Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เหตุสมควรโกรธ... ไม่มีในโลก : พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1. ชีวิตคือทุกข์... ไม่มากก็น้อย

ชีวิตคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของ เด็กเล็กๆ อายุ 3-4 ขวบ
ชีวิตของ คนเฒ่าคนแก่ อายุ 100 ปี
ชีวิตของ คนยากจน ขอทานข้างถนน
ชีวิตของ มหาเศรษฐี
ชีวิตของ คนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
ชีวิตของ คนจบปริญญาเอก
ชีวิตของ นักโทษประหาร
ชีวิตของ ผู้ได้รับเกียรติเป็นบุคคลตัวอย่าง
ชีวิตของ นักเลงพนัน
ชีวิตของ ผู้ดีในสังคม
แต่ดูลึกๆ แล้ว ชีวิตเราก็พอๆ กัน
ในความรู้สึก สุข ทุกข์ ดีใจ พอใจ สุขใจ
โกรธ น้อยใจ เสียใจ กลัว ฯลฯ

ชีวิตคือทุกข์ ไมมากก็น้อย
จากคุณ : Mine_Mim [ ตอบ: 08 มิ.ย. 50 18:39 ] แนะนำตัวล่าสุด 18 ก.ค. 50 | สมาชิกลานธรรมถาวร | ตอบ: 477 | ฝากข้อความ | MSN |



เก็บความคิดเห็นที่ 1 : (Mine_Mim) แจ้งลบ | อ้างอิง |


ชีวิตคือทุกข์ ไม่มากก็น้อย

ทุกข์ร้อน ทุกข์หนาว ทุกข์แบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวก็มี แต่คนเราเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ พยายามหนีจากทุกข์ แสงหาความสุขทั้งนั้น ตามสติปัญญา และความสามารถของแต่ละบุคคล หัวใจของมนุษย์ต่างก็เรียกร้อง "ความสุขๆๆ" กันทุกคน แต่ที่เราหนีไม่พ้นจากทุกข์ เพราะพวกเราอยู่ในท่ามกลางไฟกันทั้งนั้น

ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
ไฟ คือ โทสะ
ไฟ คือ โลภะ
ไฟ คือ โมหะ

เมื่อเราสามารถดับไฟได้ เมื่อนั้นก็เย็นสงบสุข
ไฟโทสะร้ายกาจ เป็นข้าศึกต่อความสุข
ถอนโทสะเพียงสิ่งเดียวออกจากจิตใจ
ก็จะไม่ต้องต่อสู้กับคนรอบตัว โลกทั้งหมดจะสงบเย็น
มีแต่คนรัก มีแต่คนน่าสงสาร ควรแก่การเมตตากรุณา
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธเจ้าเปรียบความโกรธว่าเหมือนไฟ
เช่นไฟไหม้ป่า เผาทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า
ความโกรธ มีพลัง มีอำนาจทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง
ยิ่งกว่าไฟไหม้ป่าเสียอีก มีแต่โทษ ไม่มีคุณแม้แต่นิดเดียว

จะเห็นได้ว่าคนโบราณมีการอบรมสั่งสอนลูกหลานให้กลัว
และระมัดระวังไฟ เพราะอันตรายมาก โดยเฉพาะ ไฟไหม้บ้าน
ไฟไหม้ป่า ล้วนเผาทำลาย พรึบเดียว ชั่วข้ามคืน
ทำลายทั้งทรัพย์สมบัติจนหมดตัว และยังทำลายชีวิตคนบางครั้ง
เป็นพันๆ หมื่นๆ ทีเดียว

แต่ความโกรธ อันตรายยิ่งกว่าไฟ ไฟเสมอด้วยโกรธไม่มี
เพราะความโกรธจะทำลายแม้แต่น้ำใจเรา
คนที่เรารักสุดหัวใจดี คนที่รักเราก็ดี
ชื่อเสียง คุณงามความดีที่สะสมไว้ตั้งแต่เอนกชาติ
ถูกทำลายย่อยยับได้ด้วยความโกรธ
ความโกรธ โมโห ครั้งเดียว สามารถทำลายได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

น่ากลัวยิ่งกว่าไฟไหม้ !!!!!
ความโกรธนี้ฆ่าผู้มีพระคุณมาหลายต่อหลายคนแล้ว
ฆ่าคนที่เรารัก คนที่รักเรา คู่รักที่ต่างรักใคร่ชอบพอกัน
บางครั้งในที่สุด ความโกรธก็ทำให้เลิกร้างกัน
ทำให้ชีวิตครอบครัวต้องแตกแยก
จนถึงทำให้ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าลูกก็มี
ผู้ใหญ่ในระดับประเทศโกรธกัน จนเป็นเหตุให้กลายเป็นสงคราม
ฆ่ากันตาย เป็นพันๆ หมื่นๆ แสนๆ ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายที่เราเห็นกันด้วยตา
นับแต่มด ยุง กบ เขียด แมว สุนัข วัว ควาย มนุษย์
อย่างน้อยชาติหนึ่งเป็นพี่น้องกันในวัฏสงสารที่ยืดยาว
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาเคยรักกันเกลียดกันมาอย่างนี้
จนทุกวันนี้ และต่อไปกหลายภพหลายชาติ
ตราบเท่าที่ยังไม่บรรลุมรรคผนิพพาน

เม่อเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรประมาท ทำใจให้สงบน้อมเข้ามาสู่ตน
พิจารณาดูว่า มีใครบ้างที่เราอาฆาตพยาท ถ้ามีให้รีบอภัย
อโหสิกรรมเสียแต่บัดนี้ อย่างน้อยก็ชาตินี้ ก่อนตาย
จะได้ไม่ต้องเป็นคู่เวรคู่กรรมกันอีกต่อไป อย่าคิดว่า
ต่างคนต่างอยู่ ไม่เป็นไร แม้จะอยู่คนละจังหวัด
คนละประเทศก็ตาม ก็จะมีโอกาสพบกันในชาติหน้า
และมีโอกาสมากด้วย ถ้าหากมีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น
ดูใจของตน ก็เห็นชัด คิดถึงใครก็ดี คิดแค้นอาฆาตพยาบาทใครก็ตาม
นั่นแหละ! ระวังให้ดี
ต่อไปจะเกิดมาพบกัน
และทำความเดือดร้อนให้แก่กัน
นับภพนับชาติไม่ถ้วน

ฉะนั้น ไม่ให้คิดมีเวรแก่กัน จงให้อภัย และอโหสิกรรมแก่กัน
ไม่ให้คิดอาฆาตพยาบาท ไม่ให้คิดเบียดเบียนกัน
มีแต่ปรารถนาดีต่อกัน พยายามทำดีให้ทาน
เอื้อเฟื้อกัน มีปิยวาจา พูดี พูดไพเราะ
ทำประโยชน์ช่วยเหลือสังคม วางตนเหมาะสม
จะทำให้เราอยู่ด้วยกันได้อย่างมีความสุขในปัจจุบัน
และเป็นการสร้างกรรมดีต่อกัน

อนาคตถ้าเกิดมาพบกันอีก
ก็จะเป็น พี่น้อง เพื่อนฝูงที่ดีต่อกัน
เกื้อกูลสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

3. ไฟไหม้บ้าน - ดับไฟก่อน

เมื่อเรากระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ จะโกรธ อยากโกรธ
หยุดทำ หยุดพูด หยุดคิด หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนกว่าใจจะสงบสบาย เมื่อเราไม่พอใจ ไม่ต้องคิด
อย่าคิดไปตามอารมณ์ คิดว่า ทำไมเขาทำอย่างนี้
เขาไม่น่าทำเช่นนี้

พิจารณาดู... สมมุติเมื่อเรากำลังกลับบ้าน
มองเห็นควัน มีไฟลุกขึ้น ไฟกำลังไหม้บ้านของเรา
ถึงแม้เรามองเห็นว่า มีใครวิ่งหนีไปก็ตาม
เราไม่ต้องคิดสงสัยว่า เขาเป็นผุ้ร้ายหรือเปล่า
สิ่งที่ต้องทำก่อนทุกอย่างคือ วิ่งเข้าไปหาทางดับไฟ
ทำดีที่สุดเพื่อที่จะดับไฟให้สำเร็จ

เมื่อดับไฟแล้ว จึงค่อยคิดหาสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดไฟไหม้
เช่น เป็นอุบัติเหตุ หรือมีใครลอบวางเพลิง
มีใครประสงค์ร้ายคิดทำลายทรัพย์สมบัติของเราหรือไม่

เมื่อเกิดอารมณ์ไม่พอใจ ไม่ต้องคิดหาเหตุว่าใครผิด ใครถูก
ระงับความร้อนใจองตัวเองให้ได้เสียก่อน
หายใจเข้าลึกๆ หาใจออกยาวๆ
จึงค่อยคิดด้วยสติ ปัญญา ด้วยเหตุผล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

4. สอนใจตัวเองก่อน

เมื่อเราเป็นผู้ใหญ่ เป็นครู เป็นพ่อแม่
มีลูกน้อง มีลูกศิษย์ มีลูก
สมมุติว่าเราเป็นพ่อแม่ มีลูก
เมื่อลูกทำผิดจริงๆ แล้วเราโกรธ ใจร้อน อย่าเพิ่งสอนลูก
มีเมตตาก่อน จนรู้สึกมั่นใจว่าใจเราพร้อมแล้ว
และดูว่าลูกพร้อมที่จะรับฟังไหม ถ้าเราพร้อม
แต่ลูกยังไม่พร้อม ก็ยังไม่ต้องพูด เพราะไม่เกิดประโยชน์

เราพร้อมที่จะสอน เขาพร้อมที่จะฟัง
จึงจะเกิดประโยชน์ เป็นการสอน

ถ้าเราสังเกตดู บางครั้ง ใจเรารู้สึกเหมือนอยากจะสอน
แต่ความจริงแล้ว เราเพียงอยากจะระบายอารมณ์ของเรา
สิ่งที่เราพูดแม้เป็นเรื่องจริง แต่ก็แฝงด้วยความโกรธ
เพราะยังเป็นความใจร้อน มีตัณหา
ถ้าใจเราโกรธ พูดเหมือนกัน คำพูดเหมือนกัน นั่นคือโกรธ
ถ้าใจเราดี ใจเขาดี คำพูดของเราเป็นประโยชน์ นั่นคือสอน

เมื่อเราอยู่ในสังคม สิ่งี่ต้องระวังคือ หากเห็นใครทำผิด
อย่ายึดมั่นถือมั้นในความรู้สึกและความคิดของตน
อย่ายินดี ยินร้าย ใจเย็นๆ ไว้ก่อน
พยายาม อบรมใจตนเองว่า
ธรรมชาติของคนเรา มักจะมองข้ามความผิดของตน
ชอบจับผิดแต่คนอื่น

มองเห็นความผิดคนอื่นเหมือนภูเขาใหญ่
เห็นความผิดของตนเท่ารูเข็ม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน
ตดตนเองเหม็นไม่เป็นไร
ปากคนอื่นเหม็นเหลือทน
ปากของตนเหม็นไม่เป็นไร

เรมักทุ่มเทใจ
ไปอยุ่ที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง
อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่ออารมณ์ อย่ายินดียินร้าย
พยายามรักษาใจเย็นๆ ใจดี ใจกลางๆ

ปรกติเราทำผิดเหมือนกัน เท่ากันหรืออาจมากกว่าเขา
แต่ความรู้สึกของเรา มักจะรังเกียจเขา
และไม่เห็นความผิดของตัวเองเลย น่ากลัวจริงๆ

สังเกตุดู คนที่ขี้บ่น ขี้โมโห ว่าคนอื่นทำอะไรไม่ดี ไม่ถูก
ตัวของเขาเอง คิดดี พูดดี ทำดีไหม... ก็อาจจะไม่
เราเองก็เหมือนกัน เมื่อเราเกิดอารมณ์ไม่พอใจ
อย่าเชื่อความรู้สึก ให้ระงับอารมณ์เสีย ทำใจเป็นกลางๆ ไว้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

5. เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ก็เพราะโกรธ

เรื่องนี้อาจจะเป็นประสบการณ์ของผู้ขับขี่รถยนต์หลายๆ คนก็เป็นได้
แต่ที่ต้องมาเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
ก็เพราะผู้ขับรถยนต์เนดาราสาวที่มีชื่อเสียง
คืนวันเกิดเหตุเธอได้ขับรถยนต์ไปบนถนนเส้นทางสายสุพรรณบุรี
เธอขับด้วยความเร็วเนื่องจากขณะนั้นดึกแล้ว
ถนว่างและสองข้างทางก็เปลี่ยว
แต่ขณะขับอยู่ก็ได้มีรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวออกมาจากข้างทาง
ตัดหน้ารถเธอไปอย่างหวุดหวิด
เธอโกรธจัดเลยพยายามเร่งเครื่องตามจะแซง
และบีบแตรไล่หลังว่าจะสั่งสอน
ฝ่ายเจ้าของรถกระบะงมองเห็นว่าเป็นผู้หญิงขับรถมาคนเดียว
จึงแกล้งเหยียบเบรคอย่างกระทันหัน จนรถของดาราสาวไปชนท้าย
แล้วเธอก็ต้องตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
เมื่อมองเห็นว่ารถกระบะคันหน้ามีผู้ชายอยู่ในรถ 4-5 คนด้วยกัน
เธอนึกถึงเหตุการณ์อันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้น

หากผู้ชายกลุ่มนี้หน้ามืดขึ้นมาหรือคิดจะแก้แค้น เธอจะทำอะไรได้
แต่ก็ยังโชคดีที่รถไม่เป็นอะไรมาก เธอจึงรีบอกรถแล้วขับหนีไป
จนเจอสถานีตำรวจ และได้เข้าแจ้งความ
เรื่องเลยกลายเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ให้ชาวบ้านได้ทราบไว้เป็นบทเรียนว่า อามณ์โกรธ
เพียงชั่ววูบที่ทำให้เราทำอะไรลงไปอย่างขาดสติยั้งคิดนั้น
อาจทำให้เกิดเรื่องร้ายแรงที่ต้องเสียใจไปตลอิดชีวิตก็ได้
โดยเฉพาะเรื่องการแก้แค้น หรือเอาชนะกันบนท้องถนน
จุดจบของเรื่องมักไม่พ้นอุบัติเหตุที่ต้องสูญเสียด้วยกันทั้งนั้น

มีเรื่องจริงที่ขอยกมาเป็นตัวอย่างอีกกรณีหนึ่ง คือ เรื่องของหนุ่มเจ้าโทสะ
ที่ขับรถมาตามทางในซอยแคบๆ แห่งหนึ่งในกรุงเทพ ซ่งรถสวนกันไม่ได้
ระหว่างขับมาถึงทางแยก ก็มีรถอีกคันหนึ่งเลี้ยวออกมา
ทั้งๆ ที่ควรจอดชะลออยู่ก่อน ทำให้อีกคันหนึ่งขับผ่านไปไม่ได้
รถทั้งสองคันจอดเผชิญหน้ากันอยู่สักครู่ ไม่มีใครยอมใครก่อน
หนุ่มเจ้าโทสะเกิดฉุนเฉียวหยิบปืนขึ้นมาคิดจะขู่
แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็มีปืน เลยชักปืนขึ้นมายิงหนุ่มเจ้าโทสะ
จนเสียชีวิตคารถไปเลย

จริงๆ แล้วเรื่องร้ายแรงแบบนี้คงจะไม่เกิดขึ้น
ถ้าคนเรารู้จักระงับอารมณ์โทสะลงเสียบ้าง
ไม่ต้องคิดเอาชนะกัน และปล่อยวางเสียตั้งแต่แรก
การขับรถยนต์บนท้องถนนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการกระทบกระทั่ง
ทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา การที่เราจะใช้รถใช้ถนน ให้มีความปลอดภัยนั้น
นอกจากจะไม่ประมาทแล้ว เราต้องเรียนรู้ที่จะให้อภัยแก่กัน
รู้จักระงับโทสะ ไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่
จะได้ไม่เกิดวามเดือดร้อนเสียหายอย่างคาดไม่ถึงดังกล่าว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

6. เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร

ในสมัยโบราณ มีหนุ่มใหญ่คนหนึ่งเกิดในตระกูลซามูไร
มีนามว่า เซ็นไก เมื่อเขาศึกษาวิชาการและจริยธรมของซามูไรจบแล้ว
ไปทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อารักขาขุนนางผู้หนึ่ง เขาเป็นหนุ่มรูปงาม
จึงเป้นที่ต้องตาต้องใจของภรรยาขุนนาง เธอทอดสะพานให้
จนหนุ่มเซ็นไกลืมตัว ลืมหน้าที่ ลับลอบเป็นชู้กับภรยาขุนนาง
ต่อมาขุนนางผู้เป็นสามีจับได้ เซ็นไกจึงฆ่าขุนนางผู้นั้นเสีย
แล้วพาภรยาของเขาหนีไป
เมื่ออยู่ด้วยกัน ความรักเริ่มจืดจาง เป็นเหตุให้แหนงหน่าย และแยกทางกัน
เซ็นไกต้องอยู่อย่างเดียวดาย และเริ่มมองเห็นความผิดของตน
สำนึกบาปกรรมของตน รำพึงว่า
ทำอย่างไรหนอจึงจะกลับมาล้างบาปอันนี้ได้

วันหนึ่งเซ็นไกผ่านมาที่ภูเขาสูงชันลูกหนึ่ง
ประชาชที่จำเป็นต้อสัญจรผ่านภูเขาลูกนี้
ต้องเสี่ยงอันตรายปีนป่ายข้ามไป
เขาจึงตกลงใจเจาะภูเขาเพื่อเป็นทางสัญจร
เขทำด้วยความเหนื่อยยาก ทำเพียงลำพัง
แต่จิตใจเต็มไปด้วยความสุข เพราะเขาเห็นว่าสิ่งที่เขาทำแม้ยากลำบาก
แต่ผลที่ได้คือประโยชน์ของคนจำนวนมาก

บุตรของขุนนางที่ถูกฆ่า บัดนี้เป็นหนุ่มใหญ่และเป็นซามูไร
เที่ยวตามหาเซ็นไก เพื่อแก้แค้นแทนบิดา เมื่อมาพบเขาที่นี่
จึงลงมือจะแก้แค้น เซ็นไกขอร้องวิงวอนว่า
อย่าเพิ่งทำลายทางแห่งบุญโดยเอาชีวิตเขาในตอนนี้เลย
ขอเวลาอีก 2 ปี เมื่อเจาะภูเขาเสร็จแล้ว ก็จะขอชดใช้ด้วยชีวิต

ซามูไรเห็นว่า คำขอร้องมีเหตุผล
และเห็นว่าเซ็นไกไมมีทางหนีรอดไปได้
จึงตกลงรอคอย ขณะที่รอก็ดูกรทำงานเจาะภูเขาของเซ็นไก
จนเกิดความเห็นใจ และในบางครั้งซามูไรหนุ่มก็ลงมือช่วยงานด้วย
เมื่องานเจาะภูเขาลุล่วง ต่อไปก็เหลือแต่งานแก้แค้น
เซ็นไกนั่งขัดสมาธิก้อหน้าก้มตา เพื่อให้ซามูไรหนุ่มใช้ดาบฟัน
แต่แล้วซามูไรก็เก็บดาบเข้าฝัก ทรุดตัวลงเบื้องหน้าเซ็นไก
กล่าวว่า "ข้าพเจ้าจะฆ่าครูของข้าพเจ้าได้อย่างไร"
เพราะในช่วงเวลา 2 ปีที่เฝ้าดู ซามูไรได้บทเรียนแห่งการใช้ชีวิตว่า
คนที่เคยชั่วเมื่อเขาสำนึกชั่วแล้ว มิใช่ว่าจะกลับเป็นคนดีไม่ได้
ควรให้โอกาสแก่ซึ่งผู้กลับตัวเป็นคนดี
ไฟพยาบาทที่อยู่ในจิตใจของซามูไรหนุ่มมานานจึงดับมอดลง
ใจของเขาสว่าง เมื่อรู้จักให้อภัย
และเข้าใจว่าเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

7. แม่ขี้บ่น ลูกต้องไม่ขี้โกรธ

ให้เราพิจารณาดูว่า นิสัยขี้บ่นของแม่นั้น
เราจะช่วยทำให้ลดลงได้ไหม ปกติก็จะเปลี่ยนได้ยาก
หรือเปลี่ยนไม่ได้ เราคงต้องปล่อยให้แม่เป็นอย่างนั้น
ไม่ต้องคิดจะให้เปลี่ยน มองให้เห้นว่า อารมณ์ของแม่
เหมือนลมฟ้าอากาศ มีทั้งหนาวเย็น ร้อน ฝนตก
แห้งแล้ว มีลม ไม่มีลม ลมแรงและพายุ

อารมณ์ของแม่ที่ไม่ถูกใจเรา เปรียบเสมือนสภาวะอากาศ
ที่เราไม่ชอบ เช่นหนาวไป ร้อนไป สิ่งที่เราต้องทำก็คือ
ป้องกันรักษาตัวไม่ให้ทุกข์ จิตใจก็เหมือนกัน
เราต้องป้องกันด้วยใจดีมีเมตตา
ใสติปัญญษรักษาใจไม่ให้ทุกข์ คือหน้าที่ของเรา

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม
มีสติมั่นคง ใจเราไม่ยินดียินร้าย
ถึงอย่างไรก็สำรวมกาย วาจา การแสดงออกทางกายให้เป็นปกติ
ทางวาจาให้พูดดีๆ ไพเราะน่าฟัง ใจก็คิดดี มีเมตตา
เห็นอกเห็นใจแม่ พยายามรักษาความรู้สึกที่ไม่ยึดมั่นถือมั้น
ถึงแม้ว่าไม่ชอบ ก็อดทน อดกลั้นไว้
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

พิจารณาดูว่า อารมณ์ขี้บ่นเป็นเหมือนอาการท้องผูก
ของเสียเก็บไว้ในร่างกายนานๆ ทำให้ไม่สบาย
เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เมื่อกินยาระบายเข้าไป
ระบายของเสียออกมา ก็รู้สึกสบายกาย

สำหรับคนขี้บ่น อารมณ์หงุดหงิด เป็นของเสียที่สะสมไว้ในใจ
ถ้าเก็บกดไว้จะเครียด เป็นโรคประสาทได้
เมื่อได้ระบายออกมาทางวาจา เขาก็ค่อยสบายขึ้น
ตามรายงานของจิตแพทย์ พบว่าผู้หญิงอเมริกันวัยกลางคน
มีความรู้สึกปฏิเสธ หรือไม่พอใจ มากถึง 30,000 ครั้งต่อกัน
หรือทุกๆ 3 วินาที ความรู้สึกชอบไม่ชอบนี้
กิดจากการรับรู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราจะจัดการกับความรู้สึกได้ถูกต้อง
โดยไม่เข้าไปยึดถือยึดมั่น เก็บเอามาคิดปรุงแต่ง
แสดงอกทางวาจา เป็นคนขี้บ่น
ประสบการณ์ภายในใจของมนุษย์เราจริงๆ แล้วมีพอๆ กัน
แต่บางคนเก็บสะสม เหมือนอาการท้องผูก

คำพูดที่ไม่พอใจคือ บ่น ไม่มีใครอยากฟัง
แต่เมื่อแม่ของเราบ่น ให้เข้าใจว่าท่านกำลังทุกข์ ไม่สบายใจ
เราควรเสียสละ ใจดีพอที่จะรับเป็นสุขภัณฑ์ที่ดีให้แก่แม่
เป็นสุขภัณฑ์สะอาด ใช้ได้สะดวก มีน้ำไหลแรงๆ หน่อย
แม่บ่นเม่อไหร่ก็ใจดีรับฟัง แม่จะสบายใจ ไม่ต้องขัดใจ
แต่ราก็ต้องระวัง ถ้าคุณภาพสุขภัณฑ์ไม่ดีพอ
เราจะสกปรกน่าดู

เราต้องมีสติปัญญา เมตตา กรุณา ขันติ
เป็นคุณธรรมประจำใจ
เป็นโอกาสที่เราจะสร้างคุณงามความดี
และเข้าใจธรรม ทำได้ดี ได้มากเท่าไร
ก็เท่ากับเราก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
แล้วในที่สุดจะรู้สึกขอบคุณแม่
ที่เป็นแบบฝึกหัดให้เราพัฒนาจิตใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความโกรธกับการระบายอารมณ์โกรธ

อารมณ์โกรธ เป็นอารมณ์หนึ่งที่เรทุกคนมีไม่มากก็น้อย
และแสดงออกลักษณะต่างๆ กัน บางคนก็โกรธง่าย หายเร็ว
เมื่อหายแล้วก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำตัวามปรกติได้
แต่บางคนโกรธแล้วเกิดอาฆาตพยาบาท ผูกใจเจ็บ
คอยหาทางแก้แค้น บางคนมีลักษณะโกรธแล้วก็เก็บไปคิด
ไม่ยอมลืม โกรธขึ้นมาคราวใด ก็หวนกลับไปคิดทบต้น
ที่เคยมีเรื่องตั้งแต่อดีต เอากลับมาคิดแล้วคิดอีก
ผูกโกรธไว้เหนียวแน่น โกรธเล็ก โกรธใหญ่
คิดๆๆ ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น

สำหรับปุถุชน ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีอารมณ์โกรธ
แต่ที่น่าคิดคือ เรามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ดีแค่ไหน
จะปลดปล่อยมันออกมาอย่างไร
และที่สำคัญจะแก้ปัญหาอย่างไร

หากเปรียบเทียบกับการระบายอารมณ์โกรธ
เหมือนไอน้ำร้อนที่ระเหยออกมาจากกาต้มน้ำที่กำลังเดือด
ไอน้ำจะค่อยๆ ระเหยออกมาทางพวยกา แต่ถ้าไม่มีทางระบาย
ไอน้ำ คงจะสะสมจนระเบิดเมื่อไหร่ก็ได้

น้ำ = ความโกรธ (จิตที่มีโทสะ)
ความร้อน = ปัจจัยปรุงแต่งให้โกรธ
ไอน้ำ = อารมณ์โกรธ

1. ถ้าเราไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนไอน้ำก็ไม่เกิด
คือเราจะไม่ยินดียินร้ายต่อปัจจัยแห่งความโกรธ
เมื่อมีเรื่องไม่ถูกใจ ไม่พอใจเข้ามากระทบ เราก็ไม่โกรธ

2. ถ้าเราไม่สามารถทนวามร้อนนั้นได้
ก็ควรจะหาวิธระบายความร้อนนั้น เช่น กาน้ำยังมีรูระบาย
ไอน้ำก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เปรียบเหมือนว่า ถ้าเราโกรธ เราก็หาทางระบาย
ทีละนิดทีละหน่อย ในแบบที่เขาทำกัน
ตัวอย่างเช่น
ทำงานหนักขึ้น
ซื้อของ
ร้องเพลง
เล่นกีฬา

บางคนก็มีวิธีแปลกๆ เช่น มีอุบาสิกา 2 คน
เขามีที่ระบายความโกรธอยู่บริเวณไร่อ้อย
อยู่ไกลออกจากวัดไปสักหน่อย ปลอดจากผู้คน เวลาที่อุบาสิกาคนหนึ่งโกรธ
เขาจะชวนกันไปที่ไร่อ้อย แล้วก็ตะโกนดังๆ จนสุดเสียงระบายความโกรธ
หายโกรธแล้วจึงพากันกลับบ้าน

ในประเทศโรมาเนีย มีนักศึกษายากจนคนหนึ่ง
วัย 22 ปี สามารถหารายได้พิเศษได้อาทิตย์ละ 770 บาท
โดยเปิดบริการ "รับจ้างถูกด่า" เพราะเห็นช่องทางว่า
ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบัน ทำให้คนมีความเครียด
หงุดหงิดกันมาก จึงเสนอบริรให้นักธุรกิจระบายความโกรธ
โดยการตะโกน ตะคอก โวยวายใส่หน้าตนได้อย่างเต็มที่
ผลปรากฏ่า มีคนสนใจใช้บริการเกินความคาดหมาย

แต่ระบายความโกรธด้วยวิธีนี้แล้ว สบายใจคลายเครียด
ไปได้สักกี่วันไม่ทราบได้ ถือว่าไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร
ยังดีกว่าบางคนเวลาโกรธแล้วระบายออก
โดยการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ทำร้ายร่างกายผู้ที่อ่นแอกว่า
หรือบางคนหาทางระบายที่เป็นอบายมุข เป็นโทษ
เช่น ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน ตรงกันข้ามกับคนที่ฉลาด
ก็จะหันหน้าเข้าวัด ศึกษาธรรม สวดมนต์ ฟังเทศน์ นั่งสมาธิ

เราจะจัดการกับความโกรธได้อย่างไรบ้าง
1. เมื่อโกรธ หาทางระบาย
2. เมื่อโกรธ ให้มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป (หิริโอตัปปะ) และข่มใจไว้
3. ระวังไม่ให้เกิดโทสะ สำรวมอินทรีย์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่ยินดียินร้าย (ศีล)
4. ถอนรากเหง้าแห่งความโกรธ คือ ทำให้น้ำ (โทสะในใจ) แห้ง
โดยการเจริญเมตตาภาวนา (สมาธิ) เจริญวิปัสสนา (ปัญญา)
จนสิ้นอาสวะกิเลส

อย่างไรก็ตาม ความโกรธนี้ คือทางเสื่อมที่มีแต่ทุกข์โทษเพียงอย่างเดียว
ผู้รู้ทั้งหลายมองเห็นโทษของวามโกรธแล้ว จึงกล่าวไว้ว่า
"เมื่อบุคคลโกรธเรา แล้วเราโกรธตอบ ถือว่าเราโง่กว่าเขาเสียอีก"

หากเราสังเกตเห็นคนชี้นิ้วด่าว่ากัน มือที่ชี้นิ้วนี้ก็สอนเราชัดเจนอยู่แล้ว
ว่า นิ้ว 3 นิ้ว ชี้กลับมาที่ตัวเรา
เปรียบเหมือนคำหยาบ คำด่า ที่เต้องการทำให้เขาเจ็บใจ
หรือทำให้คนที่อยู่รอบตัวเราไม่สบายใจเป็นทุกข์นั้น
ความจริงแล้วตัวเองนั่นแหละ เป็นทุกข์มากกว่าเขา 3 เท่า

ในหลายๆ กรณี เราอาจจะมความรู้สึกว่า เรามีเหตุผลสมควรโกรธ
ที่จะโกรธเขา อย่างไรก็ตาม เมื่อเราโกรธ เท่ากับว่าเราแพ้ตัวเอง
ผุ้มีปัญาย่อมไม่โกรธ ถึงแม้ว่าเขาจะทำอะไรไม่ดีแค่ไหนก็ตาม
ในโลกนี้ไม่มีคำว่า สมควรโกรธ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

9. ละความโกรธด้วยรักและเมตตา

เมตตาตรงข้ามกับโทสะ และความพยาบาท
ซึ่งเป็นความโกรธ ความมุ่งร้าย
เมตตาเป็นความรัก ความปรารถนาดีให้มีความสุข
เป้นความรักที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ความรักที่เป็นราคะหรือความใคร่
ดังนั้น หากเราหมั่นอบรมจิตให้เป็นเมตตาตั้งขึ้นในจิตใจได้
จิตใจก็จะพ้นโทสะพยาบาท

เพื่อให้เมตตาเป็นพื้นฐานของจิต เราวรพิจารณาว่า
ตัวเรารักสุข เกลียดทกข์ฉันใด
คนอื่น สัตว์อื่นก็รักสุข เกลียดทุกข์ฉันนั้น
ผู้ที่จะแผ่เมตตาได้ จะต้องทำใจตัวเองให้มีเมตตาก่อน
คือทำจิตใจตัวเองให้อ่อนโยน สงบเย็น
แล้วจึงแผ่เมตตาแก่ผู้อื่น
เพราะการแผ่สิ่งใดออกมาได้
จิตใจจะองมีคุณสมบัติอย่างนั้นอย่างแท้จริง

การเจริญเมตตาภาวนา
เราต้องทำความเข้ใจก่อนว่า ธรรมชาติของจิตเป็นประภัสสร
บริสุทธิ์ผ่องใส โดยธรรมชาติ ความเบิกบานใจ สุขใจ นั้นมีอยู่
เป็นอยู่ตั้งแต่เดิม แต่ทุกวันนี้ ที่พวกเราไม่ค่อยสบายใจ ทุกข์ใจ
เพราะมีอารมณ์ กิเลสเครื่องเศร้าหมองครอบงำจิต

เราสามารถเจริญสติน้อมเข้าไปสัมผัสความเบิกบานใจ
สุขใจที่มีอยู่ได้ หน้าที่ของเราคือ ต้องสร้างกำลังใจ เจริญสติ
สมาธิ ปัญญา รู้จักกุศโลบายที่จะน้อมเข้าไปสู่ธรรมชาติ
ของจิตประภัสสร โดยมีวิธีปฏิบัติ
ในการเจริญเมตตาภาวนา ดังนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีปฏิบัติ
วิธีที่ 1 น้อมเข่ามาที่ลมหายใจ


ข้าศึกต่อความสุข คือความคิดผิด ความคิดไม่ดีของตนเอง ไม่ใช่การที่เขา
กระทำดีหรือไม่ดีต่อเรา
ไม่ว่าเขาจะไม่ดีขนาดไหน ถ้าใจเราดีแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย
ศัตรูร้ายกาจที่แท้จริง คือ ใจไม่ดี ความคิดไม่ดีขอตนนั่นเอง

ผู้เจริญเมตตาภาวนา ควรระวังรักษาใจ
ระวังความคิดผิดให้มากที่สุด อะไรไม่ดี อย่าคิดเลย
สุขภาพไม่ดี อากาศไม่ดี รัฐบาลไม่ดี
ถึงแม้ใครทำอะไรผิดจริงๆ ผิดมากขนาดไหน
ก็ไม่ต้องคิดว่า "ใคร" หรือ "อะไร" ไม่ดี

เริ่มต้นปรับท่านั่งให้สบายๆ หยุดคิด ทำใจสบายๆ หายใจสบายๆ
บางครั้งจืตใจไม่เบิกบาน มีความรู้สึกไม่ดี เศร้าๆ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
ทำความรู้สึกคล้ายกับว่า หนีจากความรู้สึกไม่ดี ไม่สบายใจ ทุกข์จ
น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ เอาลมหายใจเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก
ตั้งสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจ
ปรับลมหายใจสบายๆ หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
น้อมเข้าไปอยู่กับลมหายใจ ละลายความรู้สึกเข้าไปในลมหายใจ
จนรู้สึกกลมกลืน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ
มีความรู้สึกตัวทั่วถึง ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก

พร้อมกับระลึกถึงปีติ สุข
ทุกครั้งที่ หายใจเข้า หายใจออก
จิตจของเราจะเบิกบาน สงบสบาย มีปีติสุข
เท่ากับว่า หายใจเข้า หายใจออก คือ สุขใจ สบายใจ
หายใจเข้าสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ
หายใจออกสบายๆ มีปีติสุข สบายใจ สุขใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีที่ 2 ดึงปีติสุขในใจออกมา

เริ่มต้น ปรับท่านั่งสบายๆ
หยุดคิด ทำใจสงบ ปรับลมหายใจสบายๆ
น้อมเข้าไป ตั้งสติที่กลางกระดูกสันหลัง ระดับหัวใจ
สมมุติว่าศนย์กลางของจิตใจ อยู่ที่นั่น
เป็นจิตประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ
ความเบิกบานใจ ปีติสุข อยู่ที่นั่น
ทำความรู้สึกว่า จุดนั้นเป็นจุดร้อนๆ
ความรู้สึกร้อนๆ และปีติสุข
ลักษณะเหมือนไอน้ำ ระเหยออกมาที่นั่น

หายใจเข้า ดึงเอาปีติสุขออกมา
คล้ายกับว่า ใช้นิ้วค่อยๆ ดึออกมาเรื่อยๆ
หายใจออก ตั้งสติอู่ข้างใน
ความรู้สึกที่ดี ดันอกมาข้างหน้าต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ
อุปมาเหมือนกับว่ามีหมอนใบหนึ่งมีรูเล็กๆ อยู่ตรงกลาง
เราเอานิ้วจับอยู่ที่ปุยนุ่นแล้วค่อยๆ ดึงออกมาเรื่อยๆ

สมุติให้กลางกระดูกสันหลัง เป็นจุดศูนย์กลางของจิตประภัสสร
เป็นจุดสัมผัสของพุทธภาวะ คือภาวะแห่งผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า
และอริยะสาวกทั้งหลาย เมตา กรุณา ปีติสุข
ทีมีอยู่ในจักรวาล ไหลออกมาผ่านจุดศูนย์กลางจิตใจของเรา
อุปมาเหมือนท่อที่มีสายน้ำไหลแยกออกมาจากทางน้ำใหญ่

เมื่อเราฝึกจนชำนาญแล้ว รู้สึกว่าการายใจคือปีติสุข
ความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจ สัมผัสกับเราแต่เพียงส่วนหน้า
เราน้อมเข้าไป ตั้งสติอยู่ที่สุดกลางกระดูกสันหลัง
เมื่อความรู้สึกที่ดี ปีติสุข ไหลออกมาแล้ว
ความรู้สึกที่ไม่ดี ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ ในใจเราจะมีปีติสุข
เป็นความรู้สึกที่ดี สบายใจ สุขใจ

เมื่อชำนาญแล้ว เราไม่ต้องตั้งใจหรือใช้อุบาย
เมื่อหายใจเข้า หายใจออก ตามปรกติ
ความรู้สึกที่ดี และปีติสุข จะไหลออกมาเรื่อยๆ
เหมือนลมหายใจและปีติสุขเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีที่ 3 ชำระออกซึ่งความไม่สบายใจ

ทำความเห็นให้ถูกต้องว่า ความไม่สบายใจ ทุกข์ใจนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เมื่อเห็นอะไร ได้ยินอะไร รู้อะไร ที่ไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ
เราจะเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ชอบ เป็นทุกข์
ก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือเมื่อเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่ง
ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเหปัจจัยใหม่ๆ
ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา แต่ถ้าความรูสึกทุกข์ ไม่สบายใจติดค้าง
อยู่ในหัวใจนานๆ ก็จะเป็นความผิดปกติ เป็นกเลส
มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ทำให้จิตใจเศร้าหมอง

หากเปรียบกับแอ๊ปเปิ้ล ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ
เปรีบเหมือน ขี้ฝุ่น ขี้ดิน ติดบนเปลือกแอ๊ปเปิ้ล
ความรู้สึกไม่ชอบใจ ทุกข์ใจ ที่ติดในหัวใจนานๆ เป็นตำหนิ
เหมือนแอ๊ปเปิ้ลที่เริ่มเน่า ต้องรีบจัดการ
ถ้าไม่อย่างนั้นก็จะเน่าหมดทั้งลูก

ผู้เจริญเมตตา ภาวนา ให้มีนิสับที่รักสะอาดอยู่เป็นประจำ
เมื่อเกิดความร้สึกไม่ดี ไม่ชอบ ให้หยุดคิด หยุดคิดว่าทำอะไรไม่ดี
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ความรู้สึกไม่ดีก็จะหายไป
ถ้าไม่หาย ตั้งใจมากขึ้นอีกหน่อย
แทนที่จะคิดด่า ใครหรืออะไรไม่ดี
นึกในใจว่า ดีๆๆ
ตั้งใจ กำหนดลมหายใจยาวๆ

สมมุติลมหายใจเป็นมีด
ไม่สบายใจ เศร้าหมอง เอาลมหายใจเข้า หายใจออกเป็นมีด
ตัดความรู้สึกไม่สบายใจ ทุกข์ใจทิ้งไป
เหมือนตัดส่วนที่เน่าของแอ๊ปเปิ้ล
ตั้งใจ มีสติกำหนดรู้ที่ลมหาบใจเข้า หายใจออก
ไม่นานความรู้สึก็จะเบา สงบ สบายใจ
มีลมหายใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความสุขใจ สบายใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 11:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีที่ 4 ปล่อยวางความโกรธให้เร็วขึ้น

เมื่อเรานิสัย ขีโกรธ ขี้โมโห เห็นอะไร ได้ยินอะไร กระทบอารมณ์
คงจะห้ามความโกรธไม่ได้
ก็ไม่ต้องห้าม ให้โกรธตามเคยนั่นแหละ
แต่พยายามปล่อยว่างให้เร็วขึ้น ไม่ผูกใจเจ็บ ให้อภัย
ให้อโหสิกรรมให้เร็วขึ้น เชน เรารู้อยู่ว่าปกติโกรธขนาดไหน
จะไม่สบายใจอยู่ 3 วัน
พยายามปล่อยวางภายใน 2 วัน จากนั้นลดให้เหลือ 1 วัน
3 ชั่วโมง จนเหลือ ครึ่งชั่วโมง เป็นต้น
การต่อสู้กับอารมณ์โกรธ ให้เอาหัวใจนักกีฬามาสู้

อย่าเอาจริงเอาจังกับเหตุการณ์จนเกินไป
โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูใจ ดูอารมณ์
เอาสติปัญญา ต่อสู้กับอารมณ์ตัวเอง
ให้มีวามพอใจ ความสุขในการแก้ปัญหา แก้อารมณ์ของตน
เมื่อเราเห็นความก้าวหน้าในการต่อสู้กับอารมณ์แล้ว
ลึกๆ ภายในใจก็จะมีความพอใจ
ในท่ามกลางความโกรธได้เหมือนกัน

พิจารณาธรรมชาติของอารมณ์โกรธ
ตามสิกำลังของตัวเองก่อน
ปล่อยว่างความรู้สึกโกรธ ตั้งสติที่ท้อง หายใจออกยาวๆ สบายๆ
ทำเช่นนี้จะช่วยผ่อนคลาย กายเย็น ใจเย็น
อารมณ์สบายๆ มีความสบายใจ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 12:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

10. ฆ่าความโกรธได้ อยู่เป็นสุข

ความโกรธ ไม่ว่ามากหรือน้อย โกรธนาน หรือไม่นาน
ล้วนทำลายความสุข ทำลายสุขภาพ เป็นโทษต่อตนเอง และคนรอบข้าง
สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วจะเห็นความโกรธ
เป็นอารมณ์ของผู้ไร้ปัญญา ย่อมหลีกเลี่ยงความมักโกรธ

ตัดความโกรธด้วยความีสติข่มใจ
และถอนรากเหง้าของวามโกรธด้วยเมตตาภาวนา
พระพุทธองค์ตรัสสรรเสริญการฆ่าความโกรธไว้ว่า
บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมอยู่เป็นสุข
บุคคลฆ่าความโกรธได้ ย่อมไม่โศกเศร้า
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
สี บุญมา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 02 ม.ค. 2008
ตอบ: 83

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 10:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลอกมาตั้งสิบกว่า บล๊อก ไม่อยากอ่านเลยให้ตายซิ ท่านก๊อบมาให้อ่านเลย
ยาวมั๊กๆ (น่าจะสรุปให้หน่อยนะ)

แต่ก็ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 12:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณสี ว่างๆ ก็อ่านก็ได้ค่า

อ่านไม่หมดวันนี้ ก็ยังมีวันอื่นที่อ่านได้เสมอๆ (ถ้าเว็บไม่ล่ม)

แบบว่า อยากให้คนอื่น ได้อัฐรสเนื้อหาทั้งหมด

เพราะเนื้อหาก็ดีอยู่แล้ว ไม่รู้จะไปตัดเอาอะไรออก

เดี๋ยวสาระหาย

พิมพ์จากหนังสือไม่กี่หน้าเองค่ะ

คนพิมพ์ขยันพิมพ์

อยากให้คนอ่าน ได้อ่านทั้งหมด อ่าค่ะ อิอิ

อ่านใช้เวลาน้อย กว่าพิมพ์เยอะเลยนะคะ ;D
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 12:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คือ พิมพ์ในเว็บลานธรรมเสวนา

แล้วก็อบจากเว็บนั้นมาอีกรอบค่ะ

http://www.larndham.net/index.php

http://larndham.net/index.php?showtopic=26589&st=0
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
webmaster
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 04 มิ.ย. 2004
ตอบ: 769

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 12:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

รวมคำสอนพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
http://www.dhammajak.net/dhamma/dhamma18.php
 

_________________
ธรรมจักรดอทเน็ต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
Mine_Mim
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 12 ม.ค. 2008
ตอบ: 17
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2008, 12:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ ปรบมือ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง