Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เพชรแท้ที่เร้นกายในสายหมอกแห่งขุนเขาเมืองเลย อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
tripoom
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 21 ธ.ค. 2007
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2007, 9:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สาธุ ซึ้ง เมื่อประมาณเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาสไปอบรมธรรมที่สถานธรรมแห่งหนึ่งที่จังหวัดเลย ชื่อ “ร่มโพธิธรรมสถาน” ต.หนองหิน กิ่ง อ.หนองหิน จ.เลย ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อศรีสุริยะ เขมรโต สถานที่นั้นสัปปายะสวยงาม โล่ง โปร่งมาก คล้ายรีสอร์ทก็ว่าได้แต่เงียบสงบทั้งที่มีผู้คนอยู่กันเยอะแต่กับสงบ และไม่มีการติฉินนินทา อยู่กันด้วยความเอื้ออาทรเป็นอันมาก ทำให้ผมแปลกใจมาก ระหว่างที่อยู่นั้นได้รับฟังธรรมอันเด็ดขาดมุ่งลัดตัดตรงสู่ทางพ้นทุกข์ของท่าน จนจิตใจอิ่มเอิบเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปทุกวันที่อยู่ที่นั่น หลวงพ่อได้สอนให้ขอขมากรรมเพื่อปลดล็อคกรรมที่เคยปรามาสพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์ไว้ (ทำให้ฟังธรรมและภาวนาเข้าใจเข้าถึงธรรมยาก) และสอนหยาดน้ำอุทิศบุญอธิฐานให้สรรพสัตว์ได้มีส่วนแห่งธรรมของพระพุทธะทั้งหลาย ช่วยในการก้าวหน้าทางธรรมเป็นอันมาก เวลาฟังธรรมก็ทำใจตามที่ท่านเทศน์ในขณะนั้นเลย ไม่ต้องไปคิดทำความเข้าใจอะไรมาก บอกให้ทำใจอย่างไรก็ทำตามนั้นเลย ก็จะเห็นผลตามนั้นทันที (ต้องไปฟังต่อหน้า ท่านจะรู้สึกได้ชัด นัยว่าท่านแผ่มหาบารมีให้ด้วยระหว่างนั้น) จิตใจผมมีความโปร่ง เบา สบายมาก

ความรู้สึกเหมือนกับหลายๆ คนที่อยู่ที่นั่นได้คุยแลกเปลี่ยนกันว่า เมื่อเราติดหรือหลงยึดในข้อธรรมอันใด ท่านจะต้องเทศน์ไปเทศน์มา “โดน” กับข้อธรรมที่เราติดหรือทำลายที่เราหลงยึดติดผิดๆ อยู่เสมอ นี่เป็นเหตุที่ว่าทำไมคนอยู่กันเยอะแต่เขาไม่ขัดแย้งกันเลยเพราะเขาแต่ละคนต่างอยู่กับสัจธรรมและถูกทำลายความเห็นผิดที่จะไปทำบาปตลอดเวลานี่เอง เวลานั่งฟังท่านเทศน์เหมือนนั่งฟังอยู่ต่อหน้า ท่านปรมาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อ อรหันต์สังฆปรินายกเซน องค์แรกของจีน) หรือไม่ก็ ท่าน “เว่ยหล่าง” (สังฆปรินายกเซน องค์ที่หกของจีน ซึ่งสามารถสอนศิษย์ให้เห็นธรรมได้นับพัน) เพราะรูปแบบการเทศน์การสอนคล้ายกันมากแต่มีความทันสมัยในการใช้ภาษาเข้ากับยุคสมัย

ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้จักท่านเลยเหมือนกับท่านไม่เปิดตัว ผมเจอท่านหลังจากอธิฐานจิตกับองค์หลวงปู่ทวดที่ผมนับถือว่า ขอให้เจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่เป็น “เพชรแท้” สอนเราให้พ้นทุกข์เห็นผลได้ในปัจจุบันชาติ ไม่ต้องรอชาติไหนอีกโดยเร็วที่สุดเถิด ทำบุญทำทานใดก็จะอธิฐานกับพระเช่นนี้ จนได้มาเจอท่านแล้วจิตใจมีการเปลี่ยนแปลงพัฒนาไปจึงได้สำนึกในบุญคุณ อยากชักชวนท่านที่สนใจกรุณาเข้าไปอ่าน ไปฟังธรรมของที่หลวงพ่ออาจถูกจริตท่านในเวปต่อไปนี้ครับ

1. http://rombodhidharma.com/

2. http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1889

3. http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=1913

(อย่างไรก็ตามการได้ไปฟังท่านต่อหน้าที่เมืองเลยดีที่สุดครับ)

คำขอขมาเพื่อเปิดล็อคกรรมของหลวงพ่อ (ที่ทำให้ฟังหรือภาวนาไม่แจ้งในธรรม)
ให้ทำทุกวันเช้าเย็นจะโปร่ง โล่งขึ้นขอรับ

คำขอขมาอโหสิกรรม

(การขอขมาอโหสิกรรมเป็นประเพณีของพระอริยะ
ในการเปิดบารมี ไม่ให้ปิดกั้นในการบรรลุธรรม)

ตั้งนะโม ๓ จบ

“ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ข้าพเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้งละเมิดล่วงเกิน ปฏิฆะปรามาส ลบหลู่ ดูหมิ่น ต่อองค์คุณเบื้องสูง คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ ทุกภพทุกชาติ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ทุกพุทธันดร พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันตเจ้า พระมหาโพธิสัตว์เจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระเดชพระคุณหลวงพ่อโพธิศรีสุริยะ เขมรโต องค์ในกายทิพย์ พรหมเทพทุกองค์ เทพไท้ เทวา เบื้องบนถึงที่สุด ท่ามกลางถึงที่สุด เบื้องล่างถึงที่สุด ผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกรูป ทุกนาม ทุกดวงจิตดวงวิญญาณ มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ซึ่งข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินไว้ ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ในทุกภพ ทุกชาติ ทุกกัลป์ ทุกกัป ทุกพุทธันดร ข้าพเจ้ากราบขอขมาลาโทษ ขอขมากรรม โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต ทรงเป็นประธาน โปรดเมตตา อโหสิกรรม ให้กรรมทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม เพื่อความไม่ติดขัดในดวงใจ ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามพุทธประสงค์ ตรงต่อพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันกาลนี้ด้วยเถิด สาธุ”


*** หมายเหตุ : ถ้าขอขมากรรม ณ สถานที่ใดก็ตาม ให้น้อมในองค์คุณมหาพุทธะ (คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์) มหาอรหันต์ มหาโพธิสัตว์ ทุกพระองค์ รวมเป็น ๑ คือ อิทธิอานุภาพ เป็นเมตตามหากรุณา ไม่มีประมาณ ขออโหสิกรรม ได้ผลฉับพลันทันใด น้อมขอขมา สำนึกด้วยใจจริงๆ ***

ขออนุโมทนา

คำหยาดน้ำอุทิศบุญกุศลของหลวงพ่อ (ที่แผ่อธิฐานให้สรรพสัตว์ได้มีส่วนรู้แจ้งในธรรมกันทั่วหน้า ทุกอย่างจะร่มเย็นไปเอง) ให้ทำทุกวันเช้าเย็น และทกุเวลาที่รู้สึกอึดอัดขัดข้องในใจ จะโปร่ง โล่ง เบา สบายขึ้นขอรับ

คำกรวดน้ำ อุทิศบารมี

ด้วยเมตตาจิตที่ดีๆ ยกน้ำขึ้น แล้วอธิษฐานจิต โดยขอน้อมในคุณองค์พุทธะ พระอรหันต์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ เทน้ำลงบนพื้นดินหรือปูน (ไม่จำเป็นต้องมีต้นไม้)

“ด้วยเดชแห่งบุญบารมี ที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมา ทุกภพทุกชาติ ขออุทิศบุญบารมีนี้ ให้ทุกดวงจิต ดวงวิญญาณ มนุษย์ อมนุษย์ ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ เจ้ากรรม นายเวร ทุกภพทุกชาติ จงมีส่วนร่วมในบุญบารมีนี้ ไม่ติด ไม่ขัด ไม่ข้อง ไม่คา ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามองค์พุทธะ พระอรหันต์ และขออโหสิกรรมซึ่งกันและกันด้วยเทอญ”


*** หมายเหตุ : การอุทิศบารมีทำได้ ทุกวัน ทุกเวลา โดยไม่ต้องทำบุญก่อนก็ได้ สามารถน้อมบุญดี กรรมดี ที่สั่งสมมาทุกภพทุกชาติ อุทิศได้เลย ถ้ามีการทำบุญก่อนก็ยิ่งเป็นการดี ***

ขออนุโมทนา

สาธุ สาธุ สาธุ ซึ้ง


Image
พระโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 2:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

tripoom พิมพ์ว่า:

เวลานั่งฟังท่านเทศน์เหมือนนั่งฟังอยู่ต่อหน้า ท่านปรมาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อ อรหันต์สังฆปรินายกเซน องค์แรกของจีน) หรือไม่ก็ ท่าน “เว่ยหล่าง” (สังฆปรินายกเซน องค์ที่หกของจีน ซึ่งสามารถสอนศิษย์ให้เห็นธรรมได้นับพัน) เพราะรูปแบบการเทศน์การสอนคล้ายกันมากแต่มีความทันสมัยในการใช้ภาษาเข้ากับยุคสมัย



ลุงไม่อยากจะขำ หรือไม่ ก็ขอออกตัวไว้ก่อน จะได้ไม่หน้าแตก ไปกว่านี้

ลุงขอไว้สัก องค์ สององค์ได้ไม๊
ท่านปรมาจารย์โพธิธรรม (ตั๊กม้อ อรหันต์สังฆปรินายกเซน องค์แรกของจีน)
ท่าน “เว่ยหล่าง” (สังฆปรินายกเซน องค์ที่หกของจีน)
ลุงก็ไม่รู้ว่า พระสงฆ์ที่ท่านเลื่อมใส กินเจ หรือปล่าว เอ่อ
ถ้าไม่ ก็คงไม่เหมือน
สาธุ สาธุ สาธุ

มี พระสงฆ์อยู่หลายรูป กล่าวเหมือนคำสอนของพระพุทธเจ้า
โอ โอ้ โอ้ มันช่างเหมือน
ไม่เหมือนได้อย่างไร ก็ท่านรูปนั้น เรียนรู้มาจากพระธรรม จากคำสอนของพระพุทธเจ้า

การอ่านอะไร มาก ๆ บางครั้ง ก็ทำให้ซึมซับ มาก ความมีอยู่ จึงได้พบเห็น ได้ฟัง
เหมือน หมูหมักเครื่องเทศ หมูนั้นก็มีรสเครื่องเทศอยู่มาก หมูนั้นจึงอร่อยแบบเครื่องเทศนั้น

พระอริยสงฆ์ หลายรูป นิพพานไปแล้ว (นิพพานอย่งแท้จริงน่ะ) คงไม่วนมาพบท่าน อีกแล้ว

อนึ่ง พ่อเอง ก็ไม่เคยฟังธรรมะ จากปาก(ของพระอริยสงฆ์ทั้ง 2 ท่านนั้น)โดยตรง โดยหูของพ่อโดยตรง แต่กลับตอบว่าเหมือนมาก ม๊าก
ลุงขอเถอะ โปรดอย่าได้ตอบแบบนั้นเลย
เดี๋ยวชาวบ้านจะตื่นเต้น ตามไปดู กันใหญ่
หรือไม่ก็ทำให้ผู้อื่น ศรัทธาเสื่อมลง เพราะมันไม่เหมือนก็ได้
อย่าลืมนะ คนที่อ่านหนังสือของ พระอริยสงฆ์ 2 รูปนี้ ก็มีอยู่มาก โดยเฉพาะคนที่เมืองจีน ถ้ามาเห็นเข้า แล้วไม่ใช่ งานนี้ ไม่รู้เหมือนกัน ใครจะหน้าแตก
ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ ตกใจ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 9:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านกระทู้นี้แล้ว อดคิดใม่ได้ว่า พระโพธิสัตว์หรือเจ้าชายสิทธัตถะ

คืนวันบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จนได้นามว่า "พระพุทธเจ้า" องค์ปัจจุบันที่ชาวพุทธ

พากันเปล่งวาจาว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ อยู่ทุกวันนี้ ท่านทำพิธีปลดล๊อกกรรมกับ

ใครก่อนหรือไม่

ตามประวัติบันทึกไว้ว่า กว่าท่านจะสำเร็จสัมมาสัมโพธิ ใช้เวลาถึง 6 ปี ในการพำเพ็ญเพียร

สาธุ

หรือครั้งพุทธกาลรู้ทั่วถึงธรรมยากกว่าปัจจุบันสมัย

สมัยนี้บรรลุกันง่ายๆ ไม่ยากเหตุมีเทวดาเป็นต้นช่วย หรือว่ากิเลสมนุษย์ปัจจุบันนี้เบาบางลงมาก

แล้ว อายหน้าแดง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 11:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลุงจำได้ว่า พระพุทธเจ้า ส่งกุญแจ อันใหญ่ ๆ ให้กับเธอทั้งหลายแล้ว
คือ พระธรรม (คือ ตัวแทนแห่งพระพุทธเจ้า) พระองค์เปล่งเสียง ดัง มาก ๆ ต่อ พระอานนท์

เอ่อ

ต้องเอากุญแจ ไปไข ปลดล๊อคโช่ของตัวเอง
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ใครไม่เข้ามาใกล้ ๆ พระพุทธเจ้า หยิบกุญแจไปCopy หยิบเอาไปไขเพื่อตนเอง งานนี้ไม่มีใครช่วยนะ เพราะกุญแจมันอันหญ่ายมาก ไขไม่เป็น ก็แก้ไม่ออก ลุงก็ไขตัวเอง ยังไม่ได้เลย เอ่อ

ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้

ยุคนี้ หรือ
กิเลสคนมัน หนา มาก ม๊าก
สอนแบบเก่า ๆ คนมันไม่รู้เรื่อง ต้อง สอนละเอียดกว่า วิทยาศาสตร์สมัยใหม่
หลักการมันเยอะ ถ้ามันไม่ยอมรับ มันก็ไม่ยอมรับ กาลมสูตร มันก็เถียง ยาวเป็นปี โอ้ โอ้ กว่าจะมาถึงเรื่องศีล เรื่องสมาธิ ใครเป็นคนสอนธรรมะ ก้ต้องตายไปแล้ว ต้องปล่อยมันไป

อย่างเรื่อง เอาทีวี ออกไปจากใจมัน หัวใจมันแทบสลาย ตาจะดู ตาจะดู(ดวงตานะ ไม่ใช่ญาติของลุง เอ่อ)
หนัง ละคร ข่าว สารคดี เป็นตัวอย่าง ที่ มีทั้งดี และชี่ว
ไอ้ที่ดี มันดูแป๊บเดียว มันก็เบื่อ
อย่างดูอะไร ที่มันสนุก มาฮา มาสะใจตัวเอง เร็ตติ้งสูง ๆ มันดูกันทำไม มันก็ชวนกันไปดู มันสะใจกิเลส ตาและใจ ดี เอ่อ

ไม่มีบ้าน ให้อยู่ ใจมันแทบจะขาด รอน ๆ
โอย อายเพื่อน อายฝูง ไม่มีที่ซุกหัว โอ มันอายสังคม สังคมมันเป็นแบบนั้น
พอใกล้จะตาย บ้านก็ยกให้เขา คิดไม่ออก ก็ยกให้มูลนิธิ ไป

กิเลส เพื่อ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มี อีกเยอะเลย กิเลสคนมัน หนา มากกว่า เบาบาง เอ่อ กลุ้ม

ก็ให้กุญแจไป มันยังไม่เอาเลย
ไม่ก็ มันโดน บ้าน โดน ทีวี โดน ไอ้โน้น ไอ้นี่ สุม ๆ ทับ กุญแจ ไว้ ทำเป็นไม่สนใจ เอ่อ
โซ่ก็มองไม่เห็น เพราะมันอยู่ข้างในจิต มันเลยไม่เห็น เพื่อนมันก็ไม่เห็น เพราะเพื่อนมันก็มีความสุขดี กว่า การเสพโลกธรรม 4 เอ่อ โซ่ของดารา มันจะไปเห็นได้ยังไง มันสุขที่สุด ทุกข์แป๊บเดียว มันก็หาย เอ่อ มันสุขอ่ะ(สุขแบบมีกิเลส อ่ะ ไม่รู้ลุง จะพูดยังไงดี) เอ่อ

ถามเรื่องอื่น มันตอบได้ ถามเรื่องพุทธธรรม มันบอกว่า คาถาให้ความสุข หรือ เอ่อ งั้นขอ งั้นขอรับ เอ่อ บ้าจริง บ้าจริง

ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
amarita
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 12:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลุงจำได้ว่า พระพุทธเจ้า ส่งกุญแจ อันใหญ่ ๆ ให้กับเธอทั้งหลายแล้ว
คือ พระธรรม (คือ ตัวแทนแห่งพระพุทธเจ้า) พระองค์เปล่งเสียง ดัง มาก ๆ ต่อ พระอานนท์

เอ่อ

ต้องเอากุญแจ ไปไข ปลดล๊อคโช่ของตัวเอง
ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ใครไม่เข้ามาใกล้ ๆ พระพุทธเจ้า หยิบกุญแจไปCopy หยิบเอาไปไขเพื่อตนเอง งานนี้ไม่มีใครช่วยนะ เพราะกุญแจมันอันหญ่ายมาก ไขไม่เป็น ก็แก้ไม่ออก ลุงก็ไขตัวเอง ยังไม่ได้เลย เอ่อ


สาธุ อนุโมทนาคะลุง...
กุญแจหลานก็รับอ่ะ แบบ...งกอ่ะ ขอไว้ก่อน
ลุงเขียนอย่างนี้แหละ...ถูกใจวัยรุ่น(แจก)เจงๆ...
 

_________________
ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้างอิงจาก:

(ขอขมาต่อ) องค์ในกายทิพย์ พรหมเทพทุกองค์ เทพไท้ เทวา อมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่

สุด ไม่มีประมาณ... ฯลฯ... โดยมีพระเดชพระคุณหลวงพ่อโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต ทรง

เป็นประธาน โปรดเมตตา อโหสิกรรม ให้กรรมทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม เพื่อความไม่ติด

ขัดในดวงใจ ลุล่วงพ้นทุกข์ ตามพุทธประสงค์ ตรงต่อพระนิพพาน ในชาติปัจจุบันกาล

นี้ด้วยเถิด สาธุ
”


-ลุงว่า กิเลสมันเยอะ ร้องไห้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน (อัตตา หิ อัตตโน นาโถ) ยืน เดิน นั่ง

นอน มีกุญแจดอกใหญ่อยู่ในมือ รบกับกิเลสอยู่คนเดียว เป็นอะไรที่หนักนะลุงดำ เชิญหลายๆ

ฝ่ายมาช่วยๆกันเปิดบารมี ไม่ให้ปิดกั้นในการบรรลุธรรม สุดท้ายช่วยส่งให้ถึงนิพพาน ไม่ดี

กว่า เร็วกว่าหรอครับ ลุง อายหน้าแดง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 7:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โอ้ ดีซิ พ่อหนุ่ม กรัชกาย
แยกเป็นเรื่อง ๆ นะ
1.ลุงก็ไม่รู้จัก หลวงพ่อ พระโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต นะ ไม่รู้จริง ๆ
ก็อย่าได้โกรธนะ อ่านแค่ข้อความ ของลุง แล้วอย่าผูกเรื่อง โยงใย ว่า ลุงดูหมิ่น พระสงฆ์ ไม่ได้นะ ยังไม่ได้ว่ากล่าว แต่อย่างไร
2.ท่านกรัชกาย ก็เป็นผู้มีความรู้มาก ลุงก็อ่านอยู่ในเว็บนี้ รู้ว่า เป็นผู้รู้มาก รู้มากกว่า ลุงเยอะเลย เอ่อ ขอนับถือจริง ๆ อย่าพึ่งโกรธ
3.ที่ลุงกล่าวไปนั้น อ้างถึงพ่อtripoom ว่า ลุงอาจจะหน้าแตกเอง ก็ขอออกตัวไว้ก่อน
ก่อนกลัวพระโพธิ์ศรีสุริยะ เขมรโต ท่านไม่ได้เดินตามแบบพระสงฆ์จีน คือ กินเจ หรือไม่ ถ้าไม่ อย่าได้กล่าวเช่นนั้น ว่า พระท่านเหมือนพระจีน 2 รูปนั้น และลุงเห็นว่า พระอริยสงฆ์อย่างไหนก็นิพพานแล้ว คงไม่กลับมาเกิดในภพชาติอื่นอีก ตามเชื่อแห่งพุทธ ลุงเห็นว่าอย่างนั้น จึงไม่ควรกล่าวเปรียบเหมือนใครก็ตาม ไม่ว่า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ 1250 รูป พระสงฆ์องค์อื่นที่เห็นว่าน่าจะบรรลุนิพพานแล้ว
เอ่อ ไม่ใช่ว่า แตะถูกใคร ก็รับไม่ได้ งั้น ลุงก็ต้องขอโทษจริง ๆ เอ่อ ไม่รู้ ก็คือไม่รู้ อยู่ ๆ ก็ ขออโหสิกรรม พระ เอ่อ
4.ส่วนลุงน่ะ บอกตรง ๆ ยังไม่บรรลุนิพพาน ถ้าท่านกรัชกาย ชี้ทางได้ ลุงต้องขอบคุณ และอยากได้จริง ๆ แต่คงไม่สามารถไปที่ต่างจังหวัดไหนได้ กิเลสยังติดอยู่กับงาน ด้วยทุกข์ ด้วยกิเลส อื่น ยังมีอยู่มากเลย
5.กรรมใด ที่ทำให้ท่านกรัชกายโกรธเคือง ก็ขอให้อโหสิกรรม ต่อลุงเถิด ลุงแก่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจ ลบลู่พระสงฆ์องค์ใด
แม้นท่านtripoom เป็นพระสงฆ์ ก็ขอได้อภัย ไม่ได้หวังทำให้หน้าแตก
ลุงไม่ได้มี มานะ ข่มผู้ใด ตอบอย่างกลาง ๆ ให้ทราบเท่านั้นเอง ว่า ไม่น่าจะใช่นะ ที่ว่า เหมือนกับพระอรหันต์ผู้ใด

ร้องไห้ ร้องไห้ ร้องไห้

ตอบมายาว ๆ แบบนี้ ไม่รู้ เข้าใจผิดหรือเปล่า อ่านข้อความท่านกรัชกาย
แล้วร้อนตัว หรือเปล่า ก็ไม่รู้
เอ่อ เวรกรรม เวรกรรม โดนพระ โดนเจ้า บ้างหรือปล่าวก็ไม่รู้
เอ่อ

ตื่นเต้น ตื่นเต้น ตื่นเต้น

คำว่า ได้กุญแจอันใหญ่ ลุงไม่ได้หมายความว่าหนัก ลุงหมายความว่า มันเข้าใจได้ยาก ลุงยังไม่ได้อ่านพระไตรปิฎกทั้งเล่ม 45 เล่ม 90 เล่ม มันเยอะ แปลความหมายภาษาโบราณ บางครั้งมันก็ยาก ลุงกลับเพี้ยนเอง คิดเอง ทำเอง บางอย่างก็เพี้ยน ต้องคอยอ่าน คอยถามผู้อื่นอยู่เหมือนกัน เอ่อ

อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 10:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ่านข้อความที่คุณลุงดำโพส => เมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 11:42 am โดยรวมแล้ว

คุณลุงก็เข้าใจธรรมถูกต้องแล้วนี่ครับ สาธุ

ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เกิดจากความเพียรพยายามของมนุษย์คนหนึ่งนามว่า

สิทธัตถะ สาธุ

หลังจากพระองค์ตรัสรู้แล้ว เมื่อกล่าวสอนพุทธบริษัท ท่านตรัสทำนองว่า ตถาคตเป็นแต่

เพียงผู้บอก ส่วนการเดิน (ทาง) ท่านทั้งหลายต้องทำเอง


-แต่เมื่อกรัชกายอ่านกระทู้นี้แล้ว เห็นพิธีกรรมการบรรลุธรรม รู้สึกว่าแย้งๆ กับวิธี

ของพระพุทธเจ้า จึงโพสห้อง => ( กรัชกาย 24 ธ.ค.2007, 9:22 am ) ให้คิดกันเล่นๆ

ว่าชาวพุทธแล่นเลยพระพุทธศาสนาไปไกลแล้วนะ ตกใจ


แต่ยังอยากชวนคุณลุงคุยประเด็นนั้นต่ออีก จึงโพสห้อง => ( กรัชกาย 24 ธ.ค.2007, 5:40

pm) ต่อ เจตนาเท่านี้เองครับ ไม่มีอะไร อายหน้าแดง

ธรรมปฏิบัติเข้าใจยากอย่างคุณลุงดำว่าจริงๆ พระพุทธเจ้าก็รับรองเช่นนั้น

แต่ที่ท่านผ่อนๆ ลงมา ก็มี เช่น บุญกิริยาวัตถุครับ


4. กรัชกายก็ยังไม่บรรลุสิ่งที่คุณลุงพูดถึงเหมือนกัน ยังเป็นผู้แสวงหาอยู่ อายหน้าแดง

แต่อ่านหนังสือท่านว่า ไม่ต้องเดินทางไปจังหวัดใดๆ แล้วท่านยังบอกอีกว่า กิเลสกับงานคนละ

ส่วนกัน

พระพุทธเจ้าก็ทำงานท่านว่ายังงั้นครับ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า อายหน้าแดง
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
amarita
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 11:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

4. กรัชกายก็ยังไม่บรรลุสิ่งที่คุณลุงพูดถึงเหมือนกัน ยังเป็นผู้แสวงหาอยู่

แต่อ่านหนังสือท่านว่า ไม่ต้องเดินทางไปจังหวัดใดๆ แล้วท่านยังบอกอีกว่า กิเลสกับงานคนละ

ส่วนกัน

พระพุทธเจ้าก็ทำงานท่านว่ายังงั้นครับ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า

ตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 10:11 pm

อยากรู้เหมือนกัน ... ซึ้ง
 

_________________
ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ศิษย์หลวงพ่อฯ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 25 ธ.ค. 2007
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): แม่ฮ่องสอน

ตอบตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2007, 9:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าไม่รู้ว่าพระสงฆ์รูปนั้นเป็นอย่างไง ก็อย่าไปปรามาสท่าน กรรมมันจะตีกลับ
ยิ่งถ้าเป็นพระอริยะสงฆ์ แค่คิดก็กรรมแย่แล้ว ไม่ใช่แค่หลวงพ่อที่กำลังวิจารย์กันอยู่นี้นะครับ พระทุกรูป คนทุกคน เราก็ไม่ควรไปว่าเขา อยู่เฉยๆวางใจดีกว่า ธรรมะไม่ใช่กฎหมาย อย่าเอามาตีความกัน พุทธเจ้าท่านสอนตรงๆอยู่แล้ว ผมไปดูแล้ว ท่านบอกให้ขอขมาต่อคุณเบื้องสูง พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณ กรรมมันจะได้ไม่ปิดบังการเข้าใจธรรม ไม่ใช่จะบรรลุธรรมได้เลยอย่าที่คุณว่ากัน เพราะกรรมที่ไปลบหลู่คุณเบื้องสูงมันหนัก
 

_________________
อิสระจากการผูกมัดทางจิต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2007, 11:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านศิษย์หลวงพ่อ
ท่านจงทบทวน การตอบกระทู้
ลุงยังไม่ได้ปรามาสต่อ หลวงพ่อเลย
ลุงต่อว่าท่าน tripoom ที่ได้ปรามาส ต่อ ท่านเว่ยหล่าง ท่านตั๊กม้อ
ตอนนี้ไม่อยากไปว่า ใคร ว่า กรรมไปตีกลับ ถูกใคร
ยังไม่ได้ว่า หลวงพ่อ เลย
จงตั้งใจอ่านให้ดี

.....................................................
เมื่อใดที่ไปเปรียบเทียบ พระอริยสงฆ์ อื่น ท่าน tripoom ควรระวังด้วย เอ้อ
ท่านศิษย์หลวงพ่อ ควรต่อว่า ท่านtripoom จึงจะถูกต้อง

การนำพระสงฆ์ที่นับถือ มาแสดง................. เช่นนี้
แล้วกล่าวเปรียบเทียบต่อพระอริยสงฆ์อื่น เปรียบเทียบต่อพระพุทธเจ้า(ถ้าเกิดมี) ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่เหมือน หรือ เหมือน ก็ไม่ควรกล่าว
เพราะอย่างไร ก็ไม่เหมือนทุกประการ เอ้อ

ลุงก็ได้กล่าวแล้วว่า เว้นแต่ท่านtripoom หากเป็นพระ ลุงก็ต้องขอโทษด้วย
......................................................
ส่วนการไม่รู้ว่า พระสงฆ์ใด เป็นหรือไม่เป็นพระอรหันต์ ลุงก็ไม่ทราบ
ท่านก็ไม่ทราบ
ผู้ใดเดือดร้อน ลุงก็จะทราบทันที ว่า ผู้นั้นยังคงมีกิเลสอยู่ ยังคงมีมานะอยู่ กิเลสยังไม่หมดสิ้นไปจากจิต

ในปัจจุบัน ลุงก็เดินผ่านพระสงฆ์ เห็นพระสงฆ์จากภาพ จากทีวี จากหนังสือ อยู่มาก ก็ไม่ได้ ปรามาส แต่อย่างไร แต่ก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่า เป็นพระอรหันต์หรือไม่ แต่ก็ เคยโกรธ เคยเคือง ก็มีมามาก เนื่องจากพูดไม่ถูกใจ ไม่ถูกเรื่องก็มี เป็นพระแต่พูดตลกพาณิชย์ เป็นพระแต่เห็นด้วยกับการตั้งคาสิโน เป็นพระแต่.........................มากมาย
อันนั้น ถือเป็นกรรมของลุงที่ตาไม่เห็นพระอรหันต์ ถือว่า ไม่มีบุญ

แต่สำหรับเรื่องนี้ ผู้ยกกระทู้ ถือว่า ไม่ได้ดูตาม้า ตาเรือ เลย
ยกย่องเกินเหตุ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นวสฤษฏ์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 06 พ.ย. 2007
ตอบ: 11

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 12:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับ ยิ้ม
ทุกท่านกล่าววาจาผิดเพี้ยนไป หรือ พูดจาไม่เข้าใจ เราก็ต้องช่วยกันแก้ไขครับ เรามาช่วยกันดูแลและคอยชี้ทางที่ดีให้แก่กันนะครับ เราทุกคนก็ต้องการเป็นคนดีด้วยกันทั้งนั้นครับ บางทีถ้าเราเกิดฟังแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาก็มาช่วยกันแนะนำ ช่วยตักเตือนด้วยความเมตตาต่อกัน ไม่ถือโทษโกรธกันครับ เพราะเราต้องมีที่ตายเหมือนกัน ทำไมเราจึงไม่ช่วยกัน ผิด ไม่ผิด ถูกไม่ถูกก็ต้องเอาหลักธรรมมาคิดพิจารณา เห็นแล้วตามใดว่าจะเป็นโทษต่อตนเองและผู้อื่น ก็กล่าวตักเตือนกันให้มีความระมัดระวัง เช่นนี้เราและเขาก็จะเดินไปด้วยกันได้ ประคองกันไปได้ อยู่ร่วมกันได้ เพราะเราต่างตกเป็นทาสแห่งทุกข์เช่นกัน ถ้าเราโกรธกัน แค่ยืนมือไปจับมือกันแล้วมองหน้ากัน แค่นี้ทุกข์ก็คลายสบายใจทั้งหมดครับ ยิ้มแก้มปริ
สิ่งที่กล่าวนี้ไม่ได้มีความตั้งใจจะเอาชนะใคร แต่เราก็ย่อมต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข ช่วยเหลือซึ่งกันและกันครับ หากข้าพเจ้าพลาดพลั้งก็ต้องกราบขออภัยด้วยครับ ในตัวเรานั้นบางครั้งก็พลาดพลั้งกัน เพียงแต่เราต้องพยายามทำให้ดี ให้พลาดพลั้งน้อยที่สุดและให้อภัยตน ถ้าเราไม่ให้อภัยตนแล้ว จะหมดกำลังใจในการก้าวต่อครับ ฉะนั้นแล้ว การเตือนด้วยความเมตตาต่อกันจะดีที่สุดครับ เพราะจะสามารถรักษากำลังใจเดิมที่เขามีอยู่แล้ว เพียงแต่เราต้องแก้ไขในความเห็นที่ไม่ถูกทางของเขาครับ
สุขสันวันปีใหม่ครับทุกท่าน ขอให้เจริญยิ่งๆขึ้นไปครับและใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุด และช่วยเหลือกันนะครับ ยิ้มแก้มปริ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 8:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สนับสนุนความเห็นของคุณลุงดำโดยรวมข้างบนครับ สาธุ

ศิษย์หลวงพ่อ ฯ ที่เคารพ

พอจะสนทนาต่อด้วยเหตุด้วยผลได้อีกไหมครับ กรัชกายขอสนทนาธรรมด้วย เพราะได้ออก

ความเห็นไว้ด้วยข้างต้น


-มีคำกล่าวคลุมๆ ยังไม่พ้นจากการตีความกันเองของผู้อ่าน ที่ศิษย์หลวงพ่อ ฯ กล่าว เช่น

-กรรม (กรรมตีกลับ) เรื่องธรรมะ (ไม่ใช่กฎหมาย) พระพุทธเจ้าสอนตรงๆอยู่

แล้ว... หลักการปฏิบัติต่อหลังจากการขอขมา กรรมที่ว่าปิดบังการเข้าใจธรรม และหลักการ

บรรลุธรรม ฯลฯ


หาก ศิษย์หลวงพ่อ ฯ เข้าใจประเด็นดังกล่าวชัดพร้อมที่จะอธิบายเพื่อเป็นวิทยาทานแก่

พุทธศาสนิกชน กรัชกายจะขอถามเพื่อความเข้าใจไปพร้อมๆกับสาธารณชน สาธุ
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
tripoom
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 21 ธ.ค. 2007
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 8:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค .................................................... สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2007, 9:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

tripoom พิมพ์ว่า:
คิด คิด คิด คิด คิด คิด คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ คิ ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค ค .................................................... สาธุ


เอ้อ เอ้อ เอา เอา
มันพูดไม่ออก
หรือมันจะ........ เอ้อ
สองแง่ สามง่าม จริง ๆ
พูดก็ไม่พูด ทิ้งเป็นปริศนา จะด่าลุงก็ด่า จะพูดอะไรก็พูด
ค....ค..... ค......
แบบนี้ ก็แย่ซิ เอ้อ พ่อtripoom
ท่านศิษย์หลวงพ่อ ท่านดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง คนแบบนี้ มันเป็นอย่างไร เอ้อ
เบื่อ จริง ๆ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ศิษย์หลวงพ่อฯ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 25 ธ.ค. 2007
ตอบ: 3
ที่อยู่ (จังหวัด): แม่ฮ่องสอน

ตอบตอบเมื่อ: 29 ธ.ค.2007, 6:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอตอบนะครับ

หลวงพ่อชาบอก ต้องนอกเหตุเหนือผลครับ ถ้ามีเหตุผลกันก็ไม่จบครับ เพราะต่างคนต่างมีเหตุผลครับ บ้างเมืองเราเกิดความแตกแยกก็เพราะเหตุผลนี้แหละครับ ต่างคนต่างมีเหตุผลของตนเอง มันก็เลยเถียงกันไม่จบซักที จริงแล้วผมก็คนธรรมดานี้แหละครับ สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้เป็นความเข้าใจส่วนตัวบ้าง ครูบาอาจารย์สอนมาบ้างนะครับ

- กรรมตีกลับ ก็ผลที่เรากระทำนั้นแหละครับ ก็ส่งผลมาถึงเรา ทำดีก็กลับมาดี ทำไม่ดีก็กลับมาไม่ดี คนเราส่วนมาก ทำความดีแล้วมักบ่นว่าไม่เห็นมีอะไรดีๆ เข้ามาหาเลย ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราคิดว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว ก็น่าจะคิดว่าตัวเองทำอะไรมามากมายหลายภพหลายชาติ มันก็มีทั้งดีและไม่ดี สิ่งเหล่านั้นมันก็ย้อนกลับมาหาเรานั้นแหละ ก็อย่างที่บอกแหละครับ คนส่วนมากทำความดีแล้วก็นั่งรอคอยสิ่งดีๆ จะเข้ามาหา อย่างนี้แย่หน่อย ถ้าเกิดไม่ได้ดีก็หาว่าทำดีไม่ได้ดี แต่ไม่คิดเลยว่าสิ่งเราทำไม่ดีก็มีตั้งมา ก็อาจจะส่งผลต่อเราก่อนกรรมดีก็ได้

เพราะเกิดมาไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ บางคนที่ทำความดีมาตลอด อายุอาจจะสั้นก็ได้ คนก็บ่นว่าคนดีๆไม่น่าอายุจะสั้นเลย มันก็อาจเป็นกรรมของเขาจากชาติไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้นคนเราไม่ควรประมาทในการกระทำของตน เพราะมีผลต่อเราหมด แค่คิดนี้ก็กรรมแล้ว ไม่ใช่ว่าจะต้องทำนะที่จะเป็นกรรม คนที่มีกรรมก็คนที่คนที่ไม่เคยได้ยินพระสัจธรรมความจริงจากผู้รู้ (พระพุทธเจ้าในศาสนาเรา ถ้าศาสนาอื่นเรียนอะไรไม่รู้) เช่น พวกคนป่า เขาไม่เคยได้ยินธรรมะแน่ๆ ฉะนั้นพวกเราที่เกิดมาได้ยินธรรมะของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็เป็นบุญแล้วครับ

- ธรรมะไม่ใช่กฎหมาย ไม่ต้องตีความ ก็พระพุทธเจ้าเราสอนไว้ตรงๆ อย่าแล้วนี้ครับ แต่ส่วนมากคนเรายุคต่อๆ มาชอบเอามาตีความกัน แล้วคนที่ตีความก็มักจะใส่ความคิดของตนเองเข้าไปด้วย คุณก็ลองศึกษา หลักธรรมะของศาสนาอื่นๆ จริงๆ แล้วเหมือนกลับของศาสนาพุทธเรานี้แหละ จุดหมายที่เดียวกัน ต่างกันที่ภาษา การปฏิบัติ (ทางกาย) ส่วนการปฏิบัติทาง จิต เหมือนกัน เพราะสิ่งที่สมเด็จพระสมมาสัมพุทธเจ้าเราค้นพบก็อันหนึ่งอันเดียวกัน กับศาสดาศาสนาอื่น จะเห็นได้ว่ามันเป็นสากล ถ้าคิดกันอย่างนี้แล้วสงครามศาสนาไม่เกิดแน่ ผมเคยได้ยินคนไทยที่นับถือศาสนาอื่น บอกว่าศาสนาพุทธ สอนในสิ่งที่งมงาย สิ่งเร้นลับ สิ่งที่เขาพูดได้รู้มาจากคนที่สอนศาสนาเขา นี้ก็เป็นการพูดหรือเขาใจในสิ่งที่เรายังไม่รู้เข้าไปศึกษารู้ด้วยตนเองเลย จริงๆ แล้วศาสนาทุกศาสนาเกิดขึ้นมาก็เป็นพันปีแล้ว สั่งสอนกันมาก็ไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ก็อาจจะมีการสอนที่ผิดเพี้ยนกันไปบ้าง บางที่ผู้สอนบางท่านก็ไม่สอนอะไรลูกศิษย์ไว้ ก็ปฏิบัติตามๆ กันมาจนบางครั้งถามว่าทำทำไม ก็จะตอบว่าทำตามๆ กันมา

- ผมบอกว่าหลังจากที่เราขอขมาคุณเบื้องสูงแล้วจะช่วยให้เราเข้าใจธรรมะขึ้น จริงๆแล้วการที่เราจะเข้าใจธรรมะนั้นก็ย่อมรู้ด้วยตนเอง แล้วก็ควรจะมีครูบาอาจารย์ที่รู้จริงๆ ผมหมายถึงครูบาอาจารย์ที่ถึงชั้นอาริยะสงฆ์นะครับ มารับรองสภาวะของเรา ไม่เช่นนั้นคนที่ปฏิบัติก็จะเคว้งคว้างไม่รู้ปฏิบัติถูกหรือเปล่า เหมือนคนที่จะเดินทางไปไหนต้องถามทางผู้ที่เคยไป
ส่วนหลักของการบรรลุธรรมะนั้น มันไม่มีอะไรให้บรรลุครับมันว่างอยู่แล้ว ไม่มีอะไรบรรลุอะไร ขอเพียงแต่ให้เราเข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติของทุกสิ่งอย่าง ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา มันไม่มีอะไรอยู่ค้ำฟ้า ทุกสิ่งอย่างว่างเหมือนกันหมด เราก็ควรมองว่าสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา จิตก็จะว่างเอง ไม่ไปให้ค่า ให้ความหมายมัย เห็นก็สักแต่ว่าเห็น รู้ก็สักแต่ว่ารู้ ระลึกอยู่อย่างนี้ตลอด มันก็จะว่างตลอด ตอนแรกๆ มันก็ทำอยากสักหน่อย โดยเฉพาะจิตเรามันชอบคิด ชอบวิพากษ์วิจารย์อยู่แล้ว เหมือนเราดูข่าว ดูละคร แล้วเราไปอินกับมัน นี้ก็ทุกไปโดยไม่รู้ด้วยเลย

- จิตจริงๆ ไม่มี ที่ว่าจิตเป็นอย่างนั้น จิตเป็นอย่างนี้ มันจะว่างไม่ได้เลย เพราะว่าจิตนี้แหละมันทำให้ไม่ว่าง มันจะว่างได้อย่างไงในเมื่อจิตยังมีตัวตนอยู่ ที่เห็นกันอยู่นี้ก็ถ้าดูหนังจีนสมัยก่อนหลวงจีนก็จะพูดว่า โลกนี้เป็นเพียงมายา เราก็เข้าใจแล้วก็ปฏิบัติตนให้มันสมดุลในโลกนี้ก็พอแล้ว ไม่ไหลตามกระแส ไม่ทวนกระแส ตามคำในหลวงของเรา อยู่อย่างพอเพียง คำว่าพอคำเดียวนี้ก็สุดยอดแล้วครับ ถ้าคนเรารู้จักพอในทุกเรื่อง คำว่าอยู่อย่างสมดุลของคนเราก็ไม่เท่ากันนะครับขึ้นอยู่กับเราอยู่ในฐานะอะไร เป็นอะไร ก็ปฏิบัติตนให้มันสมกับตนเอง

ถ้าเอาอย่างๆเลยก็ ถ้าปฏิบัติแล้วมันทุกข์ นั้นไม่ใช่ทางแล้ว
แต่ถ้าปฏิบัติแล้วมันสุข มันโล่งดี ก็ปฏิบัติไป แต่อย่าไปติดสุขนะครับ
เพราะถ้า มีสุข เดี๋ยวมันก็มีทุกข์ ว่างจริงๆ แล้วมันไม่สุขไม่ทุกข์

ครูบาอาจารย์ทุกๆ พระองค์ ให้เรานับถือ ไม่ใช่ยึดถือท่านนะครับ

ถ้าใครมีความเห็นเพิ่มเติมโปรดชี้แนะด้วยนะครับ สาธุ
 

_________________
อิสระจากการผูกมัดทางจิต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailMSN Messenger
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 29 ธ.ค.2007, 8:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านศิษย์หลวงพ่อ
ลุงก็ยังเห็นว่า ผู้ที่มีเหตุผล ดีกว่าผู้ที่ไม่มีเหตุผล
ในความหมายของหลวงพ่อชา คงพูดกับผู้ที่มีกิเลสมาก
ผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมาย ผู้ที่มีความรู้ทางนิติศาสตร์ ผู้ที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ผู้ที่เห็นว่า ทางโลกดีกว่าทางธรรม
คนกลุ่มเหล่านี้แหละ เป็นคนมีเหตุผลทางโลก พูดอย่างไรก็ไม่มีวันจบ

มาถึงคนกลุ่มปฎิบัติธรรม ควรมีเหตุผลตามแบบอย่างพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์
คู่แห่งบุรุษแห่งบุรุษ สี่ คู่ คือ พระทุกระดับชั้น ซึ่งมีเชื้อแห่งพุทธแล้ว
ไม่ใช่ว่า ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่งั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะไม่สามารถเข้าใจ เป้าหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จคืออะไร ทำไปทำไม กลายเป็นว่า ทำไปตาม ๆ กัน ทำเถอะ เดี๋ยวรู้เอง
เศร้า เศร้า เศร้า
ส่วนผู้ใดเป็นห่วงในเรื่องทำดีแล้วจะได้ดี
ทำดีแล้วกลัวกลับได้ชั่ว
ทำดีแล้วไม่ได้อะไร
ลุงก็ยังเห็นว่า เขาเหล่านั้นยังติดอยู่ในกิเลส ระดับละเอียด
ไม่ได้ทำเพื่อให้ จิตว่างจากกิเลส แต่ทำเพื่อหวังสิ่งหนึ่งที่ต้องการแห่งจิต
สงสัย สงสัย สงสัย
ส่วนจิตนั้น จะว่ามีจิต ก็มี
จะว่าไม่มีจิต ก็คือใช่
เพียงแต่ถ้าพระพุทธเจ้า ไม่กำหนดระบุ สิ่งนั้น ว่า จิต ไปก่อน
ลุงว่า เมื่อไหร่จะคุยกันรู้เรื่อง ได้แต่เรียก สิ่งนั้น ว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ ว่า สิ่งนี้
เอาเป็นว่า มันเรียกว่า จิต ไปก่อน จะได้คุยกันรู้เรื่อง
ต่อไปนี้เป็นคำสอนของพระพุทธทาส มีทำนองนี้ว่า
จิตว่าง ไม่ได้แปลว่า จิตไม่ได้คิดอะไร ถ้าจิตไม่คิด มันก็โง่ คือมันไม่ยอมคิดอะไร
ไม่ตัดสินใจอะไร ไม่รู้ว่าจะดับทุกข์อย่างไร
ลุงจึงคิดว่า จิตว่าง จึงอาจเรียกยาว ๆ ว่า จิตว่างจากกิเลส นั้นคือ นิพพาน
จิตไม่รับกิเลสทั้งปวง จิตนั้นคือ จิตนิพพาน เอ้อ
ไม่ใช่ว่า จิต ไม่มี แล้วจบ
จิตมี ก็ได้ ไม่ม่ ก็ได้
พระพุทธทาส จึงว่า ทุกสิ่งในโลก เป็นสิ่งสมมติก็ได้ ไม่ได้เป็นสิ่งสมมติก็ได้ จะเป็นความจริงก็ได้ จะเป็นความฝันก็ได้
ลุงก็เข้าใจว่า ถ้าคิดเป็น คิดกลับไปกลับมา ต่อกฎความไม่แน่นอน ความมี และไม่มี เป็นสิ่งที่ต้องยอมรับทั้งสิ้น
สาธุ สาธุ สาธุ
ก็มาจนป่านนี้ ลุงก็ยังไม่แน่ใจว่า ท่านtripoom ปรามาส พระอริยสงฆ์
หรือ ลุงปรามาส อริยสงฆ์
เพราะเห็นท่านศิษย์หลวงพ่อ มาตีโพยตีพาย ลุงไม่ถูก
ลุงก็รับไม่ได้เหมือนกัน

จริง ๆ ลุงไม่ติดใจอะไร ไม่ตอบ ก็ไม่ว่ากะไร
แต่ขอเถอะ ท่านศิษย์หลวงพ่อ อย่าได้ว่ากล่าวผิดคน ลุงเคืองเหมือนกัน

ซึ้ง ซึ้ง ซึ้ง
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
mailma16
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 01 ก.ค. 2007
ตอบ: 7
ที่อยู่ (จังหวัด): ยโสธร

ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2007, 12:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

555+ ดูๆ แล้ว หล่อก็งงครับ
จะรู้อะไรกันไปมากมายเนี่ย

รู้กาย รู้จิต..
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2007, 3:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


-ในการวินิจฉัยว่าอะไรเป็นความดี อะไรเป็นความชั่วนี้ เมื่อพูดในทางปฏิบัติ เพื่อให้คนทั่ว

ไปใช้ประโยชน์ได้ทุกระดับ

พระพุทธเจ้าสอนให้ถือข้อพิจารณาเกี่ยวกับกุศลและอกุศลเป็นหลักแกนกลาง

จากนั้นทรงผ่อนขยายออกไป ให้ใช้สำนึกเกี่ยวกับความดีความชั่วของตนเอง อย่างที่เรียกกัน

ว่ามโนธรรม และให้ถือมติขอผู้รู้เป็นหลักประกอบหรืออ้างอิง- (สองอย่างนี้ เป็นฐานของหิริ

โอตตัปปะ)

นอกจากนั้น ให้พิจารณาที่ผลของการกระทำ อันจะเกิดแก่ตนเองและแก่ผู้อื่น หรือแก่บุคคล

และสังคม

-การที่ตรัสเช่นนี้ คงจะเป็นด้วยว่า คนบางคนยังมีปัญญาไม่กว้างขวางลึกซึ้งเพียงพอ อาจ

มองเห็นภาวะที่เป็นกุศลและอกุศลไม่ชัดเจน จึงให้ถือเอามติของท่านผู้รู้เป็นหลักประกัน

ประกอบด้วย และถ้ายังไม่ชัดพอก็มองดูง่ายๆ จากผลของการกระทำ แม้แต่ที่เป็นไปตาม

บัญญัติของสังคม

สำหรับคนทั่วไป การพิจารณาด้วยหลักทั้งสามนี้ ถือได้ว่าเป็นวิธีการตรวจสอบหลายๆชั้น

เพื่อให้การวินิจฉัยเป็นไปอย่างรอบคอบ

โดยสรุป เกณฑ์วินิจฉัยกรรมดีและกรรมชั่วมีอยู่ ในแง่ของกรรม ให้ถือเอาเจตนาเป็นหลัก

ตัดสินว่า เป็นกรรมหรือไม่ และในแง่ที่ว่ากรรมนั้นดีหรือชั่ว ให้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ ดังนี้

ก. เกณฑ์หลัก

1. ตัดสินด้วยความเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล โดย

-พิจารณามูลเหตุว่า เป็นเจตนาที่เกิดจากกุศลมูล คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ

หรือเกิดจากอกุศลมูล คือ โลภะ โทสะ โมหะ

-พิจารณาตามสภาวะว่า เป็นสภาพเกื้อกูลแก่ชีวิตจิตใจหรือไม่ ทำให้จิตสบาย ไร้โรค ปลอด

โปร่ง ผ่องใส สมบูรณ์ หรือไม่ ส่งเสริมหรือบั่นรอนคุณภาพและสมรรถภาพของจิต ช่วยให้

กุศลธรรม (สภาพที่เกื้อกูล) ทั้งหลาย เจริญงอกงามขึ้น

อกุศลธรรมทั้งหลายลดน้อยลง หรือทำให้กุศลธรรมลดน้อยลง

อกุศลธรรมทั้งหลายเจริญงอกงามขึ้น ตลอดจนมีผลต่อบุคลิกภาพอย่างไร

ข. เกณฑ์ร่วม

2. ใช้มโนธรรม คือ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของตนเองพิจารณาว่า การที่กระทำนั้นตนเอง

ติเตียนตนเองได้หรือไม่ เสียความเคารพตนหรือไม่

3. พิจารณาความยอมรับของวิญญู หรือนักปราชญ์หรือบัณฑิตชน ว่าเป็นสิ่งที่วิญญูยอมรับหรือ

ไม่ ชื่นชมสรรเสริญ หรือตำหนิติเตียน

4. พิจารณาลักษณะ และผลของการทำ

-ต่อตนเอง

-ต่อผู้อื่น

ก) เป็นการเบียนเบียนตน เบียดเบียนผู้อื่น ทำตนเองหรือผู้อื่นให้เดือดร้อนหรือไม่

ข) เป็นไปเพื่อประโยชน์สุข หรือเป็นไปเพื่อโทษทุกข์ ทั้งแก่ตนและผู้อื่น

(นำมาจากหนังสือพุทธธรรม)
 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กรัชกาย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 24 ต.ค. 2006
ตอบ: 2348

ตอบตอบเมื่อ: 30 ธ.ค.2007, 4:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน


-การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา หัวหน้าพรรคการเมืองพรรคหนึ่งตกน้ำตกท่าเพราะ

สะพานหัก อายหน้าแดง

เมื่อชาติที่แล้ว คนเหล่านั้น ผลักใครตกสะพานไว้ ชาตินี้กรรมตีกลับ คือตกสะพานชดใช้

กรรม

หรือว่าคนสร้างสะพาน จะถูกกรรมตีกลับในชาติหน้า

หรือเขาตกสะพานด้วยเหตุผลอื่นครับ

อยากฟังเหตุผลจากศิษย์หลวงพ่อประเด็นนี้




ธรรมะ หรือธรรมชาติมีเหตุมีผลอยู่ในตัวมันเอง เป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน

ธรรมะไม่ใช่สิ่งเพ้อฝันเลื่อนลอย ไร้เหตุผล

หากขาดเหตุผลเสียแล้ว การบรรลุธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้

(มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ)

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เพราะเข้าใจธรรมชาติ (คือ ตัวเอง)

ผู้ที่ปฏิบัติธรรมอย่างมีเหตุผลจึงจะตรัสรู้ธรรม


ลองพิจารณาความเป็นเหตุเป็นผลของอริยสัจ 4 ดังนี้

-ทุกข์เป็นผล

-สมุทัยเป็นเหตุ

-นิโรธเป็นผล

-มรรคเป็นเหตุ

ผู้ที่เข้าใจกฎนี้ จึงจะปฏิบัติธรรมสำเร็จ

-ผู้ปฏิบัติไม่ได้ผล เพราะไม่เข้าใจหลักเหตุผลดังกล่าว

เช่น เมื่อประสบทุกข์ ซึ่งเป็นผลมาจากเหตุ คือ สมุทัย (= ตัณหา)

ตนไม่รู้วิธีปฏิบัติ (ตามมรรค) ต่อทุกข์ อย่างถูกวิธี จึงทำให้ทุกข์กระจาย

มองหาที่ดับทุกข์ในภายนอกซัดทอดไปข้างนอก คิดเตลิดไปว่า ทุกข์ที่เกิดแก่ตนนี้ คงมีเทพ

บันดาลให้เป็นไป

คือ คิดอย่างลัทธิเถียรถีย์ที่ว่า สุขทุกข์ทั้งปวงที่ได้รับอยู่นี้ เป็นเพราะการบันดาลของเทพเจ้าผู้

เป็นใหญ่ (= อิสสรนิมมานเหตุวาท)

ผู้คิดเช่นนี้จึงห่างจากธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือเหินห่างจากความจริง (สัจจะ)

 

_________________
สติ-การนึกไว้,การคุมจิตไว้กับอารมร์,การคุมจิตไว้กับกิจที่กำลังกระทำ-สัมปชัญญะ-การรู้ชัดสิ่งที่นึกไว้,การรู้ชัดสิ่งที่กำลังกระทำนั้น-ท่านเรียกว่าผู้มีสติสัมปชัญญะหรือมีสติปัญญา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง