Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระพุทธเจ้าหลวง กับ พระราชกรณียกิจในพุทธศาสนา อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ตลอดรัชสมัยอันยาวนานถึง 42 ปี แห่งการครองราชย์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หรือ ‘พระพุทธเจ้าหลวง’ พระองค์ได้ทรงกอปรพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ ในการทำนุบำรุงประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ และหนึ่งในพระราชกรณียกิจสำคัญ ก็คือ การส่งเสริมและบำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง

การเผยแผ่พระพุทธศาสนา

• พ.ศ.2431 โปรดให้มี การชำระและจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี อักษรสยาม เทียบเสียงเป็นอักษรโรมัน ชุดแรกของโลก แทนของเดิมที่เขียนด้วยอักษรขอมบนใบลาน เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์ครบรอบ 25 ปีของพระองค์ มีชื่อว่าพระไตรปิฎกฉบับจุลจอมเกล้าบรมธรรมิกมหาราช พ.ศ.2436 ในการนี้ ได้พระราชทานพระราชทรัพย์จำนวน 1,000 ชั่ง จัดพิมพ์เป็นหนังสือ 1,000 จบ จบละ 39 เล่ม พระราชทานไปตามวัดต่างๆ 500 วัดทั่วประเทศ ตลอดจนสถานศึกษาในต่างประเทศกว่า 260 แห่งทั่วโลก ภายหลังโปรดเกล้าฯ ให้จำหน่ายแก่ประชาชนในราคาจบละ 2 ชั่ง เป็นผลให้พระไตรปิฎกแพร่หลายมากขึ้นทั้งในประเทศและทั่วโลก

สำหรับสาเหตุในการพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับนี้ ทรงเห็นว่า รอบบ้านเราเวลานั้นกำลังตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตกหมดแล้ว และบ้านเราคงจะไม่ปลอดภัย จึงได้นิมนต์พระเถระผู้ใหญ่ เสนาบดี ข้าราชการทุกฝ่าย มาประชุมที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ว่าทำอย่างไรจึงจะช่วยกันปกปักรักษาเอกราชของชาติไว้ได้ ดังนั้น พระไตรปิฎกฉบับนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาอธิปไตยของชาติ โดยได้ประกาศให้นานาชาติรู้ว่าประเทศสยามนับถือพระพุทธศาสนา

• โปรดให้จัดตั้ง หอพุทธศาสนสังคหะ ขึ้นที่วัดเบญจมบพิตร สำหรับเป็นที่เก็บรวบรวมพระไตรปิฎกและหนังสืออื่นๆ ในพระพุทธศาสนา ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์แก่การศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรและผู้สนใจ ทั้งยังโปรดให้แต่งหนังสือที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในหลายลักษณะด้วยกัน ได้แก่ หนังสือเบญจศีลและเบญจธรรม หนังสือเทศนา หนังสือสวดมนต์ หนังสือธรรมจักษุ และหนังสือชาดกต่างๆ เป็นผลให้ประชาชนได้เรียนรู้หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นหลักปฏิบัติในการดำเนินชีวิต ส่วนพระสงฆ์และสามเณรก็มีคู่มือสำหรับใช้เทศนาและบทสวดมนต์ที่เป็นแบบฉบับเดียวกัน

การคณะสงฆ์

• พ.ศ.2445 โปรดให้มี การตราพระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ.121 ขึ้น เพื่อให้การปกครองภายในสังฆมณฑลเป็นไปตามระเบียบอันดี กำหนดให้พระสังฆราช เป็นประมุขของสงฆ์ มีมหาเถรสมาคมเป็นคณะผู้บริหาร จัดรูปการปกครองคณะสงฆ์ใน 4 ภูมิภาค ให้สอดคล้องกับการปกครองบ้านเมือง

• ทรงมีพระราชดำริว่าพระเจ้าแผ่นดินแต่ก่อนได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระสงฆ์มอญให้มีสมณศักดิ์เหมือนอย่างพระสงฆ์ไทย จึงสมควรจะทรงตั้งพระสงฆ์ญวนให้มีสมณศักดิ์ขึ้นบ้าง แต่พระสงฆ์ญวนคือฝ่ายมหายานจะเข้าทำกิจพิธีร่วมกับพระสงฆ์ไทยไม่ได้เหมือนอย่างพระสงฆ์มอญ จึงทรงมีพระราชดำริให้มี ทำเนียบสมณศักดิ์สำหรับพระญวนขึ้นต่างหาก และโปรดเกล้าฯ ให้มีสมณศักดิ์สำหรับพระจีนด้วย ในคราวเดียวกัน รวมทั้ง พระราชทานสัญญาบัตร มีราชทินนามกับพัดยศซึ่งจำลองแบบพัดยศของคณะสงฆ์ไทย

• โปรดให้จัดตั้ง โรงเรียนสอนพระปริยัติธรรมขึ้นตามวัดต่างๆ เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาเล่าเรียนของพระภิกษุและสามเณร รวมทั้งได้ทรงกำหนดให้มีการสอบพระปริยัติธรรม เป็นประจำทุกปี

• โปรดให้จัดตั้ง สถาบันการศึกษาชั้นสูงของสงฆ์ขึ้น 2 แห่ง ได้แก่

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2432 ณ วัดมหาธาตุ ให้เป็นสถานศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย มีชื่อเดิมว่า “มหาธาตุวิทยาลัย” ต่อมาได้ทรงเปลี่ยนนามใหม่ว่า “มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย”

มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย เมื่อ พ.ศ.2436 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อเป็นสถานที่ศึกษาของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย

• พ.ศ.2427 โปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎร เป็นแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม กทม. เพื่อให้ราษฎรทั่วไปได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนโดยมีพระสงฆ์เป็นครูสอน


(มีต่อ 1)
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างและบูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่างๆ รวมทั้ง พุทธสถาน พุทธเจดีย์ ทั่วพระราชอาณาจักร อาทิ

• วัดเทพศิรินทราวาสราชวรวิหาร ตั้งอยู่ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2419 เพื่ออุทิศเป็นพระราชกุศลถวายสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนี และ พ.ศ.2439 โปรดให้สร้างสุสานหลวงไว้ในวัด ด้วยมีพระราชประสงค์ให้เป็นฌาปนสถานสำหรับพระราชวงศ์ซึ่งไม่ได้สร้างพระเมรุฯ ที่ท้องสนามหลวง และสำหรับชนทุกชั้น นับเป็นเรื่องพิเศษ เพราะโดยปกติแล้วจะไม่มีฌาปนสถานในพระอารามหลวง

• วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ตั้งอยู่ในเขตพระนคร กรุงเทพฯ โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2412 ด้วยพระราชประสงค์ให้เป็นวัดประจำรัชกาล โปรดให้ก่อสร้างตามแบบวัดแต่โบราณ ครั้งกรุงศรีอยุธยา ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบเบญจรงค์ทั้งวัด เป็นเอกลักษณ์พิเศษแห่งเดียวในประเทศไทย

• วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ตั้งอยู่ในเขตดุสิต กรุงเทพฯ เดิมชื่อวัดแหลมหรือวัดไทรทอง เป็นวัดโบราณซึ่งเจ้านาย 5 พระองค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้ร่วมกันปฏิสังขรณ์ สมัยรัชกาลที่ 4 ได้พระราชทานนามวัดใหม่ว่า “วัดเบญจมบพิตร” ซึ่งมีความหมายว่าเป็นวัดของเจ้านาย 5 พระองค์ ต่อมารัชกาลที่ 5 ต้องประสงค์ที่วัดเพื่อสร้างพลับพลาในพระราชอุทยานสวนดุสิต จึงทรงทำผาติกรรมแล้วสร้างวัดขึ้นใหม่ พระราชทานนามว่า “วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม” เป็นวัดหินอ่อนที่งดงามที่สุด

• วัดนิเวศธรรมประวัติ ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งตรงข้ามพระราชวังบางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เมื่อปี พ.ศ.2421 เป็นศิลปะแบบโกธิค ประดับกระจกสีสวยงาม

• วัดจุฑาทิศธรรมสภาราม อยู่บนเกาะสีชัง จ.ชลบุรี โปรดให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2435 เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์ อินทราชัย ในวาระที่ประสูติ ณ เกาะสีชัง

• วัดอัษฎางค์นิมิตร ตั้งอยู่บนเกาะสีชัง จ.ชลบุรี โปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ.2435 แทนวัดที่อยู่ปลายแหลมซึ่งมีมาแต่เดิม โดยสร้างบนเนินเขา พระอุโบสถของวัดนี้เป็นทรงกลม ตกแต่งตามศิลปะแบบโกธิค ส่วนยอดเป็นพระเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา

• วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ตั้งอยู่ที่ถนนหน้าพระธาตุ กรุงเทพฯ เดิมเรียกวัดมหาธาตุ พ.ศ.2439 ทรงบริจาคพระราชทานทรัพย์อันเป็นส่วนของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2437 อุทิศพระราชทานให้ปฏิสังขรณ์ แล้วโปรดให้เพิ่มสร้อยต่อนามวัด ว่า “วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์”

• วัดสัตตนารถปริวัตร ตั้งอยู่ที่ อ.เมือง จ.ราชบุรี ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี้ รัฐบาลได้สร้างพระราชวังขึ้นที่เขาสัตตนารถ พระองค์จึงมีพระประสงค์ให้มีการทำผาติกรรม และสร้างวัดทดแทนขึ้น พร้อมกับขนานนามว่า “วัดสัตตนารถปริวัตร” แปลว่า วัดที่เปลี่ยนไปหรือย้ายไปจากเขาสัตตนารถ

• วัดมงคลสมาคม (วัดโหย่คั้นตื่อ) เป็นวัดญวน เดิมตั้งอยู่ที่บ้านญวนหลังวังบูรพาภิรมย์ กรุงเทพฯ เมื่อรัฐบาลจะตัดถนนพาหุรัด ซึ่งวัดอยู่ในแนวถนน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงโปรดให้ทำผาติกรรมอย่างวัดไทย คือพระราชทานที่ดินและให้สร้างวัดขึ้นใหม่ โดยย้ายไปตั้งที่ริมถนนแปลงนามในอำเภอสัมพันธวงศ์

• วัดมังกรกมลาวาส (วัดเล่งเน่ยยี่) ตั้งอยู่บริเวณถนนเจริญกรุง กรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเลือกชัยภูมิที่ตั้งวัด และโปรดฯ ให้พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เล่าเกี้ยงเฮง) ชักนำพุทธศาสนิกชนชาวจีนสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2414 นับเป็นสังฆารามตามลัทธิและศิลปะมหายานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในยุคนั้น และโปรดฯ ให้นิมนต์พระอาจารย์สกเห็ง แห่งวัดบำเพ็ญจีนพรต (กวนอิมเก็ง) มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดนี้ รวมทั้งได้พระราชทานนามว่า ‘วัดมังกรกมลาวาส’ และพระราชทานสมณศักดิ์แก่พระอาจารย์สกเห็ง เป็น ‘พระอาจารย์จีนวังสสมาธิวัตร’ เจ้าคณะใหญ่ฝ่ายจีนนิกายรูปแรกแห่งประเทศไทย


(มีต่อ 2)
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นอกจากนี้ ยังมีวัดสำคัญต่างๆ ที่ได้ทรงปฏิสังขรณ์ ได้แก่ กรุงเทพฯ - วัดพระศรีรัตนศาสดาราม, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, วัดอรุณราชวราราม, วัดราชาธิวาส, วัดบรมนิวาส, วัดเครือวัลย์วรวิหาร, วัดทองธรรมชาติ, วัดหนัง, วัดนรนารถสุนทริการาม, วัดบพิตรพิมุข, วัดปรินายก, วัดโพธิ์นิมิตร, วัดมกุฏกษัตริยาราม, วัดมหาพฤฒาราม, วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม, วัดราชโอรสาราม, วัดราชบูรณะ, วัดระฆังโฆสิตาราม, วัดสระเกศ, วัดสุทัศน์เทพวราราม, วัดสังเวชวิศยาราม, วัดอมรินทราราม, วัดกวิศราราม

จังหวัดสมุทรสงคราม - วัดอัมพวันเจติยาราม

จังหวัดนนทบุรี - วัดเขมาภิรตาราม, วัดปรมัยยิกาวาส

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - วัดชุมพลนิกายาราม, วัดวรนายกรังสรรค์, วัดศาลาปูน, วัดเสนาสนาราม, วัดพนัญเชิง

จังหวัดลพบุรี - วัดมณีชลขันธ์

จังหวัดอ่างทอง - วัดไชโย, วัดป่าโมก

จังหวัด สิงห์บุรี - วัดพระนอนจักรสีห์

จังหวัดสมุทรปราการ - วัดทรงธรรม

จังหวัดเพชรบุรี - วัดสุวรรณาราม, วัดพระทรง

และจังหวัดนครปฐม - วัดพระปฐมเจดีย์

สำหรับพระพุทธรูปและพุทธเจดีย์ ที่โปรดให้สร้างขึ้นในรัชกาลของพระองค์ อาทิ

• พระพุทธชินราช (จำลอง) โปรดให้จำลองแบบจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก ใน พ.ศ.2444 เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หล่อด้วยทองหนัก 3,940 บาท

• พระพุทธนฤมลธรรโมภาส พระพุทธรูปปางสมาธิ ทำจากโลหะกะไหล่ทองทั้งองค์ โปรดให้สร้างเมื่อ พ.ศ.2420 เป็นศิลปะประยุกต์ ผสมผสานระหว่างรูปแบบประเพณีนิยม กับศิลปะตะวันตกได้อย่างงดงาม โปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถ วัดนิเวศธรรมประวัติ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา

• พระสมุทรนินนาท เป็นพระพุทธรูปสำริดกะไหล่ทอง ปางห้ามสมุทร ประดิษฐานอยู่ที่อาคารพิพิธภัณฑ์ ภปร. วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ โปรดให้สร้างขณะทรงบรรพชาเป็นสามเณร ประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อ พ.ศ.2409

• พระนอนจักรสีห์ ประดิษฐาน ณ วัดพระนอนจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงหบุรี เมื่อปี พ.ศ.2421 ได้เสด็จไปทรงนมัสการพระนอนจักรสีห์ ในครั้งนั้นพระวิหารและพระนอนชำรุดทรุดโทรมมาก เนื่องจากขาดการบูรณะปฏิสังขรณ์มานาน จึงโปรดให้สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระบำราศปรปักษ์ เป็นที่ปรึกษาในการปฏิสังขรณ์

• พระธาตุไชยา ประดิษฐาน ณ วัดพระบรมมหาธาตุ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นโบราณสถานสมัยศรีวิชัย มีการบูรณะมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และได้มีการบูรณะอย่างจริงจังในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

• พระพุทธบาทสระบุรี อยู่ที่ อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี พระองค์ได้เสด็จไปนมัสการพระพุทธบาท 4 ครั้ง และได้โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระวิหารหลวง และซ่อมผนังข้างในพระมณฑป ซ่อมเครื่องพระมณฑปใหม่ และสร้างบันไดนาค ทางขึ้นพระมณฑป จากเดิมที่มีอยู่สองสายเป็นสามสาย

• อลงกรณ์เจดีย์ ตั้งอยู่ที่บริเวณน้ำตกพลิ้ว อ.แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2419 เพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องจากพระองค์เคยเสด็จประพาสน้ำตกพลิ้ว เมื่อ พ.ศ.2417 และทรงโปรดน้ำตกพลิ้วเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ในปี พ.ศ.2414 ได้เสด็จประพาสอินเดียอย่างเป็นทางการ ในครั้งนี้ได้ทรงมีโอกาสเสด็จไปสักการะธัมเมกขสถูป สังเวชนียสถานอีกแห่งหนึ่ง ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือเมืองสารนาถ ซึ่งเป็นสถานที่ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปฐมเทศนา โดยหลังจากที่เสด็จกลับจากอินเดียแล้วได้โปรดให้สร้างธัมเมกขสถูปจำลอง ไว้ที่วัดโสมนัสวรวิหาร และวัดกันมาตุยาราม กรุงเทพฯ

ต่อมาในปี 2441 รัฐบาลอินเดียได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบจากพระสถูปโบราณ อันเป็นที่ตั้งกรุงกบิลพัสดุ์สมัยพุทธกาล เพราะพิจารณาเห็นว่าในเวลานั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวที่ทรงนับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งพระองค์ได้โปรดให้พระยาสุขุมนัยวินิต ไปรับมอบพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย และโปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ สุวรรณบรรพต หรือภูเขาทอง วัดสระเกศฯ กรุงเทพฯ ในการนี้ได้โปรดให้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุบางส่วนให้แก่ประเทศที่ขอมา เช่น ศรีลังกา พม่า ญี่ปุ่น เป็นต้น ถือเป็นพระบรม-สารีริกธาตุที่มีหลักฐานความเป็นมาชัดเจนที่สุดในเมืองไทย

ทั้งปวงนี้ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อพระพุทธศาสนาโดยแท้


จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 83 ต.ค.50 โดย ภัสสร
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2550 14:18 น.
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงผนวชเป็นพระภิกษุ

ในพระพุทธศาสนาเมื่อวันพุธที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๑๖

และทรงลาผนวชใน วันพฤหัสบดีที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๖



ที่มา : www.thaifoodnow.com/owl24/13/story13-0035.htm
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันปิยะ 23 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 (วันปิยะมหาราช)


เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงประชวรเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งอัมพรสถานพระราชวังดุสิต ครั้นนั้นเป็นที่เศร้าสลดอย่างใหญ่หลวง ของพระบรมวงศานุวงศ์และปวงชนทั่วประเทศ เพราะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นกษัตริย์ที่เคารพรักของหวยราษฎร์ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอเนกประการ ทั้งในการปกครองบ้านเมืองและพระราชทานความร่มเย็นเป็นสุข แก่ชนทุกหมู่เหล่า ทวยราษฎร์ทั้งปวงจึงได้ถวายพระนามว่า พระปิยมหาราช หรือพระพุทธเจ้าหลวง



เมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพตามราชประเพณีแล้ว ครั้งเมื่อบรรจบอภิลักขิตสมัยคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ผู้สืบราชสันตติวงศ์ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายตามราชประเพณี โดยเชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกประดิษฐานบนพระแท่นนพปฎลมหา-เศวตฉัตร และเชิญพระพุทธรูปปางประจำพระชนมวารประดิษฐาน ณ โต๊ะหมู่ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท หรือพระที่นั่งอนันตสมาคมส่วนที่พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระลานพระราชวังดุสิต หน้าที่นั่งอนันตสมาคม ที่เรียกว่าพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่พระบรมวงศานุวงศ์ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าผู้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ได้ร่วมใจกันรวบรวมเงินจัดสร้างประดิษฐานขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะที่ทรงพระชนม์อยู่เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงครองราชย์ยั่งยืนนานถึง ๔๐ ปี และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ด้วยพระองค์เอง เมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายนพ.ศ. ๒๔๕๑ นั้น





ต่อมาทางราชการได้ประกาศให้วันที่ ๒๓ ตุลาคมซึ่งเป็นวันสวรรคต ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นวันที่ระลึกสำคัญของชาติเรียกว่า วันปิยมหาราช และกำหนดให้หยุดราชการวันหนึ่งในวันปิยมหาราช เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยซึ่งต่อมาเป็น กรุงเทพมหานคร ร่วมด้วยกระทรวงวัง ซึ่งต่อมาเป็นสำนักพระราชวัง ได้จัดตกแต่งพระบรมราชานุสาวรีย์ ตั้งราชวัติ ฉัตร ๕ ชั้น ประดับโคม ไฟ ราวเทียม กระถางธูป ทอดเครื่องราชสักการะที่หน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน


พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวันปิยมหาราชครั้งแรก คือ ถัดจากปีที่ได้ถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทานถวายแล้ว ได้เสด็จฯไปถวายพวงมาลา ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะที่พระบรมราชานุสาวรีย์






ที่มา : http://www.zabzaa.com/event/23oct.htm
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันปิยมหาราช - 23 ตุลาคม
http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01315.php






ความเป็นมา :
เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นที่รักใคร่อย่างล้นเหลือของพสกนิกรทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ตลอดทั่วขอบขัณฑสีมาปวงประชาราษฎร์ถือว่าพระองค์คือพระราชบิดาแห่งตนและประเทศชาติ รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 23 ตุลาคม เป็นวัน “ปิยมหาราช” และเมื่อถึงวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปีจะมีการวางพวงมาลาดอกไม้ที่พระบรมรูปทรงม้า เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ และสมเด็จพระเทพศิริน-ทราบรมราชินี ประสูติเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 พระนามเดิมว่า “สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์” เมื่อพระชนม์ 9 พรรษาได้รับสถาปนาเป็นกรมหมื่นพิฆเนศวรสุรสังกาศ ต่อมาอีก 4 ปี ได้เลื่อนเป็น “กรมขุนพินิตประชานาถ”









สมเด็จเจ้าฟ้าชายจุฬาลงกรณ์


บรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2411 ทรงพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เนื่องจากขณะนั้นมีพระชันษาเพียง 16 ปี ยังไม่ทรงบรรลุนิติภาวะ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จึงเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสถาปนากรมหมื่นบวรวิชัยชาญพระโอรสองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญพระมหาอุปราช









พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๑


ระหว่างที่ สมเด็จพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการอยู่นั้น สมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ก็ทรงใช้เวลาศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาเป็นอันมาก เช่น โบราณราชประเพณี รัฐประศาสน์ โบราณคดี ภาษาบาลี ภาษาอังกฤษ วิชาปืนไฟ วิชามวยปล้ำ วิชากระบี่กระบอง และวิชาวิศวกรรม ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ยังได้เสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา 2 ครั้ง เสด็จประพาสอินเดีย 1 ครั้ง การเสด็จประพาสนี้มิใช่เพื่อสำราญพระราชหฤทัย แต่เพื่อทอดพระเนตรแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรปนำมาใช้ปกครองเมืองขึ้นของตนเพื่อจะได้นำมาแก้ไขการปกครองของไทย ให้เหมาะสมแก่สมัยยิ่งขึ้น ตลอดจนการแต่งตัว การตัดผม การเข้าเฝ้าในพระราชฐานก็ใช้ยืนและนั่งตามโอกาสสมควรไม่จำเป็นต้องหมอบคลานเหมือนแต่ก่อน









พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒


เมื่อมีพระชนมายุใกล้บรรลุนิติภาวะจึงได้เสด็จออกทรงผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2416 และลาผนวช เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2416 แล้วโปรดให้มีการราชาภิเษกอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2416 เพื่อแสดงให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบว่าพระองค์ทรงรับผิดชอบในการปกครองบ้านเมืองด้วยพระองค์เองแล้ว

พระราชานุสาวรีย์ :
รัชสมัยของพระองค์ เป็นรัชสมัยแห่งการปฏิวัติแทบจะทุกทาง เหตุนี้ประชาชนจึงพร้อมใจกันเรี่ยไรเงินสร้างอนุสาวรีย์อย่างใดอย่างหนึ่งไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงพระองค์ บังเอิญประจวบเหมาะกับพระองค์เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ.2450 ทรงพอพระทัยพระบรมรูปหล่อของพระเจ้าหลุยส์จึงขอให้พระองค์ไปประทับนั่งให้ชาวฝรั่งเศสปั้น แล้วหล่อส่งเข้ามาในประเทศ โปรดให้ประดิษฐานไว้ ณ พระลานหน้าพระราชวังดุสิต ทรงประกอบพระราชพิธีเปิดพระบรมรูปนี้ในวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451

พระบรมรูปทรงม้านี้ ขนาดทั้งพระบรมรูปและม้า ทรงทำโตกว่าของจริงเล็กน้อย โดยหล่อด้วยโลหะชนิดทองบรอนซ์ พระบรมรูปประดิษฐานบนแท่นหินอ่อนอันเป็นแท่นรองสูงประมาณ 6 เมตร กว้าง 2 เมตรครึ่ง ยาว 5 เมตร

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษรัตนราชรวิวงษวรุตมพงษบริพัต วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมมิกมหาราชาธิราช บรมนาถบพิตร พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จดำรงราชสมบัติมาถึง 42 ปีเต็มบริบูรณ์ เป็นรัชสมัยที่ยืนนานยิ่งกว่าสมเด็จพระมหาราชาธิราชแห่งสยามประเทศในอดีตกาล

พระองค์กอร์ปด้วยพระราชกฤษฎาภินิหาร เป็นอัจฉริยภูมิบาลบรมบพิตร เสด็จสถิตในสัจธรรมอันมั่นคงมิหวั่นไหว ทรงอธิษฐานพระราชหฤทัยในทางที่จะทำนุบำรุงพระราชอาณาจักรให้สถิตสถาพรและให้เกิดความสามัคคีสโมสร เจริญสุขสำราญทั่วไปในเอนกนิกร ประชาชาติเป็นเบื้องหน้า พระราชจรรยาทรงพระสุขุมปรีชาสามารถสอดส่องวินิจฉัย ในคุณโทษแห่งประเพณีเมือง ทรงปลดเปลื้องโทษ นำประโยชน์มาบัญญัติ โดยปฏิบัติพระองค์ทรงนำหน้า ชักจูงประชาชน ให้ดำเนินตามในทางที่งามดีมีประโยชน์เป็นแก่นสาร พระองค์ทรงทำให้ความสุขสำราญแห่งประชาราษฎร์สำเร็จได้ ด้วยอาศัยดำเนินอยู่เนืองนิจในพระวิริยะและพระขันติคุณอันแรงกล้า ทรงอาจหาญในพระราชจรรยา มิได้ย่อท้อต่อความลำบากยากเข็ญ มิได้เห็นข้อขัดข้องอันเป็นข้อควรขยาด แม้ประโยชน์และความสุขในส่วนพระองค์ ก็อาจจะสละแลกความสุขสำราญพระราชทานไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ โดยทรงพระกรุณาปรานี พระองค์คือบุรพการีของราษฎร เพราะเหตุเหล่านี้แผ่นดินของพระองค์จึงยิ่งด้วยความสถาพรรุ่งเรืองงาม มหาชนชาวสยามถึงความสุขเกษมล่วงล้ำอดีตสมัยที่ได้ปรากฏมา พระองค์จึงเป็นปิยมหาราช ที่รักของมหาชนทั่วไป

ครั้นบรรลุอภิลักขิตสมัย รัชมังคลาภิเษก สัมพัจฉรกาล พระราชวงศานุวงศ์ เสนามาตย์ราชบริพาร พร้อมด้วยสมณพราหมณ์ อาณาประชาชนชาวสยามประเทศทุกชาติทุกชั้นบรรดาศักดิ์ ทั่วรัชสีมาอาณาเขต มาคำนึงถึงพระเดชพระคุณอันได้พรรณนามาแล้วนั้น จึงพร้อมกันสร้างพระบรมรูปนี้ ประดิษฐานไว้สนองพระเดชพระคุณเพื่อประกาศเพื่อเกียรติยศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปิยมหาราช ให้ปรากฏสืบไปชั่วกาลปวสาน

เมื่อสุรยคติกาล พฤศจิกายนมาศ เอกาทศดิถีพุฒวาร จันทรคติกาล กฤติกมาศ กาฬปักษ์ ตติยดิถี ในปีวอก สัมฤทธิมา 41 จุลศักราช 1270 (ตรงกับวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2451)

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคตในวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ.2453 พระชนมายุได้ 58 พรรษา ครองราชสมบัติมานานถึง 42 ปี นับเป็นรัชสมัยที่ยืนนานที่สุดในประเทศไทย

>>พระราชกรณียกิจที่สำคัญ<<

ขอบคุณข้อมูลโดย :
พระราชสุทธิญาณมงคล
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sithiphong
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 19 ต.ค. 2007
ตอบ: 87

ตอบตอบเมื่อ: 26 ต.ค.2007, 8:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

http://campus.sanook.com/u_life/knowledge_01315_2.php










พระราชกรณียกิจที่สำคัญ
1. การเลิกทาส พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ที่ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระสมัญญาว่า “สมเด็จพระปิยมหาราช”
ก็คือ “การเลิกทาส”

สมัยที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัตินั้น ประเทศไทยมีทาสเป็นจำนวนกว่าหนึ่งในสามของพลเมือง ของประเทศ เพราะเหตุว่าลูกทาสในเรือนเบี้ยได้มีสืบต่อกันเรื่อยมาไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นทาสกันตลอดชีวิต พ่อแม่เป็นทาสแล้ว ลูกที่เกิดจากพ่อแม่ที่เป็นทาสก็ตกเป็นทาสอีกต่อ ๆ กันเรื่อยไป

กฎหมายที่ใช้กันอยู่ในเวลานั้น ตีราคาลูกทาสในเรือนเบี้ย ชาย 14 ตำลึง หญิง 12 ตำลึง แล้วไม่มีการลด ต้องเป็นทาสไปจนกระทั่ง ชายอายุ 40 หญิงอายุ 30 จึงมีการลดบ้าง คำนวณการลดนี้ อายุทาสถึง 100 ปี ก็ยังมีค่าตัวอยู่ คือชาย 1 ตำลึง หญิง 3 บาท แปลว่า ผู้ที่เกิดในเรือนเบี้ย ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต

ในการนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ.2417 ให้มีผลย้อนหลังไปถึงปีที่ พระองค์เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ จึงมีบัญญัติว่า ลูกทาสซึ่งเกิดเมื่อปีมะโรง พ.ศ.2411 ให้มีสิทธิได้ลดค่าตัวทุกปี โดยกำหนดว่า เมื่อแรกเกิด ชายมีค่าตัว 8 ตำลึง หญิงมีค่าตัว 7 ตำลึง เมื่อลดค่าตัวไปทุกปีแล้ว พอครบอายุ 21 ปีก็ให้ขาดจากความเป็นทาสทั้งชายและหญิง











ข้าทาสและไพร่ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ซึ่งหลุดพ้นจากระบบดั้งเดิม
ได้กลายเป็นราษฎรสยามและต่างมีโอกาสประกอบ อาชีพหลากหลาย


พอถึงปี 2448 ก็ได้ออกพระราชบัญญัติเลิกทาสที่แท้จริงขึ้น เรียกว่า “พระราชบัญญัติทาส ร.ศ.124” (พ.ศ.2448) เลิกเรื่องลูกทาส ในเรือนเบี้ยอย่างเด็ดขาด เด็กที่เกิดจากทาส ไม่เป็นทาสอีกต่อไป การซื้อขายทาสเป็นโทษทางอาญา ส่วนผู้ที่เป็นทาสอยู่แล้ว ให้นายเงินลดค่าตัวให้เดือนละ 4 บาท จนกว่าจะหมด


2. การปฏิรูประเบียบบริหารราชการ การบริหารแผ่นดินในต้นรัตนโกสินทร์นั้น คงดำเนินตามแบบที่ได้ทำมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ผิดแต่ว่ามีกรมต่าง ๆ เพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลักของการบริหารนั้น คงมีอัครมหาเสนาบดี 2 ตำแหน่ง คือ สมุหกลาโหม ว่าการฝ่ายทหาร สมุหนายก ว่าการพลเรือน ซึ่งแบ่งออกเป็นกรมเมืองหรือกรมนครบาล กรมวัง กรมคลัง และกรมนา

ครั้นถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติด้วยพระองค์เองเมื่อ พ.ศ.2416 นั้น เนื่องจากพระองค์ได้เสด็จต่างประเทศดูแบบแผนการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในสิงคโปร์ ชวา และอินเดียแล้ว ทรงพระราชปรารภว่า สมควรจะได้วางระเบียบราชการ บริหารส่วนกลางเสียใหม่ตามแบบอย่างอารยประเทศ โดยจัดจำแนกราชการเป็นกรมกองต่าง ๆ มีหน้าที่เป็นหมวดเหล่า ไม่ก้าวก่ายกัน ดังนั้นใน พ.ศ.2418 พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แยกกระทรวงพระคลังออกจากกรมท่า หรือต่างประเทศ และตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ทำหน้าที่เก็บรายได้ของแผ่นดินทุกแผนกขึ้นเป็นครั้งแรก

ต่อจากนั้น ก็ได้ทรงปรับปรุงหน้าที่ของกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยโดยรวมกรมต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายเวลานั้นเข้าเป็นกระทรวง กระทรวงหนึ่ง ๆ ก็มีหน้าที่อย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างพอเหมาะสม

กระทรวงซึ่งมีอยู่ในตอนแรก ๆ เริ่มแถลงราชสมบัตินั้นเพียง 6 กระทรวง คือ

กระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายเหนือ
กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ปกครองหัวเมืองฝ่ายใต้ และการทหารบก ทหารเรือ
กระทรวงนครบาล มีหน้าที่บังคับบัญชาการรักษาพระนคร คือปกครองมณฑลกรุงเทพ ฯ
กระทรวงวัง มีหน้าที่บังคับบัญชาการในพระบรมมหาราชวัง
กระทรวงการคลัง มีหน้าที่จัดการอันเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ และการพระคลัง
กระทรวงเกษตราธิการ มีหน้าที่จัดการไร่นา

เพื่อให้เหมาะสมกับสมัย จึงได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของกระทรวงบางกระทรวง และเพิ่มอีก 4 กระทรวง รวมเป็น 10 กระทรวง คือ







กระทรวงกลาโหม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้พันเอกเจ้าหมื่นไวยวรนาถ
สร้างตึกใหญ่ขึ้นที่ข้างพระบรมมหาราชวัง ใกล้ข้างศาลหลักเมือง ใน พ.ศ. ๒๔๒๔ และโปรดให้สถาปนา
จากกรมขึ้นเป็นกระทรวง เมื่อ ๑ เมษายน ๒๔๓๔


1. กระทรวงการต่างประเทศ แบ่งหน้าที่มาจากกระทรวงการคลังเก่า มีหน้าที่ตั้งราชทูตไปประจำสำนักต่างประเทศ เนื่องจากเวลานั้นชาวยุโรปได้ตั้งกงสุลเข้ามาประจำอยู่ในกรุงเทพ ฯ บ้างแล้ว สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ เป็นเสนาบดีกระทรวงนี้เป็นพระองค์แรก และใช้พระราชวังสราญรมย์เป็นสำนักงาน เริ่มระเบียบร่างเขียนและเก็บจดหมายราชการ ตลอดจนมีข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยมาทำงานตามเวลา ซึ่งนับเป็นแบบแผนให้กระทรวงอื่น ๆ ทำตามต่อมา

2. กระทรวงยุติธรรม แต่ก่อนการพิจารณาพิพากษาคดีไม่ได้รวมอยู่ในกรมเดียวกัน และไม่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน เป็นเหตุให้วิธีพิจารณาพิพากษาไม่เหมือนกัน ต่างกระทรวงต่างตัดสิน จึงโปรด ฯ ให้รวมผู้พิพากษา ตั้งเป็นกระทรวงยุติธรรมขึ้น

3. กระทรวงโยธาธิการ รวบรวมการโยธาจากกระทรวงต่าง ๆ มาไว้ที่เดียวกัน และให้กรมไปรษณีย์โทรเลข และกรมรถไฟรวมอยู่ในกระทรวงนี้ด้วย

4. กระทรวงธรรมการ แยกกรมธรรมการและสังฆการีจากกระทรวงมหาดไทย เอามารวมกับกรมศึกษาธิการ ตั้งขึ้นเป็นกระทรวงธรรมการมีหน้าที่ตั้งโรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ฝึกหัดบุคคลให้เป็นครู สอนวิชาตามวิธีของชาวยุโรป เรียบเรียงตำราเรียน และตั้งโรงเรียนขึ้นทั่วราชอาณาจักร

ทั้งนี้ได้ทรงเริ่มจัดการตำแหน่งหน้าที่ราชการดังกล่าวตั้งแต่ พ.ศ.2431 จัดให้มีเสนาบดีสภา มีสมาชิกเป็นหัวหน้ากระทรวง 10 นาย และหัวหน้ากรมยุทธนาธิการ กับกรมราชเลขาธิการ ซึ่งมีฐานะเท่ากระทรวงก็ได้เข้านั่งในสภาด้วย รวมเป็น 12 นาย พระองค์ทรงเป็นประธานมา 3 ปีเศษ

แต่เดิมเสนาบดีมีฐานะต่าง ๆ กัน แบ่งเป็น 3 คือ เสนาบดีมหาดไทยกับกลาโหมมีฐานะเป็นอัครมหาเสนาบดี เสนาบดีนครบาล พระคลังและเกษตราธิการ มีฐานะเป็นจตุสดมภ์ เสนาบดีการต่างประเทศ ยุติธรรม ธรรมการและโยธาธิการ เรียกกันว่า เสนาบดีตำแหน่งใหม่ ครั้นเมื่อมีประกาศ เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.2435 จึงเรียกเสนาบดีเหมือนกันหมด ไม่เรียกอัครเสนาบดีและจตุสดมภ์อีกต่อไป


3. การศึกษา ในรัชกาลนี้ได้โปรดให้ขยายการศึกษาขึ้นเป็นอันมากใน พ.ศ.2414 ได้โปรดให้จัดตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วมีหมายประกาศชักชวนพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการให้ส่งบุตรหลานเข้าเรียน โรงเรียนภาษาไทยนี้ โปรดให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) เป็นอาจารย์ใหญ่ ต่อมาตั้งโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษขึ้นอีกโรงเรียนหนึ่ง ให้นายยอช แปตเตอร์สัน เป็นอาจารย์ใหญ่ โรงเรียนทั้งสองนี้ขึ้นอยู่ในกรมทหารมหาดเล็ก







ห้องเรียนนักเรียนสมัยแรกที่เริ่มให้การศึกษาแก่ประชาชน


ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นและจัดตั้งขึ้นตามวัดต่างๆ ตามประเพณีนิยมของราษฎร โรงเรียนหลวงนี้ได้จัดตั้งขึ้นที่ “วัดมหรรณพาราม” เป็นแห่งแรก แล้วจึงแพร่หลายออกไปตามหัวเมืองทั่ว ๆ ไป โปรดให้ตั้งกรมศึกษาธิการ ขึ้นในปี พ.ศ.2428 และจัดให้มีการสอบไล่ครั้งแรกใน พ.ศ.2431 ต่อมาในปี พ.ศ.2433 ได้มีการปฏิวัติแบบเรียน โดยให้เลิกสอนตามแบบเรียน 6 กลุ่ม มีมูลบทบรรพกิจเป็นต้น ของพระยาศรีสุนทรโวหาร มาใช้แบบเรียนเร็วของกรมพระยาดำรงราชานุภาพแทน ในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้งกระทรวงธรรมการขึ้น จัดการศึกษาและการศาสนาขึ้น เมื่อปี พ.ศ.2435 การศึกษาก็เจริญก้าวหน้าสืบมาโดยลำดับ


4. การศาล แต่เดิมมากรมต่าง ๆ ต่างมีศาลของตนเองสำหรับพิจารณาคดี ที่คนในกรมของตนเกิดกรณีพิพาทกันขึ้น แต่ศาลนี้ก็เป็นไปอย่างยุ่งเหยิง ไม่เป็นระเบียบ ใน พ.ศ.2434 จึงได้ตั้งกระทรวงยุติธรรมขึ้น เพื่อรวบรวมศาลต่าง ๆ ให้มาขึ้นอยู่ในกระทรวงเดียวกัน นอกจากนั้นในการพิจารณาสอบสวนคดี ก็ใช้วิธีจารีตนครบาล คือ ทำทารุณต่อผู้ต้องหา เพื่อให้รับสารภาพ เช่น บีบขมับ ตอกเล็บ เฆี่ยนหลัง และทรมานแบบอื่น ๆ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ผู้ต้องหาทนไม่ไหว ก็จำต้องสารภาพ จึงได้ตราพระราชบัญญัติขึ้น ใช้วิธีพิจารณาหลักฐานจากพยานบุคคลหรือเอกสาร ส่วนการสอบสวนแบบจารีตนครบาลนั้นให้ยกเลิก

ได้จัดตั้งศาลโปริสภาขึ้นเมื่อ พ.ศ.2435 ต่อมาได้จัดตั้งศาลมณฑลขึ้น โดยตั้งที่มณฑลอยุธยาเป็นมณฑลแรก และขยายต่อไปครบทุกมณฑล


5. การคมนาคม ได้โปรดให้สร้างถนนและสะพานขึ้นเป็นอันมาก ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ขยายถนนบำรุงเมือง ถนนที่ทรงสร้างใหม่ คือ ถนนเยาวราช ถนนราชดำเนินกลาง ถนนราชดำเนินนอก ถนนดินสอ ถนนบูรพา ถนนอุณากรรณ เป็นต้น ในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง ๆ ทรงสละพระราชทรัพย์สร้างสะพานขึ้น ซึ่งมีคำว่า “เฉลิม” นำหน้า เช่น สะพานเฉลิมศรี สะพานเฉลิมสวรรค์ สะพานอื่น ๆ ที่สำคัญทรงสร้างขึ้น เช่น สะพานมัฆวานรังสรรค์ สะพานเทวกรมรังรักษ์ โปรดให้ขุดคลองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทางคมนาคม และส่งเสริมการเพาะปลูก











สะพานหัน สร้างในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


ใน พ.ศ.2433 โปรดให้สร้างทางรถไฟตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงจังหวัดนครราชสีมา ทรงเปิดทางตอนแรกตั้งแต่กรุงเทพ ฯ ถึงอยุธยาก่อน ใน พ.ศ.2439 สายต่อ ๆ ไปที่โปรดให้สร้างขึ้นในภายหลังคือ สายเพชรบุรี สายฉะเชิงเทรา สายเหนือเปิดใช้ถึงชุมทางบ้านดารา จังหวัดอุตรดิตถ์ ให้สัมปทานเดินรถรางและรถไฟในกรุงเทพ ฯ สมุทรปราการ กับรถไฟในแขวงพระพุทธบาท ตลอดจนจัดการเดินรถไฟระหว่างกรุงเทพ ฯ กับสมุทรสงคราม

การไปรษณีย์ โปรดให้เริ่มจัดขึ้นในปี พ.ศ.2424 รวมอยู่ในกรมโทรเลข ซึ่งได้จัดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ.2412 โทรเลขสายแรกที่สุด คือ ระหว่างจังหวัดพระนครกับจังหวัดสมุทรปราการ


6. การสุขาภิบาล ในส่วนการบำรุงความสุขของพลเมืองนั้น ได้ทรงตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เพื่อดูแลจัดตั้งโรงพยาบาลขึ้นหลายแห่ง เช่น ศิริราชพยาบาล โรงพยาบาลบางรัก โรงพยาบาลโรคจิต และโรงเลี้ยงเด็ก นอกจากนี้ได้ส่งแพทย์ออกเที่ยวปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษและป้องกันอหิวาตกโรค โดยไม่คิดมูลค่า ใน พ.ศ.2436 สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินี จัดสร้าง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น ต่อมาได้เปลี่ยนเป็น “สภากาชาดไทย” ต่อมาสภาได้จัดตั้งโรงพยาบาลขึ้น แต่ยังไม่ทันเสร็จ มาเสร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า “โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์” ใน พ.ศ.2457











ที่ตั้งสำนักงานการประปานครหลวงแห่งแรกบริเวณแยกแม้นศรี


ใน พ.ศ.2446 ได้ทรงจ้างช่างฝรั่งเศสเป็นนายช่างสุขาภิบาล จัดหาน้ำสะอาดให้ชาวพระนครบริโภค แต่การนี้มาสำเร็จในรัชกาลที่ 6 พระราชทานนามว่า “การประปา” อนึ่งในปีเดียวกันนั้น โปรดเกล้า ฯ ให้จัดตั้ง “โอสถสภา” ขึ้น จัดทำยาตำราหลวงส่งไปจำหน่ายตามหัวเมืองในราคาถูก


7. การสงครามและการเสียดินแดน ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แม้จะได้ทรงเปลี่ยนแปลงการบริหารราชการประเทศในลักษณะที่เรียกกันว่า “พลิกแผ่นดิน” หรือ “ปฏิวัติ” ก็ตาม แต่ในด้านการเกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกซึ่งได้ยื่นมือเข้ามาต้องการดินแดนของเรา ตั้งแต่ปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ นั้น ได้ทำให้เราต้องเสียดินแดนต่าง ๆ ไปในรัชกาลนี้อย่างมากมายและเป็นการเสียจนครั้งสุดท้าย ซึ่งการเสียแต่ละครั้งนั้น หากจะนำมากล่าวโดยยืดยาวก็เกินความจำเป็น ฉะนั้นจึงจะนำมากล่าวเฉพาะดินแดนที่เราเสียไปเท่านั้น ดินแดนที่เราเสียไปเพราะถูกข่มเหงรังแกจากฝรั่งเศส มีหลายคราวด้วยกัน คือ
1. พ.ศ.2431 เสียแคว้นสิบสองจุไทย และหัวพันทั้งห้าทั้งหก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 87,000 ตารางกิโลเมตร
2. พ.ศ.2436 (ร.ศ.112) เสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดจนถึงเกาะต่าง ๆ ในลำน้ำโขง คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 143,000 ตารางกิโลเมตร ทั้งยังต้องเสียเงินค่าปรับเป็นเงิน 2 ล้านฟรังค์ (คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนเงินในเวลานั้นประมาณ 1 ล้านบาท) และต้องถอนทหารจากชายแดนทั้งหมดและฝรั่งยึดจันทบุรีไว้เป็นการชำระหนี้
3. ในปี พ.ศ.2447 ไทยต้องเสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขง ตรงข้ามหลวงพระบาง และตรงข้ามปากเซให้แก่ฝรั่งเศสอีก คิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 12,500 ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้เนื่องจากฝรั่งเศสไม่ยอมถอนทหารจากจันทบุรี เมื่อเสียดินแดนนี้แล้วฝรั่งเศสก็ถอนทหารออกจากจันทบุรี แต่ไปยึดเมืองตราดไว้อีก โดยหาเหตุผลอันใดมิได้
4. เพื่อที่จะให้ฝรั่งเศสไปจากเมืองตราด ไทยต้องเสียสละ พระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณ ซึ่งไทยได้มาอย่างเด็ดขาดตั้งแต่ พ.ศ.2352 ให้แก่ฝรั่งเศส โดยสัญญาลงวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2449 ฝรั่งเศสยอมคืนเมืองด่านซ้าย เมืองตราด และเกาะทั้งหลาย ซึ่งอยู่ใต้แหลมสิงห์ลงไปจนถึงเกาะกูดให้แก่ไทย รวมดินแดนที่เสียไปครั้งนี้เป็นเนื้อที่ประมาณ 51,000 ตารางกิโลเมตร
แต่การเสียดินแดนคราวสุดท้ายนี้ไทยก็ได้ประโยชน์อยู่บ้าง คือฝรั่งเศสยอมยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ยอมให้ศาลไทยมีสิทธิที่จะชำระคดีใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ชาวฝรั่งเศส และคนในบังคับฝรั่งเศสได้หาไปขึ้นศาลกงสุลเช่นแต่ก่อนไม่

ส่วนทางด้านอังกฤษนั้น ปรากฏว่าเขตแดนระหว่างมลายู ซึ่งเป็นของอังกฤษกับไทยยังหาปักปันกันโดยควรไม่ตลอดมาถึงปี พ.ศ.2441 ประเทศไทยได้เปิดการเจรจากับรัฐบาลอังกฤษ รวมถึงเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้วย ใน พ.ศ.2454 อังกฤษจึงยอมตกลงให้ชาวอังกฤษ หรือคนในบังคับอังกฤษมาขึ้นศาลไทยและยอมให้ไทยกู้เงินจากอังกฤษทางรัฐบาลสหรัฐมลายู เพื่อนำมาใช้สร้างทางรถไฟสายใต้จากกรุงเทพฯ ถึงสิงคโปร์ เพื่อตอบแทนประโยชน์ที่อังกฤษเอื้อเฟื้อ ทางฝ่ายไทยยอมยกรัฐกลันตัน ตรังกานูและไทยบุรี ให้แก่สหรัฐมลายูของอังกฤษ


8. การเสด็จประพาส การเสด็จประพาสเป็นพระราชกรณียกิจที่สำคัญอันหนึ่งของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังที่กล่าวมาแล้วว่า ระหว่างที่ยังมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นก็ได้เสด็จประพาสชวา และอินเดีย เพื่อดูแบบอย่างการปกครองที่ชาวยุโรป นำมาใช้ในเมืองขึ้น เพื่อนำมาแก้ไขดัดแปลงใช้ในประเทศของเราบ้าง และการก็เป็นไปสมดังที่พระองค์ได้ทรงคาดการณ์ไว้ เพราะได้นำเอาวิธีการปกครองในดินแดนนั้น ๆ มาใช้ปรับปรุงระเบียบการบริหารอันเก่าแก่ล้าสมัยของเรา ซึ่งใช้กันมาตั้ง 400 ปีเศษแล้ว

เมื่อได้เกิดกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสแล้ว ก็ได้เสด็จประพาสยุโรป 2 ครั้ง ในปี พ.ศ.2440 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2450 อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรป ตลอดจนประเทศฝรั่งเศสด้วย











พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระรูปร่วมกับพระเจ้าซาร์ นิโคลาสที่ ๒
แห่งราชวงศ์โรมานอฟ ประเทศรัสเซีย


ในการเสด็จประพาสทวีปยุโรปครั้งแรก เมื่อ พ.ศ.2440 ได้มีกระแสพระราชปรารภมีข้อความตอนหนึ่งว่า พระองค์ได้เสด็จไปนอกพระราชอาณาเขตหลายครั้งคือ เสด็จประพาสอินเดีย พม่ารามัญ ชวาและแหลมมลายู หลายครั้ง ได้ทรงเลือกสรรเอาแบบแผนขนบธรรมเนียมอันดีในดินแดนเหล่านั้นมาปรับปรุงในประเทศให้เจริญขึ้นแล้วหลายอย่าง แม้เมืองเหล่านั้นเป็นเพียงแต่เมืองขึ้นของมหาประเทศในทวีปยุโรป ถ้าได้เสด็จถึงมหาประเทศเหล่านั้นเองประโยชน์ย่อมจะมีขึ้นอีกหลายเท่า ทั้งจะได้ทรงวิสาสะคุ้นเคยกับพระมหากษัตริย์ และรัฐบาลของประเทศน้อยใหญ่ใน ยุโรปด้วย เป็นทางส่งเสริมทางไมตรีให้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน จึงได้ทรงกำหนดเสด็จพระราชดำเนินในวันที่ 7 เมษายน ร.ศ.116 (พ.ศ.2440) มีกำหนดเวลาประมาณ 9 เดือน

การเสด็จประพาสต่างประเทศ ในขณะที่เสวยราชสมบัติระยะไกลเป็นเวลาเช่นนั้น นับเป็นครั้งแรกจึงได้ทรงออกพระราชกำหนด ตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินรักษาพระนคร ซึ่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินครั้งแรกนี้ ได้แก่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรีพระบรมราชินีนาถ (ซึ่งต่อมาได้รับสถาปนาเป็น สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชเทวี) ซึ่งครั้งนั้นทรงเป็นพระราชชนนีของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมงกุฏราชกุมาร (พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) กับทรงตั้งที่ปรึกษาล้วนแต่เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอชั้นผู้ใหญ่ 4 พระองค์ คือพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ 1 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุ-รังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงเทวะวงศ์วโรปการ 1 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ 1 กับมีข้าราชการชาวต่างประเทศ ซึ่งจ้างมารับราชการในประเทศไทยครั้งนั้น คือ โรลังยัคมินส์ ชาวเบลเยี่ยม ซึ่งได้บรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาอภัยราชา ร่วมด้วยอีก 1 ท่าน

ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนี้ ได้ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระราชินีนาถ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินตลอดระยะทาง พระราชหัตถเลขานี้ต่อมาได้รวมเป็นหนังสือเล่มชื่อ พระราชนิพนธ์เรื่องไกลบ้าน ให้ความรู้เกี่ยวแก่สถานที่ต่าง ๆ ที่เสด็จไปอย่างมากมาย

ส่วนการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 นั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเสด็จกลับแล้ว จึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

ส่วนภายในประเทศ ก็ทรงถือว่าการเสด็จประพาสในที่ต่าง ๆ เป็นเหตุให้รู้สารทุกข์สุขดิบของราษฎรเป็นอย่างดี พระองค์จึงได้ทรงปลอมแปลงพระองค์ไปกับเจ้านายและข้าราชการ ไปโดยเรือมาดแจวไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง ๆ แวะเยี่ยมเยียนตามบ้านราษฎร ซึ่งเรียกกันว่า “ประพาสต้น” ประพาสต้นนี้ได้เสด็จ 2 ครั้ง คือในปี พ.ศ.2447 ครั้งหนึ่ง และในปี พ.ศ.2449 อีกครั้งหนึ่ง


9. การศาสนา ในด้านศาสนานั้นพระองค์มิได้ทรงละเลย ทรงเป็นองค์ศาสนูปถัมภกโดยแท้จริงในด้านพระพุทธศาสนานั้น นอกจากจะทรงบรรพชาเป็นสามเณรและทรงอุปสมบทด้วยแล้ว ยังให้ความอุปถัมภ์สงฆ์ 2 นิกาย ดังเช่น สมเด็จพระราชบิดา ในปี พ.ศ.2445 ให้ตราพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ เป็นการวางระเบียบสงฆ์มณฑลให้เป็นระเบียบทั่วราชอาณาจักร ให้กระทรวงธรรมการมีหน้าที่ควบคุมการศาสนา ทรงอาราธนาพระราชาคณะให้สังคายนาพระไตรปิฎก แล้วพิมพ์เป็นอักษรไทยชุดละ 39 เล่ม จำนวน 1,000 ชุด แจกไปตามพระอารามต่าง ๆ ถึงต่างประเทศด้วย ใน พ.ศ.2442 ทรงปฏิสังขรณ์วัดเบญจมบพิตร แล้วจำลองพระพุทธชินราชที่จังหวัดพิษณุโลกมาประดิษฐานไว้ในวัดนี้ ทรงปฏิสังขรณ์วัดหลายวัด สร้างพระอารามหลายพระอาราม เช่น วัดราชบพิตร วัดเทพศิรินทราวาส วัดนิเวศน์ธรรมประวัติ (บางปะอิน) เป็นต้น

ส่วนศาสนาอื่น ก็ทรงให้ความอุปถัมภ์ตามสมควร เช่น สละพระราชทรัพย์สร้างสุเหร่าแขก พระราชทานเงินแก่คณะมิชชันนารี และพระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์ที่ริมถนนสาธร


10. การวรรณคดี ในด้านวรรณคดีนั้น ในรัชกาลนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมราวกับปฏิวัติ คือ ประชาชนหันมานิยมการประพันธ์แบบร้อยแก้ว ส่วนคำประพันธ์แบบโคลงฉันท์กาพย์กลอนนั้น เสื่อมความนิยมลงไป หนังสือต่าง ๆ ก็ได้รับการเผยแพร่ยิ่งกว่าสมัยก่อน เพราะเนื่องจากมีโรงพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่ง ๆ ได้จำนวนมาก ไม่ต้องคัดลอกเหมือนสมัยก่อน ๆ











พระราชหัตถเลขา


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ ทรงเป็นนักประพันธ์ ซึ่งมีความชำนาญทั้งทางร้อยแก้วและร้อยกรอง เช่น ไกลบ้าน ลิลิตนิทราชาคริต เงาะป่า พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นต้น พระราชนิพนธ์เล่มหลังนี้ ได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดความเรียงประเภทคำอธิบาย

ขอบคุณข้อมูลโดย :
พระราชสุทธิญาณมงคล
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง
 

_________________
คณะหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร 1. หลวงปู่พระอุตรเถระเจ้า 2. หลวงปู่พระโสณเถระเจ้า 3. หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(หลวงปู่อิเกสาโร) 4. หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า 5. หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้าhttp://board.palungjit.com/showthread.php?t=22445
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
บัวหิมะ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 26 มิ.ย. 2008
ตอบ: 1273

ตอบตอบเมื่อ: 22 ส.ค. 2008, 11:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขอบคุณ ท่าน sithiphong
ที่นำบทความ ดี ๆ มาให้สมาชิกได้อ่านกัน
ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ เป็นล้นพ้น เสมอ สาธุ
 

_________________
ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง