การทำให้จิต สงบ เย็น อยู่ตลอดได้ทั้งวัน ทำอย่างไร

ตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2007, 8:55 am

1.การทำให้จิต สงบ เย็น อยู่ตลอดได้ทั้งวัน ทำอย่างไร
2.การทำให้ สบายใจ อยู่ตลอดได้ทั้งวัน ทำอย่างไร
3.การทำให้ รู้สึก ขยัน อยู่ตลอดได้ทั้งวัน ทำอย่างไร
4.ในการปฏิบัติธรรม ควรนอนอย่างมากที่สุด กี่ชั่วโมง

ตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2007, 11:18 am

1. การทำจิตใจให้สงบและเยือกเย็นได้ทั้งวันนั้น เราต้องมีสติเบื้องต้นโดยการสมาทานศีลเพื่อกำจัดกิเลสอย่างหยาบออกไปจากจิตใจ มีหิริและโอตัปปะ เกรงกลัวและละอายต่อการทำบาป มีการให้อภัย ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดกับเราคือกรรม เราเคยทำไว้กับเขา เขาถึงทำกับเรา ไม่พยาบาทและเบียดเบียนขออโหสิกรรมให้แก่กัน ไม่ยึดติดว่านี้คือตัวเรา นั้นคือตัวเขาทุกสิ่งทุกอย่างมิใช่ของเรา มีเพียงจิตเท่านั้นที่เป็นของเรา ถ้าเราคิดแต่ในทางที่เป็นกุศลหรือกรรมดี จิตใจเราก็จะดีด้วย แต่ถ้าเรามีจิตคิดอกุศล ใจเราก็จะไม่สามารถหาได้เลยซึ่งความสงบ

2. เมื่อจิตเราสงบแล้ว มีความว่างเปล่าเกิดขึ้นแล้ว แล้วอะไรเล่าจะสามารถกระทบกระทั่งจิตใจเราได้อีก เพียงแค่นี้ความสบายใจ ยังมิเกิดขึ้นอีกหรือ

3. การลืมตาตื่นขึ้นมาทุกเช้าถือว่าเป็นกรรม ซึ่งก็สามารถแยกออกได้อีกว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว เพราะบางคนได้ตื่นขึ้นมาเพื่อประกอบความดี ได้มีโอกาสสร้างความดีแต่บางคนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเสวยผลของกรรมที่ตนเองได้ก่อขึ้น การเตือนสติตัวเองเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การเกิดเป็นมนุษย์ยากสาหัสแค่ไหน เราจะปล่อยเวลาของการเป็นมนุษย์ให้เลยผ่านไปโดยไม่สร้างหรือทำอะไร เราคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเสียชาติเกิด

4. มัชฌิมาปฏิประทาน เป็นเส้นทางสายกลาง ดังคำสั่งสอนของพระพุทธองค์การปฏิบัติธรรมอย่างตรึงเกินไป ก้เหมือนสายพิรที่ตรึงเกินไป จึงไม่ใช่ผลดีแต่การปฏิบัติอย่างหย่อนยานเกินไป ก็ไม่ใช่ทางที่ดี เพราะจะทำให้เกิดช่องว่างทำให้กิเลสแทรกซึมเข้าได้ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่ดีควรจะเข้าใจในสังขารและกาลเทศะเป็นสำคัญ ไม่มีเวลาอันใดกำหนดได้

ขอจงเจริญในธรรม

ตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2007, 8:14 pm

1.ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิให้ได้ทั้งวัน
2.ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิให้ได้ทั้งวัน
3.ทรงอยู่ในอุปจารสมาธิให้ได้ทั้งวัน
4.ตามแต่สภาพจิตและร่างกายกล่าวคือ ถ้าจิตเพลียพักจิตด้วยการบริกรรม แต่ถ้าร่างการเพลียให้พักกายตามสมควร ยิ่งทำสมาธิมากๆและทุกวันสติยิ่งดีนอนพักเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะตื่นเองโดยอัตโนมัติตามแต่กำลังของสติแลสมาธิผมเคยนอนดูจิตได้ทั้งคืนไม่นอนเลยตอนเช้าลุกขึ้นไม่เพลียอันนี้เป็นผลมาจากการปฏิบัติคือผมเดินจงกรมวันละ 7 ช.ม.ครับ

ตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2007, 9:01 pm

ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 2:49 am

อุปจารสมาธิ แปลว่า สมาธิจวนจะแน่วแน่ หรือ ใกล้ถึงสมาธิที่แน่วแน่

สาธุ

ผมแปลถูกไหมครับ

ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 8:13 pm

ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 8:34 pm

คุณเลวและดี
อุปจารเปรียบได้กับมีลิงอยู่ตัวหนึ่งอยู่บนต้นไม้ ลิงนั้นจะท่องเที่ยวไปในที่เฉพาะต้นไม้นั้นเท่านั้นไม่ออกไปนอก ลิงเปรียบได้กับจิตของคนนั่นเอง ต้นไม่คือขอบเขตของอุปจาร คนที่ทรงอยู่ในอุปจารได้นั้นจะคิดทีละเรื่องไม่วุ่นวายเหมือนกับคนที่อยู่นอกอุปจารหรืออารมณ์ปกตินั่นเอง ง่ายขึ้นไหมครับ

ตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2007, 10:16 pm

ต้องปฏิบัติเองพระธรรมเข้าใจได้ด้วยการปฏิบัติที่ถูกวิธี ไม่ใช่การอ่านจากตำรานะจ๊ะ

ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2007, 1:07 am

ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2007, 9:57 am

ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2007, 12:05 pm

โยมbad&goodคงศึกษามามากนะธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้นหรอก อย่าให้อวิชามาทำให้โยมมืดบอดจากธรรมเลยนะ

ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2007, 7:39 pm

ตอบเมื่อ: 10 ส.ค. 2007, 10:32 pm

ก็อย่างที่อาตมาแจ้งแก่ท่านนั้นแหละ สิ่งที่ท่านรู้มามากนั่นแหละเป็นเหตุที่ทำให้เข้าใจพระธรรมของพระพุทธองค์เป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้มาก พระเดชพระคุณพระอาจารย์ของอาตมาท่านให้คำจำกัดความว่า ให้เรียนรู้พระธรรมของพระพุทธองค์แบบเด็กเลี้ยงควาย ความรู้ที่เกิดจากปัญญาภายในต่างหากเป็นความรู้แจ้งเอาเป็นว่า อาตมได้อธิบายมากพอแล้วละนะ ท่านต้องลองพิสูจน์เองละ

ตอบเมื่อ: 12 ส.ค. 2007, 1:26 am

ตอบเมื่อ: 13 ส.ค. 2007, 8:50 am

แค่บททดสอบเท่านี้ยังผ่านไม่ได้เลย อัตตาในตนมันหนักถือไว้ทำไม
เจริญพร

ตอบเมื่อ: 13 ส.ค. 2007, 8:25 pm

ฟุ้ง

ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2007, 5:43 pm

ขอบคุณนะคะ แลบลิ้น