Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เหตุใด “วันมาฆบูชา” จึงเป็นวันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 4:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เหตุใด “วันมาฆบูชา”
จึงเป็น “วันแห่งความรักทางพระพุทธศาสนา”


ความรักเป็นอำนาจอย่างหนึ่งในจิตใจมนุษย์
ที่มีอิทธิพลมากมายและสามารถก่อให้เกิดอารมณ์อันหลากหลาย
ที่ตรงกันข้ามกันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ไม่ว่าจะเป็นความสุข ความทุกข์ ความยินดี
ความซึมเศร้า ความเฉื่อยชา และความกระตือรืนร้น

กวีบางคนบอกว่า

ความรักทำให้โลกหมุน ทำให้คนชั่วกลับกลายเป็นคนดี
ความรักบันดาลได้มากมาย


ที่สำคัญ ความรักมิได้มีความหมายเพียง
ความรักระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงความรักระหว่างพ่อแม่กับลูก
อาจารย์กับศิษย์ เพื่อนฝูงต่อเพื่อนฝูง
รวมไปถึงความรักที่มนุษย์มีต่อมวลมนุษย์
และสิ่งต่างๆ ที่อยู่ร่วมโลกเดียวกันอีกด้วย

และเพราะ “ความรัก”
มีความหมายที่กว้างขวาง ไร้ขอบเขตอันจำกัด
อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกชาติทุกภาษา
อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุขนี่เอง


หลายๆ คนจึงถือว่า “วันมาฆบูชา”
อันเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนาอีกวันหนึ่ง
เป็น “วันแห่งความรัก”
ทั้งนี้ เนื่องจากวันดังกล่าวได้เกิดเหตุการณ์พิเศษที่เรียกว่า
“จาตุรงคสันนิบาต” ขึ้น

และเป็น วันที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ประกาศหลักการและอุดมการณ์แห่งพระพุทธศาสนา
อันมีเนื้อหาหลักว่าด้วยการส่งเสริมให้มวลมนุษย์
ตั้งมั่นในการทำความดี ละความชั่ว ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

นั่นก็คือ ทรงสอนให้ทุกคนมีความรักอันยิ่งใหญ่
เป็นรักที่ไม่เห็นแก่ตัว
เพราะสอนให้รู้จักรัก และเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก
โดยมีพระสงฆ์เป็นผู้นำพระธรรมคำสั่งสอนดังกล่าวไปเผยแผ่


Image

คำว่า “มาฆบูชา” หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือ เดือน ๓
หรือพูดง่ายๆ ว่า เป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวงในคืนขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ นั่นเอง

เหตุที่พุทธศาสนิกชนถือว่า “วันมาฆบูชา” เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา
ก็เพราะในวันนี้ ในสมัยพุทธกาลเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วได้ ๙ เดือน
(นับแต่วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖) ขณะที่เสด็จประทับอยู่ที่วัดเวฬุวัน
(อันเป็นวัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนา) ณ เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธนั้น

พระสงฆ์สาวกที่พระพุทธองค์ได้ส่งออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ตามเมืองต่างๆ ได้พร้อมใจกันกลับมาเฝ้าพระพุทธเจ้า
โดยมิได้นัดหมายกันถึง ๑,๒๕๐ รูป ซึ่งถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ยิ่ง
เพราะสมัยโบราณที่ไม่มีการสื่อสารโทรคมนาคม
การนัดหมายคนจำนวนมาก
ที่อยู่คนละทิศคนละทางให้มาพบกันหรือประชุมกันที่ใดที่หนึ่ง
เป็นเรื่องที่ยากและแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย


โดยเฉพาะการมาของพระพุทธสาวกเหล่านี้
ถือว่าเป็นการมาประชุมพิเศษที่ประกอบด้วยองค์ ๔
อันเป็นที่มาของการเรียกวันนี้อีกอย่างว่า
“วันจาตุรงคสันนิบาต” นั่นคือ

(มีต่อ)
 


แก้ไขล่าสุดโดย กุหลาบสีชา เมื่อ 13 ก.พ.2008, 4:47 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 4:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

๑. เป็นวันมาฆปูรมี คือ วันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ กลางเดือนมาฆะ (เดือน ๓)
จึงเรียกว่า “วันมาฆบูชา”

๒. พระภิกษุที่มาประชุมในวันนั้นมีจำนวนถึง ๑,๒๕๐ รูป

๓. พระภิกษุที่มาประชุมนี้ ล้วนเป็นพระอรหันต์ที่สำเร็จอภิญญา ๖

กล่าวคือเป็นผู้มีความรู้อันยอดยิ่ง ๖ ประการ ได้แก่
แสดงฤทธิ์ได้ มีหูทิพย์ ตาทิพย์ ระลึกชาติได้ กำหนดรู้ใจผู้อื่นได้
และมีญาณหยั่งรู้ในธรรมอันเป็นที่สิ้นแห่งกิเลสทั้งหลาย

๔. พระภิกษุเหล่านี้ ล้วนเป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา

หมายถึง ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง

การประชุมที่ประกอบด้วยความพิเศษ ๔ ประการข้างต้นนี้
เกิดขึ้นใน “วันมาฆบูชา” นี้เป็นครั้งแรก
และเป็นเพียงครั้งเดียวในสมัยพุทธกาล
เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนมชีพอยู่

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงเห็นเป็นโอกาสเหมาะ
ที่จะแสดงโอวาทปาติโมกข์ อันเป็นการประกาศหลักการ อุดมการณ์
และวิธีการปฏิบัติในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้นำไปใช้ได้ในทุกสังคม

ซึ่งหลักธรรมคำสอนดังกล่าว
จะเรียกว่าเป็น ธรรมนูญแห่งพุทธศาสนา
หรือ หัวใจของพุทธศาสนา ก็ได้

ในหนังสือวันสำคัญฯ ของสำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ได้กล่าวถึงหลักธรรมที่ว่านี้ว่าแบ่งเป็น ๓ ส่วน

คือ เป็นหลักการ ๓ อุดมการณ์ ๔ และวิธีการ ๖ ซึ่งสรุปได้ ดังนี้

หลักการ ๓

หมายถึง สาระสำคัญที่ควรยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ได้แก่

๑. การไม่ทำบาปทั้งปวง

ด้วยการไม่ประพฤติชั่วทั้งกาย วาจาและใจ
เช่น ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่ลักขโมย ไม่ผูกพยาบาท

๒. การทำกุศลให้ถึงพร้อม

ด้วยการทำความดีทุกอย่างทั้งกาย วาจาและใจ
เช่น ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่โลภมาก และมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

๓. การทำจิตใจให้ผ่องใส

ด้วยการละบาปทั้งมวล ทำใจให้ปราศจากกิเลส
ความโลภ โกรธ หลง ถือศีล
และบำเพ็ญกุศลให้ถึงพร้อมด้วยการปฏิบัติสมถะและวิปัสสนา

Image

อุดมการณ์ ๔

หมายถึง หลักการที่ทรงวางไว้
เป็นแนวปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ ได้แก่

๑. ความอดทน

ให้มีความอดกลั้น ไม่ทำบาปทั้งกาย วาจาและใจ

๒. ความไม่เบียดเบียน

ให้งดเว้นจากการทำร้าย รบกวนหรือเบียดเบียนผู้อื่น

๓. ความสงบ

คือ การปฏิบัติตนให้สงบทั้งกาย วาจาและใจ และ

๔. นิพพาน

คือ การดับทุกข์ ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในทางพุทธศาสนา

ที่จะเกิดขึ้นได้จากการดำเนินชีวิตตามมรรคมีองค์ ๘
ได้แก่ความเห็นชอบ ความดำริชอบ การพูดจาชอบ
การทำการงานชอบ การเลี้ยงชีวิตชอบ ความพากเพียรชอบ
ความระลึกชอบ และความตั้งใจมั่นชอบ

วิธีการ ๖

ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติได้แก่

๑. ไม่ว่าร้าย

คือ ไม่กล่าวให้ร้ายผู้อื่น

๒. ไม่ทำร้าย

คือไม่เบียดเบียน ไม่ฆ่าผู้อื่น

๓. สำรวมในปาติโมกข์

คือการเคารพระเบียบ กติกา กฏหมาย
และขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของสังคม

๔. รู้จักประมาณ คือ รู้จักพอดี พอกิน พออยู่

หรือจะกล่าวแบบปัจจุบันว่าถือหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็ได้

๕. อยู่ในสถานที่ที่สงัด

คืออยู่ในสถานที่ที่สงบ และมีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

๖. ฝึกหัดจิตใจให้สงบ

คือการฝึกหัดชำระจิต หมั่นทำสมาธิภาวนา

(มีต่อ)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 13 ก.พ.2008, 4:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

จะเห็นได้ว่าธรรมะที่พระพุทธองค์ตรัสสั่งสอนนี้
ล้วนมีความหมาย และความสำคัญต่อการดำรงชีวิต

ไม่เพียงแต่ผู้อยู่ในเพศบรรพชิตที่บวชเรียนเท่านั้น
คฤหัสถ์ผู้ครองเรือน และฆราวาสอย่างพวกเราทุกคน
ก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี

ดังนั้น ในโอกาสที่ วันมาฆบูชา จะเวียนมาบรรจบอีกครั้ง
ใน วันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ นี้

กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอเชิญชวนให้ทุกท่านได้ใช้วันนี้
เป็น “วันแห่งความรัก”

ด้วยการ “ตามรอยพระพุทธองค์”
มอบความรัก ความเมตตาต่อตนเอง ครอบครัว คนรอบข้าง
และเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย


โดยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ไม่ว่าจะเป็นการพูดดี คิดดี ทำดี
ไม่คิดร้ายทำลายผู้อื่นทั้งกาย วาจา และใจ เพียงเท่านี้
สังคมทุกแห่งก็จะเกิดสงบสุข และโลกเราก็จะบานสะพรั่งด้วย
ความรักสีขาว ที่สะอาด บริสุทธิ์ และปลอดพิษภัย


Image

สาธุ สาธุ สาธุ

ที่มา : อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.พ.2008, 2:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รักของพระองค์ไม่มีอคติ ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง
เมตตากรุณานั้น ยิ่งใหญ่ไพศาล

สาธุ... สาธุ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 15 ก.พ.2008, 10:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ

ธรรมะสวัสดีค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง