Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระไตรปิฏกเชื่อถือได้แค่ไหน...?? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 18 ธ.ค.2007, 8:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระไตรปิฏกเชื่อถือได้แค่ไหน...??

ก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ทูลถามพระองค์ว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หลังจากพระองค์ปรินิพพานแล้ว พระองค์จะทรงตั้งใครเป็นศาสดาแทนพระเจ้าข้า”
พระพุทธเจ้าตรัสตอบเป็นภาษาบาฬีว่า “โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต โส โว มมจฺจเยน สตฺถา”

แปลว่า. ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดที่เรา ได้แสดงแล้วและบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย ในเมื่อเราล่วงลับไป
หมายความว่า พระพุทธเจ้าตรัสสั่งให้คำสั่ง สอนของพระองค์ เป็นศาสดาแทนพระองค์

หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ๓ เดือน พระอรหันตสาวก ๕๐๐ รูป นำโดยพระมหากัสสปะเถระได้ร่วมกัน ประชุมทำสังคายนา คือ ดำเนินการรวบรวมพระดำรัสของ พระพุทธเจ้า จัดเป็นหมวดหมู่ คัมภีร์ที่รวบรวมพุทธพจน์ บรรจุพระธรรมวินัยนั้นไว้ เรียกว่า พระไตรปิฎก
คัมภีร์ที่บันทึกหลักธรรมคำสั่งสอนของพุทธศาสนานั้นเรียกว่าพระไตรปิฎก ซึ่งถือว่าเป็นคัมภีร์ที่สำคัญที่สุดของพุทธศาสนา เพราะเป็นคัมภีร์ที่จารึกคำสอนของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันตสาวกไว้โดยมีกระบวนการสืบทอดคำสอนของพระพุทธองค์ไว้ในรูปแบบของการสังคายนาอย่างระมัดระวังและรัดกุมที่สุด ตั้งแต่สมัยที่พระพุทธองค์ทรงพระชนม์ชีพอยู่ จนถึงการสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๑, ๒, ๓, ๔, ๕, ๖ มาตามลำดับ

หลักธรรมคำสั่งสอนทางพุทธศาสนาได้มีการสืบทอดกันมาโดยมุขปาฐะ คือ การท่อง จำสืบๆ กันมา (Oral Tradition) การท่องจำนี้ ได้กระทำมาจนถึงสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๕ ในลังกาทวีป การจารึกเป็นคัมภีร์ครั้งแรกเมื่อคราวสังคายนาพระธรรมวินัยครั้งที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๔๕๐ บางตำราว่า พ.ศ. ๔๓๓ (ถ้านับเฉพาะที่ทำสังคายนาในศรีลังกาก็เป็นครั้งที่ ๒ )ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ทำที่อาโลกเลณสถาน ณ มตเล ชนบทหรือที่เรียกว่า มลัยชนบท สาเหตุของการจารึกพระพุทธวจนะลงในใบลาน ก็เพราะว่าถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาดได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง นอกจากนั้นพระสงฆ์ยังได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามอยู่เนืองๆทำให้ไม่มีเวลาท่องจำพระพุทธวจนะ จะทำให้ช่วงการสืบต่อขาดลงได้ และในการจารึกครั้งนี้ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย

มีผู้สงสัยว่า สมัยพุทธกาลคนไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรืออย่างไร? จึงไม่ปรากฏว่ามีตำรับตำราจารึกไว้เป็นหลักฐาน พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณฺณวณฺโณได้ประมวลทัศนะนี้ไว้ในหนังสือภาษาศาสตร์ภาษาบาลี ไว้ว่า

"ความจริงการเขียนหนังสือน่าจะมีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ในพระไตรปิฎกเองก็มีข้อ ความเอ่ยถึงการขีดเขียนเป็นครั้งคราว เช่น ตอนหนึ่ง ห้ามภิกษุเล่นเกม "อักขริกา" ได้แก่ การทายอักษรในอากาศหรือบนหลังเพื่อนภิกษุ วิชาเขียนหนังสือ(เลขา) ได้รับยกย่องว่าเป็นศิลปะพิเศษอย่างหนึ่ง สิกขาบทบางข้อห้ามภิกษุณีเรียนศิลปะทางโลก หนึ่งในศิลปะเหล่านี้คือวิชาเขียนหนังสือ ในบทสนทนาภายในครอบครัว พ่อแม่ปรารภว่าจะให้บุตรเรียนวิชาอะไรดี ถ้าจะให้เรียนเขียนหนังสือ บุตรก็อาจยังชีพอยู่ได้อย่างสบาย แต่ก็อาจเจ็บนิ้วมือ ถ้าภิกษุเขียนหนังสือพรรณนาคุณของอัตตวินิบาตกรรม (การฆ่าตัวตายเอง) ปรับทุกกฎทุกตัวอักษร ถ้ามีผู้อ่านพบข้อความนั้นเข้าเห็นดีเห็นงามด้วย แล้วฆ่าตัวตายตามนั้น ปรับอาบัติปาราชิก หลักฐานเหล่านี้แสดงว่าอักษรหรือการเขียนมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ที่พระพุทธองค์ไม่นิยมใช้ หันมาใช้วิธีมุขปาฐะแทน น่าจะทรงเห็นประโยชน์อานิสงส์บางสิ่งบางอย่างกระมัง หรือว่าระบบการขีดเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์การขีดการเขียนเพียงพอ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่ข้อที่น่าคิดอยู่อย่างคือ วิธีเรียนด้วยมุขปาฐะนี้ นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและผู้สอนแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิตของผู้เรียนไปในตัวด้วย นักปราชญ์ยุคก่อนที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย เปลโต้เคยกล่าวไว้ว่า "การคิดอักษรขึ้นใช้ แทนการท่องจำ ทำให้มนุษย์ขาดอานุภาพแห่งความทรงจำ คือแทนที่จะจดจำจากอินทรีย์ภายใน ต้องอาศัยสัญลักษณ์นอกเข้าช่วย"
อ้างอิง..พระมหาเสฐียรพงษ์ ปุณณวณโณ ภาษาศาสตร์ภาษาบาลี, ชุดวรรณไวทยากร, กรุงเทพฯไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๔)

ในตอนต้นครั้งพุทธกาล คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามิได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” แต่เรียกว่าพระธรรมวินัยบ้าง พระสัทธรรมบ้าง ปาพจน์บ้าง สัตถุศาสน์บ้าง พระ บาลีบ้าง สุตตะบ้าง แม้หลังพุทธปรินิพพานก็ยังไม่เรียกว่าพระไตรปิฎก คงเรียก ว่าพระธรรมวินัย เช่น การสังคายนาชำระคำสอน ครั้งที่ ๑-๔ ยังคงเรียกว่าสังคายนา พระธรรมวินัย และได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” เมื่อการสังคายนาครั้งที่ ๕ พ.ศ. ๔๕๐ ณ ประเทศศรีลังกา โดยได้จารึกลงในใบลาน ซึ่งได้แบ่งพระธรรมวินัยเป็น ๓ หมวด จึงได้เรียกว่า “พระไตรปิฎก” ตั้งแต่บัดนั้น

พระไตรปิฎกมีความสำคัญดังนี้

๑. เป็นที่รวบรวมพระพุทธพจน์ คือ พระดำรัสของพระพุทธเจ้า
๒. เป็นที่สถิตของพระศาสดาของพุทธศาสนิกชน เพราะเป็นที่บรรจุพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ เป็นศาสดาแทนพระองค์
๓. เป็นแหล่งต้นเดิมของคำสั่งสอนในพุทธศาสนา
๔.เป็นหลักฐานอ้างอิงหรือยืนยันหลักการที่กล่าว ว่า เป็นพระพุทธศาสนา
๕. เป็นมาตฐานตรวจสอบความเชื่อและข้อปฏิบัติ ในพระพุทธศาสนา จะวินิจฉัยสิ่งใดว่าถูกต้องหรือผิดพลาด เป็นพระพุทธศาสนาหรือไม่ ก็โดยอาศัยพระธรรมวินัยที่มีมาในพระไตรปิฎกเป็นเครื่องตัดสิน

๖. พระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์ที่น่าเชื่อถือที่สุด กว่าหนังสือใดๆ บนพื้นพิภพ ที่ยืนยันให้คนยุคปัจจุบันได้รับรู้ ว่าเมื่อ ๒๕๐๐ปีก่อน พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนอะไรไว้บ้าง
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ การศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก จึงเป็นกิจสำคัญยิ่งของชาวพุทธ ถือว่าเป็นการสืบต่ออายุ พระพุทธศาสนาหรือเป็นความดำรงอยู่ของพระพุทธศาสนากล่าวคือ ถ้ายังมีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎกเพื่อนำไปปฏิบัติ พระพุทธศาสนาก็จะยังดำรงอยู่ แต่ถ้าไม่มีการศึกษาค้นคว้าพระไตรปิฎก แม้มีการปฏิบัติก็จะไม่เป็น ไปตามหลักการของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาก็จะ ไม่ดำรงอยู่ คือ จะเสื่อมสูญไปในที่สุด



ถาม... เป็นไปได้หรือไม่ที่พระไตรปิฏกอาจจะถูกสาวกรุ่นหลังๆ แก้ไขเพิ่มเติม

ตอบ “เป็นไปไม่ได้” ด้วยเหตุผลดังนี้

๑. พระไตรปิฎกสืบทอดกันมาด้วยภาษาบาลี ที่มีหลักไวยากรณ์เฉพาะ มีกฎตายตัวไว้เฉพาะภาษาบาลี โดยปฏิเสธกฎไวยากรณ์หลายประการของสันสกฤต เพื่อไว้ให้เป็นหลักเกณฑ์ของไวยากรณ์บาลีโดยเฉพาะ เช่น พระบาลีมี ๒วจนะเท่านั้น คือ เอกวจนะ และพหุวจนะ ไม่มีทวิวจนะ
...อ้างอิง ดูรายละเอียด พระอัครวงศาจารย์ , สทฺทนีติปฺปกรณํ (ปทมาลา) ฉบับภูมิพโลภิกขุ . โรงพิมพ์มูลนิธิภูมิพโลภิกขุ, วัดสระเกศ กรุงเทพฯ:พ.ศ. ๒๕๒๑ .หน้า ๑๕๖

๒. แม้บางช่วงของประวัติศาสตร์เกิดภัยต่าง ๆ ทำให้คัมภีร์พระไตรปิฎกขาดหายหรือเลอะเลือนไป แต่เมื่อสังคายนาใหม่อีกครั้งก็ได้เปรียบเทียบ ตรวจสอบดูกัพระไตรปิฎกของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จนหมดข้อสงสัย จึงทำให้เชื่อได้ว่าเป็นพระไตรปิฎกที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วทั้งโลก ตรงกับพระไตรปิฎกที่ได้รับการสังคายนาครั้งก่อน ๆ ทุกประการ

๓. มีข้อความในคัมภีร์รุ่นหลังกล่าวอ้างถึงข้อความคัมภีร์พระไตรปิฎก แต่เมื่อตรวจสอบในบาลีพระไตรปิฎกแล้วกลับไม่มีข้อความนั้น ทั้งที่เมื่อพิจารณาข้อความนั้นแล้วมีอรรถเข้ากันได้กับพระไตรปิฎก เช่น บาลีสังยุตตนิกาย มหาวรรคว่า “จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว อริยสจฺจานิ ฯ กตมานิ จตฺตาริ ฯ ทุกฺข อริยสจฺจ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจ ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนฺถานิ ตสฺมาอริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺติ” ( อ้างอิง.... ส.ม.๑๙/๑๐๙๗/๓๘๐)

แต่คัมภีร์วิสุทธิมรรค นำไปอ้างโดยเพิ่มข้อความว่า “จตฺตารีมานิ ภิกฺขเว อริยสจฺจานิ ฯ กตมานิ จตฺตาริ ฯ ทุกฺข อริยสจฺจ ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจ ทุกฺขนิโรธคามินีปฏิปทา อริยสจฺจ ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ อริยา อิมานิ ปฏิวิชฺฌนฺติ ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ อปิจ อริยสฺส สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิ ฯ ยถาห ฯ สเทวเก โลเก ฯเปฯ มนุสฺสา ตถาคโต อริโย ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ อถวา เอเตส อภิสมฺพุทฺธตฺตา อริยภาวสิทฺธิโตปิ อริยสจฺจานิ ฯ ยถาห ฯ อิเมส โข ภิกฺขเว จตุนฺน อริยสจฺจาน ยถาภูต อภิสมฺพุทฺธตฺตา ตถาคโต อรห สมฺมาสมฺพุทฺโธ อริโยติ วุจฺจตีติ ฯ อปิจ โข ปน อริยานิ สจฺจานีติปิ อริยสจฺจานิ ฯ อริยานีติ ตถานิ อวิตถานิ อวิสวาทกานีติ อตฺโถ ฯ ยถาห ฯ อิมานิ โข ภิกฺขเว จตฺตาริ อริยสจฺจานิ ตถานิ อวิตถานิ อนฺถานิ ตสฺมา อริยสจฺจานีติ วุจฺจนฺตีติ ฯ เอวเมตฺถ นิพฺพจนโต วินิจฺฉโต เวทิตพฺโพ ฯ

( อ้างอิง... วิสุทฺธิ.๒/๑๔๐-๑๔๑ )(อักษรตำหนา เป็นข้อความที่คัมภีร์วิสุทธิมรรคเพิ่มเข้ามา โดยอ้างว่านำมาจากพระไตรปิฎก)

ดังข้อมูลที่เสนอมานี้ก็หมายความว่า พระไตรปิฎกภาษาบาลีไม่ถูกแก้ไขเพิ่มเติมอย่างแน่นอน เพราะทั้งที่ปรากฏข้อความที่ตกหล่นปรากฏอยู่ในคัมภีร์น่าเชื่อถือเป็นที่สุดอย่างเช่น วิสุทธิมรรค ข้อความนั้นก็มิได้ถูกบรรจุไว้ในคัมภีร์พระไตรปิฎก

สรุปว่า คัมภีร์พระไตรปิฎกภาษาบาลีย่อมเป็นไปได้ที่มีการตกหล่นบ้าง คำกล่าวอ้างที่ว่าถูกสาวกรุ่นหลังแก้ไขเพิ่มเติมย่อมเป็นไปไม่ได้เลย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 18 ธ.ค.2007, 9:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าตอบแบบสติไม่เลอะเลือน
ตอบอย่างใจเป็นกลาง
...........................
พระไตรปิฎก ถูกปรับปรุง แก้ไข
ก็ถ้าแม้นเมีเหตุการณตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเช่นนั้น การปรับปรุง แก้ไข เกิดขึ้นแน่นอน

ถ้าเป็นนักโบราณวัตถุ
ก็ต้องวิ่งไปดูที่ต้นตอ คือ ต้นฉบับ ภาษาบาลี
แล้วสอบเทียบ พระไตรปิฎกไทย
..................................................
ถ้ายังไม่พอ ก็ต้องสอบเทียบกับ ประเทศข้างเคียง อินเดีย เนปาล
เช่น จีน พม่า ปากีสถาน ธิเบต อัฟกานิสถาน บังคลาเทศ ศรีลังกา ลาว เขมร เวียดนาม เกาหลี ญี่ปุ่น
สอบเทียบให้หมด
............................................
อะไรที่แปลเหมือนกัน
อะไรที่ต่างกัน
อะไรเป็นคำแปลตั้งแต่ ธรรมะจากอินเดีย
เอามันเข้าไป
.............................................
แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช้ต้นฉบับจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า โดยแท้ นั้นหรือ
แล้วท่านทั้งหลาย นั่งอยู่บนสถานการณ์ พระอริยสงฆ์ยุค พ.ศ.0001 ท่านจะทำอย่างไร
ถ้าท่านเป็นท่านเหล่านั้น ท่านจะทำอย่างไร
...............................................
ความดีอย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า คือ มั่นใจแล้วว่า สาวกของท่าน บรรลุพระอรหันต์แล้ว พระองค์จึงมั่นใจว่า พระอรหันต์เหล่านั้น เผยแผ่พระศาสนาได้อย่างแน่นอน ถึงกับตรัสว่า ให้แต่ละองค์เดินทางไปสอนในดินแดนต่าง ๆ โดยให้ไปเพียงองค์เดียว เท่านั้น
ถ้าเด็กนักเรียนของท่าน 1,250 คน ที่เป็นแล้ว เดินทางออกไปสอนวิชาที่เรียน ท่านคิดว่า จะสอนเหมือนกันหรือไม่
ถ้าเหมือนกัน ทำไมพิธีกรรมของศาสนาพุทธ จึงแตกต่างกัน
ถ้าไม่เหมือนกัน งานนี้ศาสนาพุทธเพี้ยนหรือไม่
ตกลงยังลังเลสงสัยอยู่ว่า เอ ศาสนาพุทธ แท้จริง แน่หรือ
...............................................
คำว่า นิพพาน การดับกิเลส คือ เป้าหมายแห่งพุทธ
ส่วนสิ่งอื่น ธรรมข้ออื่น เป็นตัวช่วยอธิบายในข้อสงสัย แห่งการดับทุกข์ จะดับทุกข์อย่างไร

สูตรที่ถูกใช้บ่อย จึงเป็นสูตรที่ถูกกล่าวถึงบ่อย
สูตรที่ไม่ถูกใช้บ่อย จึงไม่ถือเป็นสูตรหลัก การลืมเลือนจึงเกิดขึ้นได้ การไม่เข้าใจความหมายในสูตร จึงเกิดขึ้นได้ แต่ก็ไม่ใส่ใจอะไร เพราะสามารถสอนให้ผู้อื่น นิพพานได้ แล้ว เป็นอันจบการถ่ายทอด เผยแผ่
พระอรหันต์ จึงยังมีเกิดขึ้นในโลก เพียงแต่พระอรหันต์นั้นจักเผยแผ่ต่อผู้อื่นหรือไม่

ยังไม่พอ ยังมีเรื่องเล่ากันว่า พระโพธิสัตว์เกิดขึ้นในโลก รวมกันได้หลายองค์ทีเดียวเกิดขึ้นทั้งหญิงและชาย องค์ที่ดังที่สุดในไทย ตอนนี้เห็นจะเป็นเจ้าแม่กวมอิม
การเกิดพระโพธิสัตว์อาจเป็นด้วยว่า พุทธธรรมในบริเวณนั้น ว่างลง ซึ่งควรมีปรากฎต่อไป ในดินแดนที่สมควรจะมี
ก็เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจ สวรรค์ยังคงเป็นห่วงพุทธศาสนา อยู่บ้าง
ยังไม่พอ ยุคโลกพระศรีอารฯ ที่ท่านMon เคยกล่าวอ้างถึง หรือพระพุทธเจ้ากล่าวอ้างถึง ก็หวังว่าคงจะมี เมื่อนี้นพระธรรมคงเกิดขึ้นใหม่
........................................................
ก็ไม่ต้องเสียใจครับ เรื่องของศาสนาอื่น เขาก็มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลง เหมือนกัน ต้องตามอ่านดูจากประวัติศาสตร์ บางครั้งถึงกับฆ่ากันตาย ด้วยว่าศาสนาเดียวกัน แต่แตกลัทธิ สาขาอื่น แยกตัวปฎิบัติธรรม ไม่อยากเล่า
....................................
ดังนั้น ยุคสมัยเปลี่ยนไป ผู้นำทางศาสนาเปลี่ยนไป ความเพี้ยนบางเรื่องก็เปลี่ยนไป แต่แก่นของแต่ละศาสนายังคงอยู่ ด้วยว่าผู้ศรัทธาทุกคนรับทราบกันทั่ว หลักบางเรื่อง ผู้นำทางศาสนาไม่สามารถบิดเบือนได้ มีเรื่องแน่
.......................................
ในยุคปัจจุบัน การแก้ไข ปรับปรุง พระธรรม หรือศาสนาอื่น เริ่มทำได้ยาก ด้วยว่า ชาวบ้านเริ่มเก็บหนังสือธรรมะเป็นของตนเอง ไฟล์ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง
หวังว่า พระธรรมของทุกศาสนา คงอนุรักษ์เช่นนี้ตลอดไป
...........................
คงเหลือแต่คนเท่านั้น ที่จะอ่านมัน และเข้าใจมันได้ กี่มากน้อย
ผู้บรรลุธรรม จะเป็นกุญแจ สำคัญ ในการชี้ทาง ในการใช้หนังสือธรรมะนั้นได้อย่างถูกต้อง และง่ายด้าย

สาธุ
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 18 ธ.ค.2007, 10:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เด็กข้างบ้าน มันยังไม่สวดมนต์ นั่งสมาธิ เลย
เอาอะไร กับพระไตรปิฎก

เอ่อ..............
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
น้ำใส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53

ตอบตอบเมื่อ: 19 ธ.ค.2007, 1:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้ยินลุงดำพูดแล้วสะกิดใจนึกถึงวันเสาร์ที่ผ่านมา

ตอนเช้าผมไปตลาดเพื่อใส่บาตร ก็มีครูผู้หญิง(แก่แล้ว)กับลูกศิษย์(ยังหนุ่ม)เดินมา

ครูก็ใส่บาตร แล้วชวนลูกศิษย์ให้ใส่บาตร

แต่ลูกศิษย์ตอบว่า ใส่บาตรไปทำไม

แล้วลูกศิษย์คนนั้นก็ยืนเฉยๆ ในขณะที่คนอื่นๆใส่บาตร

เขาพูดเสียงค่อนข้างดังทีเดียว นักเรียนหญิง 3 คนที่ชวนกันมาใส่บาตรก็ได้ยิน ยังหันมามองกันเลย

ผมยืนอยู่ติดกับชายหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ ก็รู้สึกเศร้าใจมากทีเดียว ตกใจ

เก็บไว้คนเดียวไม่ได้ จึงนำมาเล่าให้ฟังขอรับ สาธุ

*
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 19 ธ.ค.2007, 2:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระไตรปิฏกเชื่อถือได้แค่ไหน...??

คำถามข้างต้น ช่างเหมาะเจาะ และมาได้ถูกเวลาดีแท้ เหตุเพราะข้าพเจ้าเองไปเวบฯไหน มักถูกกล่าวหาว่า ปรมาส พระสงฆ์ บ้าง ปรมาส พระไตรปิฏกบ้าง บิดเบือนพระไตรปิฏกบ้าง จากผู้รู้เท่าไม่ถึงกาล ไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจ ไม่สามารถระลึกได้ ในความเป็นอยู่ในสมัยครั้งพุทธกาล กับความเป็นอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน
หากพวกเขาคิดสักนิด ข้าพเจ้าก็คงไม่ต้องประกาศศาสนาศรีอาริย์ ไม่ต้องใช้สมองสติปัญญา ให้เหน็ดเหนื่อย
ที่ว่าถ้าพวกเขาคิดสักนิดว่า ในครั้งพุทธกาลนั้น การศึกษาวิชาการต่างๆย่อมมีข้อจำกัด อีกทั้งภาษาที่มีอยู่ ก็ย่อมมีการใช้อย่างจำกัด ไม่มากมายหลายวิธี หลายหลากรูปแบบ หลายหลากคำ และประโยคเหมือนในสมัยปัจจุบัน
วิชาการแขนงต่างๆ ก็ย่อมมีน้อยกว่า ในสมัยยุคปัจจุบันเช่นกัน
แล้วพระไตรปิฏก อันได้เขียนขึ้นมาจากคำบอกเล่าซึ่ง น่าจะเป็นความจริง ก็ย่อมใช้ศัพท์ภาษาในสมัยนั้น ซึ่ง ศัพท์ภาษาในสมัยพุทธกาลย่อมแตกต่างจากศัพท์ภาษาในสมัยปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง รวมไปถึงการดำเนินชีวิต หรือดำเนินกิจกรรมต่างๆของมนุษย์และอื่นๆ ก็ย่อมมีความแตกต่างกันอย่างมากมายหลายสถาน ที่จะมีเหมือนกันก็มีอยู่ ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง เพราะจะดูว่าเป็นการประกาศศาสนาศรีอาริย์หรือประกาศหลักศีลธรรมศรีอาริย์ อันเป็นการไม่ค่อยเหมาะสม
ดังนั้นจึงอธิบายเพียงเพื่อให้เข้าใจว่า
พระไตรปิฏกในสมัยพุทธกาล ก็น่าจะมีความเชื่อถือได้ อย่างแน่นอน
แล้วในสมัยปัจจุบันนี้ละ พระไตรปิฏก มีความน่าเชื่อถือไหม ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป การดำเนินชีวิตของมนุษย์และสิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไป ศัพท์ภาษาก็ย่อมเปลี่ยนไป
ในพระไตรปิฏก แม้จะมีภาษาดังเดิมอยู่ แต่หากเป็นหลักความจริงตามธรรมชาติ ก็ย่อมเป็นที่น่าเชื่อถือได้ แต่จะต้องมีบรรทัดฐานในอันที่จะตีความในพระไตรปิฏกให้เป็นหนึ่งเดียว ไม่ใช่ต่างคน ก็ต่างตีความหมายไปคนละแง่ เถียงกันไม่มีวันจบ
แถมยังเถียงกันในเรื่องที่ตัวเองทำไม่ได้ก็มี
แล้วถ้าหากจะถามว่า พระไตรปิฏก ได้ถูกบิดเบือน หรือได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าตอบได้เลยว่า
พระไตรปิฏก บางส่วนโดยเฉพาะในหลักธรรม หรือในหมวด สุตตันตปิฏก และอภิธรรม ปิฏก นั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลง และบิดเบือน โดยการเขียนใหม่ และตัดความบางอย่างออกไป ฉะนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
manop
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 21 ธ.ค. 2005
ตอบ: 3

ตอบตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2007, 10:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อย่าไตร่ถามว่าเชื่อได้แค่ไหน
สิ่งที่ถามถามไปเพื่ออะไร

แต่สิ่งที่ต้องรู้และเข้าใจ รู้ดีทำได้ ใช้เป็น

คือ อะไรคือแก่นแท้ ต่างหาก

พระธรรมคำสอนเป็นวิทยาศาสตร์อย่างแน่นอน เพราะพิสูจน์ได้ แต่ไม่ต้องทดลองก็รู้

เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้ เรื่อง ผลและเหตุ ความสมเหตุสมผล (อริยสัจ 4)

พระธรรมคำสอน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จึงได้บัญญัติ
ดังนั้น จะถามไปทำไมกันท่าน ว่าเชื่อได้แค่ไหน

ท่านลองพิสูจน์เองได้นะ
 

_________________
เกิด พฤหัสบดี 20มีนาคม 2518 แรมแปดค่ำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
วิชชา
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ย. 2007
ตอบ: 31
ที่อยู่ (จังหวัด): เชียงใหม่

ตอบตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2007, 11:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การตีความของปุถุชนผู้ที่เป็นปทปรมะในสมัยนี้ กับปัญญาเพียงเท่านี้

เมื่อไม่อาจจะรู้แจ้งธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ได้ ก็ย่อมจะเกิด

แต่ความสงสัยเป็นธรรมดา ความศรัทธาก็ไม่ได้ตั้งมั่น จึงคลอนแคลน

ในพระสัทธรรมอันเป็นของยากที่จะรู้ได้ด้วยการตรึก พระพุทธองค์

ทรงแสดงว่าธรรมเป็นอนัตตา แต่เราก็ลืมอยู่เสมอว่าที่กำลังสงสัยหนะ

ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ลืมไปอีกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏให้รู้ได้ใน

ขณะนี้ เป็น "ธรรมะ"ทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวเรา จะเอาอัตตาที่ไหนมาทำ ใน

เมื่อธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา



พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้าที่ 446

๑. กิมพิลสูตร ว่าด้วยเหตุปัจจัยทำให้ศาสนาเสื่อม

[๒๐๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุ-

วันใกล้เมืองกิมิลา ครั้งนั้น ท่านพระกิมพิละได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถึงที่ประทับถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถาม

ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัยเครื่องให้พระ

สัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน ในเมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
พระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสว่า ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกภิกษุ ภิกษุณี

อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงใน

ศาสดา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงในธรรม เป็นผู้ไม่มีความ

เคารพไม่มีความยำเกรงในสงฆ์ เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรง

ในสิกขา เป็นผู้ไม่มีความเคารพ ไม่มีความยำเกรงกันและกัน ดูก่อน

กิมพิละนี้ แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้พระสัทธรรมไม่ดำรงอยู่นาน

ในเมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว.


อ่านต่อที่ ....http://www.dhammahome.com/front/webboard/show.php?id=3534
 

_________________
ไม่มี
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวตำแหน่ง AIMYahoo MessengerMSN Messenger
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2007, 2:53 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ที่มา : นสพ.มติชน 27 ธ.ค.46

เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม คณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กรมการศาสนา และมูลนิธิภูมิพโลภิกขุ

จัดสัมมนาเรื่อง "ความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย" เป็นวันที่สอง ทั้งนี้ นายอมร รักษาสัตย์ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า จากข้อมูลวิจัยพบว่าความมั่นคงของพระพุทธศาสนาจะมี 2 ทาง คือ ความมั่นคงภายในเกี่ยวข้องกับพุทธบริษัท ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก หากชาวพุทธทำลายกันเองจะเป็นเรื่องน่าห่วง นอกจากนี้ ยังมีความมั่นคงภายนอกที่มีศาสนาอื่นเข้ามาเผยแผ่ บางศาสนามีการบังคับให้นับถือ เช่น คนที่มาแต่งงานเป็นสามีภรรยากันต้องมานับถือศาสนาเดียวกัน แต่คิดว่าคงไม่ร้ายแรงเท่าไรนัก

"ในส่วนของพระพุทธศาสนา แม้จะมีข้อมูลว่าคนไทยประมาณ 94% นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็เป็นข้อมูลหลายปีแล้ว หากความจริงตัวเลขคนไทยที่นับถือพระพุทธศาสนาน่าจะลดเหลือประมาณ 85% เท่านั้น ขณะที่ตัวเลขของผู้นับถือศาสนาอื่นน่าจะมีเพิ่มขึ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2007, 9:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก็จำได้ว่าท่านmontasavi เป็นพระสงฆ์
เอ่อ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
ก็พอจะดูออก ว่า พระฝรั่ง เป็นผู้อ่านมาก อ่านทั้งพระไตรปิฎก อ่านทั้งข่าวศาสนา คือ ติดตามทุกเรื่องที่เป็นข่าวพระพุทธศาสนา
มีอะไรเกี่ยวกับพระ กับเจ้า ก็เอามาเล่าสู่กันฟัง ทั้งข่าวดี และข่าวร้าย
ตื่นเต้นไปทุกเรื่อง จิตใจเลยไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
อืมม์ อืมม์ อืมม์
ท่านmon ลุงต้องบอกว่า สนใจตัวเอง มาก ๆ เถอะท่าน ตั้งใจประคองจิต ทุกวัน
เห็นอะไร ก็สักแต่อว่าเห็น คำพระคำเจ้า เขาว่าอย่างนั้น
เห็นผี เห็นเทวดา ก็สักแต่ว่าเห็น จิตอย่าได้ตื่นเต้น
เห็นข่าวร้าย ข่าวดี ก็สักว่าแต่เห็น จิตอย่าได้ตื่นเต้น
ทำดี เข้าไว้ ทำดี เข้าไว้
เหมือนเด็กนักเรียนพยายามสอบให้ได้ที่ 1 ของห้อง ทุกครั้ง
เรื่องอื่น เด็กเรียนไม่สน มุ่งแต่เรียนอย่างเดียวเท่านั้น

ลุงกำลังจะบอกว่า ท่านMonจับได้ นิพพาน หรือยัง
ถ้ายัง จับไม่ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องคุย
ถ้ายัง จับไม่ได้ เรื่องชาติหน้า แบบพระ ดาไล ลามะ ไม่ต้องเอามาคุย
พระพุทธเจ้า กระซิบบอกข้างๆหูของท่านว่า ไปถึง นิพพาน หรือ ยัง เอ่อ

ลุงว่า ถ้าท่านจับ นิพพาน ได้
ต่อไป คนอื่น เขาจะไปหา ท่านเอง เอ่อ
ที่นี้ ตัวท่านเอง จะเป็นข่าว ข่าวดี ชองพุทธ ที่นี้ตอบไม่ถูกเลย นักข่าวถามเยอะยะเลย เอ่อ

ไอ้นักข่าว มันชอบไปหาคนดัง ๆ คนเลวสุด ๆ เรื่องร้าย สุด ๆ
เรื่องกลาง เรื่องธรรมดา มันไปเขียนให้อ่านหรอก พ่อ เอ่อ

ไม่แน่นะ ต่อไป ท่านmon ได้นิพพานแล้ว ต่อไปก็ไม่มีคำถามอะไร ไม่มีเรื่องอื่นจะพูด
เพราะเงียบ บางทีก็ดีกว่า พูดมาก ๆ มันเหนื่อยนะ ท่านmon เอ่อ

สาธุ สาธุ สาธุ
ขอให้ท่านจับ นิพพาน ได้นะ ค่อย ๆ หา ให้พบนะ อย่าได้ไปหาจากหนังสือธรรมะ มันไม่มี
ให้ไปหาที่ใจ หาให้ได้ติดต่อกันตลอดเวลาของชีวิต ประคองเอาไว้ อย่าให้มันหลุด
พูดให้น้อยที่สุด ประคอง นิพพาน นั้นให้มาก ๆ เอ่อ

ลุงสอนพระ นิ ผิดหรือปล่าว ก็ไม่รู้
ขออโหสิกรรม นะ ท่านmon
สาธุ
อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 9:23 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นิพพานไม่ใช่ สิ่งของหรือวัตถุ ที่ใครๆจะไปจับต้องเอาได้ง่ายๆ เพราะนิพพานนั้น เป็นปรากฎการ หรือเป็นผลแห่งการปฏิบัติธรรม ซึ่งเมื่อผู้ใดบรรลุถึงนิพพานแล้ว ย่อมมีปรากฏการณ์ ทางสรีระร่างกายให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
อีกทั้งการจะบรรลุ ธรรม เอาแค่ โสดาบัน ก็ต้องมีหลักธรรมะ ต้องรู้ ต้องเข้าใจในหลักธรรมะ รวมไปถึงหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจึงจะสามารถปฏิบัติได้ผล
ถ้ารู้หลักธรรมไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง อย่างมากก็แค่รู้จักควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส ออกจากร่างกายได้ กลับจะกลายเป็นผลร้ายต่อตัวเองและผู้อื่น
เพราะกิเลสนั้น จะเป็นคลื่นที่สกปรก มีสีดำ มีอันตรายต่อระบบการทำงานของสรีระร่างกาย เขาจึงเรียก กิเลสว่า "เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง" ฉะนี้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 9:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมเพิ่งกลับจะปฏิบัติวิปัสสนา ๗ เดือน..

เข้าไปดูได้ที่ : http://www.tlcthai.com/club/list_topic.php?club=buddhism&club_id=1278&table_id=1&cate_id=788


ลุงสอนผมมาหลายขอ้ง...ก็คงเป็นผู้แจ่มแจ้งในสภาวธรรมมาเป็นอย่างดี

จึงอยากขอให้คุณลง...ไปให้คำเสนอแนะที่เว็บธรรมของผมหน่อยนะครับ....กำลังต้องการให้ปราชญ์ผู้รู้จริงให้คำแนะนำอยู่พอดีเลยครับ ..โดยเฉพาะเรื่องนิพพานครับ

...ถ้าสภาวะเราตรงกัน..ก็คงจะคุยกันได้อย่างออกรสเลยที่เดียวนะครับ..

ขอบคุณล่วงหน้านะครับ..คุณลุงดำ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2007, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อ้าว เอ่อ อ้าว
อาย จริง ๆ ลุงก็ไม่ได้เป็น ปราชญ์
ปราชญ์ด้านพุทธ โดยมาก อยู่ในวัด อยู่ในธุดงคสถาน

ปราชญเหล่านี้ โดยส่วนใหญ่ เป็นผู้พูดน้อย คิดน้อย(คิดเรื่องโน้น นี่ น้อย ไปเล่นเกมเศรษฐี ไม่ได้ ตกรอบแรก แน่ ๆ)
ท่านจงไปดูตัวอย่าง ท่านจงไปติดตามผู้คนเหล่านั้น จะดีกว่า ลุงมันไม่เท่าไหร่(ไม่ได้ฉลาดพุทธ)

แบบอย่างของพระสงฆ์ไทยมีอยู่มาก ไม่ได้เป็นห่วงร่างกาย ไม่ได้ออกกำลังกายแขนขามาก ออกแต่กำลังจิต ออกกำลังจิตหลาย ๆ ชั่วโมง บางรูปออกทั้งปี ทั้งชาติ ดูเหมือนเป็นคนโง่ ไม่สนใจข่าวสารอะไร ไม่ค่อยสนใจใคร แต่สนใจเพียงนิพพานของตนเอง ก็มีอยู่มาก (ลุงเข้าใจว่า พระเหล่านั้นก็ไม่ได้ผิด พยายามสุด ๆ มันเหมือนเป็นปริศนาธรรม ว่า พระพุทธเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้อื่น ๆ นั่งสักเท่าไร จึงเกิดตรัสรู้สัมมาโพธิญาณได้ (คำพูดมันดูสูงส่ง แต่อาจไม่มีอะไรเลยก็ได้ คือ จิตของพระพุทธเจ้า เป็นจิตที่ว่างจากกิเลสทั้งปวง จิตว่างเป็นที่สุดแล้ว) พระพุทธเจ้าในยุคนั้น คงไม่ได้อ่านข่าวอะไรมากมาย เมื่อก่อนมันไม่มีหนังสือพิมพ์ กว่าจะมีจักษุทิพย์ หูทิพย์ ก็ไม่ได้สนใจข่าวแย่ ๆ สนใจแต่จะช่วย คน ให้หลุดพ้นทุกข์เท่านั้น

ลุงจึงคิดว่า ลุงไม่ใช่เป้าหลอมที่ดีนัก ลุงยังไม่ใช่ปราญช์ ลุงยังไม่เก่งเรื่องบาลี เลย อีกไกลเลย ลุงขอมานั่งข้าง ๆ พระ แถวนี้ ดีกว่า มีแค่ 100 -200 บาท กินข้าวไปวัน ๆ

ปรบมือ ปรบมือ ปรบมือ
ลุงก็อ่านเรื่องของท่านmon อยู่เหมือนกัน ในเว็บนี้
และก็ดูDisvcoverry ดูHistory ในUBC เรื่องเกี่ยวกับ ศาสนาพุทธ เรื่องของพระธิเบต

ก็รู้สึกว่า ฝรั่ง พระฝรั่ง สนใจในเรื่องของ ชาตินี้ ชาติหน้า เป็นอย่างมาก
เน้นมาก เช่น พระผู้นำของพระธิเบต ก็กลับชาติมาเกิด มาสอนธรรมะต่อไป

ไม่รู้ฝรั่ง พยายาม หา Time Machine แห่งศาสนาพุทธจากพระธิเบต ทำไม
ลุงขอแสดงความเห็น เพราะมันมีกิเลสไง มันอยากกลับมาเกิดเป็นคน หลาย ๆ รอบ มากิน มาเสพ
ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ อีกหลาย ๆ รอบ มาเสพวิวัฒนาการใหม่ ไฮเทคใหม่ ของโลก ไง จิตมันรู้ว่าอนาคตมันต้องก้าวไกลกว่านี้ มันถึงมีบางคนตัดคอตัวเองแช่แข็งไว้ ต่อคอ คนอื่น ไง มันบ้า

อีกเรี่องคือ พระฝรั่ง สนใจในเรื่องโลกแตก ยังมีเวลาอีกมากเลย 5000-6000 ปี
เมื่อรู้วิธีกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ทีนี้ เอาใหญ่เลย ทำอย่างไร อย่างไร ก็ได้เกิดเป็นมนุษย์ สบายเลย ไม่พ้นทุกข์ไม่เป็นไร ได้เป็นคน สบาย
รอพระพุทธเจ้า องค์ที่ 5 ก็แล้วกัน อ้างพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 กล่าวเช่นนั้น
มันเป็นกรรมที่กล่าวหรือเปล่า มนุษย์หนอ มนุษย์หนอ บอกให้มันรู้มาก จิตมันก็รู้มากตาม การโต้แย้งทางความคิด มันจึงมาก เอ่อ น่าเบื่อ

ก็ขอให้มนุษย์ที่อยากเกิดใหม่ หลาย ๆ รอบ จำความข้ามภพ ข้ามชาติ ได้นะ ลุงจะดูมัน เอ่อ
มันจะจำได้อย่างไร คนเป็นล้าน ๆ แต่เขียนเรื่อง คนกลับชาติมาเกิด ไม่ถึงแสนคน เอ่อ
สมองนักวิชาการ มันคิดอะไร จุดประกายอะไร เชื่อลุงเถอะ ท่านเอง ชาติหน้าก็อาจจำอะไรไม่ได้ อาจต้องข้ามศาสนา ข้ามยังไม่พอ สะสมกิเลส ตายไปแล้ววนกลับเป็น..............วนกลับมาเป็นคน กลับไป กลับมา สนุกดี เอ่อ มันบ่นว่าเหนื่อยจิต แต่มันก็สนุกของมัน เอ่อ
ตกใจ ตกใจ ตกใจ

พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ดีใจ ที่ได้เกิดใหม่ หลาย ๆ รอบ
พระพุทธเจ้า เหมือนจะบอกว่า เอ่อ ทำดี ทำกุศลรอบนี้ ยังได้แค่นี้ ได้แค่โสดาบัน ไม่เป็นไร
ต่อไปเจ้าคงได้เกิดเป็นมนุษย์อีก พบพระพุทธศาสนาอีก ขอให้เร่งทำ เร่งหา นิพพาน เร่งดับกิเลสให้หมดสิ้น จะได้ไม่ต้องมาเกิดทนทุกข์ วนเวียนกับวัฎฎสงสารนี้อีก อ่านเท่านี้ ลุงก็พอเข้าใจแล้ว อ๊อ พระพุทธเจ้า ท่านคิดแบบนี้ ท่านชี้เป้าหมายแบบนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องอะไรมาก จิตอยู่ที่ไหน จิตคิดอะไรอยู่ ทำอย่างไรให้จิตไม่คิดไม่ติดกับกิเลสทั้งมวล ทำอย่างไรร่างกายยังพอทรงตัวอยู่ได้ ไม่เจ็บไม่ไข้ พอจะนั่งเฝ้ามองกิเลสของตนเองทุกวัน ทุกเวลา เอ่อ

ความคิดเห็นเก่า จึงปรับเปลี่ยนได้ ปรับไปในทางทีดี ก็ได้ ทางที่เลวก็ได้


ลุงสงสัย อยู่ข้อเดียว คือ มนุษย์เวลาได้นิพพานแล้ว มันจะน่าเบื่อ และไม่รู้ตัวว่าได้ นิพพาน แล้ว ทำไมมนุษย์ มันยังวนไปหา กิเลสน้อย ๆ และ ไปหากิเลสที่มากขึ้น มากขึ้นได้อีก สิ่งนี้มนุษย์ยังคงโง่อยู่ รู้อยู่อย่างเดียว พระสงฆ์ได้เปรียบอยู่ คือ ใช้ศีล 227 ข้อ เป็นเครื่องพิจารณา ว่า กลับไปหากิเลส แบบนั้น อีกหรือเปล่า
ศีล 227 ข้อ จึงดูเหมือนเป็นมรดกชิ้นสุดท้ายของพระพุทธเจ้า
ศึล 227 ข้อ จึงเหมือน กาลจักร ที่ฝรั่งค้นหา ไทม์แมชชีนแห่งจิต
ศีล 227 ข้อ เป็นสิ่งหนึ่งที่ท่านมีอยู่แล้ว ที่ท่านสามารถทำให้เกิด โสดาบัน ได้
ศีล 227 ข้อ จึงเป็นเรื่องของ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน เพราะไม่มีใคร ควบคุมดูแลตนเองได้
เลวก็รู้อยู่แก่ใจ ดีขึ้นก็รู้อยู่แก่ใจ ทำอะไรแล้วนอกเหนือศึล227 นอกเหนือกิเลสที่ทราบ ถ้าไม่แน่ใจว่าถูกหรือผิด ก็อย่าได้ไปทำอีก

ลุงว่า ท่านพบแล้ว พบแล้วแต่ไม่ไขให้ละเอียด ในเรื่องใกล้ตัว ดันไปเรื่องข่าวของผู้อื่น ยิ่งอ่านก็ยิ่งได้ข่าวของผู้อื่น ตนเองไม่ได้อะไรจากสิ่งที่ใกล้ตัว จิตใจจึงหวั่นไหว จิตใจจึงเป็นทุกข์ ความสงบในวาจา ในกาย ในใจ จึงไม่มี กระทู้คำถามจึงเกิดขึ้นมากมาย
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
amarita
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 10:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มาชวนลุงดำ ....ไปหม่ำข้าว ขำ
 

_________________
ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 11:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ่อ อ้าว อ้าว เอ่อ
เอาไป เอาไปกินด้วย เอาหนังสือไปกินด้วย เอ่อ จะได้ฉลาดธรรม เอ่อ

อย่าทื่อ ๆ ไปตามลุงมาก อ่านของพระ ของเจ้า บ้างก็ได้นะ

ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน

มีศีลอย่างเดียวไม่พอ ก็ให้นึกกิเลส ทำอย่างไรให้กิเลสตัวนั้นหมด ไม่มี
ก็จดบันทึกเพิ่มจากศีล ก็ได้นะ ไม่มีใครห้าม
พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า กาลเวลาผ่านไปแล้ว ยินดีให้ตัด เพิ่ม ลด ศีลของพระพุทธเจ้า ได้นะ

แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำนะ เพราะคิดไม่ตก เหมือนกัน
ก็เขียนเพิ่มให้กับตนเอง ก็ได้ ยิ่งทำมากยิ่งได้มาก แต่อย่าทำจนเกร็ง จนเดินไปไหนไม่ได้ เดี๋ยวดูไม่เหมือน คน เอ่อ.... ถ้าเหมือนเทพ ลุงก็ว่าดีนะ มันดูดี แต่อย่าหลงตัวเองว่าเป็นเทพ เทวดา มันโมหะ มันอวดความดี มันมากไป

เอ่อ มึน กินข้าวดีกว่า เอ่อ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
amarita
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 12:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ่อ อ้าว อ้าว เอ่อ
เอาไป เอาไปกินด้วย เอาหนังสือไปกินด้วย เอ่อ จะได้ฉลาดธรรม เอ่อ

อย่าทื่อ ๆ ไปตามลุงมาก อ่านของพระ ของเจ้า บ้างก็ได้นะ


จ้า...แต่อ่านของลุงแล้วชอบเจงๆ ทันสมัยอ่ะ
ธรรมะของพระของเจ้า ลุงจะแนะนำได้หรือเปล่าคะ ??

หลานพยายามรักษาศีล 5 ให้ได้ บางวันยังไม่รอดเลย ดอกไม้
 

_________________
ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 9:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เอ่อ amarita เป็นผู้ใฝ่รู้ ใฝ่รู้ เอ่อ ดี ดี
ลุงเอง บางวัน ก็รักษาศีล 5 ไม่ได้ เพราะทำงาน บางครั้งมันก็หลุด บางครั้งนายก็สั่งแบบนั้น มันก็ผิด เอ่อ
ต้องเลิกทำงาน พระบางองค์ ก็บอกว่า ห้ามเลิก ต้องทำงาน ต้องควบคุมนิสัยของตนเอง ให้อยู่ในกรอบ เอ่อ ยาก
สงสัย สงสัย สงสัย

ศีล 5 หากเมื่อคิดให้ลึกซึ้งมากขึ้น จะยิ่งทำยาก มากขึ้น

amarita คงคิดไม่ถึงว่า ศีล 5 ข้อใดที่พระพุทธเจ้า อยากให้พัฒนามากที่สุด เอ่อ

ถ้าตอบอย่างเป็นกลาง ๆ ดูจาก ศีล 8 ศีล 10 และศีล227 ข้อ ก็พอจะทราบว่า

ศีลว่าด้วย กาเม ศีลว่าด้วยเรื่อง เพศสัมพันธ์ เป็นศีลที่ พระพุทธเจ้า อยากให้พัฒนามากขึ้น มากขึ้น เรียกได้ว่า ประพฤติ พรหมจรรย์

amarita สามารถหรือไม่
amarita ยินดีหรือไม่ ที่จะอยู่เป็นโสด และไม่ได้รังเกียจผู้อื่น มากจนเกินไป
คือ ไม่ได้รังเกียจ ผู้ชายมากจนเกินไป เพศตรงข้าม ไม่ได้รังเกียจ เพศเดียวกัน ก็ไม่ได้รังเกียจ และไม่รักใครแบบนั้น เอ่อ

มีพระสงฆ์แห่งหนึ่ง ท่านว่า การได้อยู่เป็นโสด ถือว่าผู้นั้นโชคดีแล้ว ระดับหนึ่ง ไปสู่โสดาบันได้โดยง่าย ถ้าปฏิบัติธรรมด้านอื่น ๆ สำเร็จ(ยังไม่ได้ให้ไปบวชชี นะ เอ่อ)

ส่วนศีลอีก 4 ข้อ คงต้องทำไปด้วย
ศีล 1 ไม่ฆ่าสัตว์
ไม่ฆ่าสัตว์ ยังไม่พอ จิตใจให้รู้สึก ไม่เป็นโทสะ คือ ไม่ทะเลาะกัน ไม่ตีกัน ไม่โกรธง่าย ว่าอะไรหน่อย ก็โกรธ ว่าโง่ ก็โกรธ ว่าเลว ก็โกรธ เอ่อ บางทีคนว่า มันไม่รู้เรื่องในธรรมะ บางครั้งมันก็ว่า ไปเรื่อย บางทีเธอเอง ก็นึกว่าเธอเป็นคนดี มีศีล 5 ใครมาว่าก็ไม่ได้ อย่างนี้ เข้าใจผิด คือ ยังเป็นผู้ที่โกรธง่าย เรียนรู้วิชาอื่น เรียนรู้ธรรมะ เรียนรู้ตามผู้อื่นได้ยาก เพราะปิดกั้นตนเอง ตั้งแต่ต้น

อีกทางหนึ่ง นอกจากตนเองไม่โกรธง่าย ทำอย่างไรไม่ทำให้ผู้อื่นโกรธง่าย เพราะกิริยาท่าทางของตนเอง(กายกรรม) เพราะคำพูดของตนเอง(วจีกรรม) คือท่าทาง และคำพูด ชวนให้เขาอารมณ์เสียหรือไม่ พอทำให้เขาอารมณ์เสีย ตนเองก็ต้องอารมณ์เสียด้วย เพราะเขาเริ่มชวนทะเลาะกับตน เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่อยากให้ตนเองโกรธ ก็อย่าไปทำให้มันโกรธ เว้นแต่ตนเองสามารถควบคุมตนเองและผู้อื่นได้ ระดับหนึ่ง และเห็นว่าควรทำ ก็ต้องสอนให้ผู้อื่นทำดี ทำตามตน
แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ ยังไม่เก่งพอ ก็อย่าได้ทำ เดี๋ยวจะโดน...... ลุงก็ช่วยอะไรไม่ได้ เอ่อ

ศีล 2 ห้ามลักทรัพย์
ห้ามขโมย หรือไม่ก็ ห้ามปล้นเลย หรือ ขั้นสูงขึ้นไป คือ ห้ามโลภะ คือไม่ขโมยยังไม่พอ ห้ามโลภมากด้วย โลภมากมันก็ก่อกิเลสในตัวเองมาก ขยันทำมาหากินมาก จนลืมเรื่อง ลดกิเลส หยุดกิเลสในตนเอง ทำให้เราก้าวต่อไปในศีล 8 ศีล10 ศีล 227 ไม่ได้ เพราะสนใจแต่เรื่องหาเงินหาทอง ไม่หาธรรมะขั้นสูง เอ่อ
เพราะมัวแต่โลภอยู่ ดูเหมือนไม่ผิด แต่ใจมันติดอยู่ในรสของเงิน ของทรัพย์ ของที่เกินความจำเป็น ต้องมีมือถือเครื่องละ 20000 มีมือถือเครื่องละ 1700 ไม่ได้ อาย หรือ ใช้ไม่ได้ มันกระจอก พอมันหายไป เสียไป ก็มานั่งเศร้า ทุกข์จริง

ศีล 3 เว้นจากประพฤติผิดในกาม
คือ เว้นจากประพฤติผิดต่อ สามี หรือ ภรรยา ผู้อื่น
คือ เว้นจากเสพ กาม มั่วเพศ มั่วไปหมด เอ่อ
ดูเหมือนไม่มีอะไร ถ้ามันสมยอมกัน เอ่อ
เรื่องแบบนี้ ลุงคงไม่ต้องสอนมาก ไปดูละคร ดูหนัง หลาย ๆ เรื่อง ผัวเมีย ตีกัน แฟนมันตีกัน นางเอก พระเอกมันทะเลาะกัน มันยุ่งทั้งชีวิต เอ่อ
โดยสรุป คือ กามราคะ ความรักใคร่ เป็นเริ่มต้นของ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ รวมไปถึง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
คนหรือเพศตรงข้าม หรือแม้นแต่เพศเดียวกัน วิตถาร ล้วนเป็นกิเลสรวมมิตร จริง ๆ ไม่ใช่เพราะเรื่องเพศ มันเป็นเรื่องของกิเลสของคน 2 คนนั่นเอง ยิ่งมีหลายคนมาเกี่ยวข้องกันในเรื่องราคะ มันจะมั่วไปหมด บางทีมันถึงกับฆ่ากันตาย คนถือศีล 5 จึงไม่เข้าใจว่า ถือศีลทั้ง 5 ดี ๆ ทำไมต้องตาย แปลก
เพราะเรื่องคนสัมพันธ์กับคน นี้แหละ สุดยอดแห่งกิเลส ควบคุมสติ ควบคุมกิเลสไม่ได้ เท่าใดจึงเรียกว่า ล้ำเส้นกิเลส เมื่อนั้น ผู้นั้นจะนั่งอยู่บนกองทุกข์แห่งศีลข้อ 3 นี้ ดูเป็นเรื่องยากจริง ถ้าผู้นั้น ตกหลุมแห่งรักใคร่
หนังรักก็ดี เพลงรักก็ไพเราะ โอ้ โลกนี้ช่างสีชมพู หวาน น่าอยู่เสียจริง เอ่อ

ศีล 4 เว้นจากพูดเท็จ
ห้ามพูดโกหก เอ่อ เป้าหมายคือ ห้ามพูดให้ผู้อื่นเข้าใจผิด
คือห้ามเบียดเบียน ผู้อื่นโดยการพูด พูดเพื่อได้ ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข จากการโกหก
โกหก เพื่อหลอกเอาทรัพย์ หรือ ไม่ยอมเสียทรัพย์
โกหก เพื่อหลอกไปฆ่า
โกหก เพื่อให้สรรเสริญตน เพื่อยกย่องตน เพื่อให้นับถือตน เพื่อให้เลือกตั้งตน(ทำไม่ได้จริง ก็โกหกให้มันเลือกฉันไปก่อน ) เอ่อ แปลก
โกหกที่เลวที่สุด คือ สอนลัทธิศาสนา ให้เดินไปผิดทาง โอ้ คนมันไปผิดทาง นึกว่า ไปทางนั้น แล้วได้ขึ้นสวรรค์ ได้ไปนิพพาน มันเลวสุด ๆ ไอ้คนสอนแบบนี้ สุดท้ายตายไป ไม่รู้ไปไหน
บางทีมันก็ไม่รู้นะ ว่ามันสอนได้ถูกทางหรือเปล่า
ก็อย่าเพิ่งว่า ลุงนะ ไม่ได้ว่า ศาสนาอื่น นะ ศาสนาอื่น ถ้าอ่าน ถ้าฟังให้ดี ผู้ศรัทธาตามศาสนานั้น ได้รับถึงขั้นโสดาบัน ก็ได้นา ไม่จำเป็นต้องเป็นพุทธ ก็ได้ นา เอ่อ
แต่ถ้าศาสนา สอนไปผิด ๆ มันก็กรรมนะ เอ่อ ไม่พูดต่อ เดี๋ยวลุงติดคุก เอ่อ
เอาเป็นว่า คำพูดโกหก ถือว่า เป็นคนที่ไม่น่าคบที่สุด สังคมรู้กันทั่ว ผู้นั้น จะอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าทางโลก หรือทางธรรม
การรู้ไม่จริง บางครั้งจึงไม่ควรยืนยัน ว่าจริง เดี๋ยวมันจะโกหก
การรู้ว่าจริง จริงๆ บางครั้งมันเป็นภัย สำหรับตนเอง ก็ไม่ควรพูด
รอไว้นิพพานก่อน เถิด อยากพูดคำจริง จงพูด เวลานั้นคงคิดได้ เมื่อไรควรพูด หรือไม่ควรพูด

การพูดในเรื่องธรรมะ คือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ทำให้ผู้อื่นรู้หนทางแห่งการดับทุกข์ ถือว่า สร้างบุญ ถือว่า ทำให้ผู้อื่นได้พ้นทุกข์เช่นกัน
การพูดแบบนี้ จึงเป็นสิ่งตรงข้ามกับ การพูดเท็จ
ยิ่งสั่งสอนมาก (สอนด้วยความเมตตา กรุณามาก) ทำให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์มากจากการดับทุกข์ สาธุ...

ศีล 5 การเว้นจากของเมา ยาเสพติด
คือ ห้ามดื่มเหล้า ห้ามเสพยา ที่ทำให้สติเสียการควบคุมกิเลสของตนเอง อีกทั้งร่างกายก็จะแย่ลง เสื่อมลงโดยเร็ว อ่านหนังสืออะไรก็ไม่รู้เรื่อง
ยิ่งเมาหัวราน้ำทุกวัน สมองมันแช่เหล้า พูดอะไรก็มึน ไม่รู้เรื่อง คือ สติไม่สม ป ฤดี แล้ว ฟัง ก็ไม่รู้เรื่อง พูดก็ไม่รู้เรื่อง คือ ไม่พร้อมที่จะเรียนหนังสือ ไม่พร้อมที่จะฟังคำสอนใครได้ เอ่อ มันเมา

หนังสือธรรมะเก่า ๆ เขาพ่วงศีล 5 ไปกับอบายมุข 6 ด้วย(ทางแห่งความเสื่อม)
1.ดื่มน้ำเมา
คือ มันเมา ก็ไม่พร้อมจะเรียนธรรมะ ร่างกายก็เสื่อมถอย เร็ว

2.เที่ยวกลางคืน
คือ มันมั่วแต่เที่ยว แย่สุดไปเที่ยวผู้หญิง จึงเสียเวลาไปมาก ไม่ได้เรียนธรรมะเพิ่มเติม กิเลสทั้ง 4 ชนิด ก็เพิ่มโดยไม่รู้ตัว

3.ดูการละเล่น
(อย่าว่า ลุงนะ) คนที่ชอบดูหนัง ดูละคร ดูการละเล่น เอาเป็นว่าดูทุกอย่าง ที่ทำให้เสียเวลากับการเรียนรู้ธรรมะ (รวมไปถึงเสียเวลาเรียนหนังสือด้วย)
บางคนดูจน ตี 2 ตี3 ทุกวัน
หัวเลยมึน ไม่พร้อมจะทำงาน ไม่พร้อมจะเรียนธรรมะ เอ่อ

4.เล่นการพนัน
โอย ไม่ต้องเล่า มันยาว เสียเวลาไปเล่น เสียเวลาไปเสี่ยงโชค ได้เงินก็ไปทำให้ได้เพิ่ม เสียเงินก็กลุ้มใจ
4.1.ผู้แพ้พนัน ย่อมก่อกรรมอื่น คือ ไปขโมยทรัพย์ ไปโกหกเอาทรัพย์ผู้อื่น เอ่อ
4.2.ผู้ชนะ มันก็เอาไปทำอย่างอื่น คือ เอาไปเล่นต่อ เอาไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย มันเอามาได้ง่าย ก็หมดง่าย วัน ๆ มันเลยไม่ได้เรียนรู้ธรรมะ เพิ่มเติม กิเลสมีแต่โลภะ เพื่อซื้อกิเลสอื่นมาเสพ ต่อไป
4.3.ถ้อยคำของคนเล่นการพนัน ก็แย่ ๆ พูดแบบมึน กลับไป กลับมา ยิ่งชอบเล่นไพ่ ร่างกายก็เพลีย ไม่พร้อมจะทำงาน ไม่ต่างจากคนเมาเหล้าหัวราน้ำ เท่าไรนัก
4.4.เพื่อนฝูงดูหมิ่น ดูแคลน บางทีเสียเครดิตก็มี เพราะมันเบี้ยวหนี้ที่ยืมเงินไปต่อไปก็ไม่ใครคบ เพราะอะไรก็ไม่มีเงิน จะขอยืม ขอกินด้วย อย่างเดียว เอ่อ แย่จริง ๆ

5.คบคนชั่ว
ก็มันคบแล้ว มันเลย ทำคบเลย อบายมุข 5 เอ่อ เบื่อจะเล่า
คบคนชั่ว ลุงก็ไม่ต้องเล่ามาก ถ้ามันผิดศีล 5 อบายมุข 5 ก็จบหลักสูตรคนชั่ว เอ่อ ไม่ต้องอธิบายนะ ดีใจด้วยนะที่ทำให้เสียเวลาเรียนธรรมะ

6.ขี้เกียจ
ข้อนี้ ที่สุดแห่งความเสียเวลาเรียนธรรมะ
ก็ถ้ามันขี้เกียจ ไม่ขยัน เรียนธรรมะ
ไม่ขยันทำงาน ไม่ขยันเรียนหนังสือ แล้วอะไรบ้างที่มันจะรอดได้
ถ้าเป็นแบบนี้ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง
สุดยอดจริง ๆ อะไรมันก็ทำไม่เป็น เอ่อ ใครก็ไม่อยากคบ ให้มันนอนอยู่ตรงนี้ ก็แล้วกัน เอ่อ

เอ่อ เรื่องของ ศีล 5 เรื่องของอบายมุข 6 เป็นเรื่องที่คนทั่วไป ก็ทำได้ยาก เช่นกัน ตั้งสติให้ดี รู้แล้วว่าเริ่มผิด ตั้งใจทำใหม่ให้ ดีขึ้น อย่าได้ผิดศีล อย่าได้ผิดอบายมุข

ตั้งศีลแต่ละข้อ ให้มี เครื่องวัด มีสเกล ขีดวัด 1 - 10
เวลาใด จิต เริ่มผิดศีลอ่อน ๆ ถึง ขีด 1- 3 ก็จงเตือนตนเอง พยายามไปที่ 0 ให้ได้
กิเลสข้อใด ศีลข้อใด เริ่มเพิ่มขึ้น เป็น 1-3 ก็ต้องเตือนให้ลด เป็น 0 ให้ได้
ถ้าถึงขีด 5 - 10 ก็ถือว่าศีลขาด ขาดแบบธรรมะ ยอมให้แก้ตัวได้
บางธรรมะ ไม่ยอมให้แก้ตัวได้ คือ ร่างกายถึงตายได้ เพราะ กาย วาจา ใจ ของตนเอง มันเลวมาก จนผู้อื่นอดทนไม่ได้ เธอจึงต้องตาย หมดเวลาที่จะศึกษาธรรมะ หมดเวลาที่จะดับกิเลส

การถือศีล 5 เป็นเพียงระดับอนุบาล ถ้าทำได้แค่นี้ นิพพาน คงยังไม่ได้ ต้องวนตายวนเกิดใหม่ อีกหลายรอบ เอ่อ บ้าจริง ๆ แต่ก็ต้องทนทุกข์ใช้กรรมต่อไป เอ่อ

ก็ขอให้หลาน ไปอ่านเพิ่มเติม จากพระสงฆ์ จากผู้อื่น เปรียบเทียบความเห็นของลุงนะ เอ่อ ศึกษาเปรียบเทียบหน่อย เอ่อ
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 24 ธ.ค.2007, 10:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Buddha พิมพ์ว่า:
นิพพานไม่ใช่ สิ่งของหรือวัตถุ ที่ใครๆจะไปจับต้องเอาได้ง่ายๆ เพราะนิพพานนั้น เป็นปรากฎการ หรือเป็นผลแห่งการปฏิบัติธรรม ซึ่งเมื่อผู้ใดบรรลุถึงนิพพานแล้ว ย่อมมีปรากฏการณ์ ทางสรีระร่างกายให้เห็นได้ด้วยตาเปล่า
อีกทั้งการจะบรรลุ ธรรม เอาแค่ โสดาบัน ก็ต้องมีหลักธรรมะ ต้องรู้ ต้องเข้าใจในหลักธรรมะ รวมไปถึงหลักปฏิบัติที่ถูกต้องจึงจะสามารถปฏิบัติได้ผล
ถ้ารู้หลักธรรมไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง อย่างมากก็แค่รู้จักควบคุมตัวเองได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่สามารถขจัดอาสวะแห่งกิเลส ออกจากร่างกายได้ กลับจะกลายเป็นผลร้ายต่อตัวเองและผู้อื่น
เพราะกิเลสนั้น จะเป็นคลื่นที่สกปรก มีสีดำ มีอันตรายต่อระบบการทำงานของสรีระร่างกาย เขาจึงเรียก กิเลสว่า "เครื่องทำให้ใจเศร้าหมอง" ฉะนี้


เอ่อ ลืมตอบของพ่อBud เอ่อ
ลุงก็เล่นคำ น่ะ พ่อBud
นิพพาน แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่รูปธรรม และ ไม่ใช่นามธรรม เอ่อ
แต่มันไม่มีอะไรเลย (ก็ได้) เอ่อ งง

เพราะเมื่อจิตว่างจากกิเลส สุด ๆ จิตนั้นย่อมไม่มีอะไร เอ่อ

แต่ลุงพูดแบบนี้ เหมือนลุงเก่ง แต่การจับความรู้สึกเช่นนั้นได้ มันจับได้ยาก ตอนนี้ ลุงตอบไม่ได้
ไม่ได้บอกว่า จับวัตถุ จับรูปธรรม พูดให้จิตมันรู้ว่า เอ่อ นิพพาน อยู่นี่ จับได้หรือยัง เอ่อ

มันคงเป็น ปริศนาธรรม จับได้ หรือ จับไม่ได้ ดูเหมือนคนบ้า แต่พูดแบบนี้มันง่าย เอ่อ สัมผัสนิพพาน ก็ได้ (ความจริง มันไม่มีอะไรให้พ่อBudสัมผัส ฟังแบบนี้ งง ไม๊ แล้วไม่ต้องไปเปิด ดิก นะ เดี๋ยวประสาทจะตีกลับ มันจะจับให้ได้ จะสัมผัสให้ได้ ถ้ารู้จริงอย่างไร ก็จับไม่ได้ สัมผัสไม่ได้ เอ่อ)

สีขาว สีดำ สีแดง ในกิเลส จึงเป็นสิ่งสมมติทั้งสิ้น เพื่อให้พ่อBudเห็นภาพ เพื่อได้สัมผัสกับเครื่องเศร้าหมอง ไม่มีเครื่องเศร้าหมอง เลย นั้นก็เป็น นิพพานอย่างหนึ่ง ถ้ายังคงดีใจอีก นิพพานมันก็ไปแล้ว
คือ จิตว่างจากกิเลส จิตว่างจากทุกข์และสุข จิตว่างจากโลกธรรม 8 คือ นิพพานนั่นเอง จับถูกตัวมันหรือเปล่า พ่อBud เอ๊ย เอ่อ
สงสัย สงสัย สงสัย
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
amarita
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 05 พ.ค. 2007
ตอบ: 25
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพมหานคร

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 11:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มาลงชื่อ...อ่านแล้วจ๊ะ ...
สาธุ อนุโมทนากับคำตอบของลุงนะคะ...
ที่หลานว่าพยายามอ่ะคะ บางที่ยังตบยุ่ง ฆ่าแมลงสาบ
หยิบอาหารคนอื่นที่เขายังไม่ชวน ซื้อลอตเตอร์รี่บ้าง

กาเมนี่ง่ายหน่อยเพราะโสด แต่อนาคตไม่แน่...

อื่นๆ ก็พยายามอยู่ ...

ขี้เกียจนี่ต้องพัฒนาอีกเยอะ ....แต่เป็นเรื่องๆนะคะ ไม่ใช่อะไรก็ขี้เกียจหมด... เอ่อ

ไปกินข้าวกันเถอะ...
 

_________________
ดีชั่วตัวทำ สูงต่ำทำตัว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ลุงดำ
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 24 พ.ย. 2007
ตอบ: 59

ตอบตอบเมื่อ: 25 ธ.ค.2007, 6:54 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้ารู้ว่า ไม่ดี อย่าได้ทำอีก

เอาค่าซื้อหวย ไปซื้อขนมกิน ดีกว่า จะได้ไม่ไปหยิบของเขามากิน เอ้อ
ตำนานเขาเล่าว่า มานะ ชาติหน้าเกิดเป็นวัว เป็นควาย ใช้กรรมให้เขานะ เอ้อ
จริง ๆ ลุงยังไม่อยากจะเชื่อ เอ้อ
ขโมยกินเข้าไปเรื่อย ๆ นะ จะได้เป็น หมู ไปก่อน เอ้อ

เอ้อ งง เด็กอายุเท่าไร ซื้อหวย
เอ้อ ประเทศไทย
 

_________________
ถ้ามีเวลาว่างเกินไป ก็ไปช่วยเขาทำงานบ้าน บ้าง เอ้อ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
น้ำใส
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 31 พ.ค. 2004
ตอบ: 53

ตอบตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2007, 9:14 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ ครับลุงดำ

ลุงดำกำลังบอกว่า คนเราสมัยนี้ มีแค่ ศีล แต่ขาด ธรรม

ลุงดำกล่าวได้ถูกเลยครับ เบญจศีล ถ้า ขาด เบญจธรรม ก็เหมือน ละชั่ว แต่ ไม่ทำดี

เหมือนเห็นคนจมน้ำ แต่ไม่ช่วย จะว่าผิดศีลไหม ก็ ไม่ผิดศีล แต่ว่า ขาด ธรรม คือ เมตตา กรุณา

ไม่ขโมยก็จริง แต่ เอาของคุณภาพไม่ดี มาขายราคาแพงๆ

ไม่ประพฤติผิดในกาม แต่ชอบดูหนังโป๊ และคุยกันแต่เรื่องนั้น

ไม่พูดเท็จ แต่ก็ไม่บอกความจริงอันเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟัง

ไม่ดื่มน้ำเมา ไม่เสพยาเสพติด แต่ก็ยังทำงานแบบไม่รับผิดชอบ ปล่อยปละละเลย ไม่ต่างกับคนขาดสติ

* สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง