Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ได้หรือไม่ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
sekak
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 21 พ.ย. 2004
ตอบ: 15

ตอบตอบเมื่อ: 03 ม.ค. 2005, 4:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมอยากทราบว่าระจะสามารถอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้กระทำให้แก่ผู้ที่อยู่ในภพภูมิต่าง ๆ ได้หรือไม่ ถ้าหารอยู่ในนรกในภูมิต่ำ ๆ เราจะช่วยเหลือเขาได้อย่างไรบ้าง
 

_________________
เคยบวชเรียนและผ่านการอบรมธรรมจากหลายสถานที่
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวหมายเลข ICQ
POM
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ม.ค. 2005, 9:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทำได้โดยการวิปัสนากรรมฐาน กุศลที่เราทำจะสามารถแผ่เมตตาช่วยพวกเขาได้ กรรมที่หนักที่สุด คือ การฆ่าตัวตาย ก็ยังชดใช้ได้ด้วยการวิปัสนากรรมฐาน
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 03 ม.ค. 2005, 11:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การที่เราจะสามารถอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่เราได้กระทำให้แก่ผู้ที่อยู่ในภพภูมิต่างๆนั้น ย่อมกระทำได้ หากแต่ต้องฝึกจิตให้มีเมตตาก่อน แล้วจึงอุทิศให้



โดยมากจะแผ่เมตตาและอุทิศให้ หลังจากเสร็จสิ้นจากการสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิ ซึ่งเป็นช่วงที่จิตสงบบริสุทธิ์ที่สุด หากสำรวมไว้กึ่งกลางอกตั้งแต่เริ่มสวดมนต์ภาวนา ทำสมาธิตั้งแต่ต้นได้ก็จะเป็นการดี แล้วสำรวมจิต ส่งกระแสจิตออกที่หน้าผาก พร้อมอุทิศส่วนกุศลแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ออกไปได้อย่างไม่มีประมาณ หากจำบทแผ่เมตตาให้ขึ้นใจให้เห็นเป็นตัวหนังสือกลางอากาศได้ก็จะดียิ่งขึ้น



หากอยู่ในภูมิต่ำๆก็ลักษณะเช่นเดียวกัน กระแสจิตแห่งเมตตาจะช่วยให้พ้นทุกขเวทนาได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ทั้งหมดเนื่องจากเป็นผลกรรมของแต่ละบุคคลที่ต้องชดใช้ไม่ว่าจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม ไม่เว้นแม้แต่ภูมิมนุษย์



หากแต่เราแผ่เมตตาและอุทิศให้อยู่เป็นเนืองนิจ ก็มีบางส่วนที่หมดวาระแห่งกรรมที่ต้องชดใช้และผู้ปฏิบัติก็สามารถส่งผู้ที่ทรมานอยู่ในภพภูมินั้นๆให้เกิดในภพในภูมิในชาติที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้ แต่ต้องเป็นผู้ปฏิบัติที่ผ่านการปฏิบัติขั้นอุกฤษจริงๆ



ธรรมะสวัสดี



มณี ปัทมะ ตารา



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ม.ค. 2005, 2:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การจะเจริญภาวนาช่วยสัตว์นรกนั้น จะต้องมีกรรมที่เกี่ยวพันกัน และสัตว์นรกนั้นไม่มีโทษหนักเกินไป การทำบุญช่วยสัตว์ในอบายภูมิ ไม่ได้ช่วยได้ง่าย แม้ในภพเปรตก็ไม่ได้หมายความว่าจะอุทิศส่วนกุศลได้โดยง่าย ขึ้นอยู่กับภูมิของสัตว์นั้น และขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของการได้บุญ และความตั้งใจที่เป็นแรงใจในการอุทิศด้วย ถ้ามีญาติเสียชีวิตขอให้อุทิศแบบเฉพาะเจาะจง

ถ้าพอทำสมาธิได้จะหยั่งรู้ได้ทันทีว่ากุศลที่เราอุทิศไปส่งไปถึงหรือไม่ เพราะวิญญาณในปรโลกนั้นตอบรับด้วยคลื่นกระแสจิต
 
เกียรติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 04 ม.ค. 2005, 3:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเรื่องราวในสมัยพุทธกาล ที่พระเจ้าอชาติศตรู ท่านเสด็จออกมาหน้าปราสาทชั้นบน แล้วเห็นเปรตเหาะผ่านมา (เหาะได้ด้วยวิบากกรรม ไม่ใช่มีฤทธิ์) จึงถามว่าท่านเป็นใคร เปรตบอกว่า "เราคือเปรต ตอนเป็นมนุษย์เราตระหนี่ไม่ทำทาน ตายแล้วมาเป็นเปรต ตอนนี้เรากำลังเหาะไปรับบุญจากหมู่ญาติ ได้ข่าวว่าเขาจะทำบุญอุทิศให้เรา" พระเจ้าอชาติศตรู บอกว่า "ถ้าท่านได้บุญแล้วมาหาเราด้วย เราจะได้ทราบว่า บุญอุทิศให้แล้ว เป็นอย่างไร"

พอวันรุ่งขึ้นเปรตก็มาหาพระเจ้าอชาติศัตรูอีก แต่รูปร่างยังเหมือนเดิม พระเจ้าอชาติศตรู ถามว่า "ท่านได้รับบุญจากญาติหรือไม่" เปรตบอกว่า "ไม่ได้รับเพราะญาติ ทำบุญกับนักบวชนอกพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่เนื้อนาบุญ" พระเจ้าอชาติศัตรู บอก "เราจะช่วยทำบุญให้ก็แล้วกัน เราจะได้พิสูจน์ด้วยว่า ทำบุญในพระพุทธศาสนาแล้วเป็นอย่างไร" พอวันรุ่งขึ้น มีเทวดาเหาะมาหาพระเจ้าอชาติศัตรูแทน พระเจ้าอชาติศัตรูจำไม่ได้ เทวดาบอกว่า ตนคือ เปรตเมื่อวาน ได้รับบุญที่ท่านทำไปให้แล้ว มาขอบคุณ พระเจ้าอชาติศัตรูจึงอัศจรรย์ใจในอานุภาพของพระพุทธศาสนา
 
ดนุวัติ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 05 ม.ค. 2005, 7:52 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การทำบุญทุกอย่างแม้แต่น้อยนิดนั้น ก็สามารถจะอุทิศส่วนกุศลให้ได้ทั้งนั้น แต่มีข้อแม้ว่า ผู้ที่จะโมทนาบุญนั้นต้องอยู่ในภพภูมิที่สามารถจะโมทนาได้ด้วย

ดังนั้นถ้าผู้ตาย ตายแล้วลงนรกเลย ก็จะไม่สามารถโมทนาบุญได้ ต้องรอให้หมดโทษจากนรกก่อน เพราะสัตว์นรกนี้ไม่มีแก่ใจจะโมทนาได้เลย วิ่งร้อนพล่านๆ อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจะต้องเสวยทุกข์อยู่อย่างนั้นก่อน



แต่พวกที่เป็นสัมภเวสี นี้คือพวกที่ตายโดยยังไม่ถึงอายุขัย ก็ต้องทนทุกข์ทรมาน จะได้บุญก็ต่อเมื่อคนอุทิศให้จะต้องเจาะจงให้แต่ผู้เดียว และพวกนี้จะทรมานมากเพราะหิว และหนาว เนื่องจากว่าไม่มีเครื่องห่มกาย และโมทนาบุญใครก็ไม่ได้นอกเสียจากจะมีคนทำให้เจาะจงเขาแต่ผู้เดียว



เปรตนี้มีจำพวกเดียวที่โมทนาบุญได้คือปรัตทัตตุปชีวีเปรต อันนี้โมทนาได้ เปรตอื่นที่มีภูมิต่ำกว่านี้ไม่สามารถเลย



แต่พวกที่เป็นเทวดา , พรหม นี้ได้แน่นอน เพียงแต่นึกถึงท่านก็มากันได้แล้ว และก็โมทนาได้เลย เมื่อโมทนาแล้ว จะมีรัศมีกายสว่างกว่าเดิม เพราะว่า ท่านพวกนี้ไม่ได้วัดความสวยกันที่หน้าตา แต่ว่าสวยกว่ากันทางเครื่องทรงที่เป็นทิพย์ และรัศมีของกาย



ดังนั้นการอุทิศส่วนกุศล หรือถวายกุศล นี้ ก็จะต้องรู้ด้วย ไม่เช่นนั้นถ้าญาติเราอยู่ในนรก อันนี้ให้ไปก้ยังไม่ได้เลย ต้องรอก่อน และถ้าเป็นพวกสัมภเวสี ตายโดยอุปฆาตกรรมมาตัดรอน เช่น รถชน แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสัมภเวสีต้องอุทิศเจาะจงให้เขาคนเดียวเท่านั้นจึงได้ อันนี้ต้องรู้ด้วยครับ การอุทิศ ก็ให้นึกชื่อหรือหน้าตาเขา ก็ได้เสมอกัน



 
บัวบาน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ม.ค. 2005, 9:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บังเอิญผ่านมา ลองอ่านดู ได้ความรู้มาก ๆ เลยค่ะ และคงจะขอมาเป็นแขกประจำของเวบนี้เสียแล้ว
 
โอ่
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 ม.ค. 2005, 3:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อปี 2533 ผมมักจะมานั่งสมาธิที่บ้านตอนกลางวัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงไปทำงานในช่วงบ่าย เมื่อเข้าสมาธิแล้วช่วงออกสมาธิผมได้ยินเสียงดุเด็กบ้าง ว่ากล่าวเด็กบ้าง ได้ยินชัดเจนที่หู แต่ไม่ได้ตั้งใจฟัง เมื่อตั้งใจฟังสมาธิก็คลาย เพราะสติสัมปชัญญะอ่อนกำลัง



ต่อมาคืนหนึ่งเมื่อผมภาวนาก็ได้ยินเสียงรองเพลงกล่อมลูกเป็นจังหวะที่แปลกมาก และถ้อยคำค่อนข้างหยาบคาย ผมนึกว่านี่เรากำลังปฏิบัติธรรมอยู่ พวกภูตผีใดจึงมาร้องเพลงหยาบคายรบกวนเราเช่นนี้ พอคิดเพียงเท่านี้เอง ร่างในกายก็ออกจากร่างกายโดยง่ายดาย เดินลงจากห้องชั้นบนลงมาตามบันได พอลงมาถึงพื้นชั้นล่าง ผมรู้สึกงงมากเพราะพื้นชั้นล่างกลับเป็นห้องใต้ดิน มีบันไดทอดลงไป ผมนึกว่าที่ห้องใต้ดินนี้มีอะไรบางอย่างแน่ แล้วก้าวเท้าลงไปชั้นล่าง



ข้างล่างนั้นรกรุงรังเต็มไปด้วยหยักไย่ มีฝุ่นเต็ม มีผู้หญิงหน้าตาทxxxถึง ไกวเปลอยู่ และมีคนอื่นๆอยู่สี่ห้าคน ผมมองเห็นแล้วคิดว่าเป็นผีตนนี้เองที่ร้องเพลงกล่อมลูกกวนเราตอนเราภาวนา ผู้หญิงคนนั้นจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง ผมก็ยืนอยู่ไม่รู้สึกครั่นคร้าม แต่ยังไม่ทันจะกล่าวผู้หญิงนั้นก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นเป็นสองเท่า ผมเสียจังหวะเพราะสติหลุดไป โดยคาดไม่ถึงว่าจะเจอสถานการณ์แบบนี้ จึงถูกภูตผีตนนั้นตรึงอยู่กับที่ จะขยับก้าวไปทางไหนก็ก้าวไม่ออก จึงรวบรวมกำลังเพ่งใส่ภูตนั้นเท่าที่ตนเองจะมีกำลังทำได้ ภูตผีนั้นก็ถูกผมตรึงไว้ขยับไม่ได้เหมือนกัน



ต่างตรึงกันอยู่อย่างนั้นนิ่งอยู่กับที่ทั้งสองฝ่าย ทันใดนั้นมีเสียงจากท้องฟ้าเตือนมาให้ผมระลึกถึงคุณของพระสงฆ์คือพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ผมก็ยังไม่ยอมทำตาม เสียงเตือนนั้นเข้ามาสู่จิตใจอีก พอระลึกถึงพระอาจารย์มั่น ก็มีกำลังมายกร่างผมจากห้องใต้ดินขึ้นมาอยู่ชั้นบนคือชั้นล่างของบ้าน ร่างกายผมจากเอวขึ้นข้างบนเคลื่อนไหวได้ แต่จากเอวลงไปเคลื่อนไหวไม่ได้ มีเสียงเตือนขากท้องฟ้าลงมาอีกว่าให้ผมระลึกถึงคุณพระอาจารย์ โต พรหมรังสี ผมก็ระลึกอีก ก็มีอะไรมายกร่างผมเข้าไปสู่ร่างกายหยาบได้ และเป็นสมาธิมีความอบอุ่นมั่นคงไม่หวั่นไหวในสิ่งใดอีก เมื่อรู้ตัวผมก็รู้ว่าในชั้นล่างของบ้านนี้มีภูตผีอาศัยอยู่



ต่อมาในปี 2545 นี่เองผมไปภาคเหนือมีคนไปหาคนทรงที่เชียงราย เรียกเจ้าที่หรือภูตผีใดที่อาจอยู่ในบ้านไปเข้าทรง โดยที่คนทรงไม่รู้ว่ามีผีในบ้านผมหรือไม่ และไม่รู้ข้อมูลใดๆด้วยซ้ำ เมื่อวิญญาณนั้นมาเข้าทรงก็ขับไล่ว่าบ้านเป็นของพวกเขา และบอกว่าตัวเองเป็นนางตะเคียน ผมทราบมาสิบกว่าปีแล้วว่าภูตผีเป็นนางไม้ แต่ไม่รู้ว่าเป็นนางตะเคียน จึงถามที่คนทรงว่าแล้วนางตะเคียนเคยเจอกับผมมาก่อนหรือเปล่า คนทรงนั้นสะบัดหน้าไม่ยอมตอบถึงสามครั้ง แต่ในที่สุดก็โพล่งออกมาว่า ผมเคยเห็นเธอในสมาธิมาแล้ว มาถามทำไมอีก ผมเลยถามความเป็นอยู่ดังที่ผมเห็นวิญญาณนั้นรับว่าใช่ทุกอย่าง ผมบอกว่าผมเคยอุทิศบุญกุศลและแผ่เมตตาให้ไม่ได้รับหรือ เขาบอกว่ารับไม่ได้ เพราะทำบาปกรรมไว้มาก รับบุญไม่ได้



แต่แปลกมากเขาบอกว่าให้ผมเอาข้าวน้ำไปเซ่นไหว้ และจุดธูปเทียนกลางแจ้งให้เขาโดยเฉพาะ เขาจะรับอาหารได้บ้าง และจะได้กิน ขอให้ช่วยสงเคราะห์เขาหน่อย ตอนนี้วิญญาณนั้นก็ยังอยู่ ผมส่งจิตไปเขาก็ทำให้ผมขนลุกซู่ แต่เขาไม่มีความโกรธอะไร เพราะผมแผ่เมตตาให้เสมอ วิญญาณนี้บอกว่าอยู่มา 155 ปีแล้ว



ผมไปเล่าคนข้างบ้าน ที่ตรงนี้เอกชนถมทะเลที่มีป่าโกงกางก่อนสร้างหมู่บ้าน คนข้างบ้านมาเห็นตอนนั้น มีเรือโบราณเป็นซากเรื่อลำหนึ่งยาวมาก หัวเรือซึ่งเป็นแม่ย่านางอยู่ใต้บ้านผมพอดี ผมมาซื้อบ้านต่อจากผู้อื่น



เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าให้ฟังเท่านั้นเอง การจะเชื่อหรือไม่เป็นวิจารณญาณ และอาจไม่มีประโยชน์อะไรมาก แต่เป็นเรื่องการอุทิศส่วนกุศลที่รับไม่ได้ เพราะผู้รับมีบาปกรรมซึ่งเขาไม่บอกว่าทำอะไรมา และในภพน้อยอย่างนี้ที่เขามีอุปทานมาติดยึดอยู่ด้วยกรรมนั้น จะเป็นภูมิทุคติระดับใดก็ไม่สามารถจะเรียกเหมือนกันว่าภูมิอะไร พวกภูตเหล่านี้ถ้าปล่อยให้โกรธแล้วมีฤทธิ์เดชมาก ถ้าแผ่เมตตาก็จะอ่อนโยน ภูตผีจะโกรธเราหรือไม่อยู่ที่จิตของเราที่ส่งออกไป ถ้าเรามีแต่ดีกับพวกเขาพวกเขาก็รู้สึกเป็นสุขได้บ้าง และไม่มีอะไรที่น่ากลัว เพราะเราถืออย่างเดียวว่าเขาจะทำอะไรเรา เราให้อภัยอย่างเดียว ผมอยู่คนเดียวและไม่กลัวพวกวิญญาณเพราะพวกเขาทำให้ผมเห็นจนชินไปแล้ว
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง