Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หากเกิดนิมิตขณะนั่งสมาธิแบบนี้ หมายถึงอะไรครับ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ไพรวัลย์
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 07 ก.พ. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 11:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตอนนี้ผมเริ่มปฏิบัติ นั่งสมาธิมาได้ระยะหนึ่ง มีอาจารย์สอนเรื่องสมาธิ เป็นหัวหน้าที่ทำงานของผมเอง ท่านแนะการนั่งสมาธิให้ ที่ทำงานของผมมีชมรมนั่งสมาธิครับ มีอยู่วันหนึ่งผมนั่งสมาธิอยู่ไม่รู้ว่านั่งไปนานเท่าไหร่ ผมมีอาการเหมือนกำลังตกจากที่สูง (เหมือนตกเหว ที่ลึกมาก) ทั้งที่ไม่ได้หลับมีความรู้สึกตัวอยู่ ผมเกิดอาการกลัว หายใจเข้าออก พุธโธ เร็วมาก จนเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ มารู้ตัวอีกที ก็เหมือนตัวเองอยู่ในที่ที่หนึ่ง ไม่มีผนัง ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน เป็นที่ว่าง ในที่ที่นั้นเหมือนผมกำลังมองมาที่ใจกลาง ผมมองเห็นพระพุทธรูปโปร่งแสงสีทอง ส่องสว่างอยู่กลางที่ว่าง โดยมีคนคนหนึ่งนั่งสมาธิต่ำลงไปใต้ฐานพระพุทธรูป อยู่ไม่นานนักผมก็หลุดออกมา ไม่เห็นอีก จนออกจากสมาธิ เป็นเพราะผมเพิ่งเริ่มปฏิบัติสมาธิ เลยไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองเจอคืออะไร เป็นเพียงภาพที่ผมสร้างขึ้นเองหรือป่าว และถ้านั่งอีกจะเจอภาพแบบนี้อีกหรือป่าว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 12:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สภาวะของญาณ ๑๖ ขั้น ดูที่นี่ครับ :

http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ประเด็จ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 ส.ค. 2007
ตอบ: 12
ที่อยู่ (จังหวัด): เพชรบูรณ์

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 12:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากที่เคยทำมาน่ะครับผมก็ไม่สันทัดเท่าไหร่แต่พอบอกได้การที่เรานั่งจนได้สมาธินั้นและเกิดอาการต่างๆเรียกว่าวิปัสนานุปกิเลส10 อะไรประมาณนี้ผมว่าดีน่ะที่เราได้เห้นเพราะว่าจะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติแต่ต้องกำหนดจิตไว้ให้ได้จะหลงผมก้เคยเป็นแต่ยิ่งกว่านี้เพราะมีเสียงคุยกะผมด้วยสนุกดี
การที่นั่งแล้วรู้สึกเหมือนลอยอยู่กลางอากาศจะรู้สึกสบายดูโล่งไปหมดเบาสบายฝึกกำหนดไปเรื่อยๆครับกำหนดเห็นหนอจนกว่าจะหายอย่าไปยึดในรูปต้องแยกรูปกับนามออกจากกันจะได้ไม่หลงเพราะถ้าเรานั่งวันนี้เห็นพรุ่งนี้ไม่เห็นเดียวเราจะพาลอารมณเสียเอาซ่ะป่าว
ทำต่อไปครับผมลองดูในญาณต่างที่เรียกว่า โสฬสญาณดูน่ะครับอาจมีข้อมูลไปล่ะครับ
 

_________________
ง่ายอยู่ที่ปาก ยากอยู่ที่ทำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messengerหมายเลข ICQ
1เอง
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2007
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 12:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยินดีด้วยกับคุณไพรวัลย์คับที่แค่เริ่มๆทำสมาธิก็ได้สัมผัสกับอารมย์ของสมถในขั้นนิ่งโล่งว่างอย่างนี้
และในการเห็นอะไรต่างๆในระหว่างทำสมาธินั้นไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตามล้วนเป็นแค่นิมิตรที่จิตเรา
สร้างขึ้นมาเท่านั้น ให้ปฏิบัติต่อไปในการทำสมาธินั้นคับ โดยที่ไม่ต้องสนใจกับนิมิตรเหล่านั้น
เค้ามีมาให้เราดูเราก็ดูเฉยๆอย่าเข้าไปยุ่งกับเค้า และถ้าปฏิบัติแล้วไม่มีนิมิตรเหล่านั้นมาให้ดูเราก็ไม่ต้องสนใจว่าเค้าหายไปไหน ให้สนใจกับคำภาวนา
และจิตใจเราเองดีกว่าคับ ทำต่อไปคับคุณมาถูกทางแล้วคับ
เจริญในธรรมยิ่งๆคับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 2:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามประสบการณ์ครับ เป็นลักษณะของสมาธิ ตอนที่ตกลงไป เหมือนใจจะขาดให้ได้ แต่ก็มีสติประคองดูอยู่ ไม่ต้องไปตกใจ เป็นเพียงสภาวะธรรมอันหนึ่ง เท่านั้น ที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นเและอยากรู้อยากเห็นต่อๆไป

...ผมมีอาการเหมือนกำลังตกจากที่สูง (เหมือนตกเหว ที่ลึกมาก) ทั้งที่ไม่ได้หลับมีความรู้สึกตัวอยู่ ผมเกิดอาการกลัว หายใจเข้าออก พุธโธ เร็วมาก จนเท่าไหร่ก็ไม่ทราบได้ มารู้ตัวอีกที ก็เหมือนตัวเองอยู่ในที่ที่หนึ่ง ไม่มีผนัง ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน เป็นที่ว่าง ในที่ที่นั้นเหมือนผมกำลังมองมาที่ใจกลาง ผมมองเห็นพระพุทธรูปโปร่งแสงสีทอง ส่องสว่างอยู่กลางที่ว่าง โดยมีคนคนหนึ่งนั่งสมาธิต่ำลงไปใต้ฐานพระพุทธรูป อยู่ไม่นานนักผมก็หลุดออกมา...

อันการรู้การเห็นอันหลังนี้ ที่บอกว่า ...
...มารู้ตัวอีกที ก็เหมือนตัวเองอยู่ในที่ที่หนึ่ง ไม่มีผนัง ไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน เป็นที่ว่าง ในที่ที่นั้นเหมือนผมกำลังมองมาที่ใจกลาง ผมมองเห็นพระพุทธรูปโปร่งแสงสีทอง ส่องสว่างอยู่กลางที่ว่าง โดยมีคนคนหนึ่งนั่งสมาธิต่ำลงไปใต้ฐานพระพุทธรูป..

เป็นสังขารจิตที่ปรุงแต่งขึ้นมาแล้วให้เป็นไปต่างๆ นานา จนทำให้บางคนหลงไปได้ ว่า ตัวเองเป็นนั่นเป็นนี่ เห็นนั่นเห็นนี่ ถ้าเกิดว่าเรามาหยุดไว้เพียงเท่านี้การทำสมาธิของเราก็จะไม่ก้าวหน้าอะไรอีก ทำให้ชักช้า

ตามความเห็นของผมเองนะครับ
ให้กลับมาทำสมาธิตามปกติ และเข้าสู้ความสงบ จะดีกว่า เพราะความสงบเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด
คือความสงบ จะทำให้จิต นั้น ได้พักเป็นกำลังของสมาธิ อันแท้จริงนั่นเอง

แต่ถ้าอยากทราบเรื่องนี้จริง ต้องถามบุคคลที่เรารับกัมมัฏฐานมา อันนี้เป็นข้อวัตรสำหรับนักปฏิบัติที่ดีครับ

แต่ที่เขียนมานี้ผมแสดงความคิดเห็น และจากประการณ์ที่ปฏิบัติผ่านอารมณ์ต่างๆ มาพอสมควรครับ และได้สอบถามท่านอาจารย์ของกระผมด้วย เพราะอาการนี้เคยเกิดขึ้นกับผมเหมือนกันครับ ประมาณ 6ปีได้แล้ว

ขออนุโมทนาด้วยนะครับ การรักษาความเพียร สำคัญมากนะครับ ขอให้ทำต่อเนื่องอย่างได้หยุดนะครับ

อ้ออันนี้จะไม่เป็นกิเลส ตราบใดที่เราละมันเสีย ไม่ไปสนใจกับมัน ต่อเมื่อเราคิดว่าเราเห็นจะเป็นอุปกิเลส คือมีตัวกูของกูเห็นทันที ลองศึกษาของหลวงพ่อพุทธทาสดูก็ได้ครับ ถ้าถูกจริตกับท่าน บาย สาธุ

ป.ล.
ท่านอาจารย์ของกระผมคือ พระอาจารย์ชัยรัตน์ สุธมฺโม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 4:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:
นั่งสมาธิมาได้ระยะหนึ่ง มีอาจารย์สอนเรื่องสมาธิ เป็นหัวหน้าที่ทำงานของผมเอง ท่านแนะการนั่งสมาธิให้ ที่ทำงานของผมมีชมรมนั่งสมาธิครับ

ไพรวัลย์
08 ก.พ.2008, 11:21 am

สาธุกับหัวหน้างาน และคนในชมรมทุกคนๆด้วยครับ

อ้างอิงจาก:

สิ่งที่ตัวเองเจอคืออะไร เป็นเพียงภาพที่ผมสร้างขึ้นเองหรือป่าว และถ้านั่งอีกจะเจอภาพแบบนี้อีกหรือป่าว

เป็นนิมิตครับ
นิมิต คือ เครื่องหมาย
เครื่องหมายอะไร ?
เครื่องหมายที่บ่งว่า จิตเป็นสมาธิแล้ว

คือขณะนั้นจิตผู้ปฏิบัติอยู่กับกรรมฐาน ไม่ฟุ้งออกนอกกรรมฐานที่ใช้อยู่
นิมิตจะเกิดตอนนี้แหละ ทำให้เห็นอะไรต่ออะไรต่างๆ

ผู้ปฏิบัติไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่า จะเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ เมื่อเห็นจึงตกใจกลัว เมื่อกลัวใจก็เต้นเร็ว เมื่อนามรัวเร็ว (เกิดดับเร็ว) ก็ดึงลมหายใจเข้าออกให้เร็วตามไปด้วย
เพราะนามกับรูปเป็นปัจจัยกันและกัน

อ้างอิงจาก:
ถ้านั่งอีกจะเจอภาพแบบนี้อีกหรือป่าว

เห็นอีกหรือไม่เห็น แล้วแต่เหตุปัจจัยของมัน (อยากเห็นจะไม่เห็น ไม่อยากเห็นจะเห็น)
ถึงเห็นอีก ก็ให้กำหนดสิ่งนั้นตามที่มันเป็น กำหนดรู้แล้ว ดึงสติกลับมาที่องค์กรรมฐาน คือลมหายใจ ตามลมเข้าออกไปโดยไม่สนใจกับนิมิตนั้น

ไม่แน่เมื่อไม่สนใจมันจริงๆ อาจเห็นอีกก็ได้ แต่นิมิตนั้นๆจะละเอียดชวนให้หลงใหล
เพราะจิตเราละเอียดขึ้นนิ่งขึ้น

สรุปว่า นิมิตนั้นก็คือพื้นฐานความคิดของเรา ทีแรกจิตใจยังหยาบ จึงเห็นนิมิตที่หยาบชวน
ให้น่าสะพรึงกลัว
ต่อเมื่อกำหนดตามที่เห็นเสีย ไม่หลงมัน แล้วตามลมเข้าออกไป
นิมิตจะละเอียดอ่อนนิ่มนวลเบาสบาย ทำให้เกิดความสุข เมื่อมีสุข
ผู้ปฏิบัติจะติดนิมิตซึ่งทำให้เกิดสุขนั้น

จะหยาบละเอียด จะสุขจะทุกข์อย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วปล่อย
กำหนดกรรมฐานคือลมหายใจต่อไป

หากต้องการให้กรรมฐานสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ควรดูกายและใจ (ความคิดแต่ละขณะๆ) ไปด้วยกัน

ส่งท้ายว่า ไม่มีอะไรผิดปกติครับ ปฏิบัติต่อไป สาธุ


http://www.free-webboard.com/index.php?user=vipassanatipani
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ไพรวัลย์
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 07 ก.พ. 2008
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 6:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ขอบคุณคับที่ให้ความกระจ่าง ถ้าผมนั่งแล้วพบนิมิตอีก ต้องทำอย่างไรครับให้ นึกถึงคำภาวนาและลมหายใจเข้าออก ใหม่หรือป่าวครับ หรือว่าต้องกำหนด ความคิดให้คิดถึงเรื่องอื่นแทนครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 11:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำความเข้าใจ คำว่า กรรมฐาน ก่อนแล้วจะเข้าใจอารมณ์กรรมฐานอย่างกว้างไกล

"กรรมฐาน" แปลว่า ที่ทำงานของจิต หรือที่ให้จิตทำงาน

ตัวอย่าง เช่น

ผู้ปฏิบัติ ใช้กสิณ อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นกรรมฐาน (เป็นอารมณ์) สิ่งนั้นก็เป็นที่ทำงานของจิต

เมื่อผู้ปฏิบัติใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นกรรมฐาน (เป็นอารมณ์) ลมเข้าออกนั้นก็เป็นที่ทำงาน

ของจิต

เมื่อผู้ปฏิบัติใช้ท้องพอง ท้องยุบเป็นกรรมฐาน (เป็นอารมณ์) อาการท้องพอง-ยุบเป็นต้นนั้น

ก็เป็นที่ทำงานของจิต

ฯลฯ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 11:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ปฏิบัติใช้กรรมฐานเหล่านั้นฝึกสติสัมปชัญญะ

ที่นี้จับเอาสาระสติและสัมปชัญญะบ้าง

สาระของสติ คือ

การคุมจิตไว้กับอารมณ์,

การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังทำ,

หรือ คุมจิตไว้ในกระแสของการทำกิจ

สาระของสัมปชัญญะคือ

การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,

หรือ รู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำ



มิใช่เอาสติมากำหนดตัวตน....(ว่าฉันทำนั่นทำนี่)

ให้นึกถึงงาน... (สิ่งที่ทำ)

ไม่ใช่นึกถึงตัว... (ผู้ทำ)

ให้สติตามกำหนดอยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำ, หรือ กำลังเป็นไป

จนไม่มีโอกาสนึกถึงตัวเอง หรือ ตัวผู้ทำเลย

คือ ใจอยู่กับสิ่งที่ทำนั้น

จนกระทั่งความรู้สึกว่า ตัวฉัน หรือ ความรู้สึกต่อตัวผู้ทำ

ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้เลย
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 08 ก.พ.2008, 11:24 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

ถ้าผมนั่งแล้วพบนิมิตอีก ต้องทำอย่างไรครับ ให้นึกถึงคำภาวนาและลมหายใจเข้าออกใหม่
หรือป่าวครับ หรือว่าต้องกำหนด ความคิดให้คิดถึงเรื่องอื่นแทนครับ

ไพรวัลย์
08 ก.พ.2008, 6:06 pm


เมื่อเข้าใจกว้างๆ แล้ว มาดูเฉพาะที่ถามบ้าง

ไม่ใช่นึกถึงคำภาวนา แต่นึกถึงงาน หรือ กรรมฐานที่ใช้ (ดูงานที่ให้จิตทำ)

เราใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นที่ทำงานของจิต เราก็ดูลมหายใจเข้าและออกนั้น

พร้อมกับภาวนาพุท-โธกำกับไปพร้อมๆกับลมเข้า และลมออกด้วย


กรัชกายจะให้แนวทางปฏิบัติไว้ เมื่อนิมิตเกิดอีก

กำหนด “เห็นหนอๆๆ” แล้วดึงสติดูลมต่อไปใหม่

เมื่อคิดเรื่องอื่นนอกจากกรรมฐานอีก เช่น คิดถึงแฟน เป็นต้น “คิดหนอๆๆ”

แล้วก็ดึงสติ กลับไปดูลมเข้าออกต่ออีก


สรุปง่ายๆว่า ลมหายใจเข้าออกเป็นอารมณ์หลัก อารมณ์อื่นที่เข้ามากระทบ

เป็นอารมณ์รอง

หมายเหตุ- เมื่อคุณไม่ชอบ “หนอ” ต่อท้าย ใช้คำอื่นแทนได้เลย

แต่สภาวะอื่นคงไว้ เช่น

เห็นอะไรก็ เห็น... (หนอ)

ได้ยินเสียงอะไรก็ เสียง... (หนอ)

ได้กลิ่นอะไรก็ กลิ่น ...(หนอ) ฯลฯ

คิดอะไรก็ คิด ...(หนอ) เป็นต้น


เมื่อลมหายใจเร็วดังกล่าวตอนต้น

เอาแต่สภาวะได้เลย เช่น คิดๆ ปวดๆๆ ทุกข์ๆๆ แล้วก็กลับไปดูลมต่อ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
pan_panda
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 04 ก.พ. 2008
ตอบ: 10
ที่อยู่ (จังหวัด): 128 moo 3 T.thapha A.banpong P.ratchaburee

ตอบตอบเมื่อ: 09 ก.พ.2008, 10:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เคยแต่ว่ามีเสียงตัวเราคุยสอนธรรมะให้ตัวเองฟังแล้วตัวเองก็ไปคุยแสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่ได้ยินว่าหลักธรรมนั้นถูกต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ควรต้องปฏิบัติตามอะไรทำนองเนี้ยค่ะ และนั่งตอนกลางวันที่ห้องนอนแล้วมีกลิ่นหอมมา ถามที่ผู้รูเค้าบอกว่าเป็นผัสสะที่กระทบเข้ามาใช่หรือไม่ค่ะ (แต่ตอนนี้ลมหายใจหายไปแล้ว) ถ้าใครทราบขอช่วยตอบหน่อยนะค่ะ ขอบคุณที่กรุณาค่ะ แลบลิ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2008, 12:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

pan_panda พิมพ์ว่า:
เคยแต่ว่ามีเสียงตัวเราคุยสอนธรรมะให้ตัวเองฟังแล้วตัวเองก็ไปคุยแสดงความคิดเห็นกับสิ่งที่ได้ยินว่าหลักธรรมนั้นถูกต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ควรต้องปฏิบัติตามอะไรทำนองเนี้ยค่ะ และนั่งตอนกลางวันที่ห้องนอนแล้วมีกลิ่นหอมมา ถามที่ผู้รูเค้าบอกว่าเป็นผัสสะที่กระทบเข้ามาใช่หรือไม่ค่ะ (แต่ตอนนี้ลมหายใจหายไปแล้ว) ถ้าใครทราบขอช่วยตอบหน่อยนะค่ะ ขอบคุณที่กรุณาค่ะ แลบลิ้น


เสียงอันนี้ต้องระวัง เป็นสังขาระจิต ยึดติดเป็นอุปกิเลสทันที

วิธีที่ผมเคยแก้คือ ถ้าเสียงนี้ขึ้นมาอีก ก็ให้บริกรรมว่า

สัพเพ สังขารา สัพเพ สัญญา อนิจจา
สัพเพ สังขารา สัพเพ สัญญา ทุกขา
สัพเพ สังขารา สัพเพ สัญญา อนัตตา

หรือ ที่ผมใช้อีกอันคือ บริกรรมว่าไม่เที่ยง (เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา) จนกว่าเสียงจะไม่มารบกวนอีก

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2008, 9:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มนุษย์ทุกคนมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตา+รูป (รูป ได้แก่ สีต่างๆ )

หู+เสียง

จมูก+กลิ่น

ลิ้น+รส

กาย+สัมผัส

ใจ+ธรรมารมณ์ (สิ่งที่คิด)

กิเลสจะเกิดก็เกิดที่นี่ จะดับก็ดับที่นี่ คือ ตามทวารนั้น ๆ

เมื่อรู้เข้าใจธรรมชาติอย่างนี้แล้ว ก็ใช้สติอุดทางทวารนั้นๆ เช่น

ตาเห็นรูป กันกิเลสใหม่เกิดทางจักขุทวารด้วยภาวนา “เห็นหนอๆๆ”

หูได้ยินเสียง กันกิเลสใหม่เกิดทางโสตทวารด้วย... “เสียงหนอๆๆ”

จมูกได้กลิ่น กันกิเลสใหม่เกิดทางฆานทวารด้วย... “กลิ่นหนอๆๆ”

ลิ้นลิ้มรสเปรี้ยวหวานมันเค็ม กันกิเลสใหม่เกิดทางชิวหาทวาร ตามรสนั้นด้วย...

“เปรี้ยวหนอๆๆ” เป็นต้น

กายสัมผัส อ่อน แข็ง เป็นต้น กันกิเลสใหม่เกิดทางกายทวาร ตามความรู้สึกนั้นด้วย...

“นุ่มหนอๆๆ” เป็นต้น

ทางใจรับรู้รู้สึกอย่างใดกำหนดอย่างนั้นด้วย... “คิดหนอๆ” เป็นต้น

กำหนดแต่ละขณะๆ ตามที่กระทบ (ปัจจุบันขณะ)

การปฏิบัติอย่างนี้ คือปฏิบัติเพื่อปิดกั้นกิเลสใหม่ กำจัดกิเลสเก่าให้หมดไป
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 10 ก.พ.2008, 9:11 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กรัชกายตอบคำถามคุณ pan_panda ที่ถามตรงนี้ ไว้ที่ลิงค์นี้ ซึ่งเป็นกระทู้คุณเอง

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=14773
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
walaiporn
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 ก.ค. 2006
ตอบ: 253
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 18 ก.พ.2008, 6:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กลับมาที่รู้ที่กายอย่างเดียว อย่าไปส่งจิตออกนอก เห็นอะไร ได้ยินอะไรก็กลับมาที่กาย ได้ยินเสียง ได้เห็นภาพ อย่าไปให้ค่าหรือให้ความหมายในสิ่งที่เห็น หรือได้ยิน ไม่งั้นต่อมเอ๊ะมันจะทำงานอยู่เรื่อย การปฏิบัตินั้นไม่มีอะไร มีแต่กายและจิตเท่านั้นเอง ทำไป ทำอย่างต่อเนื่อง พอถึงจุดๆหนึ่ง มันจะรู้เองโดยไม่ต้องไปถามใคร
ขออนุโมทนากับความเพียร สาธุ
 

_________________
ไม่มีคำว่าทำไม่ได้ หากเราพยายามทำและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
suvitjak
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 26 พ.ค. 2008
ตอบ: 457
ที่อยู่ (จังหวัด): khonkaen

ตอบตอบเมื่อ: 13 มิ.ย.2008, 3:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทโธ ขอบคุณเจ้าของกระทู้ครับ พุทโธ
 

_________________
ซื่อกินไม่หมดคดกินไม่นาน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คามินธรรม
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2008
ตอบ: 860
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 31 ก.ค.2008, 1:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอานิมิตทั้งปวงนั้นแหละ มากำหนดเป้น สิ่งที่ถูกรู้
และพยามทำให้ ผู้รู้ ชัดเจนอยู่เสมอ

รู้อะไร ?
รู้ไตรลักษณ์ ของสิ่งที่ถูกรู้ .... ไม่มากกว่านั้น
(อย่าปรุง อย่าพอใจ หรือไม่พอใจ อย่าหลงของแปลก อย่าเชื่อของแปลก)

ถ้าเมื่อไหร่ ผู้รู้ หลงไปกับนิมิตทั้งปวง เป้นอันว่าจบ
เพราะเกิดความหลงชนิดรุนแรงเข้าให้แล้ว หลงตัวนี้ถ้าหลงแล้ว
จะหลงทั้งหลับตา ลืมตาก็หลง
หลงทั้งนั่งเจริญสติ หรือใช้ชีวิตประจำวันก็หลง

บุญมี วาสนาดี ถึงจะหลุดออกไปได้
 

_________________
ฐิโต อหํ องฺคุลิมาล ตฺว ฺจ ติฏฺฐ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2008, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

2 วันมานี้ ข้าพเจ้าเก็บเกี่ยวความรู้ ตามอ่านกระทู้ต่าง ๆ หน้าลาน ได้เยอะมาก รวมทั้งกระทู้นี้ด้วย ได้ความรู้อีกเช่นเคย ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้ คุณไพรวัลย์ และท่านผู้ให้คำตอบ คุณ RARM, คุณกรัชกาย, รวมทั้งคุณคามินธรรม ด้วย อนุโมทนาสาธุ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ChangNoi
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 13 ส.ค. 2008
ตอบ: 4

ตอบตอบเมื่อ: 13 ส.ค. 2008, 9:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมก็เคยเป็นครับ นั่งเรียนในห้องตอนนั้นมี 4 sec รวมกันเป็นอะไรทีเสียงดังมากๆๆ ผมเลยลองนั่งๆๆไปเพลินสักพักเมื่อรู้สึกตัวก็เหมือนตัวเองกำลังตกลงไปในเหวครับด้วยความที่ตกใจกลัวก็เลยหลุดออกมาเลยกลัวมากๆๆครับ ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แถมอีกอย่างได้ไหมคับ เวลาผมนั่งแล้วจะปวดหลังมากๆ เลยเปลี่ยนมาเป็นทำก่อนนอนแล้วเผลอหลับไปเลยจะเป็นอะไรไหมครับ อยากรู้จัง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
บุญชัย
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 29 ก.ค. 2008
ตอบ: 568
ที่อยู่ (จังหวัด): สงขลา

ตอบตอบเมื่อ: 22 ส.ค. 2008, 2:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เผลอหลับไป
1เสียพลังที่เริ่มทำเมื่อกี้หมด ถ้าจะ นอนให้ถอนจากสมาธิกราบลาพระแล้วเข้านอนจะไม่เสียเปล่า
ตกลงไปในเหว
2ภวังคญาน สามารถปรุงไปได้108 อย่าเชื่อ ให้ นิ่งที่ฐานจิตไว้ๆ ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทำดีทุกทุกวัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง