนึ่งขอองค์พระวิษณุ
ที่อวตารแปลงร่างลงมาช่วยปราบยุคเข็ญให้กับชาวโลก
๒. ทัศนะต่ออุดมคติสูงสุดของชีวิต
พุทธศาสนาดั้งเดิมของชาวเถรวาทเชื่อว่า
จุดหมายสูงสุดในชีวิตก็คือ
พระนิพพาน
การเข้าถึงพระนิพพานมีได้ ๒ วิธี คือ
(๑) เพียรพยายามหาหนทางด้วยตัวเอง
ดังที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบโดยการตรัสรู้
(๒) การดำเนินตามแนวโพธิปักขิยธรรม
ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้พึงปฏิบัติด้วยตนเอง
ดังที่พระสาวกทั้งหลายที่ได้บรรลุอรหัตผล
ดังนั้น การที่มนุษย์จะเข้าถึงการหลุดพ้นด้วยวิธีการใดนั้น ถือว่าขึ้นอยู่กับกรรม
และการสร้างสมบำเพ็ญบารมีมาในอดีตชาติที่เรียกว่า พระโพธิสัตว์
ปรัชญาพุทธเถรวาทถือว่ามนุษย์มีทางเลือกได้ทั้ง ๒ ทาง ตามความสามารถของตน
บางคนอาจจะเหมาะในการบำเพ็ญเพียรเยี่ยงพระโพธิสัตว์เพื่อเป็นพระพุทธเจ้า
บางคนเหมาะที่จะเป็นพุทธสาวกเพื่อบรรลุพระอรหัตผล
ส่วนฝ่ายมหายานมองว่า
การรีบเร่งบรรลุอรหัตผลแบบพระอรหันต์ทางฝ่ายเถรวาทนั้น
เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัว เป็นการเอาตัวรอดแบบตัวใครตัวมัน
การบำเพ็ญเพียรเพื่อเสียสละช่วยมนุษย์แบบพระโพธิสัตว์
โดยยอมบรรลุนิพพานเป็นคนสุดท้ายเท่านั้นจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้มหายานจึงเน้นให้ศาสนิกบำเพ็ญ
โพธิสัตวธรรม
ด้วยการช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมโลก เท่าที่จะสามารถทำได้
มหายานเชื่อว่าการเข้าถึงการหลุดพ้น
ไม่ควรทำแบบตัวใครตัวมันดังความเชื่อของฝ่ายเถรวาท
แนวคิดเรื่อง
โพธิสัตวธรรม
ของฝ่ายมหายานเช่นนี้
หากคิดอย่างผิวเผินก็ดูจะมีเหตุผลที่สอนให้มนุษย์ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ในฐานะของผู้ที่ให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่รอรับความช่วยเหลือ
ซึ่งในที่สุดน่าที่จะไม่มีผู้ใดบรรลุนิพพาน
เพราะคนที่รอคอยขอความช่วยเหลือมีมากกว่าผู้ให้ความช่วยเหลือ
แนวความคิดให้โพธิสัตว์ช่วยเหลือคนที่รอคอยขอความช่วยเหลือดังกล่าวนี้
หากพิจารณาให้ดีน่าที่จะขัดกับแนวคิดพื้นฐานเดิมของฝ่ายมหายานที่เชื่อว่า
มนุษย์ทุกคนมีความสามารถเท่าเทียมกันที่จะเข้าถึงพุทธภูมิ
เพราะตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
มีคนจำนวนไม่น้อยชอบกราบไหว้อ้อนวอนรอรับความช่วยเหลือ
มากกว่าที่จะบำเพ็ญตนเป็นพระโพธิสัตว์
จึงยังมองไม่เห็นว่าศาสนิกมหายานเหล่านั้น
จะบรรลุพุทธภูมิด้วยตนเองได้อย่างไร
กลับมาพิจารณาเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาแบบดั้งเดิม
ปรัชญาเถรวาทมีทัศนะว่า ในการช่วยเหลือให้ผู้อื่นบรรลุอุดมคติสูงสุดในชีวิตนั้น
ก็ด้วยการให้คำแนะนำสั่งสอนหรือชี้ทางให้เท่านั้น
ทุกคนต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง จะหวังพึ่งจากผู้อื่นหาได้ไม่
แม้จะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นพร้อมกันสักกี่ร้อยพระองค์
พระพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะช่วยบำเพ็ญกิจเหล่านั้นแทนเราได้
ดังพุทธพจน์ที่ว่า
ตนเองเป็นที่พึ่งของตนเอง
ปรัชญาเถรวาทศรัทธาตัวมนุษย์ เชื่อว่ามนุษย์ทุกคน
มีศักยภาพในการเขาถึงสัจธรรมได้เท่ากัน
แต่อาจจะแตกตางกันที่การใช้เวลาทำความเข้าใจหลักธรรมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปรัชญาพุทธของชาวเถรวาท
จะยังคงยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมดั้งเดิมมาโดยตลอด
แต่น่าเสียดายที่ความเป็นจริงในปัจจุบัน
ศาสนาของพุทธศาสนาในประเทศไทยที่อ้างตนเองว่าเป็นเถรวาทในขณะนี้
กลับมีความเชื่อความศรัทธาที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
พุทธศาสนิกชนถูกสอนให้เชื่อในเรื่องกรรมเก่า
เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์
เรื่องทำบุญหวังผลชาติหน้า เชื่อในอำนาจในการดลบันดาลและการพึ่งพึง
จนทำให้พุทธธรรมผิดเพี้ยนไปจากเดิม
ดังที่มีผู้รู้หลายท่านแสดงความเป็นห่วงเป็นใยในศาสนา
ดังเช่น
ดร.พระมหาสิงห์ทน นราสโภ
กล่าวไว้ในหนังสือนานาทัศนะเกี่ยวกับพระธรรมปิฎก ว่า
พระธรรม คือคำสั่งสอนทางพุทธศาสนาในปัจจุบัน
ได้ผิดเพี้ยนไปจากองค์ธรรมดั้งเดิมเป็นอย่างมาก
จนอาจกล่าวได้ว่า เป็น
สัทธรรมปฏิรูป
เนื่องจากชาวพุทธในประเทศไทยส่วนหนึ่ง
ขาดการศึกษาหาความรู้ในทางพระพุทธศาสนา
พอๆ กับความหย่อนยานในพระธรรมวินัย
และความอ่อนแอในทางปริยัติทางปฏิบัติของพระภิกษุสงฆ์
ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยที่ยังขาดความรู้ความเข้าใจในปรัชญาพุทธ
หวังบวชเรียนเพียงเพื่อลาภสักการะ
พระชยสาโรภิกขุ
ให้ความเห็นไว้ในหนังสือเล่มเดียวกันว่า
เป็นเพราะชาวไทยจำนวนมิใช่น้อยเป็นพุทธแต่เพียงโดยกำเนิด โดยประเพณี
เป็นพุทธโดยธรรมเนียม เมืองไทยยังไม่เป็นเมืองพุทธ แต่มีเพียงศักยภาพที่จะเป็นพุทธ
อาจารย์นายแพทย์ประเวศ วะสี
มีความเห็นเกี่ยวกับการที่พุทธศาสนิกชนคนไทยส่วนหนึ่งเชื่อ
และเข้าใจในหลักพุทธธรรมที่ผิดๆ ว่า
เป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยมีวัฒนธรรมในการเรียนรู้
ไม่มีฉันทะในการเรียนรู้ ไม่มีความสามารถในการแสวงหาความรู้
และไม่ใช้ความรู้ในการดำรงชีวิตและการงาน
อาจารย์ระวี ภาวิไล
มีความเห็นว่า
คนทั่วไป ยังเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เพียงพอ
ในการที่จะนำมาใช้นำทางชีวิตในอย่างถูกต้องไม่ว่าระดับไหน
และที่น่าเป็นห่วงคือ ในระดับของผู้ที่ได้รับการศึกษาทางตะวันตก
มามากที่รู้และเข้าใจในพระพุทธศาสนายังไม่เพียงพอ
รวมทั้งผู้ที่มีบทบาทในการบริหารสังคม
อาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก
มีความเห็นในเรื่องเดียวกันว่า
เป็นเพราะสังคมพุทธ ขาดสติ ขาดการตื่นตัว
คณะสงฆ์อยู่ในสภาพที่ไม่รู้ปัญหา หรือรู้แต่ไม่ยอมรับว่ามีปัญหา
การปกครองหย่อนยานขาดการเอาใจใส่ที่เนื่องมาจากเหตุ ๒ ประการ
คือ ผู้ที่มีหน้าที่ปกครองขาดความเข้มงวดในตัวเอง
ทำให้ไม่สามารถที่จะว่ากล่าวดูแลคนอื่นได้
พระผู้ใหญ่ไม่เป็นหลักในการดูแลพระ หรือผู้ที่มาบวชเรียน
โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษา มีประสบการณ์ทางโลกมาบวช
พวกนี้เป็นอันตรายแก่พระศาสนามาก
เพราะมีความเชื่อว่าตนเองมีความรู้มีประสบการณ์มากมาก
ทิฏฐิมานะจึงมีมาก บวชเรียนอย่างที่ไม่ยอมเป็นลูกศิษย์ใคร
ถ้าระบบอุปัชฌาย์ไม่เข้มงวด พระประเภทนี้จะตั้งตนเป็นอาจารย์ทันที
นี่คือความเห็นของท่านผู้รู้
ที่มีความห่วงใยในพระศาสนาที่มองสังคมไทยในขณะนี้ว่า
แก่นของพระพุทธศาสนายังคงเหลืออยู่อีกหรือไม่
ฐานะของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท
จะยังสามารถคงความเชื่อดั้งเดิมแห่งพุทธธรรมไว้ได้อีกนานเท่าใด ?
และสถาบันใดจะเป็นแกนนำในการปรับปรุงแก้ไข ?
ที่มา :
ปรัชญาพุทธเถรวาทและปรัชญาพุทธมหายาน
ใน
ความเชื่อของมนุษย์เกี่ยวกับปรัชญาและศาสนา
(Faith and Believe toward Philosophy and Religion),
เรียบเรียงโดย : นายแพทย์สุวัฒน์ จันทรจำนง, หน้า ๒๔๖-๒๕๑)
ใบโพธิ์
บัวบาน
เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307
ตอบเมื่อ: 17 ก.พ.2008, 4:37 pm
_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
พระพุทธเจ้า
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th