Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ขอคำแนะนำเรื่องการปฏิบัติธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ตะวัน
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 27 ธ.ค. 2007
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 10:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดิฉันเริ่มหัดปฏิบัติธรรมเมื่อ ปี 2548 โดยฝึกวิปัสสนากรรมฐานตามแนวทางอาจารย์โกเอนก้า ซึ่งก็ผลจากการปฏิบัติธรรมในครั้งนั้นได้ผลดีในระดับที่ต้องการคือ รู้สึกสงบในขณะที่ปฏิบัติ และอารมณ์เย็นขึ้น หลังจากนั้นหนึ่งปีก็ได้ไปปฏิบัติอีกครั้ง เพราะตั้งใจว่าอย่างน้อยหนึ่งปีควรไปปฏิบัติธรรมสักครั้ง....ช่วงปีแรกเมื่อกลับมาบ้านก็นั่งสมาธิวันละชั่วโมง แต่ช่วงหลังๆ ไม่ได้มีเวลานั่งจึงห่างไป และดิฉันคิดว่าวิธีของท่านอาจารย์โกเอนก้าทำให้ดิฉันมีสมาธิ นำเข้าสู่การพิจารณาเวทนา สังขารในตัวเองได้เป็นอย่างดี

เมื่อไม่นานได้สนทนากับญาติธรรม ท่านได้แนะนำว่าเมื่อนั่งสมาธิก็จะสงบในช่วงที่นั่งนั้น เมื่อต้องมาปฏิบัติภาระกิจประจำวันมีเรื่องมากระทบเราก็เกิดอารมณ์ตามสภาพที่เกิดขึ้น ท่านได้แนะนำว่าควรฝึกการมีสติในทุกขณะไม่ว่าจะนั่ง หรือเดิน ดิฉันต้องการศึกษาการปฏิบัติธรรมที่ต้องให้เกิดสติไม่ว่าจะอยู่ในอริยบทใด

จึงใคร่ขอคำแนะนำจากท่านผู้รู้ ว่ามีสถานที่ปฏิบัติธรรมที่ใดที่สามารถสอนให้มีสติระลึกรู้ทุกขณะโดยที่มีการสอนสอดคล้องกับการฝึกวิปัสสนากรรมฐานตามที่ดิฉันศึกษาในข้างต้น รบกวนขอความกรุณาให้คำแนะนำด้วยค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นวสฤษฏ์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 06 พ.ย. 2007
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 2:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี หลวงพ่อจรัญครับ
ทุกอย่างมีคำตอบให้สำหรับทุกท่านครับ
นี่เป็นเพียงคำบอกกล่าวเท่านั้นนะครับ ไม่ได้ชักจูงว่าต้องทำตามประการใด
เราเป็นผู้ตัดสินใจเองครับ สาธุ สาธุครับ
google พิม jarun ผมไม่บอก link ครับ ตรงตัวครับ
ขอให้มีความสุขนะครับในวันปีใหม่ ยิ้มรับสิ่งดีๆที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตครับ
สิ่งไม่ดีก็กำหนด ปล่อยผ่านไป อยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติครับ ยิ้มเห็นฟัน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
1เอง
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2007
ตอบ: 43
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 03 ม.ค. 2008, 1:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การมีสติในทุกๆ ขณะไม่ว่าจะเป็นเวลานั่ง นอน ยืน หรือเดิน ก็เหมือนกับการอ่านหนังสือโดย
ความตั้งใจที่จะอ่านเพื่อที่จะให้เข้าใจในบทความนั้นๆ การมีสติในอริยาบททั้งสี่ก็อย่างเช่น
การนั่งก็ให้รู้สึกตัวว่ากำลังนั่งอยู่ นั่งในท่าทางเช่นไร นั่งอยู่ที่ไหน นั่งลงบนที่นั่งที่อ่อนนุ่ม
หรือว่าแข็งกระด้าง อย่างนี้เป็นต้น และในอริยาบทอื่นๆ ก็ให้ทำความรู้สึกตัวอย่างนี้หรือ
คล้ายๆ อย่างนี้เช่นกัน เมื่อทำความรู้สึกได้ดีแล้วเค้าก็เรียกว่าเรามีสติแล้วคับ ใหม่ๆ
อาจจะหลงๆ ลืมไปบ้างก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ก็ขอให้มีความรู้สึกในอริยาบทนั้นๆ
และเราก็จะทำความรู้สึกตัวหรือมีสติได้เร็วขึ้น หรือทันกับอริยาบทเหล่านั้น
นี่เป็นการทำความรู้สึกหรือสติที่มีต่อกายเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นความรู้สึกหรือสติที่ง่ายๆ
เพราะเป็นความรู้สึกที่มีรูปร่างที่สามารถจับต้องได้ แต่ต่อไปจะเป็นความรู้สึกหรือสติทางด้านจิตใจ
หรืออารมณ์ซึ่งไม่สามารถที่จะจับต้องได้ ก็ขอให้ทำความรู้สึกหรือสติทางกายไปก่อนเรื่อยๆ
และเราก็จะมีการพัฒนาทางด้านความรู้สึกหรือสติขึ้นไปเองเรื่อยๆ คับ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ไปนะคับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วิชชา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 05 ม.ค. 2008, 3:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิปัสสนากรรมฐาน อาศัยการศึกษาพระธรรมคำสอนจนเข้าใจ

ละเอียดขึ้นๆ ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ พิจารณาเหตุผลในพระธรรม จนเกิดปัญญาของท่านเอง และ

จากนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยแล้ว สติก็จะเกิดขึ้นทำกิจ ระลึกสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏทางตา หู

จมูก ลิ้น กาย หรือ ใจ ที่เป็นปัจจุบันอารมณ์ ปัญญาก็จะกระทำกิจเห็นถูกในสภาพธรรมะมาก

ขึ้นว่า ...ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งตรงตามพระพุทธพจน์ที่พระพุทธเจ้าได้

ทรงแสดงไว้ วิปัสสนา ไม่พ้นไปจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เพราะสิ่งที่มีจริงปรากฏทาง

ทวาร 6 นี้ทีละทวารๆ ไป อ่านดูก็เหมือนจะธรรมดา แต่ที่ธรรมดานี่แหละ ที่เป็นทางให้เกิด

กุศลจิต หรือ อกุศลจิต มากมายในชีวิตประจำวัน ที่ทำให้ท่านชอบ ไม่ชอบ เฉยๆ ก็เพราะ

ความไม่รู้ในความจริงของสิ่งเหล่านี้แหละครับ


ผู้อบรมปัญญามีปรกติเจริญวิปัสสนา ก็จะรู้ว่าหนทางนี้เป็นไปเพื่อการรู้จักอกุศลก่อน จึงจะละ

อกุศลได้ ถ้ายังไม่รู้จักศัตรู...ท่านก็ถูกศัตรูหลอก โดยเฉพาะ โลภะ ที่สามารถพาไปสู่หนทาง

ปฏิบัติที่ผิด ถ้าเกิดร่วมกับความเห็นผิด ที่จะสั่งสม มีกำลังจนยึดมั่นในข้อปฏิบัติผิดๆ นั้น


เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นต้องหาสถานที่ในการเจริญวิปัสสนา เพียงแต่ต้องอาศัยการฟังและ

พิจารณาพระธรรมที่ได้ฟัง หรือได้อ่านให้มาก เมื่อเข้าใจแล้ว...ก็น้อมประพฤติปฏิบัติ เมื่อ

เห็นโทษของอกุศลที่เกิดมากมายในแต่ละวันบ้างแล้ว จิตฝ่ายดีงามเกิดบ่อยขึ้น.......ก็จะรู้ได้

ว่าแม้....ความติดข้องต้องการผลจากการปฏิบัติ...ก็ไม่ควร...ต้องเห็นโทษ แล้วก็ไม่ประมาท

ที่จะเจริญกุศลทุกประการเมื่อมีโอกาส เพื่อการละคลายอกุศลจิตโดยเฉพาะ "โลภะ" ที่ยินดี

พอใจแม้ในความสงบของจิต โลภะชอบและยินดีทุกอย่าง ยกเว้นโลกุตตรธรรม คือ มรรคจิต 4

ผลจิต 4 และ นิพพาน 1 เท่านั้น ....อารมณ์นอกนั้นเป็นสิ่งที่โลภะยินดีพอใจได้ทั้งหมด

ส่วนโมหะ โทสะ และอกุศลบริวาร ก็เป็นอกุศล...ที่จำเป็นต้องศึกษาให้รู้จักจริงๆ เช่นกัน ถ้า

ศึกษาผิวเผิน แล้วคิดว่า...พอแล้ว รู้แล้ว ได้ยินบ่อยแล้ว...นั่นคือ ท่านประมาทแล้ว...


คลิกอ่าน...ความสงบที่ถูกต้องจากพระไตรปิฎกที่นี่

http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=5146
 

_________________
ไม่มี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 05 ม.ค. 2008, 5:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลองอ่านที่นี่ดูครับ : http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
RARM
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2007
ตอบ: 417

ตอบตอบเมื่อ: 14 ม.ค. 2008, 7:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระอาจารย์ ปราโมท ปโชโต

อยู่ที่ อ. ศรีราชา ชลบุรี

ลอง หาดูก็ได้ครับ น่าจะมีที่อยู่ที่แน่นอนผมจำไม่ได้ เมื่อก่อนท่านอยู่ที่ กาญจนบุรี และได้ย้ายไปที่ ชลบุรีครับ

สายดูจิตหลวงปูดูลย์ อตุโลครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ปกรณ์
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 15 ม.ค. 2008
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 16 ม.ค. 2008, 4:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุดนั้นคือ วิธีที่ตัวเราเข้าใจ และสามารถทำได้สม่ำเสมอ ไม่เดือนร้อนต่อตัวเรา (โดยเฉพาะกระเป๋าเงิน) และคนรอบข้าง โดยเฉพาะครอบครัว จะเป็นวิธีไหนก็ได้นะครับ อย่าไปยึดติดกับสถานที่ อย่าไปตั้งกฎให้กับตนเองจนทำให้เรานั้นทำไม่ได้ อย่าสร้างศรัทธาที่เกิดขึ้นจากหู จงสร้างศรัทธาที่เกิดจากสติ และปัญญา เพียงแค่นี้แหละครับ คุณก็สามารถที่จะสัมผัสกับพระธรรมของวิถีพุทธได้อย่างง่ายๆ จำไว้ว่า คนแต่ละคนนั้น มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน มีพื้นฐานที่แตกต่างกัน มีแนวทางการดำเนินชีวิตที่แตกต่างกัน มีจริตที่แตกต่างกัน เพราะฉะนั้น อย่าไปมองคนอื่นเอามาเป็นกฎเกณต่อตัวเรา เมื่อเราทำแบบเค้าไม่ได้ ก็ไม่ใช่ว่า เราไม่มีวาสนา เราไม่เก่ง โทษตนเองจนพาลทำให้เราขาดกำลังใจ และจบลงตรงที่เราไม่ปฏิบัติธรรมเลย
 

_________________
พระธรรมของพระพุทธเจ้า ย่อมสัมผัสได้ด้วยการปฏิบัติ
ได้แต่ฟัง แต่ไม่รู้จักคิด แล้วนำไปปฏิบัติ ไม่ต่างอะไรกับนั่งฟังนิทานหลอกเด็ก แบบนี้ไม่ใช้ธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เนมิราช โพธิญาณกุล
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 20 ม.ค. 2008
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): จ.เลย อ.หนองหิน วัดร่มโพธิธรรม

ตอบตอบเมื่อ: 21 ม.ค. 2008, 8:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันนิพานอยู่แล้วแต่เพราะปุถุชนชอบคิดไปไกลชอบใช้ปัญญามันก็เลยไปติดตรงตัวปัญญามันไม่จบตรงตัวปัญญาซะเองมันไม่หนอกเหนือปัญญา มันก็เลยไม่เข้าใจเนื้อหาความเป็นจริงที่มันนิพานอยู่แล้ว ชอบไปนั่งกรรมฐาน(กำฐานก็คือไปอยู่กับขันต์ ๕ มันก็เลยไปเป็นพรมลูกฝัก)เจริญวิปัสนาเนือยตายหา อยากนั่งเอาอภิญญามันก็ได้แต่เป็นโลกียะ มันไม่ได้เป็นโลกุตตระ เพราะใครที่นั่งกรรมฐานเจริญวิปัสสนามันก็ยังติดที่ตัวรู้ตัวปัญญา มันหลุดพ้นกันอยู่อยู่แล้วจะไปนั่งทำเอาอะไรกันอีกเพราะ สัจธรรมความเป็นจริงที่องค์พุธธะได้ตรัสไว้หมดแล้วไม่มีอะไรยึดได้เพราะมันไม่ยึดกันอยู่แล้ว ตัวเราก็ไม่ใช้ของเรา อารมณ์ กิเลส ความรู้สึกนึกคิดมันก็ไม่อยู่แล้ว นิพานอยู่แล้วในตัวมันเองทั้งนั้นแล้วตรงไหนละที่เป็นของเรา ไอ้สมมุติคำว่าเราหรือกูเนี้ยมันก็ไม่อยู่แล้วขอไห้เข้าใจตรงๆ ชอบจะไปดับอารมณ์ไปดับกิเลสไปดับความคิดมันก็เลยกลายเป็นกออำกรรมซ่อนธรรม ไม่ใช้ธรรมโดยธรรมเพราะมนดับกันอยู่แล้ว มันไม่ต้องกันอยู่เองแล้วเนี้ย แต่คนเราชอบไปสร้างเรื่อง สร้างทุกข์ซะเอง มันก็เลยไม่จบ แม้แต่ธรรมเองมันก็ไม่ยึดกันอยู่แล้วแล้วเราจะไปยึดอะไร ทุกสรรพสิ่งทั้งหมดทั้งมวลไม่ได้เป็นอะไรเพราะมันก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นอะไร ตัว รู้ เนี้ยตัวดีไอ้รู้ซอกแซกของปุถุชนมันรู้ไม่จบ แต่รู้ของอริยะเนี้ยมันไม่เนื่องด้วยรู้เองมันยิ่งกว่ารู้มันนอกเหนือรู้เพราะมันเป็นรู้เดิมแท้ที่ปราสจากกิเลสเจือปน เพราะมันไม่ใช้ตรงไหนหรือตรงอะไรแม้แต่ความเข้าใจเองมันก็ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่พวกเธอกำลังเห็น กำลังเป็น หรือกำลังรู้ ที่จริงมันนิพานอยู่แล้วทั้งนั้นจะไปหานิพานที่ไหนอีกนิพานมันไม่ใช่อะไรแล้วจะไปหามันทำไม ไอ้ที่ว่าต้องตายแล้วจะได้เข้านิพานนะมันบ้าปุถุชนมาเขียนเอง ของจริงมันนิพานอยู่แล้วเมื่อพวกเธอทั้งหลายเข้าใจความเป็นจริงพวกเธอก็จะเข้าใจเอง อย่าลืมละมันไม่ใช้ตรง ง่าย หรือ ตรงยาก ไม่ใช้สูง หรือ ตำ เพราะนิพานอยู่แล้ว บางคนอาจจะไม่เข้าใจสมมุติบางอัน เดียวจะบอกให้ คำว่านิพานอยู่แล้ว ว่างอยู่แล้ว ไม่อยู่แล้ว ไม่ต้องอยู่แล้ว ไม่ยึดอยู่แล้วไม่อะไรกับอะไรอยู่แล้ว เป็นเนื้อหาเดียวกันหมด ย้ำไม่ได้อยู่ตรงที่เข้าใจหรือไม่เข้าใจ (พวกเธออาจจะไม่เคยได้ยินธรรมแบบนี้ที่ไหนแต่ต่อไปพวกเธอจะได้ยินเอง)ใกล้ถึงวันทำสังคยานาแล้ว ข้อไห้ทุกคนที่อ่าน ไม่ติดไม่คัดไม่ข้องไม่ค่า ในธรรมคำสั่งสอนขององค์พุทธะพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ นี้และทางสายกลางที่แท้จริง ไม่ใช้ตรงที่ปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติเพราะมันนิพานอยู่แล้ว สติ สมาธิ ความสงบ มันก็ไม่อยู่แล้วสงบอยู่แล้วแล้วจะไปทำไห้มันได้อะไรขึ้นมาเพราะไอ้ตรงตัวไปทำเอานี้และมันเลยเกิดเลยดับวนอยู่อย่างนี้ไปจบไม่สิ้นพอไปทำไห้สงบมันก็อยู่ได้ไม่นานรองไม่ใส่ใจกับมันสิมันจะมาแบบไหนจะมาอย่างไรก็ไม่ต้องไปสนใจจะสงบหรือไม่สงบก็ไม่สนใจเพราะมันไม่ใช้ตรงที่สงบหรือไม่สงบความเป็นจริงแล้วมันสงบอยู่แล้ว
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
nai
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 14 ธ.ค. 2007
ตอบ: 19

ตอบตอบเมื่อ: 24 ม.ค. 2008, 11:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิธีการสอนของครูบาอาจารย์ ทุกท่าน ...ดีหมด อยู่ที่จริตของผู้ปฏิบัติว่าปฏิบัติแล้วได้ผลต่อตนเอง ที่จะทำให้เกิดสติ รู้ตัวทั่วพร้อม ในทุกอิริยาบถ แค่ใหน อย่างไร ...ท้ายที่สุด มุ่งสู่ที่หมายเดียวกัน.....นิพพาน
 

_________________
โทษคนอื่นแก้ไขไม่ได้ โทษตนเองแก้ไขได้
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
พิทรายา
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 12 ส.ค. 2007
ตอบ: 103
ที่อยู่ (จังหวัด): ชลบุรี

ตอบตอบเมื่อ: 11 มี.ค.2008, 11:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี ค่ะ อยากให้เป็นทางเลือกหนึ่งค่ะ สาธุ
 

_________________
ความยึดมั่นถือมั่นทำให้เป็นทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sittidet
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 26 ธ.ค. 2007
ตอบ: 53
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 14 เม.ย.2008, 12:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สิ่งที่คุณทำอยู่อย่างอาจารย์ท่านแรกของคุณนั้นแหละครับดีแล้วครับ แต่การที่เราจะมีสติประจำวันได้เราต้องผึกดูในระหว่างวันไปด้วย การดูก็ดูเหมือนที่คุณปฏิบัติตอนทำสมาธิ เช่น สมมติว่าคุณทำงานอยู่ในระหว่างวัน คุณก็ลองถามตัวเองว่าหายใจเข้าหรือออกอยู่ สักครั้งหนึ่งก่อน ไม่ต้องเกร็งแค่ดูสิ่งที่ปรากฏอยู่ว่าหายใจเข้าหรือออก หรือจะดูตามอริยาบจสี่ก็ได้ครับ เช่น ยืนก็รู้ว่ายืนอยู่ เดินก็รู้ว่าเดินอยู่ นั่งก็รู้ว่านั่งอยู่ นอนก็รู้ว่านอนอยู่ ตอนทำแรกๆอาจยากสักหน่อยบางทีวันเดียวอาจรู้แค่ครั้งเดียวครับ แต่ต้องใช้เวลาเก็บเล็กผสมน้อยครับ ทำไปเรื่อยๆไม่ยากเย็นอะไรหรอกครับ
แต่วิธีลัดก็คือ ต้องทำสมาธิเช้าเย็นด้วยครับจะทำให้มีสติระหว่างวันมากขึ้นครับ ดูที่หนังสือวิปัสสนานุบาลของคุณดังตฤณครับ 30 กว่าหน้าเองครับ อ่านทีเดียวจบ dungtrin.com อ่านฟรีครับ สาธุ
 

_________________
ผู้ใดมีตนเป็นที่พึ่งนับว่าหาที่พึ่งอันหาได้ยาก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
มรรคคา
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 มี.ค. 2008
ตอบ: 77
ที่อยู่ (จังหวัด): ภูเก็ต

ตอบตอบเมื่อ: 15 เม.ย.2008, 8:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน กล่าวว่า

ควรจะเดินจงกรมก่อนนั่งสมาธิ จะอย่างไรก็ควรจะเดินก่อน
เพราะสติที่ได้จากการเดินจงกรมจะตั้งมั่นมากกว่าการนั่งสมาธิอย่างเดียว

การเจริญสติระหว่างวันเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างมาก
เพราะเป็นบาทฐานแห่งการภาวนาในตอนเย็น
 

_________________
มีสติสัมปชัญญะกับทุกลมหายใจเข้าออก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
charoem
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 07 เม.ย. 2008
ตอบ: 31

ตอบตอบเมื่อ: 30 เม.ย.2008, 4:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาบุญด้วยครับ ผมจะตั้งใจปฏิบัติธรรมตลอดไป
ขอบคุณทุกคำชี้แนะครับ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง