Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ต่างประเทศมีเจ้าที่เจ้าทางเหมือนบ้านเรามั๊ย อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2007, 3:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้ม http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13840 ยิ้ม

ธรรมบรรณาการแด่...ทุกท่าน สาธุ

ผู้ใดเห็นสิ่งที่ไม่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
เห็นสิ่งที่เป็นสาระ ว่าไร้สาระ
ผู้นั้นมีความคิดผิดเสียแล้ว
ย่อมไม่ประสบสิ่งที่เป็นสาระ

ผีเสื้อ ผีเสื้อ ผีเสื้อ

ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
และสิ่งที่ไร้สาระ ว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ


จาก : พุทธวจนะในธรรมบท
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


อนุโมทนากับทุกทัศนะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ตามคำสั่งสอนแห่งพระบรมศาสดาค่ะ
สาธุ ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2007, 7:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผีสางนางไม้ รุกเทวา เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม พระยายมราช
พระพิฆเณศ พระนารายณ์ พญานาคราช พญาครุฑ ฯลฯ
มีอยู่จริงนะขอรับ คุณเลวดี ไม่เห็น แต่ข้าพเจ้าเห็น แถมให้อีกนิดว่า ขนาดข้าพเจ้ายังเคยลอยขี้นไปนั่งบนตักของพระพิฆเณศ ด้วยซ้ำไป นี้เรื่องจริงนะขอรับ
แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้สอนให้กลัวหรือไม่สอนให้เชื่อ เพราะทุกคนคือมนุษย์ ล้วนต้องมีธรรมชาติอย่างมนุษย์ คือล้วนต้องมี "ความคิดอันคิดถึงความหลัง" ล้วนต้องมีความคิด ล้วนคิดในปัจจุบันสู่อนาคต
ล้วนต้องมีอาชีพ ล้วนต้องประพฤติปฏิบัติ ล้วนมีความรู้คุณ ล้วนมีการเจรจาและติดต่อสื่อสาร ล้วนต้องมีการครองเรือน และการให้ทาน
คุณเลวดี คุณไม่เข้าใจดอกนะว่า กิเลสนั้นเป็นอย่างไร อย่าทำตัวเป็นราชสีห์กับหนู คิดว่าเจ้าที่เจ้าทาง รุกเทวา ผีสางนางไม้ ช่วยทำให้กิเลสลดน้อยลงไม่ได้ คุณยังมีปัญญาตื้น รู้น้อย แต่ฝอยมาก ฝอยไม่เข้าหม้อ ไห ตะหลิว ครก ด้วยนะคุณ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2007, 7:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"สาระ"
ควรบีบแคบลง ให้อยู่ในทาง พุทธธรรม จะเกิดเป็น "พุทธสาระ"
ข้าพเจ้าก็ไม่ทราบว่า สาระในความหมายของท่านเสฐียรพงษ์ วรรณปก อยู่ในขอบเขต เช่นนี้หรือไม่
เพราะการตีความคำว่า "สาระ" ของแต่ละสาขาวิชาชีพ ก็ตอบเข้าข้างตนเองอย่างมากว่า วิชาของตนเป็น สาระ
....................................................................
ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
และสิ่งที่ไร้สาระ ว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ

ใน บทกลอนนี้ ถ้าคิดว่าสิ่งที่กำไว้ เป็นสิ่งที่เป็น สาระ แต่ถ้าไม่ใช่พุทธสาระ ข้าพเจ้า เข้าใจว่า ไม่ใช่สัมมาทิฎฐิ(ความคิดเห็นชอบ)
...................................................................
ถ้าเปรียบ สมองของตนเอง เป็น "แก้วน้ำ"
สำหรับคนทำงาน สาระเพื่อวิชาชีพก็ถูกใส่ไว้ในแก้วแล้ว 50-70% หรือเกือบเต็ม
ยังคงเหลือที่ว่าง ให้ พุทธสาระ สอดแทรกเข้าไปในแก้วได้อยู่บ้าง
...................................................................
พุทธสาระ จะอยู่ได้เต็มแก้ว เพราะผู้นั้นสนใจแต่พุทธธรรม เพราะเห็นว่า สิ่งนี้ คือ พุทธสาระ
...................................................................
ส่วนพุทธสาระ ก็เป็นปัญหา อีกเช่นกัน คือ
สมอง หรือ "แก้วน้ำของตนเอง" มันเล็ก ไม่เพียงพอต่อการบรรจุพุทธธรรม ได้ทั้งหมด
ผู้ที่ฉลาดขึ้นมาอีกหน่อย ก็จะบีบย่อ เก็บจำไว้ ทำให้ประหยัดเนื้อที่ แต่ก็ไม่เพียงพอ ซ้ำยังจำความขยายไม่ได้ จึงไม่เข้าใจคำย่อ

"ใบไม้ในกำมือเดียว" จึงเป็นทางออก ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้

ปริศนาธรรม อย่างหนึ่งที่มีผู้แปลคำว่า "ใบไม้ในกำมือเดียว ในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า" ยังมีผู้แปลได้สองทาง คือ 1.แปลว่า "ธรรมะทั้งหมด" 2.แปลว่า "เลือกเฉพาะที่จำเป็นและดีที่สุด เช่น อริยสัจ 4 , อริยมรรค มีองค์ 8 , จิตว่าง , ทาน ศีล ปัญญา "
..............................................................
ข้าพเจ้าจึงมีความเห็นว่า เจ้าที่ เจ้าทาง จึงไม่ใช่ พุทธสาระ
เจ้าที่ เจ้าทาง ไม่อยู่ในบทสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น ที่ผู้ศรัทธาต้องสวด(ปฎิญาณ) เพื่อให้จิต สติ ระลึกถึงอยู่ทุกวัน

จึงเห็นว่า เจ้าที่ เจ้าทาง ไม่ต้องจำ เป็นสาระในสมองก็ได้ เพราะคนทำงาน มีสมอง บรรจุไม่เพียงพอ
(ไม่มีใคร โกรธข้าพเจ้านะ เพราะสมองข้าพเจ้าก็น้อยนิด อยู่เช่นกัน เพียง เรื่อง สมาธิ สติปัฎฐาน จิตว่าง อริยมรรค มีองค์ 8 สัมมาสติ (จิตระลึกตรวจตรา) ก็รักษาไม่ค่อยจะอยู่แล้ว)
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2007, 8:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านBuddha
ท่านจะอยู่ใน ภพ ใดดี
ภพสวรรค์ ภพนรก หรือ ภพมนุษย์ ดีล่ะ
.......................................................
ภพใด ที่พ้นจากกิเลสทั้งปวง ล่ะ
......................................................
พบบนตักของพระพิฆเณศ พ้นกิเลสทั้งปวง หรือไม่ ท่านBuddha
.....................................................
พระพุทธเจ้า ตรัสไว้เช่นไรเล่า
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 01 ต.ค.2007, 10:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

"สาระ" ที่ได้กล่าวมาข้างต้น
เป็นการอ้างจากพุทธวัจนะในธรรมบทที่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญท่านได้แปลถ่ายทอดไว้

แม้ไม่ได้มีการอ้างอิงประกอบด้วย ภาษามคธ (บาลี)
ซึ่งเป็นภาษาที่พระพุทธองค์ใช้เป็นสื่อในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

แต่! เมื่อเป็นพุทธวัจนะแห่งองค์พระบรมศาสดา
ผู้ซึ่งเป็น “พุทธะ-ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน“ สิ้นเชิงโดยแท้แล้ว

สาระใดใดแห่งพระองค์
จึง ย่อมเป็นย่อมเป็น " พุทธสาระ"


เป็น “ภาษาธรรม” ภาษากลาง
อันเป็นภาษาเดียว ที่เป็น "สัจจะสากล"

สาระใดใดแห่งพระองค์ จึงมิอาจแปรเปลี่ยน ด้วย “การเล่นวาทะ”
หรือตีความด้วยนัยยะแห่งศาสตร์ทางโลกใดใด อันเป็นเพียง ”สมมติบัญญัติ”

ซึ่งหากผู้ใด ได้ใช้ “โยนิโสมนสิการ” พิจารณาโดยแยบคายแล้ว
คงตระหนักและแจ้งใจใน “สาระ”อันเป็น “พุทธธรรม” ได้โดยครอบคลุมไม่ยากเลยว่า

อะไร คือ “ สาระ” ของการนับถือพึ่งพึงเจ้าที่เจ้าทาง ในขณะที่ สงสัย

อะไรคือ “สาระ” ของการยึดถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ สาธุ

อะไร คือ “สาระ” ของการเสวนาธรรม
ในกระทู้ที่เป็นการพูดคนละเรื่องเดียวกัน
หรือจับคนละประเด็นจากเรื่องเดียวกันมาพูด
โดยมีเจตนาในการสื่อสาร และทักษะทางการสื่อสารที่ค่อนข้างต่างกัน (ในหลายกระทู้) แลบลิ้น

อะไรคือ “สาระ” ของเหตุผลที่ข้าพเจ้าเลือกที่จะสื่อสาร ธรรม กับท่าน Bad & Good ตั้งแต่เบื้องต้น
แทนที่จะเป็นท่านอื่น (ที่ท่านอาจถือว่าเป็นคู่สนทนาตัวจริงของท่าน) ซึ้ง

อะไรคือ “สาระ” ของ “การสดับธรรม”
จาก “การถ่ายทอด และแลกเปลี่ยนธรรม” เพื่อส่งเสริม “ภูมิธรรม”
ของ ผู้ที่ได้ชื่อว่าใฝ่ธรรม ของกันและกัน อืมม์

อะไรคือ “สาระ” ของ การประจักษ์ใน “มานะ มมังการ”
ของผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ใฝ่ธรรม ที่เราได้เสวนาธรรมด้วย ขำ

อะไรคือ “สาระ” ของ ปฏิเวท หรือ ผลแห่งการปฏิบัติธรรม
จาก "การสนทนาธรรม" ในครั้งนี้ ยิ้ม

และท้ายที่สุด อะไรคือ “สาระ” ของ “การวางอุเบกขา” อย่างถูกวิธี ยิ้มเห็นฟัน หลับ

ถูกต้อง ใบไม้ทั้งพงไพร หาได้เป็นประโยชน์และถือเป็นแก่นสาร
เท่าใบไม้ในกำมือเดียวหาได้ไม่

ใบไม้กำมือเดียวที่พระพุทธองค์ทรงคัดสรรแล้วว่า
เป็น “สาระ”
แต่ความเป็น "สาระ" จะบังเกิด
ก็มิใช่เพียงเพราะสักแต่ “กำ” เอาไว้

หากควรแก่การนำ "ใบไม้" นั้น มาศึกษา พิจารณา ว่า
ใบนั้น...พันธุ์นั้น ให้คุณประโยชน์ในฐานะใดต่อชีวิต


ที่สำคัญ เราต้อง"รู้จักวิธี"ที่จะเป็นผู้นำใบนั้น...พันธุ์นั้น
มาปรุงเป็น...อาหาร
มาสาน...เป็นเครื่องนุ่งห่ม
หรือมาผสม...เป็นยา
และนำมาใช้ อุปโภค บริโภค และรักษา....ด้วยตัวของเราเอง


สาธุ สาธุ สาธุ

สารญฺจ สารโต ญตฺวา
อาสารญฺจ อสารโต
เต สารํ อธคจฺฉนติ
สมฺมาสงฺกปฺปโคจรา ฯ ๑๒ ฯ


ผู้ที่เข้าใจสิ่งที่เป็นสาระ ว่าเป็นสาระ
และสิ่งที่ไร้สาระ ว่าไร้สาระ
มีความคิดเห็นชอบ
ย่อมประสบสิ่งที่เป็นสาระ


สาธุ สาธุ สาธุ

ยิ้ม เจริญในธรรมค่ะ ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 12:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออภัย ขออภัย
เพราะด้วยการนำเสนอ ด้วย
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=13840
เมื่ออ่านแล้วเข้าใจว่า สื่อสารเรื่องสิ่งนั้น
และต่อด้วยบทกลอนเช่นั้นว่าเป็นสาระ(เกี่ยวกับเรื่องใน www หรือไม่ก็ตาม) ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน มิได้แสร้งไม่รู้บทกลอน

ประกอบกับ ต้องการขยายความ บีบแคบให้ทราบว่า นี้คือ พุทธสาระ
(เพื่อว่า ผู้ไม่รู้บทกลอน เช่นข้าพเจ้า ได้ทราบความเห็นจากข้าพเจ้า ได้ขยายความไว้ อย่างไร หามิได้ เล่นวาทะ แต่อย่างไร )
................................................................
เมื่อกลับมาอ่านข้อความของข้าพเจ้าเอง เห็นว่า เหมือนดังเช่นต่อว่า ท่าน ต้องขออภัย ต้องขออภัย
นี้แหละ ภาษาไทยของข้าพเจ้า เมื่อผู้ใดอ่านแล้ว ช่างบาดลึกเสียจริง
เมื่อใดที่มีความขัดแย้ง เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้ขยายอารมณ์โกรธได้ เพราะมันคือ ภาษาเขียน เมื่ออ่านนาน ๆ ลึกซึ้ง ๆ กิเลส เคืองเล็ก ๆ ก็เริ่มก่อตัว จนเป็นกิเลสโกรธขนาดใหญ่ อย่างไม่ทันตั้งตัว
.................................................................
สิ่งนี้ข้าพเจ้ากำลังฝึกอยู่กับท่านB. โดยการระวังตัวเองเป็นที่สุด ว่า จะไม่โกรธ ไม่หลงตัวเองด้วยว่ามี "มานะ" ตามความหมายในสังโยชน์ 10 หรือไม่

ข้าพเจ้ารู้สึกดีขึ้น ที่ควบคุมตนเองต่อท่าน B ได้ และเลือกที่จะคุยต่อหรือไม่ ก็ได้ ข้าพเจ้าก็ต้องตอบกับตนเองว่า ไม่คุยต่อเนื่องกับเขา เขาก็ไม่ได้ทำอะไรให้กิเลส พองตัวมากขึ้น

บางครั้ง ข้าพเจ้าก็เข้าใจความหมายของพระพุทธเจ้าว่า ในที่สุดของพระองค์ คือ การหยุดตรัสสั่งสอน เนื่องจากเห็นว่า สอนผู้นี้ต่อไปไม่ได้ประโยชน์อีกแล้ว ก็ต้องปล่อยให้รู้ชะตากรรมของตนเอง หรือรู้ผลกรรมของตนเอง
.......................................
เมื่อฟังแล้ว ดูเหมือนเป็นคนอวดดี แต่ภูมิธรรมของแต่ละผู้คน ต่างกัน

ผู้ที่ด้อยกว่า มองเห็นพฤติกรรม ผู้ที่ดีกว่า ก็ยังเห็นว่า ผู้ดีนั้นด้อยกว่าตน
เพราะอาจเป็นได้ว่า ผู้นั้นด้อยกว่าจริง ๆ และมองผู้อื่น ไม่มีอะไรดี

ผู้ที่ดีกว่า มองเห็นพฤติกรรม ผู้ที่ด้อยกว่า เห็นว่า ผู้ด้อยนั้นด้อยกว่าตน
เพราะเห็นว่า มันด้อยกว่าตนเองจริง ๆ

ทั้งสองสิ่ง กลับเป็นเรื่องเดียวกัน คือ ทั้งสองคน ต่างมีกิเลส "มานะ" เหมือนกัน
อืม...มันจึงเป็นเรื่องแปลก สิ่งนี้ข้าพเจ้าก็ระวัง เช่นกัน (แต่ก็พลาดทุกที) จำเป็นจริง ที่ต้องสั่งตนเองว่า ไม่ใส่ใจได้หรือไม่ (ถ้าเรื่องเล็ก ๆ แล้วไม่ทำให้ ดีขึ้น)

วรรค เหล่านี้ เขียนไว้ เพื่อเตือนต่อข้าพเจ้าเอง มิได้ตักเตือนท่านกุหลาบสีชา อย่าได้กังวล
.....................................................................

ท้ายนี้ ข้าพเจ้ายังคงเคารพต่อท่าน อ่านธรรมะ รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง (เพราะแปลไม่ออกบางคำ รู้ธรรมะน้อย) แต่อ่านแล้วได้ อรรถรส และ เห็นในความเมตตาต่อข้าพเจ้า ยินดีรับคำตักเตือน ติชม แนะนำ ครับ

แต่ขอนิดหนึ่งว่า อย่าได้ใส่ใจ กับข้าพเจ้ามากเลย กับการยอมรับ หรือไม่ยอมรับ ความคิดเห็น บางท่อน บางตอน กิเลสอย่างใด อย่างหนึ่ง ของผู้ใด ผู้หนึ่ง จะบังเกิดขึ้น

ดูก่อน อย่าได้ ให้น้ำใสเย็น(เช่นท่าน) ต้องเสียงดังผุด ๆ จนต้องเดือดพล่าน ด้วยว่า เห็นเพียงแสงถ่านไฟลุกโชน(จากผู้อื่น) ซึ่งอยู่ไกลหลายร้อยกิโลเมตร
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 9:55 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนอื่นต้องขออภัยต่อเวบฯ มาสเตอร์ ที่เข้าใจผิดคิดว่าได้ลบความคิดเห็นบางอันของข้าพเจ้าไป แท้จริงแล้วข้าพเจ้าดูหน้าผิดไป ต้องขออภัยไว้ในที่นี้

คุณเลวดี ข้าพเจ้าแนะนำและติติงในตัวคุณแล้วว่า คุณนั้นรู้ในเรื่องชองกิเลสน้อยมาก ในความคิดของคุณนั้นคุณคิดว่า กิเลสมีตัวเดียว มีสิ่งเดียว คุณคิดว่าการที่ข้าพเจ้าลอยขึ้นไปนั่งบนตักขององค์ "ศรีฆเณศน์" นั้น ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากกิเลสได้ คุณเข้าใจผิด
กิเลส มีนับเป็นแสนเป็นล้าน หมายความว่า สิ่งที่จะทำให้เกิดกิเลสได้นั้นมีเป็นแสนเป็นล้าน แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกิเลสได้นั้นก็คือตัวเรา ความไม่รู้ ความสงสัยก็เป็นกิเลส เมื่อข้าพเจ้าเคยสงสัยว่า เทพเจ้าต่างๆมีจริงหรือไม่ นั่นเป็นความหลง ที่ซึ่งคุณคงไม่รู้ไม่เข้าใจ และไม่ยอมทำความเข้าใจ เมื่อข้าพเจ้าได้ลอยขึ้นไปนั่งบนตักขององค์"ศรีฆเณศน์" ซึ่งไม่ใช่ความฝัน มันเกิดขึ้นขณะนั่งอยู่ลืมตาอยู่ พอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นเมฆ เป็นวงกลม อยู่หน้าเมฆก้อนอื่นๆ แล้วตัวข้าพเจ้าก็ถูกดึงดูดเข้าไปผ่านวงกลมก้อนเมฆนั้นและไม่นั่งอยู่บนตักของ"พระศรีฆเณศน์" เมื่อข้าพเจ้าได้รู้แล้วว่า เทพเจ้าหรือเทวดาและนางฟ้ามีอยู่จริง ความสงสัยในวัยเด็กของข้าพเจ้าก็หายไปสิ้น เท่ากับว่าข้าพเจ้าหลุดพ้นจากกิเลสได้อย่างหนึ่ง คือไม่คิดสงสัยอีก คุณลองพิจาณาตัวเองซิแล้วคุณจะรู้ อีกประการหนึ่งไม่มีใครใส่ใจหรือสนใจในตัวคุณดอกนะ เป็นเพียงคุณเข้ามาเสวนา ก็ต้องโต้ตอบกันไปตามตัวอักษรไม่ได้คิดเพ้อเจ้อฟุ้งซ่าน
อีกประการหนึ่งคุณเอาความคิดหรือบทความของคนที่ไม่รู้จริงมากล่าว ข้าพเจ้าไม่ได้ดูหมิ่นหรือตีค่า คุณเสถียรฐพงษ์ ว่ามีความรู้ต่ำดอกนะ แต่ข้าพเจ้าบอกได้เลยว่า คุณเสถียรฐพงษ์ ถึงแม้จะได้รับการแต่งตั้งเป็นอะไรก็ตาม เป็นผู้ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง และความรู้ของเขายังห่างชั้นจากข้าพเจ้ามากนัก ต้องขออภัย คุณเสถียรฐพงษ์ เพราะข้าพเจ้าเคยเขียนจดหมายไปบอกให้เขายุติการกล่าวร้ายพระสงฆ์ ถึง พระสงฆ์บางรูปจะประพฤติไม่ถูกไม่ควร คุณเสถียรฐพงษ์ ก็ไม่ควรเผยแพร่ เพราะตัวคุณเสถียรฐพงษ์ ก็เคยบวชมาก่อน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
กุหลาบสีชา
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 30 เม.ย. 2007
ตอบ: 1466
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 11:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุค่ะ สาธุ สู้ สู้ ท่าน Bad & Good

ข้าพเจ้าเองก็ต้องขออภัยท่าน
ที่การสื่อสารของข้าพเจ้าอาจทำให้เกิดเกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน

ขอบคุณที่ท่านได้ชี้แจงมา

โปรดสบายใจว่า ข้าพเจ้ามิได้โกรธเคืองท่าน ยิ้มเห็นฟัน

ข้าพเจ้าเชื่อว่า หากเราเป็นกัลยาณมิตรต่อกันโดยแท้จริง

ทุกท่านในเว็ปนี้ย่อมแนะนำ และตักเตือนกันได้
บนพื้นฐานของความปรารถนาดี แลมีเมตตาธรรม
ยิ้ม

ท่านเองก็ตักเตือนข้าพเจ้าได้เช่นกันค่ะ
ยิ้ม

ขอให้ท่านพิจารณาดูว่า จะหา "สาระ" อันใด
จากการสนทนาธรรมในกระทู้นี้และ (ที่เกี่ยวข้องอื่น) ได้หรือไม่
และ "อย่างไร"

บันเทิง และเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ สาธุ ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 12:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1.ท่านBuddha ท่านอายุเท่าไรแล้ว
2.ท่านBuddha ท่านยังไม่ตอบข้าพเจ้าเลย ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างไร ที่จะทำให้พ้นกิเลสสิ้นเชิง
เพราะได้เห็นแล้วซึ่ง ภพสวรรค์ แล้วจึงหมดกิเลส ใช่หรือไม่
3.ถ้า ใช่แล้ว
ผู้ที่บรรลุธรรม ไม่เคยพบเห็นภพสวรรค์ ไม่เคยพบเทพทางด้านพราหมณ์-ฮินดู
เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
4.ถ้าผู้ใฝ่พุทธธรรม กลับเห็นเทพทางญี่ปุ่น เทพทางคริสตจักร แต่ไม่เห็นเทพทางพราหมณ์-
ฮินดู เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
5.การที่ท่านBuddha จะมาแจ้งเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็น ต่อคนสามัญชนคนธรรมดาเช่นข้าพเจ้า หรือผู้อื่น ท่านไม่กลัวถูกตำหนิว่า สติสมปฤดี หรือเปล่า
6.ท่านBuddha ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่า เหตุใดพระพุทธเจ้ามักไม่ตรัสต่อบุคคล สามัญชนธรรมดา ว่าพระองค์เห็น เทพ มาร อยู่เนือง ๆ แล้วกิเลสจะลดลง แล้วถือว่าพ้นทุกข์
.....................................
ถ้าตรรกะ เป็นเช่นนั้น
ถ้าเห็นเทพ แล้วหมดกิเลส
ข้าพเจ้าจะพยายามทำให้ได้เห็นเทพ
(ห้ามอ้างบริบทของภาษา ให้อ่านข้อความโดยรวมของท่าน ว่าท่านกำลังต้องการให้กิเลส ของข้าพเจ้าน้อยลง โดยการปฎิบัติเช่นนั้น)
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คนสองศอ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 ก.ย. 2007
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 3:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องเจ้าที่ในต่างประเทศ อื้ม .....ตอบไม่ยาก ต้องมองกันให้ชัดก่อนว่า เจ้าที่มาจากไหน ทำไมถึงได้มาเป็นเจ้าที่ อ๋อ.... เพราะเกิดจาก เหตุหลายๆอย่าง เช่น ตายเพราะถูกฆ่า พอตายแล้ว ยังต้องใช้เวรกรรมตรงจุดนี้ก่อน รอให้ท่านยมมารับไป หรือ เฝ้าสมบัติ อ๋อ ...เป็นเพราะห่วงสมบัติมากเกินไป ยึดติด เลยต้องอยู่เฝ้า เลยเป็นเจ้าที่ (ปู่โสม)หรือประเภทห่วงลูกหลาน ตายตายไปก็เลยอยู่ดูแลลูกหลาน แต่พอลูกหลายย้ายบ้าน กลับไม่บอกกล่าวไม่รู้ว่าไปไหน หรือไม่อยากตามไป ก็เลยอยู่ตรงนั้น เลยต้องมากลายเป็นผีเฝ้าบ้าน ก็เรียกว่าเจ้าที่นั้นแหละ เจ้าที่เจ้าป่าก็ ก็มาจากเหตุคล้ายๆกัน คือยังยึดติด เลยไปไหนไม่ได้ วิญญาณนั้นเลยมาสถานะภาพ กลายเป็นเจ้าที่เลย แต่การเป็นเจ้าที่ก็ต้องสร้างบุญเช่นเดียวกัน วิญญาณเจ้าที่ไหนที่ยังพอมีสำนึกที่ดีอยู่บ้างก็มักจะช่วยเหลือผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาใกล้ อย่างนี้ก็หมดกรรมได้ง่าย อาจจะได้ไปเกิดเร็วขึ้น เวลาในภพภูมิก็ไม่เหมือนในภพภูมิของมนุษย์ เวลาค่อนข้างช้ากว่ามากๆ แต่ช้าเท่าไร คงตอบไม่ได้ แต่เคยถาม เขาว่าช้ากว่านะ ช้ามากๆแต่บางครั้งก็เร็วก็งงเหมือนกันว่าทำไมเวลาไม่คงที่ ไว้เจอที่มีภูมิสูงๆแล้วจะถามมาให้นะ

คราวนี้ ถามว่าต่างประเทศมีเจ้าที่ ไหม? ก็ตอบได้เลยว่า มีเป็นบางประเทศ เฉพาะประเทศที่เขามี ธรรมเนียมในการปลูกฝังในคติของความเชื่อเรื่องเหล่านี้ครับ ส่วนแถวทวีปแถบพวกฝรั่งตาขาว ไม่ค่อยจะมี แล้วทำไมไม่มีละ? ก็ เพราะบ้านเขาไม่ได้ปลูกฝังขนบธรรมเนียมมาเหมือนบ้านเรา พอวิญญาณที่ตายไป ทางยมฑูต เขาก็มารับแต่ก็มีอยู่บ้าง ที่ตายไปยังวนเวียนอยู่อย่างนั้น แต่ไม่เห็นว่าจะช่วยอะไรใคร เพราะโดย นิสัยของชาวต่างชาติแล้ว เขาไม่นิยมชอบช่วยชาวบ้าน ชอบแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้านมากกว่า ยมฑูตบ้านเขาก็ องค์เดียวกันกับบ้านเรานั้นแหละ เพียงแต่ภาพที่เขาเห็นอาจจะต่างกับภาพทางบ้านเรานะครับ มิต้องสงสัยแต่อย่างไร เอาเป็นว่า มีการปลูกฝังความคิดความเชื่อมาอย่างไร ก็จะพบแบบนั้นนะครับ

ถ้าเราเข้าใจแล้วก็จะอยู่กับวิญญาณเหล่านี้ได้อย่างสันติ แถมเผลอๆท่านมาบอกหวย รวยไม่รู้ตัวนะตัว ฮิฮิฮิ ยิ้ม

ปล.ข้างบนเขาจะเถียงไปทำไมก็ไม่รู้ ก็ภูมิใครภูมิมันก็จบเรื่อง เถียงให้ตายก็ไม่จบหรอก คุณ...
 

_________________
คนเรา...อิ่มเดียว หลับเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
bad&good
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 06 ส.ค. 2007
ตอบ: 115

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 5:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านคนสองศอ
อ่านความเห็นของท่าน อ่านซ้ำ ๆ แล้วรู้สึก ขำ
เป็นผู้ที่มั่นใจว่า วัฒนธรรมของเจ้าที่ เจ้าทาง เป็นแบบนั้น (เหมือนดังว่า เป็นผู้วางระบบแบบแผน หรือ จัดทำสารคดี หรือ เคยผ่านชีวิตแบบนั้นมาก่อน)
.................................
อ่านของท่าน Thanatnicha อ้างถึง หลวงพ่อฤาษีลิงดำ มีเจ้าที่ เจ้าทาง อยู่ทุกมุมโลก
ก็ทำให้ข้าพเจ้า ไม่ทราบ จะเลือก เชื่อใครดี ขำ เป็นการใหญ่
................................
ผู้ไม่เคยเห็น คงไม่ผิดอะไร นะครับ อย่าเพิ่งโกรธข้าพเจ้า ก็แล้วกัน
บทกาลมสูตร บางครั้ง จำเป็นต้องนำมาใช้บ้าง แต่บังเอิญ เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่น่าจะศึกษา หาความรู้ เนื่องจากไม่ใช่ทางแห่งการดับกิเลส คือเพิ่มกิเลส ตามเที่ยวหาความจริง ที่ไป ที่มา ของ เจ้าที่ เจ้าทาง ขอย้ำว่า เสียเวลา จริง ๆ ท่าน คนสองศอ
.......................................

ส่วนเรื่องท่านBuddha กับข้าพเจ้า
ดูเหมือนเป็นคู่กัด
ก็บอกตามตรง ว่า เหมือนจะใช่
ข้าพเจ้า แสดงความเห็นต่อท่านBuddha เพื่อว่า แลกเปลี่ยนความเข้าใจกัน ให้ท่านBuddha ลดทิฏฐิลง เพื่อให้จิตเข้าสู่ อริยมรรค มีองค์ 8 ซึ่งเป็น ทางนำสู่นิพพาน ทางไปการพ้นทุกข์ หมดกิเลสสิ้นเชิง (แต่ไม่เป็นผล)
ข้าพเจ้า นิ่งบ้าง หยุด ไม่โต้ตอบบ้าง เพื่อให้ทุกสิ่งสงบลง
..............................................................
ซึ่งเห็นด้วยนะกับ ปล. ของท่านสองศอ
เอาแบบนี้ ข้าพเจ้า ขอปฎิญาณ นับแต่วันเวลานี้เป็นต้นไป ไม่ว่าท่านBuddha จะกล่าวอย่างไร ก็ตาม ข้าพเจ้าจะสงบนิ่ง ไม่โต้ตอบแต่อย่างไร ดีไม๊ครับ ท่านสองศอ
 

_________________
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ สูตรสำเร็จแห่งการดับทุกข์
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
คนสองศอ
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 26 ก.ย. 2007
ตอบ: 19
ที่อยู่ (จังหวัด): กรุงเทพฯ

ตอบตอบเมื่อ: 02 ต.ค.2007, 10:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขำ แหม่ๆ ก็เขียนให้ขำ หรือจะเขียนให้อ่านเล่น ก็ อ่านเถอะ เพราะเขาตั้งกระทู้มาให้ตอบ ไอ้ตัวเราก็ดันชอบซะด้วยนะ กระทู้แบบนี้ ปกติชอบอ่าน แต่เห็นกระทู้นี้เลย สมัครเข้ามาเผื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ตัวข้าผู้น้อยเอง ซึ้ง

เรื่องเจ้าที่เจ้าทาง เขามีไว้ให้ศึกษาก็ศึกษากันไป ไม่ได้ทำให้คนอ่านเขาโง่หรอก แล้วแต่การพิจารณาของแต่ละบุคคล บางคนเขาอาจจะมีประสบการณ์ที่พบในเรื่องแบบนี้ ก็ฟังเขาไป (ไม่ได้เสียเงินซักกะบาทซะที่ไหนเล่าท่านยกเว้นค่าไฟ+ค่าเน็ต)

เรื่องที่ดับทุกข์ก็ดี ก็ทราบดี แต่บางเรื่องทราบไว้ก็ไม่ได้เสียหายไม่ใช่หรือ วันนี้ฝนตก พรุ่งนี้แดดออก ก็ควรจะรู้ซะบ้าง เผื่อลูกหลานถามมาจะได้รู้เรื่องกะเขาบ้าง ไม่ใช่พอหลานถามมา ดันตอบว่า หลานเอ่ย มันไม่ใช่ทางดับทุกข์ดอก ...ถ้าตอบแบบนี้ เดี๋ยวหลานจะไปหาคำตอบเอง เรื่องจะไปกันใหญ่นะขอรับท่าน

การค้นหาความจริง ก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเหมือนหาทุกข์นั้นแหละ เพราะถ้าเราหาอาจจะไม่เจอ แต่ไม่แน่เขาจะวิ่งหาเราเอง เอาเป็นว่าถ้าบังเอิญเจอะเจอกระผมก็จะได้มาเล่าสู่กันฟังอีก ..ไม่ดีหรือท่าน สนุกดีออก

ส่วนที่ท่านประสงค์อยากจะให้เขาเข้าสู่มรรค8 ถือว่าท่านมีจิตใจที่ดีแล้ว แต่เขาจะเข้าหรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ดุลพินิจว่า เขาจะเข้าสู่นิพพานอย่างไรดี เส้นทางนี้ไม่ได้มีหนทางเดียวไม่ใช่หรือ เขาอาจจะค้นพบหรือมาทางอากาศก็เป็นได้ เผลอๆเข้าก่อนเรา เรายังไม่รู้เลย ท่านว่าจริงไหม ?ขึ้นอยู่กับจริตของตัวเขาเอง วาสนาบารมี ของตัวเขาว่าสะสมมามากน้อยเพียงใด เราก็ไม่อาจทราบได้ เอาเป็นว่า เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบด้วยวาจาใจ ให้ดีพอก็พอแล้วครับท่านชั่วและดี

ปล.ผมว่าถ้าสนทนาแบบไม่ได้คิดอะไรทั้งคู่ ก็จะนำมาซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนร่วมโลกนี้นะครับท่าน จรรโลงไว้เพื่อพระศาสนา ทั้งคู่นั้นแหละครับท่าน เจ๋ง
 

_________________
คนเรา...อิ่มเดียว หลับเดียวก็เพียงพอแล้ว
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 03 ต.ค.2007, 8:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้า แสดงความเห็นต่อท่านBuddha เพื่อว่า แลกเปลี่ยนความเข้าใจกัน ให้ท่านBuddha ลดทิฏฐิลง เพื่อให้จิตเข้าสู่ อริยมรรค มีองค์ 8 ซึ่งเป็น ทางนำสู่นิพพาน ทางไปการพ้นทุกข์ หมดกิเลสสิ้นเชิง (แต่ไม่เป็นผล)
คุณเลว ดี ความรู้ระดับคุณนะหรือจะมาทำให้ข้าพเจ้าเข้าสู่อริยมรรค

แค่มรรค เท่านั้นหรือมีองค์ 8 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ ไม่มีองค์ 8 หรือ อย่าอวดอุตริให้มากนักเลย
มรรค ของคุณนะ ก็ผิดหลักธรรมชาติของมนุษย์แล้วนะคุณ
ถ้าจะกล่าวในทางกลับกัน ข้าพเจ้าน่าจะเป็นผู้ลดทิฎฐิของคุณมากกว่า เพราะคุณนั้น ติดหลงในสิ่งที่เป็นเพียงกระพี้ แห่งหลักการหรือหลักธรรมะของข้าพเจ้าหรือถ้าจะกล่าวแบบตรงไปตรงมา มรรคอันมีองค์ 8 ที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกนั้น เป็นเพียงกระพี้ หรือเป็นเพียงรายละเอียดที่ใช้อธิบายเท่านั้น หรือถ้าจะกล่าวอีกรูปแบบหนึ่ง สิ่งที่มีในพระไตรปิฏกนั้น ผิดอย่างมหันต์

ระดับข้าพเจ้านะ บรรลุนิพพานโน้นแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังหาข้อยุติไม่ได้ว่า นิพพานหรือปรินิพานนั้น มีสองอย่างจริงหรือ หรือว่ามีอย่างเดียว อีกไม่นานคงได้ข้อยุติ
ที่กล่าวไปนี้ไม่ใช่เรื่องคุยโว แต่กล้าท้าให้มาพิสูจน์ได้เลย จะพาใครมาก็ได้ นะยินดีเป็นอย่างยิ่ง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 03 ต.ค.2007, 9:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

[quote="bad&good"]1.ท่านBuddha ท่านอายุเท่าไรแล้ว
คำตอบ "แล้วคุณละอายุเท่าไหร่ ถ้าจะให้ประมาณอายุของคุณ คงไม่เกิน 65 ละซินะ
ถ้าคุณอายุ ตั้งแต่ 60 -65 ข้าพเจ้าอายุน้อยกว่าคุณหลายปี

2.ท่านBuddha ท่านยังไม่ตอบข้าพเจ้าเลย ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างไร ที่จะทำให้พ้นกิเลสสิ้นเชิง เพราะได้เห็นแล้วซึ่ง ภพสวรรค์ แล้วจึงหมดกิเลส ใช่หรือไม่
คำตอบ คุณถามข้าพเจ้าเมื่อไหร่ละ ไม่ได้อ่าน และ คำถามของคุณนั้น หมายถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน พระพุทธเจ้าเกิดไปแล้ว 4 พระองค์แล้ว แต่พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ไม่มีนะ เหตุเพราะศาสนาในโลก เกิดมีหลายศาสนา จึงเป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าที่ต้องมาแก้ไขศาสนาให้ถูกต้อง
ส่วนคำถามที่ว่า พระพุทธเจ้าตรัสอย่างไร ที่จะทำให้พ้นจากกิเลสสิ้นเชิง นั้น ขอตอบว่า การที่บุคคลจะพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงได้นั้น ต้องประกอบไปด้วย "การเอาใจจดจ่อในสิ่งนั้นหรือเอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น หรือสมาธิ" 2.ต้องประกอบด้วย "ญาณ" คือความรู้ทั้งหลาย อันเกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของบุคคล"3.ต้องประกอบด้วย วิธีการปฏิบัติ หรือการปฏิบัติ อันเรียกว่า วิปัสสนา
คำตอบข้างต้นนี้เป็นหลักการเป็นหลักธรรมหัวข้อใหญ่ สามารถจะแยกแยะรายละเอียดได้อีกว่า หากคุณต้องการหลุดพ้นจากสิ้นเชิง ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ (หมายความว่า การหลุดพ้นจากกิเลสอย่างสิ้นเชิงนั้น มี 2 รูปแบบ คือ ตาย อย่างหนึ่ง) คุณก็ต้องรู้จักขจัดอาสวะแห่งกิเลส การขจัดอาสวะให้แห่งกิเลสให้สิ้นนั้น จะต้องประกอบด้วยปัจจัยดังที่ได้กล่าวไปแล้ว หรือคุณจะต้องรู้หลักการหรือหลักธรรมะ ที่เรียกว่า" เครื่องดิ้นรน อันมี องค์ 8 ซึ่งได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค"ได้แก่
1.ระลึก 2.ดำริ
3. สรรพอาชีพ 4. ประพฤติ
5.กตัญญู 6. เจรจา
7.ทาน 8.การครองเรือน
ถ้าคุณไม่เข้าใจในหลักธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ก็ถามได้จะอธิบายให้ฟังบ้างเล็กน้อย
3.ถ้า ใช่แล้ว
ผู้ที่บรรลุธรรม ไม่เคยพบเห็นภพสวรรค์ ไม่เคยพบเทพทางด้านพราหมณ์-ฮินดู
เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
คำตอบ การบรรลุธรรม ก็ไม่ได้เกี่ยวของกับการเห็นภพสวรรค์อยู่แล้ว และเทพเจ้าทางด้านพราหมณ์ ฮินดู ก็ไม่ได้เกี่ยวของกับการบรรลุธรรม แต่เกี่ยวข้องในฐานะ เป็นผู้สร้างธรรมะ เป็นผู้สร้างหลักการทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นหลักวิชาการ หรือธรรมะ รวมไปถึงหลักปฏิบัติด้วย

4.ถ้าผู้ใฝ่พุทธธรรม กลับเห็นเทพทางญี่ปุ่น เทพทางคริสตจักร แต่ไม่เห็นเทพทางพราหมณ์-
ฮินดู เช่นนั้น ถือว่ากิเลส น้อยลงใช่หรือไม่
คำตอบ ไม่เกี่ยวกันนะคุณ ข้าพเจ้าเอง ก็เห็น พระเยซู พระอัลเลาะห์ เห็น เจ้าแม่กวนอิม ฯลฯ อยู่บ่อยครั้ง ก็ไม่เกี่ยวกับกิเลสอะไร มันอยู่ที่ตัวคนว่าจะรู้จักกิเลสหรือไม่ อย่างคุณไม่รู้ว่ากิเลสคืออะไร ก็ย่อมมีกิเลส คนที่เขารู้เขาก็ขจัดกิเลสได้

5.การที่ท่านBuddha จะมาแจ้งเหตุการณ์ที่ท่านพบเห็น ต่อคนสามัญชนคนธรรมดาเช่นข้าพเจ้า หรือผู้อื่น ท่านไม่กลัวถูกตำหนิว่า สติสมปฤดี หรือเปล่า
คำตอบ แล้วคุณจะพิสูจน์ไหมละว่า ข้าพเจ้ายังสติสัมปชัญญะครบถ้วนทุกประการ แถมยังกล้าท้าให้พิสูจน์ด้วยว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้บรรลุธรรมชั้น อรหันต์เป็นอย่างต่ำ

6.ท่านBuddha ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่า เหตุใดพระพุทธเจ้ามักไม่ตรัสต่อบุคคล สามัญชนธรรมดา ว่าพระองค์เห็น เทพ มาร อยู่เนือง ๆ แล้วกิเลสจะลดลง แล้วถือว่าพ้นทุกข์
คำตอบ คำพูดแบบคุณนะ เป็นคำพูดของคนที่เรียนด้านเปรียญธรรม มาก่อนอย่างน้อยๆก็ เปรียญ 3ขึ้นไป ชอบเอาพระพุทธเจ้ามาอ้าง แล้วคุณเคยเห็นเคยได้ยิน พระพุทธเจ้าที่กล่าวถึงพูดหรือตรัสว่าอย่างไรบ้างกันละคุณ หัดใช้สมองพิจารณาถึงหลักความจริงซะบ้าง ข้าพเจ้าไม่ได้กล่าวว่า ถ้าได้เห็นเทพเจ้าหรือหรือพิฆเณศน์แล้วกิเลสจะลดลง แต่การที่ได้เห็นพระพิฆเณศน์ และได้ลอยขึ้นไปนั่งบนตัก ของพระองค์"ทำให้หายสงสัย"

"ความสงสัยคือกิเลส เมื่อได้เห็นแล้ว ความสงสัยก็หมดไป กิเลสก็ย่อมหมดไปด้วย"
มันก็ไม่พ้นคำที่ข้าพเจ้าสอนคุณ คือไม่รู้จักอ่านบริบทของภาษาให้ดี เหมือนเดิมนั่นแหละคุณ (ไม่รู้ว่าอ่านแล้วจะเข้าใจอีกหรือไม่ เพราะมันยาวคงขี้เกียจอ่าน)

แล้วอย่างคุณนะหรือมีหลักเหตุผล
ข้าพเจ้าเป็นหลักเหตุผลของคนเมาหรือไม่ก็ปัญญาไม่เต็มเต็งแถมยังอวดฉลาดอีกต่างหาก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง