Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทำแท้ง ..บาปอย่างไร ? อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
montasavi
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 17 มิ.ย. 2007
ตอบ: 84

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 7:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การทำแท้งบาปมากน้อยแค่ไหน?

การแพทย์สมัยใหม่ได้อธิบายขั้นต้อนวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้อย่างน่าสนใจ เริ่มตั้งแต่ตัวสเปิร์มในอสุจิของคุณพ่อประมาณ ๒,๐๐๐ ล้านตัวสามารถเจาะเข้าไปภายในไข่ของคุณแม่ที่สุกเต็มที่ได้เพียงตัวเดียว ต่อจากนั้นวิวัฒนาการของชีวิตจึงเริ่มขึ้นจนกลายมาเป็นตัวเราในปัจจุบันนี้
ศาสตร์อันนี้ หาใช่เพิ่งค้นพบเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ไม่ แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ก่อนแล้วเมื่อ ๒๕๙๐ ปีก่อน และมีรายละเอียดบางอย่างที่การแพทย์สมัยใหม่ไม่สามารถบอกได้ มีอธิบายดังนี้
….เมื่อวิญญาณเข้าถือปฏิสนธิในไข่ที่ผสมเชื้อไว้แล้วความเป็นคนก็ถือกำเนิดขึ้น วิญญาณที่เกิดสืบต่อ(ภวังควิญญาณ) ก็ทำหน้าที่สร้างสรรและหล่อเลี้ยงชีวิตให้วิวัฒนาการขึ้น ตามลำดับ

พระพุทธเจ้าตรัสถึงวิวัฒนาการของชีวิตในครรภ์มารดาไว้ดังนี้
“รูปนี้เป็นกลละก่อน จากกลละเป็นอัพพุทะ จากอัพพุทะเกิดเป็นเปสิ จากเปสิเป็นฆนะ จากฆนะเกิดเป็น ๕ ปุ่ม ต่อจากนั้นก็มี ผม ขนและเล็บเกิดขึ้น มารดา ของสัตว์ในครรภ์บริโภค ข้าว น้ำ โภชนาหารอย่างใด สัตว์ผู้อยู่ในครรภ์ก็เลี้ยงอัตภาพอยู่ด้วยอาหารอย่างนั้น”
อ้างอิง...พระไตรปิฎก(มจร.) เล่มที่ ๑๑ หน้า๑๐๗ , เล่มที่ ๑๕ หน้า ๒๓๘

คัมภีร์อรรถกถา อธิบายเพิ่มเติมว่า
ระยะแรกที่ยังเป็นกลละนั้น หมายความว่า สัตว์ที่เกิดใน ครรภ์มารดา อวัยวะทุกส่วนมิใช่เกิดพร้อมกันทีเดียว แท้ที่ จริงแล้วค่อยๆวิวัฒนาการขึ้นทีละน้อยตามลำดับ โดยระยะ แรกอยู่ในสภาพเป็น “ กลละ ” ก่อน
กลละ คือ น้ำใสๆ มีสีคล้ายเนยใสขนาดเท่าหยาดน้ำ มันงาซึ่งติดอยู่ที่ปลายด้ายที่ทำจากขนแกะแรกเกิด ในกลละนั้น มีเค้าโครงของกายภาพอยู่ด้วยแล้ว ๓ อย่าง

๑. กายทสกะ (โครงสร้างทางร่างกาย) ๒. วัตถุทสกะ (โครงสร้างทางสมอง)
๓. ภาวทสกะ (โครงสร้างเพศ)

โครงสร้างทั้ง ๓ นี้ปรากฏรวมอยู่แล้วในกลละ
กลละ มีลักษณะเป็นก้อนกลมใสมีขนาดเท่าหยดน้ำมัน งาซึ่งติดอยู่ที่ปลายขนแกะแรกเกิด ๑ เส้น

จากกลละมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำใสๆมาเป็นน้ำขุ่นๆ) ครั้งเป็นกลละได้ ๗ วัน กลละนั้นก็วิวัฒนาการเป็นน้ำขุ่นข้น มีสีคล้ายน้ำล้างเนื้อ เรียกว่า “อัพพุทะ”
จากอัพพุทะมาเป็นชิ้นเนื้อ(จากน้ำขุ่นๆเป็นชิ้นเนื้อ) ครั้งเป็นอัพพุทะได้ ๗ วัน อัพพุทะเกิดการแข็งตัวกลาย เป็นชิ้นเนื้อสีแดง มีลักษณะคล้ายเนื้อแตงโมบด
จากชิ้นเนื้อมาเป็นก้อนเนื้อ ครั้นเป็นชิ้นเนื้อได้ ๗ วัน ชิ้นเนื้อนั้นก็เกิดการแข็งตัวขึ้นกลายเป็นก้อนเนื้อทรงกลม คล้ายไข่ไก่
จากก้อนเนื้อก็เป็น ๕ สาขา สัปดาห์ที่ ๕ (วันที่๒๙) ก้อนเนื้อมีปุ่มเกิดขึ้น ๕ ปุ่ม ปุ่มเหล่านั้นจะเป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ และ ขา๒

สัปดาห์ที่ ๖ เกิดเค้าโครงตา (จักขุทสกะ) สัปดาห์ที่ ๗ เกิดเค้าโครงหู (โสตทสกะ)
สัปดาห์ที่ ๘ เกิดเค้าโครงจมูก(ฆานทสกะ) สัปดาห์ที่ ๙ เกิดเค้าโครงลิ้น (ชิวหาทสกะ)

ตั้งแต่แรกถือปฏิสนธิ จนกระทั่งถึงเวลาเกิดอวัยวะ คือ ตา หู จมูก รวมเวลาทั้งสิ้น ๙ สัปดาห์
จากสัปดาห์ที่ ๙ ไปจนถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ องค์อวัยวะ ต่างๆ เกิดขึ้นครบ คือ ผม ขน เล็บ หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า
ในขณะที่องคาพยพต่างๆเกิดขึ้นนั้น อวัยวะปลีกย่อย ต่างๆ ของร่างกายก็เกิดขึ้นพร้อมกันด้วย
ทันทีที่จุติจิต(ตาย)เกิดขึ้น ปฏิสนธิจิตเกิดติดต่อกัน ทันทีไม่ขาดสาย เหมือนน้ำที่ไหลติดต่อกันในลำธารไม่มี อะไรมาคั่นกลาง แม้ว่าจะตายที่กรุงเทพฯแล้วไปเกิดใหม่ ที่New Yock จิตขณะจุติและปฏิสนธิก็จะเกิดดับติดต่อกัน ไม่ขาดสาย เพราะจิตเกิดดับรวดเร็ว เพียงชั่ววินาทีเดียวจิต เกิด-ดับถึงแสนโกฏิขณะ

ฉะนั้นทันทีที่จุติจิตกิดขึ้น จิตที่สืบติดต่อกันนั้นก็ต้องเป็นปฏิสนธิจิตด้วยอำนาจของกรรมเป็นตัวสั่งการ เมื่อปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นแล้วดับไป ภวังคจิตเกิดขึ้นสืบต่อทันที ต่อไปจนถึงภวังคจลนะ จากนั้นก็ภวังคุปปัจเฉทะตัดกระแสภวังค์เดิมเพื่อรับอารมณ์ใหม่ต่อไปอีก

ตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นต้นไป ทั้งๆที่ไม่สามารถมองเห็นหรือ ส่องกล้องดูได้ เพราะยังเป็นน้ำใสคือเป็นกลละอยู่ แต่สัตว์ นั้นก็มีจิต เจตสิก รูปอยู่พร้อมเพรียง อารมณ์ก็เกิดได้ แต่เป็น อารมณ์ที่อ่อนมาก เพราะเพิ่งจะได้ตั้งต้น พลังงานของกรรม เพิ่งเริ่มวางรากฐาน อารมณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนกับเรา หลับๆ ตื่นๆ หรือฝันไปดีบ้างร้ายบ้าง ไปตามอำนาจของกรรมที่ได้ สั่งสมมา ตื่นขึ้นก็เล่าความฝันไม่ค่อยถูก เวลานี้ผู้ใดได้ ประหารเด็กในครรภ์ก็ได้ชื่อว่าฆ่ามนุษย์แล้วโดยสมบูรณ์ เรียกว่า “ทำแท้ง”

ฉะนั้น ความเข้าใจของนักวิชาการทั่วไปโดยเฉพาะนัก วิชาการที่ได้รับความรู้มาจากฝรั่ง ชาวตะวันตกที่เข้าใจกัน ว่า “ ชิ้นเนื้อในครรภ์ที่มีอายุไม่ถึง๒-๓เดือนยังไม่มีชีวิต” เป็น ความเข้าใจที่ผิด ไม่ถูกต้อง! เพราะทันทีที่ตัวอสุจิจากพ่อ เข้าผสมกับไข่ของแม่และมีจุติวิญญาณ ชีวิตมนุษย์ก็เกิด ขึ้นทั้นที โดยไม่ต้องรอให้มีรูปร่างเหมือนอย่างที่นักวิชา การทั่วไปเข้าใจกัน

ถาม ผู้ทำแท้ง บาปมากน้อยแค่ไหน ?
ตอบ พระผู้มีพระภาคตรัสโทษที่สตรีผู้ทำแท้งจะต้อง ได้รับหลังตายไว้ว่า
ขุราธารมนุกฺกมฺม ติกฺข ทุรภิสมฺภวํ
ปตนฺติ คพฺภปาตินิโย ทุคฺคํ เวตฺตรณี นทึ.
อโยมยา สิมฺพลิโย โสฬงฺคุลิกณฺฏกา
อุภโต อภิลมฺพนฺติ ทุคฺคํ เวตฺตรณึ นทึ.
แปลว่า หญิงที่ทำแท้งต้องตกนรก ย่างเหยียบบนคมมีด
อันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปในแม่น้ำชื่อว่าเวตตรณี
ซึ่งปีนขึ้นฝั่งได้ยาก เพราะมีต้นงิ้วที่มีหนามเป็นเหล็กห้อยย้อยปกครุมอยู่ทั้ง ๒ ฝั่ง
อ้างอิง.... พระไตรปิฎก(มจร.)เล่มที่ ๒๘ หน้า ๓๗

ฉะนั้นสังคมไทยจะต้องพิจารารณาในเรื่องนี้อย่างรอบคอบ การแก้ไขปัญหาด้วยการฆ่าไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ ดีที่สุด แต่เป็นการแก้ปัญหาด้วยการซัดทอดปัญหา หญิง หนึ่งชายหนึ่งเป็นผู้สร้างปัญหาขึ้น แต่ชีวิตน้อยๆ หนึ่งชีวิต จะต้องมารับผิดชอบกระนั้นหรือ..??????




๒. มีวิธีการไหนบ้างที่ทำให้ไม่ต้องตกนรกอีก ทั้งที่ได้เคยทำบาปอกุศลไว้ มาก ?
..................ตอบ. มีซิ!...ต้องบรรลุโสดาบันให้ได้ภายในชาตินี้(1) ต้องเจริญวิปัสสสนา กรรมฐานจนผ่านญาณที่ ๑๓ ไปให้ได้...
…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้า ๑๘๖


๓.พระโสดาบันทำให้ไม่ตกอบาย (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย นรก)อีกจริง หรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร
........ตอบ. จริง ..เมื่อเจริญวิปัสสนาจนวิปัสสนาญาณขึ้นถึงญาณที่ ๑๔ โสดาปัตติมรรคจะทำหน้าที่ประหารตัวมิจฉาทิฏฐิที่นอนเนื่องอยู่ในจิตสันดานได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง มิจฉาทิฏฐินี่แหละที่เป็นตัวเชื้อให้เราต้องตกอบาย (คือ กำเนิดเตรัจฉาน เปรต อสุรกาย ตกนรก)อีก(1)
เมื่อเราบรรลุโสดาบันได้แล้ว ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาติปัจจุบัน เราได้เคย ทำบาปอกุศลไว้มากมายเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ต้องไปชดใช้กรรมในอบายภูมิอีก ต่อไป และจะเกิดในสุคติภูมิ (โลกมนุษย์,สวรรค์) ได้อีกไม่เกิด ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง สัตว์โดยทั่วไปต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ใน ๓๑ ภูมิ (คือ อรูปพรหม ๔ ชั้น รูปพรหม ๑๖ ชั้น เทวดา ๖ ชั้น มนุษย์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย และนรก(2) หาเบื้องต้นและที่สุดไม่พบ ต้องตกอบายทุกข์ทรมานในนรกอยู่เป็นอาจิณ เหมือนบ้านเก่าทีต้องแวะเวียนไปอยู่เสมอ แต่ถ้าเราสามารถบรรลุโสดาบันได้ภายในชาตินี้ ก็ไม่ต้องตกอบายอีก จะไปเกิดในสุคติภูมิอีกไม่เกิน ๗ ชาติแล้วบรรลุอรหันต์ เข้าถึงความดับภพชาติโดยสิ้นเชิง ไม่เกิดใหม่อีกต่อไป
เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตกนรก, ตกอบาย และไม่ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว
…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๙๗
2. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๖๗


๔. ปัจจุบันนี้ ยังมีผู้สอนวิธีปฏิบัติให้บรรลุโสดาบันอยู่อีกหรือไม่?
........ตอบ. เรื่องนี้สามารถสอบถามได้จากท่านผู้ผ่านการศึกษาพระไตรปิฎก และปฏิบัติวิปัสสนาอย่างเข็มข้นต่อเนื่องมาแล้วเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเป็น อย่างน้อย ผู้เขียนเองถึงแม้จะไม่ช่ำชองปริยัติและปฏิบัติมากมายนัก แต่ก็พอ ให้ความมั่นใจได้ว่า ผู้ที่สามารถสอนวิปัสสนากรรมฐานให้บรรลุโสดาบันยังมีอยู่ จริงในปัจจุบัน ซึ่งมีหลักและวิธีการปฏิบัติที่สามารถสอบสวนเปรียบเทียบได้ กับหลักการที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎก อรรถกถา หรือถ้าจะให้มั่นใจยิ่งขึ้น ก็ลองมาปฏิบัติดูก่อนสัก ๑๐ วัน แล้วขอฟังลำดับญาณ ก็จะรู้ว่ามีวิธีการปฏิบัติ ในแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งการปฏิบัติก็มิได้หนักหนาสาหัสสากัณอย่างที่คิด คือ พักผ่อนประมาณ ๗ ชั่วโมง เวลาที่เหลือนั่งสมาธิเดินจงกรมครั้งละ ๑ ชั่วโมงสลับกัน ปฏิบัติติตต่อกันอย่างถูกหลักสติปัฏฐาน ๔ ประมาณ ๓-๔ เดือนก็จะรู้ได้เองว่า ตนเองบรรลุโสดาบันแล้วหรือยังโดยไม่ต้องเชื่อต่อใครทั้งสิ้น (..แม้แต่พระอาจารย์ผู้สอน) ให้ตนเองตัดสินสภาวะจิตของตนเอง(1)
…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๙ หน้า ๒๗๔

๕. บรรลุโสดาบัน เกิดได้อีกเพียง ๗ ชาติ ยังน้อยไปยังอยากเกิดอีก หลายๆ ชาติ
.........ตอบ ต้องการเกิดมากกว่านั้น ก็ไม่อาจปฏิเสธการตกนรกได้ ให้เลือกเอา !


นรกเป็นเช่นไร? ..น่ากลัวจริงหรือ?
...พอเป็นตัวอย่าง จากคัมภีร์พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๘ หน้าที่ ๕๒

...........พวกคนฆ่าแกะ ฆ่าสุกร จับปลา ดักสัตว์ พวกโจร พวกคนฆ่าวัว พวกนายพรานและพวกที่กล่าวอ้างโทษว่าเป็นคุณ พวกเขาจะถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเข่นฆ่าด้วยหอกด้วยค้อนเหล็ก ด้วยดาบ ด้วยลูกศรและศีรษะจะปักดิ่งลงไปยังแม่น้ำกรด
..........ส่วนคนผู้ตัดสินคดีไม่เป็นธรรมจะถูกพวกนายนิรยบาลทุบตีด้วยค้อนเหล็กทุกเย็นทุกเช้าต่อแต่นั้นจะต้องกินอาเจียนที่สัตว์นรกเหล่าอื่นคายออก ที่มีอัตภาพลำบากทุกเมื่อฝูงกา ฝูงสุนัขจิ้งจอก ฝูงแร้งและฝูงกาป่าปากเหล็กก็พากันรุมจิกกัดกินสัตว์นรกผู้กระทำกรรมหยาบช้าซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่

.........หญิงที่รีดลูกทั้งหลายจะต้องย่างเหยียบนรกบนคมมีดโกนอันคมกริบที่ไม่น่ารื่นรมย์ แล้วตกไปยังแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยาก
.........ต้นงิ้วทั้งหลายล้วนแต่เป็นเหล็ก มีหนามยาว ๑๖ องคุลีห้อยย้อยปกคลุมแม่น้ำเวตตรณีซึ่งข้ามไปได้ยากทั้ง ๒ ฝั่ง
.........สัตว์นรกเหล่านั้นมีเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นไปเบื้องบนหนึ่งโยชน์มีกายเร่าร้อนด้วยไฟที่เกิดเองยืนอยู่เหมือนกองไฟที่ตั้งอยู่ในที่ไกล
..........หญิงผู้ประพฤตินอกใจสามีก็ดีชายผู้คบชู้กับภรรยาคนอื่นก็ดี พวกเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในนรกอันเร่าร้อนมีหนามแหลมคม
..........สัตว์นรกเหล่านั้นถูกอาวุธทิ่มแทงก็กลิ้งกลับเอาศีรษะลงเบื้องล่าง ตกลงไปเป็นจำนวนมากถูกหลาวเหล็กทิ่มแทงร่างกายจนนอนตื่นอยู่ตลอดกาลอันยาวนาน
..........ต่อแต่นั้น เมื่อราตรีสว่างแล้ว สัตว์นรกทั้งหลายก็ถูกนายนิรยบาลซัดเข้าไปยังโลหกุมภีอันใหญ่อุปมาดังภูเขามีน้ำร้อนอันเปรียบได้กับไฟ


๖.ข้าพเจ้ามีบารมีไม่ถึงปฏิบัติคงไม่บรรลุหรอก ปฏิบัติแล้วไม่บรรลุจะเสีย เวลาเปล่า?
........ตอบ. คุณเอาอะไรมาตัดสินว่า ตนเองมีบารมีถึงหรือไม่ถึง จากประสบ การณ์ที่ได้สัมผัสกับผู้ปฏิบัติหลาย ๆ ท่าน ซึ่งคาดว่าได้บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว บางท่านฐานะทางบ้านไม่ดีนัก (..เพราะชาติก่อนมิได้ทำบุญให้ทานเอาไว้ แม้แต่สมัยพระพุทธเจ้าก็ยังเคยมียาจกเข็ญใจคนหนึ่ง ชื่อสุปพุทธะได้แอบฟัง ธรรมเพียงกัณฑ์เดียวสามารถบรรลุโสดาบันได้(1) ) ผู้ปฏิบัติบางคนป่วยหนักจน ใกล้จะตายแล้ว แสดงว่าชาติก่อนเคยทำผิดศีลข้อ ๑ ไว้มาก เพื่อนของข้าพเจ้า บางท่านเรียนไม่เก่งเลย ผู้ปฏิบัติบางคนอ่านหนังสือไม่ออกเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกท่านทุกชนชั้นก็สามารถปฏิบัติจนเกิดดวงตาเห็นธรรมได้ภายในระยะเวลา เพียง ๓ -๔ เดือนเท่านั้น
..เรื่องบุญบารมีนี้ ผู้เขียนมีความคิดว่า ถ้าบุคคลผู้นั้นตัดสินใจได้ว่า “ฉันจะปฏิบัติวิปัสสนาแบบเอาชีวิตเข้าแลกให้ครบระยะเวลา ๓ เดือน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ภายใน ๓ เดือนนี้จะไม่ออกเด็ดขาด ไม่ว่าลูกจะตาย แม่จะเสียชีวิต หรือบ้านถูกไฟใหม้ ฉันก็จะไม่เลิกจากการปฏิบัติเด็ดขาดจนกว่าจะครบ ๓ เดือน” ถ้าหากผู้นั้นตัดสินใจเด็ดขาดได้เช่นนี้ ก็เท่ากับว่าเขามีบารมีพร้อมบริบูรณ์ที่จะบรรลุธรรมแล้ว บุญบารมีในการบรรลุธรรมมิได้ขึ้นอยู่กับฐานะหรือความรู้ แต่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว ยอมเอาชีวิตเข้าแลก และความมุ่งมั่นต่อการปฏิบัติมากกว่า
..การตัดสินใจที่จะลงมือปฏิบัติวิปัสสนาเป็นระยะเวลา ๓ เดือนเต็มนั้น มิใช่เรื่องยากเลยถ้าเรารู้จักคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า “ การที่ต้องตกนรก เกิดเป็นผี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานอีกนับล้านนับโกฎิปี(2) กับการยอมสละเวลา เล็กน้อย เพียงแค่ ๓-๔ เดือน เพื่อปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุถึงโสดาปัตติมรรคญาณ ปิดประตูอบายเสียให้สนิท เราจะเลือกเอาอย่างไหน?”
…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๒๕๖
2.ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ หน้า ๖๕๘


๗. โสดาบันคืออะไร? มีความสำคัญอย่างไร?
..ตอบ. โสดาบัน แปลว่า เข้าถึงกระแสที่จะไหลไปสู่ความไม่เกิดอีกภายใน ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง(1) (เมื่อไม่เกิดอีกก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ ต้องเป็นทุกข์อีกแล้ว) เป็นมรรคขั้นต้นของมรรคทั้ง ๔ ( โสดาปัตติมรรค สกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตตมรรค) ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา เป็นเป้าหมายสำคัญที่สัตว์ทั้งมวล ผู้รักสุขเกลียดทุกข์และต้องการ สุขแท้สุขถาวร ควร/ต้องไปให้ถึงให้ได้ภายในชาตินี้ ด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐานให้วิปัสสนาญาณเกิดไปตามลำดับจนครบ ๑๖ ขั้น ก็จะสำเร็จเป็นพระโสดาบันโดยสมบูรณ์(2)

…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ หน้า ๑๔๑
2. ดูรายละเอียดใน คัมภีร์อรรถกถา สังยุตนิกาย (บาลี) เล่มที่ ๒ หน้า ๑๔๓



๘. วิปัสสนาคืออะไร? ทำไมต้องปฏิบัติ?
..ตอบ. วิปัสสนา แปลว่า เห็น(รู้อย่างเข้าใจ)แจ่มแจ้งในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน อาการที่เคลื่อนไหว ใจที่คิด เป็นต้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำกายและใจ ของผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงสภาวดับ สงบ เย็น(นิพพาน)ได้(1) ถ้าต้องการสุขแท้ สุขถาวร ที่ไม่กลับมาทุกข์อีกก็ต้องดำเนินไปตามหนทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่น
ความรู้สึกของผู้ปฏิบัติหลายท่าน คิดว่า “การปฏิบัติสมถกรรมฐาน ดีกว่า วิปัสสนากรรมฐาน เพราะสมถฝึกแล้วทำให้เหาะได้ รู้ใจคนอื่นได้ เสกคาถาอาคม ได้ ส่วนวิปัสสนาทำไม่ได้” แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ผู้ปฏิบัติสมถกรรมฐานก็ยังเป็น เพียงปุถุชนที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดใน ๓๑ ภูมิ หาที่สุดของภพชาติไม่ได้ ยังต้อง ตกอบายทรมานในนรกอีก ส่วนผู้ปฏิบัติวิปัสสนานั้น ถึงแม้จะเหาะไม่ได้ เสกคาถา ไม่ขลัง แต่ก็เหลือภพชาติเพียงแค่ ๗ ชาติเป็นอย่างยิ่ง

และตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไปก็จะไม่ตกอบายอีกแล้ว ไม่ว่าอตีดจะเคยทำบาปอกุศลไว้มากมายปานใดก็ตาม

…อ้างอิง พระไตรปิฎกภาษาไทย แปลโดยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
1. ดูรายละเอียดในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ หน้า ๓๐๑


๙. ปฏิบัติวิปัสสนาแล้วจะได้รับผลดีอย่างไรบ้าง?
..ตอบ. ประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานมีมากมายยากที่จะอธิบายให้เห็นจริงได้ จนกว่าผู้นั้นได้ลงมือปฏิบัติจนได้เห็นผลจริงด้วยตนเอง แต่พอกล่าวเป็นตัวอย่างได้ดังนี้
๑. ทำให้บรรลุโสดาบันได้ภายใน ๓-๔เดือน ทั้งที่มีเวลาพักถึงวันละ ๗ ชั่วโมง
๒. เมื่อบรรลุโสดาบันแล้ว ถ้าหากต้องการมีฤทธิ์ มีเดช ก็สามารถฝึกสมถกรรมฐานต่อได้เลย จะสำเร็จได้ในระยะเวลาไม่นาน ในขณะที่การปฏิบัติสมถล้วนๆ ต้องใช้เวลาปฏิบัติกันถึง ๒-๓ปี หรือนานกว่านั้น จึงจะได้ผล
๓. เมื่อปฏิบัติวิปัสสนาถึงสังขารุเปกขาญาณ (ญาณที่ ๑๑) จนแก่กล้าแล้ว ทำให้โรคบางอย่างหายได้ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ต่อมไทรอย โรคเกี่ยวกับลม เส้นเอ็นและกระดูก (..นี้เป็นตัวอย่างจริงที่พบเห็นจากผู้ร่วมปฏิบัติ ) เป็นต้น
๔. ถ้ามีเหตุให้ปฏิบัติไม่สำเร็จ ไปติดอยู่เพียงแค่ญาณ ๑๑ ก็ไม่เสียเวลาเปล่า เพราะจะเกิดปัญญาญาณ ที่จะใช้ในการแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกได้ ไม่ว่าปัญหานั้นจะเป็นปัญหาทางโลกหรือทางธรรม โดยเฉพาะปัญหาครอบครัวระหว่างสามี ภรรยา ลูก หลาน ญาติพี่น้อง (คิดค้นวิธีเอายานไวกิ้งลงบนดาวอังคารได้ ก็ด้วยการนั่งสมาธินี่แหละ)
๕. ล้างอาถรรพ์ มนต์ดำได้ ไม่ว่าจะถูกของ หรือโดนยาพิษ ยาสั่งมา เมื่อปฏิบัติจนถึงสังขารุเปกขาญาณแล้ว อาถรรพ์จะหายไปจนเกลี้ยง ( เรื่องนี้ขอท้าให้พิสูจน์)


๑๐.ปฏิบัติวิปัสสนาทำไมต้องกำหนดท้อง“พองหนอ-ยุบหนอ” พระพุทธเจ้าสอนให้กำหนดลมหายใจเข้าออกมิใช่หรือ?
..ตอบ. การปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนดพอง-ยุบ เผยแผ่โดยท่านมหาสีสยาดอ (โสภณะมหาเถระ) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งปริยัติและปฏิบัติ ในประวัติของท่านเล่าว่า ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎก อรรถกถา และฎีกามาก ต่อมาท่านต้องการปฏิบัติวิปัสสนาซึ่งเป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง จึงเที่ยวสืบค้นหาสำนักปฏิบัติวิปัสสนาที่มีหลักการสอดคล้องกับคัมภ์ที่ได้ศึกษามา ในที่สุดท่านได้เลือกปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนด “พองหนอ ยุบหนอ”กับพระอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านหนึ่ง จนเห็นผลจริงว่า วิปัสสนามิใช่มีอยู่แต่ในตำรา การกำหนดดูอาการท้องพอง ท้องยุบอย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง นี่แหละเป็นการเจริญวิปัสสนาให้บรรลุถึงมรรคผลได้จริงอีกวิธีหนึ่ง ( ที่สำคัญคือ ปฏิบัติง่าย ได้ผลเร็วในระยะเวลาเพียง ๓-๔เดือนเท่านั้นเอง)
ความสอดคล้องกันระหว่างการปฏิบัติสติปัฏฐานที่กำหนดดูอาการพอง-ยุบของท้องกับหลักการในพระคัมภีร์ผู้สนใจหาอ่านได้จากหนังสือเรื่อง “วิปัสสนานัย”ซึ่งเขียนโดยตัวท่านเอง อ้างหลักฐานที่มาของแต่ละข้อความไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะเล่มที่แปลเป็นภาษาไทยโดยพระคันธสาราภิวังส์ (วัดท่ามะโอ จังหวัดลำปาง)นั้นได้ระบุเชิงอรรถไว้ด้วยว่าข้อความนั้นๆ นำมาจากคัมภีร์ชื่ออะไร เล่มที่เท่าไหร อยู่หน้าไหน? ท่านผู้ใคร่ในการศึกษาและปฏิบัติโปรดพิสูจน์ สอบสวนเอาด้วยตนเองเถิด..

๑๑.ทำไมไม่ปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนดลมหายใจเข้า-ออก(อานาปานสติ)ซึ่งมีผู้ปฏิบัติกันแพร่หลายอยู่แล้ว?
..ตอบ. ยังไม่มีพระอาจารย์ท่านใดกล้ากล่าวว่าตนสามารถสอนวิปัสสนาแบบกำหนดลมหายใจเข้า-ออกให้เห็นมรรค เห็นผลได้ภายในระยะเวลาเพียง ๓-๔ เดือน และสามารถอธิบายสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติจริงด้วยทฤษฎีญาณ ๑๖ ได้
(ลมหายใจเข้า-ออก กับอาการท้องพอง-ท้องยุบที่หน้าท้อง เป็นลมอัสสาสะปัสสาสะอันเดียวกัน อาการพองเกิดจากลมหายใจเข้า อาการยุบเกิดจากลมหายใจออก เพียงแค่ย้ายฐานลมจากที่จมูกมาจับกำหนดรู้อาการพอง อาการยุบที่หน้าท้องแทน พร้อมเพิ่มคำบริกรรมเพื่อกำหนดรู้อาการพอง-อาการยุบให้ทันปัจจุบันและตรงตามสภาวะ )

๑๒.ปฏิบัติวิปัสสนาแบบกำหนดพอง-ยุบ กับแบบกำหนดลมหายใจเข้าออกแบบไหนดีกว่ากัน?
..ตอบ. ปฏิบัติแบบกำหนดลมหายใจเข้า-ออกดีกว่า เพราะมีปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกชัดเจนกว่า และเมื่อปฏิบัติสำเร็จแล้วทำให้เกิดคุณวิเศษต่างๆได้เช่น รู้ใจผู้อื่นได้ แสดงปาฏิหาริย์ได้ เป็นต้น แต่ต้องปฏิบัติกันหลายปีจึงจะสำเร็จได้ และสำหรับบางคนปฏิบัติไม่ได้ผลเลย เพราะเป็นวิสัยของผู้มีปัญญาเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติแบบกำหนดพอง-ยุบถึงจะให้เกิดคุณวิเศษต่างๆไม่ได้ แต่สามารถ ปฏิบัติได้ทุกคน เห็นผลได้ภายใน ๑ เดือน สำเร็จได้ภายใน ๓-๔ เดือน

๑๓. การปฏิบัติวิปัสสน มีวิธีการอย่างไรบ้าง?
..ตอบ มีขั้นตอนปฏิบัติเบื้องต้น ดังนี้
๑) เดินจงกรม เดินกลับไปกลับมา ก้มหน้าเล็กน้อย ส่งจิตกำหนดดูอาการของเท้าแต่ละจังหวะที่เคลื่อนไป อย่างจดจ่อ ต่อเนื่อง รับรู้ถึงความรู้สึกของเท้าที่ค่อยๆยกขึ้น ค่อยๆย่างลง และความรู้สึกสัมผัสที่ฝ่าเท้า(อ่อน แข็ง เย็น ร้อน ฯลฯ) ส่งจิตดูอาการแต่ละอาการอย่างจรด แนบสนิทอยู่กับอาการนั้น ไม่วอกแวก จนรู้สึกได้ถึงอาการที่เปลี่ยนไป ดับไปของสภาวนั้นๆ เช่น ขณะย่างเท้า ก็รู้สึกถึงอาการลอยไปเบาๆ ของเท้า พอเหยียบลงอาการลอยๆ เบาๆ เมื่อ๒-๓ วินาทีก่อนก็ดับไป มีอาการตึงๆแข็งเข้าแทนที่ พอยกเท้าขึ้นอาการตึงๆแข็งๆด็ดับไป กลับมีอาการลอยเบาๆ โล่งๆเข้าแทนที่ เป็นต้น ยิ่งเคลื่อนไหวช้าๆ ยิ่งเห็นอาการชัด และในขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น หากมีความคิดเกิดขึ้นให้หยุดเดินก่อน แล้วส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า “คิดหนอๆๆๆ” จนกว่าความคิดจะเลือนหายไป จึงกลับไปกำหนดเดินต่อ อย่ามองซ้ายมองขวา พยายามให้ใจอยู่กับเท้าที่ค่อยๆเคลื่อนไปเท่านั้น ถ้าเผลอหรือหลุดกำหนดให้เอาใหม่ เผลอเริ่มใหม่ ๆๆๆ ไม่ต้องหงุดหงิด การปฏิบัติเช่นนี้ เรียกว่า “เดินจงกรม” ต้องเดิน ๑ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย

๒) นั่งสมาธิ นั่งตัวตรง แต่ไม่ต้องตรงมาก ให้พอเหมาะสมกับสรีระของตนเอง นั่งสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อนอวัยวะส่วนใดทั้งสิ้น จนสังเกตได้ว่าอวัยวะที่ยังไหวอยู่มีแต่ท้องเท่านั้น ให้ส่งจิตไปดูอาการไหวๆนั้นอย่างต่อเนื่อง แค่ดูเฉยๆ อย่าไปบังคับท้อง ปล่อยให้ท้องไหวไปเรื่อยๆ ตามธรรมชาติ นั่งกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง ไม่หลุด ไม่เผลอ ถ้ามีเผลอสติบ้างก็ไม่ต้องหงุดหงิด เผลอ..เอาใหม่ ๆจนเห็นอาการพอง อาการยุบค่อยๆชัดขึ้น ขณะเห็นท้องพองกำหนดในใจว่า “พองหนอ” ขณะเห็นท้องยุบกำหนดในใจว่า “ยุบหนอ” บางครั้งท้องนิ่งพอง-ยุบไม่ปรากฏก็ให้กำหนดรู้อาการท้องนิ่งนั่น “รู้หนอๆๆ” หรือ “นิ่งหนอๆๆ” บางครั้งพอง-ยุบเร็วแรงจนกำหนดไม่ทัน ก็ให้กำหนดรู้อาการนั้น “รู้หนอๆๆ” ถ้าขณะนั่งกำหนดอยู่มีความคิดเข้ามาให้หยุดกำหนดพองยุบไว้ก่อน ส่งจิตไปดูอาการคิด พร้อมกับบริกรรมในใจว่า “คิดหนอๆๆ” แรงๆ เร็วๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าคิดเรื่องอะไร พออาการคิดจางไปแล้ว หรือหายไปโดยฉับพลัน ให้กำหนดดูอาการที่หายไป “รู้หนอๆๆ” แล้วรีบกลับไปกำหนดพอง-ยุบต่อทันที อย่าปล่อยให้จิตว่างจากการกำหนดเด็ดขาด ขณะที่กำหนดอยู่นั้น ถ้าเกิดอาการปวดขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งขึ้นมา ให้ทิ้งพอง-ยุบไปเลย แล้วส่งจิตไปดูอาการปวดนั้น บริกรรมในใจว่า “ปวดหนอๆๆ” พยายามกำหนดดูอย่างติดต่อ ต่อเนื่อง แต่อย่าเอาจิตเข้าไปเป็นทุกข์กับอาการปวดนั้น ภายใน ๕ หรือ ๑๐ วันแรกให้กำหนดดูอาการปวดอย่างเดียว ไม่ต้องสนใจอารมณ์อื่นมากนัก จนกว่าอาการปวดจะหาย หรือลดลง วันแรกๆ อาการปวดจะไม่รุนแรงมากนัก นั่งได้ ๑ ชั่วโมงแบบสบายๆ พอเรามีสมาธิมากขึ้น มีญาณปัญญามากขึ้น อาการปวดจะค่อยๆรุนแรงขึ้น จนทนแทบไม่ไหว จากที่เคยนั่งได้ ๑ ชั่วโมง พอวันที่ ๕-๖ เป็นต้นไป นั่ง ๑๐ หรือ ๒๐ นาทีก็ทนแทบไม่ไหวแล้ว ให้พยายามนั่งกำหนดต่อไปจนกว่าจะครบชั่วโมง (เพื่อจะได้เป็นกำลังใจในการกำหนดบัลลังก์ต่อๆไป) ยิ่งปวดมากก็ยิ่งกำหนดถี่ๆเร็วๆ แรงๆ นั่นแสดงว่าสมาธิของเราก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ภายใน๑๐-๒๐ วันเวทนาก็จะหายขาดไปเอง หรืออาจจะมีอยู่บ้างเล็กน้อยช่วงท้ายบัลลังก์ ถึงต้อนนี้วิปัสสนาญาณของคุณก้าวเข้าสู่ขั้นที่ ๔ แล้ว ขั้นต่อไป ไม่ควร/ห้ามปฏิบัติด้วยตนเอง(อย่างเด็ดขาด) ต้องมีพระอาจารย์คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดผลเสียมากว่าผลดี ..ขอเตือน.. ที่อธิบายมานี้เป็นเพียงหลักปฏิบัติเบื้องต้น มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมายที่จะต้องเรียนรู้ ผู้ต้องการปฏิบัติให้เห็นมรรคเห็นผลแสวงหาสำนักปฏิบัติที่เห็นว่าเหมาะสมกับตนเอาเองเถิด..

๑๓. ปฏิบัติวิปัสสนาแบบพอง-ยุบ ทำไมต้องมีคำบริกรรม ผมชอบปฏิบัติแบบไม่มีคำบริกรรม?
..ตอบ. ปฏิบัติแบบไม่มีคำบริกรรมแล้วทำให้บรรลุมรรค ผล ภายใน ๓-๔เดือนได้ไหมละ?
คำบริกรรมมีไว้เพื่อช่วยให้สติเจาะจงต่ออารมณ์ที่กำหนดมากขึ้น ทำให้เห็นอาการดับของอารมณ์ต่างๆที่กำหนดได้อย่างชัดเจน ทำให้ปัญญาญาณเกิดขึ้นและก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว จนสามารถบรรลุธรรมได้ภายในระยะเวลาเพียง ๓-๔ เดือนเท่านั้น

๑๔. เคยปฏิบัติมาครั้งหนึ่ง จนถึงสภาวรูปดับ – นามดับแล้ว?
..ตอบ. ขอถามว่า ก่อนหน้าที่จะถึงสภาวรูปดับ- นามดับนั้น คุณเคยมีสภาวะพอง-ยุบถี่ๆ เร็วๆ แรงๆยิ่งกว่าเครื่องจักร จนกำหนดไม่ทัน เหนื่อยหอบแทบสิ้นใจติดต่อกัน ๔ -๕ บัลลังก์บ้างหรือไม่?
หรือว่า ๔-๕ บัลลังก์ติดต่อกันก่อนหน้านั้น นั่งท้องนิ่ง พอง-ยุบไม่ปรากฏ หรือปรากฏเบามากๆ กำหนดนั่งหนอ ถูกหนอก็ไม่เห็น จะไม่รู้จะกำหนดอะไร คุณเคยเป็นอาการนี้บ้างหรือไม่?
หรือว่า ปฏิบัติมา ๒ เดือน ปวดแทบทุกบัลลังก์ บางครั้งปวดจนหลับไปเลยก็มี คุณเคยมีอาการนี้บ้างหรือไม่ ถ้าหากยังไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่งใน ๓ อย่างนี้ อาการที่คุณประสบมาน่าจะเป็น “รูปหลับ นามหลับ” เสียมากกว่า..
มีผู้ปฏิบัติหลายท่านพูดอวดว่า “ผมสำเร็จแล้ว นั่งทีไรมีแต่อาการตัวเบา ตัวลอย สุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นั่งสมาธิไม่เคยรู้สึกง่วง หรือปวดเลย จะนั่งกี่ครั้งก็มีแต่ความสุขสงบเย็น บางครั้งเห็นแสงสีสว่างไสวน่าดู น่าชมมาก ผมได้สภาวนี้มาเป็นสิบๆปีแล้ว” ผู้ที่กล่าวเช่นนี้ นั่นเขากำลังประกาศในหมู่ผู้รู้ว่า ตัวเองติดอยู่แค่ญาณที่ ๔ เป็นเวลาสิบปีแล้ว ขอให้ไปตรวจสอบกับอาจารย์ผู้รู้จริง เพื่อจะได้เป็นบุญกุศลแก่ตนเอง และศิษยานุศิษย์ต่อไป...

๑๕. ผมเคยพระท่านหนึ่ง ร่ำลือกันว่าบรรลุโสดาบันแล้ว แต่ทำไมท่านไม่คอยสำรวม พูดก็เสียงดัง ไม่แตกต่างจากพระทั่วไปเลย น่าจะเป็นโสดาบันเก๊เสียมากกว่า?
..ตอบ. ขอถามว่า ระหว่างตัวคุณกับยาจกขอทาน ใครมีบุญมากกว่ากัน (ตอบ......)
- คุณเชื่อหรือไม่ว่า เคยมียาจกขอทานคนหนึ่ง แอบฟังธรรมเพียงกัณฑ์เดียวก็บรรลุโสดาบันได้ (ตอบ.....)
- คุณเชื่อหรือไม่ ว่า ในอดีตมีพระโสดาบันท่านหนึ่งร้องให้ฟูมฟายเพราะหลานตาย จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสเตือน (ตอบ......)
- คุณเชื่อหรือไม่ว่า พระโสดาบันท่านหนึ่งมีสามีเป็นนายพรานล่าสัตว์ เธอทำความสอาดเครื่องมือฆ่าสัตว์ให้สามีอยู่เสมอ (ตอบ.......)
- คุณเชื่อหรือไม่ว่า เคยมีพระอรหันต์รูปหนึ่งไม่ลงอุโบสถ ฟังพระปาฎิโมกข์ จนพระพุทธเจ้าต้องตรัสเตือน (ตอบ.......)
- คุณเชื่อหรือไม่ว่า มีพระอัครสาวกท่านหนึ่ง วิ่งกระโดดข้ามคูน้ำ (ตอบ.....)
- คุณคิดว่า ในปัจจุบันนี้ยังมีพระโสดาบันอยู่อีกหรือไม่? ( ตอบ....)
- คุณเชื่อแล้วหรือยังว่าพระรูปนั้นที่คุณเห็น ท่านเป็นพระโสดาบันจริง (ตอบ.....)

สรุปว่า ความเป็นพระอริยอยู่ที่ใจมิใช่รูปลักษณ์ภายนอกเสมอไป โดยเฉพาะพระโสดาบันด้วยแล้ว แทบดูจากพฤติกรรมภายนอกไม่ได้เลย เพราะการบรรลุโสดาบันเป็นเพียงการได้ดวงตาเห็นธรรมเท่านั้น ขอย้ำว่า “แค่เห็นเท่านั้น ยังไม่ได้ลงมือประหารกิเลสอะไรเลย มีเพียงมิจฉาทิฏฐิและวิจิกิจฉาเท่านั้นที่ถูกประหารไป” เป็นเพียงผู้มีสัมมาทิฏฐิ กิเลสตัณหาราคะ โทสะ โมหะยังมีอยู่ แทบจะไม่ต่างจากปุถุชนคนทั่วไปเลย ต่างกันแต่ ท่านจะไม่ล่วงละเมิดศีล ๕ ด้วยเจตนาอย่างเด็ดขาด (ทั้งฆราวาสและพระภิกษุ) และมีความเชื่ออย่างปราศจากข้อสงสัยอย่างสิ้นเชิงว่า นรก สวรรค์มีจริง พระอริยมีอยู่จริง สรรพสิ่งเป็นเพียงรูปกับนามเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นปนอยู่เลย..
อนึ่ง พระโสดาบันเชื่อว่า นรกสวรรค์มีจริงนั้น มิใช่เชื่อเพราะมีตาทิพย์ไปเห็นมาด้วยตนเอง แต่เชื่อต่อพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้ามีจริง และคำสอนของพระองค์ก็เป็นความจริงเช่นกัน


๑๖.เคยได้ข่าวมาว่าที่ประเทศไทยเปิดสอนวิปัสสนาในระดับปริญญาโทจริงหรือ? วิปัสสนา เป็นเรื่องของสภาวจิต เป็นการดับกิเลสมิใช่หรือ ทำไมต้องเอาใบปริญญา?
..ตอบ. มหาวิทยาลัยสงฆ์ วิทยาเขตบาฬีศึกษาพุทธโฆส นครปฐม (วัดมหาสวัสดิ์นาคพุฒาราม) เปิดสอนวิปัสสนาในระดับปริญญาโท ซึ่งเป็นดำริของหลวงพ่อพระพรหมโมลี (เจ้าคณะภาค๑) เพื่อให้ผู้ศึกษามีความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องวิปัสสนาทั้งภาคทฤษฎีในพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎีกา และภาคปฏิบัติที่มีความสอดคล้องกัน คือ เมื่อปฏิบัติจนรู้แจ้งด้วยตนเองแล้ว ก็สามารถสอนผู้อื่นให้รู้อย่างที่ตนรู้ได้ด้วย มิใช่รู้อยู่แต่ผู้เดียวแต่ไม่สามารสั่งสอนหรืออธิบายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ การปฏิบัติวิปัสสนานั้นมิใช่ว่าปฏิบัติจบแล้วจะสอนผู้อื่นให้รู้อย่างที่ตนรู้ได้ เพราะการปฏิบัติวิปัสสนาให้บรรลุมรรคผลภายใน๓-๔เดือนนั้น ผู้ปฏิบัติจะต้องมีอินทรีย์ที่แก้กล้าและสมดุลกัน ระหว่างศรัทธากับปัญญา และวิริยะกับสมาธิ การปฏิบัติวิปัสสนามิใช่เพียงแค่เดินจงกรม นั่งสมาธิเท่านั้น พระอาจารย์ผู้สอนต้องคอยสั่งสอน แนะแนววิธีปฏิบัติในแต่ละช่วงญาณควบคู่กันไปด้วย เพราะวิธีปฏิบัติในแต่ละญาณนั้นไม่เหมือนกัน คือมีรายละเอียดปลีกย่อยและเทคนิคในการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เช่น ญาณที่๔-๕ต้องกำหนดอย่างจดต่อ ต่อเนื่อง และเพ่งสติต่ออารมณ์ จึงจะเห็อาการเกิดดับชัดเจน แต่พอถึงญาณที่ ๑๐-๑๑ ให้กำหนดเพียงรู้อาการที่ปรากฏอย่างต่อเนื่องไม่ต้องเพ่งอารมณ์มากนัก เพราะอารมณ์ที่กำหนดจะไม่ชัดทำให้เผลอสติหลุดกำหนดได้ง่าย พอญาณที่ ๑๑เริ่มแก่กล้าขึ้น ต้องการให้วิปัสสนาญาณเดินหน้าอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ทะลุเข้าเข้าสู่มรรคผลให้ได้ ก็ต้องเพิ่มกำลังอินทรีย์ในการกำหนดด้วยการกำหนดอย่างถี่ ไม่ให้ขาดไม่ให้เผลอตั้งแต่ตื่นนอน จนเข้านอน เป็นต้น
บางช่วงผู้ปฏิบัติศรัทธาตก เกิดความเบื่อหน่ายต่อการปฏิบัติ อาจารย์ผู้สอนก็ต้องหาบทเทศนาที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติฟังแล้วเกิดศรัทธาให้ได้มาเทศน์สั่งสอน บางช่วงเกิดความท้อแท้อยากเลิกปฏิบัติ อาจารย์ผู้สอนก็ต้องเทศนาให้กำลังใจ
..ฉะนั้น ผู้ที่คิดจะเป็นอาจารย์วิปัสสนาสอนผู้อื่นให้ถึงขั้นบรรลุมรรคผลได้นั้น เพียงเก่งในการปฏิบัติเรื่องสภาวญาณอย่างเดียวยังไม่พอ จะต้องมีความรอบรู้ในหลักปริยัติควบคู่ไปด้วย ยิ่งต้องการสอนให้บรรลุถึงขั้น มรรค ผล นิพพานภายในระยะเวลาเพียง ๓-๔ เดือนด้วยแล้ว ก็จะต้องมีความรู้ในภาคปริยัติถึงขั้นเชี่ยวชาญ มีความสามารถเทศนาสั่งสอนได้ทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องมีไหวพริบปฏิภาณสามารถการแก้ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งที่เกี่ยวกับการปฏิบัติและไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติได้อย่างประทับใจ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเกิดความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวผู้สอน จนยอมปฏิบัติแบบถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย แต่ถ้าต้องการปฏิบัติเพียงเพื่อให้ตนเองหายทุกข์ คลายโศกเท่านั้นก็ไม่จำเป็นต้องเรียนปริยัติก็ได้..

โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี
montasavi_@hotmail.com
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ใบโพธิ์
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2007
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 27 มิ.ย.2007, 8:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

1. “ทำแท้ง” พุทธศาสนามองว่าอย่างไร

ช่วงนี้มีการถกเถียงกันมากเกี่ยวกับประเด็น “ทำแท้ง” ว่าควรหรือไม่ควร โดยที่ทั้งฝ่ายเสนอ และ ฝ่ายคัดค้าน ต่างยกเหตุผลขึ้นมาถกเถียงกันฟังดูก็มีเหตุผลดีทั้งสองฝ่าย ฝ่ายเสนอก็บอกว่าควรออกกฏหมายอนุญาตให้ทำแท้งได้เพราะตอนนี้ก็มีการลักลอบทำแท้งเถื่อนกันมากมาย ถึงอย่างไรก็ควบคุมกันไม่ได้อยู่แล้ว ทำไมไม่ทำให้มันถูกต้องไปเสียเลย

บางคนก็ว่าในกรณีที่ตรวจพบว่าเด็กมีโรคร้ายแรงคลอดออกมาก็ทรมานเปล่าๆ อีกไม่นานก็ตาย สู้ทำแท้งไปเลยจะได้ตัดปัญหาตั้งแต่ต้นลม ฯลฯ ฝ่ายคัดค้านก็คัดค้านอย่างจริงจัง โดยให้เหตุผลว่าการทำแท้งจะเป็นการส่งเสริมให้เด็กหนุ่มสาวมั่วเพศกันมากขึ้น บ้างก็ว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม สรุปว่าข้อโต้แย้งเรื่องการทำแท้งนี้ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่ยุติตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

“ทำแท้ง” พุทธศาสนาวินิจฉัยว่าสมควร หรือไม่สมควรอย่างไร ?

ถ้าจะให้ตอบก็คงจะต้องตอบตามหลักฐานที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ซึ่งวินิจฉัยว่า การทำแท้งเท่ากับการฆ่ามนุษย์คนหนึ่งเลยทีเดียว เพราะพุทธศาสนาถือหลักว่าการปฏิสนธิว่าคือจุดเริ่มต้นของการเกิดเป็นมนุษย์ คือมีจิตใจของมนุษย์เกิดขึ้นอยู่ในเซลล์ชีวิตเล็กๆ ที่ปฏิสนธินั้นแล้ว และ ภาวะแห่งความเป็นมนุษย์นี้จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อตายลง

อนึ่ง ในทางพุทธศาสนาท่านถือว่าการฆ่ามนุษย์นั้นบาปหนักกว่าการฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน เพราะภาวะของมนุษย์ท่านถือว่าเป็นชีวิตอันประเสริฐที่ต่างจากสัตว์ดิรัจฉานทั่วไป เหตุผลคือชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่มีโอกาสสามารถพัฒนาตนให้เจริญงอกงามได้อย่างไม่มีขอบเขตจำกัด ยกตัวอย่างเช่น คนธรรมดาอย่างเจ้าชายสิทธัตถะยังสามารถพัฒนาตนจนอุบัติเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เป็นต้น ดังนั้นการฆ่ามนุษย์แม้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์จึงเท่ากับการตัดโอกาสของชีวิตที่จะได้พัฒนาตนต่อไป

ในเมื่อพุทธศาสนามองว่าบุตรในครรภ์แม้วันแรกก็ถือว่าเป็นมนุษย์แล้วเช่นนี้ ในการตัดสินใจว่าการทำแท้ง สมควรหรือไม่สมควร จึงเป็นเรื่องที่ต้องวินิจฉัยเป็น กรณีๆ ไป ไม่มีคำตอบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คือต้องใช้ปัญญาพิจารณาไตร่ตรองอย่างรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไป แต่สิ่งควรจะต้องตระหนักรู้ไว้อยู่ตลอดเวลาในการที่จะตัดสินใจว่าควรหรือไม่ควรทำแท้ง คือ ชีวิตเล็กๆ ในครรภ์นั้นได้มีภาวะของความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นแล้ว หาใช่แค่เซลล์เล็กๆ หรือก้อนเนื้อก้อนเล็กๆ อย่างที่เคยเข้าใจแต่อย่างใด

หลักฐานที่มีมาในพระไตรปิฎก และอรรถกถา
เพื่อประกอบการพิจารณาเรื่อง “ทำแท้ง”

๑. พระวินัยบอกว่าฆ่ามนุษย์เป็นบาปหนักที่สุด บาปยิ่งกว่าการฆ่าสัตว์ใดๆ ภิกษุใดฆ่ามนุษย์ ถือว่าต้องอาบัติปาราชิก หมดสิทธิเป็นสมณะอีกต่อไป ดังจะยกบาลีขึ้นมาอ้างดังต่อไปนี้

โย ปน ภิกฺขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปยฺย, อยมฺปิ ปาราชิโก อสํวาโส (วินย.๑/๑๘๐/๑๓๗)

แปลว่า ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์ ภิกษุนี้เป็นปาราชิก หมดสิทธิอยู่ร่วมกับสงฆ์
(ไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นได้อีกต่อไป)

โย ภิกขุ สญฺจิจฺจ มนุสฺสวิคฺคหํ ชีวิตา โวโรเปติ อนฺตมโส คพฺภปาตนํ อุปาทาย, อสฺสมโณ โหติ อสกฺยปุตฺติโย (วินย.๔/๑๔๔/๑๙๕)

“ภิกษุใดจงใจพรากชีวิตมนุษย์แม้แต่เพียงทำครรภ์ให้ตก ไป (ทำครรภ์ให้ตกไป หมายความว่าทำแท้งนั่นเอง) ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นศากยบุตร”

๒. ในพระสูตรบอกว่า ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นเมื่อเกิดองค์ประกอบสามอย่าง คือ

๑. มารดาบิดาร่วมกัน
๒. มารดาไข่สุก และ
๓. มีสัตว์เข้าไปเกิด

“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อใด มารดาบิดาร่วมกัน ๑ (มีเพศสัมพันธ์)
มารดาอยู่ในฤดู (ช่วงเวลาไข่สุก) ๑
และคันธัพพะเข้าไปตั้งอยู่แล้ว ๑ ( มีสัตว์ที่เข้าไปเกิด )
เพราะประชุมองค์ประกอบ ๓ ประการอย่างนี้ ก็มีการก้าวลงแห่งครรภ์” (ม.มู.๑๒/๔๕๒/๔๘๗)

๓. อรรถกถาจารย์ได้อธิบายไว้ว่า ปฐมจิตเกิดขึ้นครั้งแรกพร้อมกับ อรูปขันธ์ ๓ และกลลรูป ดังนั้นตามหลักพุทธศาสนาชีวิตจึงมีองค์ประกอบขันธ์ ๕ ครบสมบูรณ์ ณ วันที่เริ่มปฏิสนธินั่นเอง

๔. กลลรูป เป็นเซลล์ขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น และจะใช้เวลานานประมาณ ๕ สัปดาห์ กว่าจะเริ่มงอกแขนขาและศีรษะ ออกมาเป็นร่างกายมนุษย์ โดยที่ขั้นตอนเจริญเติบโตกว่าที่จะงอกเป็นปุ่มปมห้าปุ่ม นี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละสัปดาห์ ดังจะขอยกอรรถาธิบายของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) มาแสดงดังต่อไปนี้

ชีวิตในครรภ์ เป็นอย่างไร ?

ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ
อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตตี ฆโน
ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เสา โลมา นขาปิ จํ

นี้คือคำอธิบายว่าด้วยลำดับการเกิดเป็นระยะๆ ทีละช่วงสัปดาห์ หรือช่วงละเจ็ดวันๆ ลำดับแรกที่สุดก็คือเป็น ปฐมํ กลลํ เป็นกลละก่อน

กลละนี่ถ้าเป็นศัพท์ในความหมายทั่วไปก็จะได้แก่พวกเมือก พวกโคลนตม เช่นว่าเหยียบลงไปในโคลนหรือในที่เละ แต่ในที่นี้ กลละ เป็นศัพท์เฉพาะซึ่งมีความเกี่ยวกับชีวิต และท่านใช้คำเรียกว่าอย่างนั้น ก็เพราะมีลักษณะเป็นเมือก หรือเหมือน อย่างน้ำโคลนเละๆ คือเป็นคำเรียกตามลักษณะ แต่ในกรณีนี้ ท่านหมายถึงเป็นเมือกใส ไม่ใช่ข้นอย่างโคลนตม

กลละ นี้ ท่านบอกว่าเป็นหยาดน้ำใส เป็นหยดที่เล็กเหลือเกิน เล็กจนกระทั่งในสมัยนั้นไม่รู้จะพูดกันอย่างไรเพราะยังไม่ได้ใช้มาตราวัดอย่างละเอียดถึงขนาดที่ว่าเป็นเศษส่วนเท่าไรของวิธีอุปมาว่า หยาดน้ำใสกลละนี้นะ มีขนาดเล็กเหลือเกิน เหมือนอย่างเอาขนจามรีมา จามรีที่เป็นสัตว์อยู่ทางภูเขาหิมาลัย ซึ่งมีขนที่ละเอียดมากเอาขนจามรีเส้นหนึ่งมาจุ่มน้ำมันงา แล้วก็สลัดเจ็ดครั้ง แม้จะสลัดเจ็ดครั้งแล้วมันก็ยังมีเหลือติดอยู่นิดหนึ่ง ซึ่งเล็กเหลือเกิน ท่านบอกว่านี่แหละเป็นขนาดของกลละ กลละหมายถึงชีวิตในฝ่ายรูปธรรม เมื่อเริ่มกำหนดในเจ็ดวันแรกในช่วงเจ็ดวันแรกก็เป็นกลละอย่างนี้มาก่อน ซึ่งเล็กเหลือเกิน

แล้วต่อจากกละนี้ไปในสัปดาห์ที่สองก็เป็น อัพพุทะ อัพพุทะ นี้ควรจะเรียกได้ว่าเป็นเมือกกละ คือ เป็นน้ำข้นหรือเมือกข้น ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๓ ก็จะเป็นเปสิ คือเป็นชิ้นเนื้อ แล้วต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๔ ก็จะเป็นก้อน เรียกว่า ฆนะ ต่อจากนั้นในสัปดาห์ที่ ๕ ก็จะเหมือนกับมีส่วนงอกออกมา เป็นปุ่มห้าปุ่ม เรียกว่าปัญจสาขา นี่เป็นสัปดาห์ที่ห้า แล้วหลังจากนั้นก็จะมีผมมีขนมีเล็บกันต่อไป

(คัดจากหนังสือเรื่อง ทำแท้ง : ตัดสินอย่างไร ? หน้า ๑๒-๑๔)


........................................................................................

2. ทำแท้งบาปมากมั้ยหนอ (พระอาจารย์สุโข กตปุญโญ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=605

3. กรรมออนไลน์จากการทำแท้ง (พญ.ชัญวลี ศรีสุโข)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=2607

4. ทำแท้ง (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=12251

5. การทำแท้ง (แม่ชีทศพร ชัยประคอง)
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4577

การทำแท้งถือเป็นกรรมในหมวดข้อการเบียดเบียนชีวิตหรือปาณาติบาต ผู้ที่กรรมนี้จะหากินไม่ขึ้นหาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้เลย เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตัวเองนั้นจองเวรอาฆาต ซึ่งการเกิดการตายของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตวิญญาณและวิบากกรรมโดยตรง

ผลกรรมอันเกิดจากการทำแท้งมี 2 ข้อคือ 1. กรรมที่ทิ้งลูกตัวเอง 2. กรรมในการฆ่าทำลายชีวิต ซึ่งอกุศลกรรมนี้พระไตรปิฎกได้กล่าวไว้ชัดเจนว่าผู้ที่ทำแท้งเมื่อสิ้นใจยังต้องตกนรก พ้นจากนรกจึงเกิดมาเป็นเปรต จากนั้นจะเป็นอสุรกาย ตนเมื่อมีบุญพอจะเกิดเป็นคนแต่ต้องถูกพ่อแม่ทอดทิ้งแต่เล็กหรือโโนพ่อแม่ของตนในชาติต่อไปทำแท้งตัวเองเสียหรือแท้งลูกโดยอุบัติเหตุ

ส่วนกรรมจากการปาณาติบาลหรือทำลายชีวิตลูกของตัวเองนั้นจะทำให้มีอายุสั้น มีโรคภัยเบียดเบียนมาก หากินไม่ขึ้นและกรรมจากการทำแท้งมักจะก่อผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แม้ผู้ที่เกี่ยวข้องการการทำแท้งยังต้องมีอกุศลกรรมติดตัวตามไปด้วยเช่นกัน
 

_________________
ทำความดีทุกๆ วัน
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง