Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ขจัดโรคภัยที่ทำให้แก่เร็ว
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 20 ธ.ค.2004, 6:21 am
เรื่อง เกิด แก่ เจ็บ ตาย อันเป็นเรื่องธรรมดาโลกนี่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาธรรมมาก
อย่างไรก็ตามความแก่อย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่ความตายด้วยการป่วยไข้ ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เรามีเวลาใช้ชีวิตในโลกได้น้อยลง เพราะตายเสียก่อนนั้น
เราจะขาดโอกาสในการจะทำสิ่งที่ต้องการ อันเป็นความดีที่จะให้เกาะดวงจิตติดตามเราในภพข้างหน้าอย่างเพียงพอ ในฐานะที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และอยู่ในปฏิรูปเทศอันเหมาะสม ซึ่งมีโอกาสจะทำความดีนั้นได้
การดูแลขันธ์ทั้งห้าที่เป็นนามรูปให้ยืนยาวออกไป เพื่อภาระอันจะต้องทำนั้นยังมีอยู่นั้น เป็นหน้าที่ของเราที่เป็นเจ้าของรูปและนามขันธ์นั้น พึงเข้าใจว่ารูปอันเกิดแต่กรรมนี้ ไม่มีความมั่นคงยืนนานมากนัก เพราะว่าเราต้องทิ้งไปในที่สุด
แต่รูปนี้เราได้มาโดยยาก จึงต้องมีหน้าที่ดูแลรักษาให้เป็นไปที่จะได้อยู่ในโลก ตามหน้าที่อันต้องทำนั้นซึ่งมีอยู่มาก มิใช่หวงไว้เพื่อเสพส้องความสุขแห่งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส สิ่งเหล่านั้นเป็นไปเพียงเพื่อเราได้อาศัยในฐานะที่เรายังอาศัยโลกแห่งกามนี้
ความรักชีวิตโดยห่วงรูปขันธ์ ต้องเป็นคนละอย่างกับความกลัวตาย หรือการพลัดพรากไปจากชีวิตนี้
คนซึ่งห่วงชีวิตสุขภาพไม่น้อยในทุกวันนี้ พากันออกกำลังกาย และระวังเรื่องอาหาร และการใช้ชีวิตเพื่อหวังให้สุขภาพมีความยืนยาว ย่อมดูแลกายนี้ให้ดำรงอยู่ได้นานบ้าง ไม่ได้นานบ้าง
คนแต่ละคนที่ทำเช่นนั้น ต่างมีความมุ่งหวังต่างๆกัน ในการจะได้ใช้ชีวิตของตนอย่างยืนยาวต่อไป
ในศาสนาของเรา ชีวิตมิได้มีอะไรเลยที่จะทรงคุณค่าอย่างอื่นๆ ดังที่ชาวโลกเขาคิดกัน ดังนั้นการยืดชีวิตออกไปนี้ ควรจะมีคำถามว่าเรายื้อเอาชีวิตนี้ไว้เพื่อทำอะไร ?
แต่ชีวิตที่เกิดมานั้น ทุกรูปทุกนามควรมีหน้าที่ในการสร้างสมสิ่งที่เรียกว่าความดี อันเป็นสมบัติที่ตนสามารถหาได้ จากความประพฤติของตนเอง เอาไปใช้ในกาลช้างหน้าได้
เมื่อเรายังมีหน้าที่อย่างนี้อยู่ เราจึงต้องดึงชีวิตของเราออกมาจากมัจจุราชที่มาหาเราอย่างมองไม่เห็น ต่างยื้อกันด้วยกำลังและเป็นไปตามกติกาที่ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมทีเดียว
มีโรคภัยหลายชนิดที่จะเกิดกับเราตามกรรม โรคเหล่านี้เมื่อจะให้ผล ย่อมนำเราไปสู่ความเจ็บ ย่อมนำเราไปสู่ความแก่อย่างรวดเร็ว ก่อนวัยอันสมควร อันเป็นเครื่องหมายของความตายที่จะมาถึงในเวลาอันใกล้ หรือไม่ก็จะเป็นความเจ็บหนักในชีวิต
สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยกรรมก็จริง
ควรตระหนักว่าความป่วยนั้นมาอยู่ในร่างกายเราก่อนล่วงหน้า ก่อนเราจะมีอาการป่วยนานเป็นปีแล้ว สิ่งที่เรียกว่า"กรรม"นั้นมีการเตรียมตัวเพื่อจะส่งผล สิ่งอันเป็นลงของโรคภัยนี้ แม้มนุษย์จะระมัดระวังเพียงไร ก็มิใช่สิ่งที่ตรวจพบได้ทางเครื่องมือการแพทย์สมัยใหม่
ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติไม่ฝากความปลอดภัยของชีวิตไว้ที่วิทยาการสมัยใหม่แต่อย่างเดียว ความเชื่อและโลกทัศน์ในเรื่องความป่วยไข้ของเรา จะขยายกว้างขึ้น
การเจ็บไข้ของเราที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่จะเกิดขึ้นด้วยโรคอันรุนแรงที่ไม่ได้มีการคาดฝันมาก่อนนี้ มีโปรแกรมกำหนดทีค่อนข้างแน่นอนต่อวิถีชีวิต อันไม่ต้องมีความสงสัยแม้แต่น้อยนิดในเรื่องนี้ นี่เป็นความยืนยันของผม ว่าเราจะต้องป่วย และในช่วงป่วยก็เป็นไปตามขั้นตอนในความเจ็บปวดและอาการของโรค ซึ่งดำเนินความหนักเบาและรุนแรงไปตามสภาพแห่งกรรมที่จะสนอง จนนำไปสู่ความตายและเสียชีวิต
เรามีทางในการเตรียมตัวรับความรุนแรง ของสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็นนี้ ที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา ด้วยการถอนโปรแกรมของสิ่งที่เข้ามารอคอยเพื่อจะให้ผล ออกไปเสียบางส่วน หรือเราอาจมีกำลังและความเพียรที่จะถอนสิ่งนี้ออกไปเสียก่อน
แต่กรรมนั้นเป็นสิ่งที่จะสนองให้ได้ มิใช่สิ่งพึงจะยกเว้นออกไปได้ ด้วยการถอนโปรแกรมที่กำหนดไว้แล้วได้โดยไม่มีผลตอบสนอง
ถ้าเราจะดึงสิ่งที่มากำหนดให้เราป่วย ซึ่งแอบเข้ามาอยู่ในร่างกายของเราก่อน
ย่อมเป็นการเร่งปฏิกิริยา ของสิ่งที่มาแอบซ่อนในร่างกายก็คือ "กรรม"ที่ยังไม่แสดงตัวนั้น ให้แสดงตัวออกมาเลยทีเดียว เพื่อเร่งให้กานสนองนั้นเกิดขึ้นก่อนกำหนด และเป็นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยกำลังเร่งนั้น ให้มันหลุออกไป ผ่านพ้นชีวิตนั้นไปเสีย
วิธีการทำอย่างนี้ทำโดยการเจริญภาวนาอยู่บ่อยๆ สิ่งที่แปลกปลอมเข้ามาสู่ร่างกายที่จะทำให้ป่วยไข้นี้ เป็นผลกรรมในอดีตที่เราได้ทำไว้ก่อน การเจริญภาวนานั้นทำให้จิตมีกำลังแห่งกุศล กำลังแห่งกุศลนี้เองที่เป็นฝายดึงผลบาปที่มาแฝงตัวอยู่นี้ออกไป แน่นอนว่าตัวผลกรรมนี้มีความยินยอมที่จะเป็นอย่างนั้น
การให้ผลก่อนล่วงหน้าของกรรมนั้น จะเกิดขึ้นในลักษณะความเจ็บและความไม่สบายในช่วงการเจริญภาวนา มีอาการแปลกๆแตกต่างกัน เพราะกรรมนั้นย่อมชวางกั้นความสำเร็จแห่งการภาวนา และแสดงอาการให้เจ้าตัวเห็นชัดขึ้น แล้วจึงทยอยออกไปทีละนิดๆ
นี่เป็นการภาวนา ที่มีผลพลอยได้คือรักษาสุขภาพตนให้ยืนยาวออกไปได้ รักษาความแก่ความชราที่มาถึงเร็วเกินไป และควรจะทำให้มากจึงจะพ้นภัยนั้น
เพราะความหวงแหนสุขภาพและกลัวความตาย อาจทำให้บงคนเปลี่ยนใจมาปฏิบัติธรรม และจะได้รับผลดีต่อชีวิตทั้งในปัจจุบัน และในโลกหน้า
ถ้าคนไม่สนใจเรื่องนี้ เมื่อป่วยแล้ว ไม่ช้าก็จะตาย แต่หลังการตายแล้วไม่รู้จะไปไหน จะไปสู่สุคติโดยไม่ค่อยได้ทำกุศลมาก่อนนั้นย่อมเป็นเรื่องยาก
การปฏิบัติธรรมนั้น อาจมีคนสนใจเพื่อรักษาสุขภาพในตอนแรก แต่ถ้าเห็นผลบ้างแล้ว ความรู้สึกนั้นก็จะเปลี่ยนไป เพราะเข้าใจในธรรมและคุณค่าของธรรมนั้นว่า มิใช่เพื่อรักษาสุขภาพ แต่จะเห็นโลกของศาสนากว้างยิ่งขึ้น
คนที่ปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว หากยังถูกโรคภัยเบียดเบียนหนัก ก็ควรจะมีความเพียรมากขึ้น เพื่อจะได้มีเวลาของชีวิตยาวขึ้น และได้ทำในสิ่งที่ตนต้องการได้มากขึ้น
เราควรทำเหมือนพ่อค้าที่มีความละโมบ แล้วขยันทำงานเพื่อจะได้เงิน ด้วยความหวงแหนและอยากได้เวลาเพื่ออยู่ในโลกมากขึ้น เพื่อสะสมกุศลไว้ให้มาก
เพราะชีวิตนี้มันสั้นนัก สั้นจริงๆ
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 22 ธ.ค.2004, 3:48 pm
ผมขอเพิ่มเติมอีก
สำหรับในส่วนของผู้ที่กำลังป่วย
เพราะท่านได้รับผลกรรมจากโรคร้ายต่างๆ
โรคภัยได้มาถึงท่านแล้ว ท่านรักษาทางการแพทย์แล้วก็ตาม
แต่เมื่อภัยคือโรคร้ายได้มาถึงแล้ว ท่านอย่าประมาท
สิ่งที่ท่านควรจะทำเป็นอย่างยิ่งก็คือ ใส่บาตรถวายอาหารแก่พระภิกษุ
ทำให้เป็นประจำและอุทิศส่วนกุศล นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนทำได้ง่าย
ความสบายใจในปัจจุบันนั้นย่อมเกิดขึ้นกับท่านบ้าง
จงทำศรัทธาของท่านให้เชื่อในเรื่องบุญบาป และผลกรรมมีจริง
ถ้าท่านเห็นว่าสามารถรักษาศีลได้จงรักษาศีลไว้
แล้วจงฝึกหัดทำใจ ไม่มีเวร ไม่เกลียด ไม่อาฆาตพยาบาทใคร
อันนี้ฝึกตนไว้เป็นประจำ แล้วจึงแผ่เมตตา มองโลกและผู้คนด้วย
ความเมตตา ด้วยความรู้สึกไม่ให้ใครมีเวรต่อใคร ไม่ให้ใครขึ้งโกรธต่อใคร
หลีกเลี่ยงต่อความโกรธ ความไม่ถูกอารมณ์ หัดอดทนต่อสภาวต่างๆ
ที่อยู่รอบข้าง
เจริญเมตตาเรื่อยๆ และฝึกหัดสวดมนต์ อาจด้วยการท่องอ่านหนังสือ
สวดมนต์ซ้ำๆซากๆ
ฝึกหัดการนั่งภาวนา หรือถ้าบริหารกายได้ก็ให้เดินจงกรม ในยามป่วยไข้
นั้นให้ฝึกปฏิบัติธรรม
ถ้ากำลังอ่อนแอ ไม่สามารถจะลุกเดินเหินช่วยตนเอง
ให้ฟังเทปธรรมะ (อย่างในเวบ บ้านธัมมะ) หรือฟังเทปสวดมนต์
ถ้ามีลูกหลานเข้าใจในการดูแลดี ก็นิมนต์พระมาเทศน์ มาสวดมนต์
เช่นสวดธรรมจักฯ สติปัฏฐานฯ ธัมมะนิยามฯ ฯลฯ บทสวดมนต์หลาย
บทฟังแล้วอาการเจ็บป่วยบรรเทา ถ้าถวายทาน ฟังการสวดมนต์
ถ้าอาการป่วยนั้นมีโอกาสหาย ก็หัดภาวนาลองดู
คนป่วยนั้นถ้าพิจารณาความตาย ปลงลงในความตาย มรณัสติเกิดชัดเป็น
กรรมฐาน เห็นความตายชัด เพราะการป่วยนั้นมักจะสงัดจากกาม ดังนั้น
อารมณ์เวลาป่วยเหมาะแก่กรรมฐานด้วย และธรรมนั้นเกิดชัด รู้ชัดในสิ่ง
ที่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นได้
เมื่อป่วยไข้จึงควรหัดเจริญมรณัสติเป็นอย่างยิ่ง
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 23 ธ.ค.2004, 2:42 pm
ผมเคยป่วยหนักหลายครั้งในชีวิต
และหมอไม่เคนรักษาหายเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่ป่วยหนักๆนั้น
แม้เป็นเนื้องอกที่ลำคอ หมอก็ผ่าตัด 7 ครั้งก็เอาไม่อยู่
ผมหายป่วยมาหลายครั้งในชีวิต ด้วยการเจริญกุศลทั้งสิ้น
เพียงแต่ทำน้อยบ้าง ทำมากบ้าง
ผมพ้นภัยในชีวิตอย่างอัศจรรย์หลายครั้ง
โดยรักษาตนเองด้วยธรรม
จนในวันนี้ผมป่วย แม้จะเบิกค่ารักษาได้ ผมก็ไม่ไปหาหมอเลย
ผมรักษาตนเองด้วยธรรม
แล้วเชื่อมั่นว่าเหนือกว่าทุกวิธี
โอ่
ผู้เยี่ยมชม
ตอบเมื่อ: 26 ธ.ค.2004, 5:09 am
ความเป็นโรค
อันเกิดจากการกระทำของกรรมนั้นเป็นอย่างไร?
โรคที่ป่วยและเจ็บอย่างหนักนั้น
แม้ในความเจ็บหนักนั้น ยังมีบางวันที่รู้สึกว่าเบาขึ้น แต่บางวันก็หนักลง
อีก ทรุดบ้าง ดีบ้าง ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว
เพราะกรรมเข้ามาทำเป็นระลอก เมื่อกรรมชุดหนึ่งกระทำแล้วก็ออกไปจาก
ร่างกาย อาการดูจะดีขึ้น กรรมชุดใหม่เข้ามาอีก อาการจะทรุดลง เมื่อกรรมยังไม่สิ้น ร่างกายผู้นั้นก็ทรุดลง
การทำกุศล การภาวนา จะทำให้กุศลเอากรรมที่เข้ามากระทำนั้นออกไปเสียบ้าง กรรมที่เข้ามาก็ยังทยอยเข้ามา แต่กุศลที่ได้ทำก็ช่วยเอาออกไป
อันนี้เป็นการถ่ายหนักเป็นเบา และทำให้มีความอดทนต่อการป่วยได้ยาวนา
เป็นการพยุงร่างกายมิให้แก่เพราะป่วยลงอย่างรวดเร็ว
หรืออาจพยุงอาการแก่จากการป่วยไว้ได้ เท่ากับพยุงสุขภาพให้ทรงตัวแม้จะมีการเจ็บป่วย
ถ้ากรรมนั้นมีไม่มากพอ การทำกุศลต่อเนื่องก็รักษาชีวิตและสุขภาพไว้ได้
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
สนทนาธรรมทั่วไป
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
ไม่สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
ไม่สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th