Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 10:59 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรมโอวาทเพื่อพระนิพพาน

โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง)


Image

พ่อสอนลูก

๑. ขอลูกรักจงรักษากายไว้ด้วยดี
อย่าเอากายไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
และจงรักษาวาจาไว้ให้ดี
อย่าพูดปดมดเท็จที่ไม่ตรงความจริง
อย่าพูดคำหยาบหรือด่าคนอื่น
อย่าใช้วาจาเป็นเครื่องทำลายความสามัคคี
คือ ยุให้คนแตกร้าวกัน
อย่าใช้วาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์
ด้านใจจงรักษาใจไว้ด้วยดี
คือ ไม่อยากได้ของๆ ใครที่เขาไม่เต็มใจให้
ไม่โกรธแค้นอาฆาต พยาบาทใคร
ไม่เมาใจจนเห็นผิด คิดว่าตัวเป็นคนประเสริฐ
อารมณ์เหล่านี้เป็นพื้นฐานที่จะให้เข้าถึงพระนิพพาน
เมื่อรักษากายใจได้ดังนี้แล้ว
ต่อไปใจจะสะอาดขึ้นทีละน้อย
จนไม่ต้องระวังทั้งกาย วาจา ใจ
จะทรงไว้แต่ความดีอย่างเดียว ในที่สุดก็ถึงนิพพาน

๒. ลูกรักทั้งหลาย จงจำไว้ว่าท่านกับเรามีสภาวะเหมือนกัน
คือ มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนไปในท่ามกลาง
และก็มีการสลายตัวไปในที่สุด
ท่านกับเราก็เสมอกันเสมอกัน โดยไตรลักษณ์
คือ อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้
ทุกขัง เมื่อมีความเป็นอยู่ต้องทำมาหากิน
ทางอาชีพทำการงานเลี้ยงชีพ
สุขบ้างทุกข์บ้าง ไปตามสภาพของคนที่มีชีวิต
ในที่สุดชีวิตก็สลายตัวไป
จงจำไว้ว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นในร่างกายจนเกินไป
อย่ายึดถือในทรัพย์สินมากเกินไป
จงจำไว้ว่าเราจะต้องตาย
ถ้าเรายังไม่ดีพอ ตายแล้วเราก็ต้องเกิดอีก
เกิดแล้วเราก็มีทุกข์ เกิดเป็นคนมีทุกข์อย่างคน
เกิดเป็นสัตว์มีทุกข์อย่างสัตว์
เกิดเป็นอสุรกายเป็นทุกข์อย่างอสุรกาย
เกิดเป็นเปรตเป็นทุกข์อย่างเปรต
เกิดเป็นสัตว์นรกเป็นทุกข์อย่างสัตว์นรก
เกิดเป็นเทวดาสุขอย่างเทวดา
เกิดเป็นพรหมสุขอย่างพรหม
แต่สุดท้ายไม่นานผลที่สุด
ก็ละความสุขนั้น มาหาความทุกข์
สู้ไปพระนิพพานไม่ได้
นิพพานมีความสุขที่เป็นเอกันตบรมสุข เป็นความสุขที่ยอดเยี่ยม


สาธุ สาธุ สาธุ
 


แก้ไขล่าสุดโดย ดอกไม้ เมื่อ 02 พ.ค.2007, 11:03 am, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:00 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาตน

๑. ถ้าบุคคลใดไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น
ไม่ยากตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท
มีจริยาดี มีความสงบ ใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว
อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน
แล้วบุคคลใดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง
ไม่ยุยงส่งเสริมให้คนอื่น ทำลายศีล
ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว
สามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ
จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
ชื่อว่าเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์
อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสอน
ถ้าบุคคลใดทำความดีดังนี้ตามลำดับมาครบถ้วนทรงตัว
สามารถทำจิตให้ระลึกชาติได้โดยไม่จำกัด
อย่างนี้เข้าถึงกระพี้ความดีที่พระองค์สอน
ถ้าบุคคลใดทำจุตูปปาตญาณให้เกิดขึ้น
เห็นคนและสัตว์รู้ได้ทันทีว่าคนและสัตว์นี้ ก่อนเกิดมาจากไหน
คนตายแล้วไปอยู่ไหน
อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงแก่นความดีที่พระองค์สอน
แต่เป็นแก่นขั้นฌานโลกีย์ ต่อไปทบทวนความดีนี้ให้ทรงตัว
ทำวิปัสสนาญาณ ถ้ามีบารมีแก่กล้า
จะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหาน ได้ภายใน ๗ วัน
ถ้าบารมีอย่างกลางจะตัดกิเลสได้หมดภายใน ๗ เดือน
ถ้าบารมีอย่างอ่อนจะตัดได้หมดภายใน ๗ ปี

๒. ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ
ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว
ใครจะว่าดีหรือชั่วไม่มีความสำคัญ
เขาจะประนามว่าเลว มันก็เลวไม่ได้
มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา
ถ้าจิตของเราชั่ว เขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน
นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญ
ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันดีเอง
ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา
การที่เราดีเพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ
นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:01 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ศีล

๑. ท่านพร่องในศีลด้วยเจตนาเพียงนิดเดียว
ท่านไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิ เพื่อฌานสมาบัติได้เลย
เพราะเพียงศีลมีการรักษาแบบหยาบๆ ท่านยังรักษาไม่ได้
ท่านจะเป็นผู้ทรงสมาธิที่มีอารมณ์ละเอียดกว่านี้ได้อย่างไร
ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปี
ที่ไม่สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ไม่ได้
ก็เพราะพร่องในศีลเป็นสำคัญ

๒. ศีลทั้ง ๕ ข้อนี้จะเป็นข้อหนึ่งข้อใดก็ตาม
ถ้าเราละเมิดนั่น ก็หมายความว่า
เราเปิดช่องของอบายภูมิหรือเปิดทางเดินไปสู่อบายภูมิ
มีเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน
การเจริญกรรมฐานของบรรดาพุทธบริษัท ก็ไม่มีผล
เพราะฉะนั้นญาติโยมพุทธศาสนิกชน
ที่คิดว่าจะเจริญพระกรรมฐานให้มีผลวันนี้และตลอดไปในชีวิต
จงตั้งจิตคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไป
เราจะเป็นผู้ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ตลอดชีวิต
บางวันข้างหน้าอาจจะเผลอไปบ้างก็เป็นของธรรมดา
ถ้าบังเอิญรู้ตัวว่า เผลอไป เราก็ยับยั้งมันเสีย
และตั้งใจต่อไปเราจะไม่ทำผิดอีก
และจงเข้าใจว่า ศีล ๕ ประการนี้
ถ้าจะขาดได้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจทำ
อย่างปาณาติบาตสัตว์เล็กๆ
เราเดินๆ ไปเราไม่เห็นบังเอิญเหยียบตาย อันนี้ศีลไม่ขาด
หรือสัตว์เล็กๆ มียุงเป็นต้นมาเกาะกินเลือดเรา
ถ้าไม่คิดจะฆ่ามันแต่มันเกาะนานเกินไป
เราจะเอามือลูบให้มันหนีไป บังเอิญมันหนีไม่ทัน ถูกมันตาย
อันนี้เราไม่บาป ศีลไม่ขาด เพราะเราไม่มีเจตนาจะฆ่า


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:02 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พรหมวิหาร ๔

๑. ขอบรรดาท่านพุทธศาสนิกชน
พยายามทรงอารมณ์จิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
คิดว่าเราจะมีความรักในคนอื่นและสัตว์อื่นนอกจากตัวเรา
เสมอด้วยตัวเรา เราจะมีความสงสารเกื้อกูลเขา
ให้เป็นสุข ตามกำลังที่เราพึงจะทำได้
เราไม่มีอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น
เห็นใครได้ดีก็พลอยยินดีตาม
ถ้าสิ่งใดเป็นเหตุเกินวิสัยด้วยอำนาจกฎของกรรม
หรือกฎของธรรมดาเกิดขึ้น เราจะไม่มีความหวั่นไหวในจิต
นี่อารมณ์อย่างนี้ ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททรงไว้ดี
ก็จัดว่าเป็นศูนย์รวมกำลังใจที่มีความสำคัญที่สุด
อันจะพึงก้าวเข้าไปสู่ความดี

๒. ถ้าจิตของเราทรงอยู่ใน พรหมวิหาร ๔ แล้ว
มีอะไรบ้างที่มันจะเกิดขึ้น นั่นก็คือ ศีลบริสุทธิ์ ไม่ต้องระมัดระวังศีล
ความเป็นผู้มีเหตุมีผลมีความเคารพในองค์สมเด็จพระทศพล
ก็มีพร้อมบริบูรณ์ เพราะอะไร เพราะคนที่ทรงศีลบริสุทธิ์
ก็แสดงว่ามีความเคารพในพระพุทธเจ้า
มีความเคารพในพระธรรม มีความเคารพในพระสงฆ์
เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ทรงแนะนำให้จิตอยู่ในขอบเขตนี้
เรามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์เป็นต้น
เราจึงมีศีลบริสุทธิ์
เราจึงรู้จักอายความชั่วเกรงกลัวความชั่ว
จึงได้มีการประกอบความความดี คือ จิตทรงพรหมวิหาร ๔
มีหิริและโอตตัปปะ นึกถึงความตายเป็นอารมณ์
อยู่ที่ไหน ก็มีแต่ความเยือกเย็น มีแต่ความเป็นสุข
เราก็เป็นสุข บุคคลอื่นก็เป็นสุข
เพราะกายไม่เสีย ทั้งนี้เพราะว่าใจไม่เสีย
ถ้ากายเสีย ปากเสีย ก็แสดงว่าใจมันเสีย
เสียมากจนล้นมาถึงกาย ถึงวาจา
นี่เป็นอันว่าทรงคุณธรรมอย่างนี้ได้
ความเป็นพระโสดาบันย่อมปรากฎ


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:04 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สมาธิ

๑. เวลาปฏิบัติ เวลาเริ่มทำสมาธิ ตัดกังวลเสียก่อน
สิ่งใดที่จะห่วงใยยกเลิกทิ้งไปประเดี๋ยวเดียว มันไม่ตายหรอก
และก็ตัดสินใจว่าเราจะต้องปฏิบัติให้มีผล
ตามคำแนะนำของครู ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกาย
ทุกคนเมื่อตัดกังวล ไม่ห่วงแม้แต่ร่างกายได้แล้ว
ก็ตั้งใจสมาทานศีล เรื่องศีลที่จริงไม่ใช่จะมีเฉพาะเวลาปฏิบัติ
ศีลนี่เป็นเครื่องค้ำจุนฌานสมาบัติ
สมาธิหรือฌานจะมีขึ้นมาได้ ก็เพราะศีล
ถ้าศีลบกพร่อง ฌานก็บกพร่องด้วย
ถ้าศีลสมบูรณ์แบบ สมาธิหรือฌานจึงจะสมบูรณ์แบบ
เรื่องนิวรณ์ ๕ ประการ อย่านึกถึงมันเลย
นอกจากนั้น องค์สมเด็จพระภควันต์
ให้ทุกคนคุมอารมณ์ให้ดีในพรหมวิหาร ๔
ให้จิตทรงตัวไว้ในพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติ
คำว่าปกติต้องเหมือนศีล
ศีลนี้ต้องบริสุทธิ์ทุกวันและพรหมวิหาร ๔ ต้องทรงตัว

๒. สำหรับอานาปานุสติกรรมฐาน
ขอแนะนำให้ทุกท่านใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ จำไว้ให้ดีด้วยนะ
ถ้าท่านให้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่
อารมณ์จิตมันจะเลี้ยวเข้าไปหาความเลวไม่ได้
จะมีเวลาว่างเพื่อสร้างความเลวตรงไหน
จะกินอยู่ก็ดี จะเดินอยู่ก็ดี จะนั่งอยู่
จะนอนอยู่ ทำการงานอยู่ จะพูดจาปราศรัยก็ดี
ให้เอาใจของทุกท่านกำหนดจับอานาปานุสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ
จำได้ไหม และก็ลองคิดดูทีเถอะว่า
ถ้าเราเอาจิตไปจับอานาปานุสสติกรรมฐานไว้เป็นปกติ
จิตมันไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก
แล้วก็จิตดวงนี้มันจะเอาอารมณ์เลวมาจากไหน
อกุศลกรรมใดๆ ที่ไหนจะเข้ามาแทรกจิตได้


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:06 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มหาสติปัฏฐาน

๑. มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ยากจริงๆ ก็คือ อานาปานุสติกรรมฐานเท่านั้น
ที่ต้องทำกันซ้ำหน่อยแล้วก็ทำถึงฌาน
ที่เหลือทั้งหมดเป็นอารมณ์คิด
ฉะนั้นก่อนจะใช้อารมณ์คิดทุกครั้ง
ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทและพระคุณเจ้าที่เคารพ
โปรดทำสมาธิจิตจนถึงฌานให้เต็มที่ก่อน
ได้ระดับไหนทำให้ถึงระดับนั้น
ทำแล้วปล่อยให้จิตสบาย จึงค่อยใช้อารมณ์คิด ปัญญาจะเกิด
นี่เป็นหลักการในการปฏิบัติพระกรรมฐาน
ถ้าใช้อารมณ์คิดแล้ว จิตใจมันฟุ้งออกนอกลู่นอกทาง
ก็ทิ้งอารมณ์คิดนั้นเสีย กลับมาจับอานาปานุสสติใหม่
จนกระทั่งจิตสบายแล้ว ก็ใช้อารมณ์คิดต่อไป
นี่เป็นหลักการที่ปฏิบัติ
นักปฏิบัติที่ได้ผลจริงๆ เขาทำกันแบบนี้
แม้แต่ในสมัยพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เหมือนกัน
เขาปฏิบัติกันอย่างนี้ จึงได้ผลตามกำหนด
ที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาตรัสไว้


บารมี ๑๐

บารมีทั้งหมดนี้ให้ใช้กำลังใจ สร้างกำลังใจให้มันทรงอยู่ในใจทั้งหมด
ให้มันเต็มครบบริบูรณ์ ไม่มีอะไรบกพร่องคือ

๑. ทานบารมี มีกำลังใจพร้อมจะให้เสมอ ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน

๒. ศีลบารมี มีกำลังใจรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต

๓. เนกขัมมะบารมี เนกขัมมะ แปลว่า การถือบวช
พยายามระงับนิวรณ์ในเบื้องต้นตัดสังโยชน์เป็นเรื่องสุดท้าย

๔. ปัญญาบารมี พิจารณาว่าการเกิดเป็นต้นเหตุของทุกข์
ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง

๕. วิริยะบารมี มีกำลังใจต่อสู้อุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

๖. ขันติบารมี อดทนต่ออุปสรรค สู้ให้ถึงที่สุดไม่ถอยหลัง

๗. สัจจะบารมี ทรงความจริงเป็นปกติ ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ

๘. อธิษฐานบารมี ตั้งใจไว้ว่ามนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก เป็นทุกข์
ตั้งใจไว้เฉพาะว่า “เราจะไปพระนิพพาน”

๙. เมตตาบารมี ตั้งใจให้มั่นว่าจะเมตตา คำว่าศัตรูไม่มีสำหรับเรา

๑๐. อุเบกขาบารมี เฉยต่ออุปสรรค
เช่น คำนินทา การเจ็บไข้ เฉยในเรื่องร่างกาย

ถ้ากำลังใจของเราพร้อมทรงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเพียงใด
บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ความเป็นพระอริยเจ้าเป็นของง่าย
แต่ถ้ากำลังใจในการสร้างตนเป็นพระโสดาบัน มันยังครบถ้วนไม่ได้
ก็หันมาจัดการกับบารมีทั้ง ๑๐ ประการ ให้มันครบถ้วนบริบูรณ์
เท่านี้แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท
ถ้ากำลังใจในบารมี ๑๐ บริบูรณ์เพียงใด
คำว่าพระโสดาบัน ท่านพุทธบริษัททั้งหลายจะรู้สึกว่าง่ายเกินไป


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทรงความดี

๑. การปฏิบัติเพื่อเอาดีจริงๆ
การเริ่มต้นของการปฏิบัตินอกจากศีลบริสุทธิ์แล้ว
ก่อนที่จะภาวนา ให้ใช้ปัญญาพิจารณาความเป็นจริง
ของร่างกายเสียก่อน คิดว่าการเกิดของเราแต่ละชาติเป็นทุกข์
เรื่องทุกข์นี่ให้มองดูกันเองนะ เพราะเห็นทุกข์กันอยู่ทุกวัน
คนไม่เห็นทุกข์ นั่นหมายถึงว่า ตั้งหน้าตั้งตาลงนรก
เพราะจิตมันไม่ยอมรับนับถือกฎของความเป็นจริง
เราต้องมองเห็นและพิจารณาว่า การเกิดนี่มันเป็นทุกข์
แก่ก็เป็นทุกข์ ป่วยไข้ไม่สบายก็ทุกข์
พลัดพรากจากของรักของชอบใจก็เป็นทุกข์ ตายก็ทุกข์

๒. เวลานี้เราพบพระพุทธเจ้าแล้ว
พระพุทธเจ้า คือ คำสอน องค์สมเด็จพระชินวรก็ไปนิพพาน
พระอรหันต์ทั้งหลายไปนิพานนับไม่ถ้วนก็เคยปฏิบัติอย่างนี้
ฉะนั้น นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เราจะไม่มีความอาลัยในชีวิตและร่างกายของเรา
เราจะไม่สนใจร่างกายของบุคคลอื่น
เราจะไม่สนใจในวัตถุธาตุใดๆ
เราจะทำจิตของเราให้ผ่องใส มีพระนิพพานเป็นอารมณ์
ถ้าบังเอิญมันจะตายในขณะที่เรานั่งนี่ก็เชิญ
ร่างกายตายแต่ใจเราไปพระนิพพานตัดสินใจอย่างนี้ไว้ก่อน
หลังจากนั้นก็ภาวนา


มโนมยิทธิ

๑. มโนมยิทธิ แปลว่ามีฤทธิ์ทางใจ
คำว่าฤทธิ์ทางใจ หมายความว่า ใช้ใจ
โดยเฉพาะอันดับต้น ต้องฝึกให้ได้ทิพจักขุญาณก่อน
คำว่าทิพจักขุญาณ ก็หมายความว่า ใช้ความรู้ทางใจคล้ายตาทิพย์
ไม่ใช่ลูกตาเป็นทิพย์
ถ้าฝึก “ ทิพย์จักขุญาณ ” ได้แล้ว
ต่อไปจิตจะเคลื่อนไปสู่สวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ ไปแดนนิพพาน
แดนเปรตแดนอะไรก็ได้ทั้งหมด
ถึงแม้จะเป็นมุมหนึ่งหรือจุดใดในโลกมนุษย์นี่ง่ายกว่า
หรือว่าใครอยากจะไปเที่ยวดาวดาวต่างๆ ก็ไปได้
ไปดวงอาทิตย์เราก็ไปได้ไม่ตาย เพราะใจเราไม่ตาย
แต่ว่าวิธีปฏิบัติแบบนี้เวลาจะเคลื่อนใช้อารมณ์แนบแน่นสนิทไม่ได้
ต้องมีอารมณ์เบาๆ พอสมควร
คือ แค่อุปจารสมาธิให้เริ่มสัมผัสภาพได้ก่อน
ไม่ได้เห็นด้วยลูกตา พอรับสัมผัสภาพได้ ตอนนี้จิตเริ่มเป็นฌาน
ตอนนี้ก็ยังเบาอยู่ แต่เคลื่อนจิตไปพระจุฬามณีได้
เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้น มันจะมีทั้งฌานและญาณบอก
ฌานอย่างเดียวมันก็ไปไม่ได้ ถ้าไปแล้วมันไม่เห็น
ต้องมีตัวญาณเป็นตัวรู้ ฉะนั้น การขั้นตอนแรก ขึ้นด้วยญาณก่อน
เมื่อไปถึงที่นั่นชำระจิตดี จิตสะอาดมากขึ้นความสว่างไสวจะดีขึ้น
แต่ไม่ใช่ลูกตาเห็น เป็นการเห็นจากจิต เป็นความรู้สึกจากจิต
แต่เมื่อจิตสะอาดมากก็เห็นเหมือนตาเห็น

๒. ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน ที่ปฏิบัติมโนมยิทธิได้แล้ว
จงอย่ายับยั้งความดีไว้แค่มโนมยิทธิ
เพราะถ้าหากท่านทำความดีได้แค่นี้ มันยังไม่พ้นการลงนรก
การให้ฝึกมโนมยิทธิ เพื่อเป็นการยืนยันว่าการเกิด แก่ เจ็บ ตายมีจริง
การระลึกชาติมีจริง ตายแล้วไม่สูญจริงสวรรค์มีจริง
พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง นรก เปรต อสุรกายมีจริง
เมื่อทำได้แล้วจงรวบรวมกำลังใจของท่าน
ทำให้ตนเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
อรหันต์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ พระโสดาบัน จะได้ป้องกันอบายภูมิ
ไม่ต้องตกนรกเป็นเปรต เป็นอสุรกายและสัตว์เดรัจฉานต่อไป
เป็นการก้าวไปหาพระนิพพานเร็วขึ้น


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:10 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วิปัสสนาญาณ

๑. ร่างกายมันจะแก่ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ร่างกายมันจะป่วย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ร่างกายมันจะตาย ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา
ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน
เมื่อร่างกายมันพังเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น
ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้ หากว่าชาตินี้ ถ้าไม่สามารถไปนิพพานได้
ถ้าอารมณ์ใจท่านเป็นอย่างนี้แล้ว ดีไม่ดีไปพักอยู่แค่เทวดา
หรือพรหมอยู่ไม่กี่วัน เพียงแค่พระศรีอาริย์ตรัสรู้
เห็นหน้าพวกท่านเข้า
พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐาน
หรือ ปฏิกูลพรรพ ฉับพลันทันที
เพราะองค์สมเด็จพระชินศรีรู้ทุนเดิมของเรา
ถ้าฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระทศพลเพียงกัณฑ์เดียว
เลวที่สุดได้พระโสดาบันนี่ เรียกว่า เลวที่สุดนะ
ถ้าฟังซ้ำอีกทีก็ได้อรหัตผลตัวอย่างก็เยอะที่ปรากฏมาในพุทธประวัติ

๒. ถ้าหากว่าเรารู้จริงเห็นจริง ด้วยอำนาจของปัญญา
ว่าร่างกายเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี
เต็มไปด้วยความสกปรกแบบนี้
เราจะเอาจิตเข้าไปพัวพันร่างกายของบุคคลอื่น
เพื่อประโยชน์อะไร แม้แต่ร่างกายของเราก็เหมือนกัน
มันเพียงแต่ว่าเป็นแดนสำหรับที่เราอาศัยเท่านั้น
เราจะไม่หลงใหลใฝ่ฝันในรูปกายจนเกินสมควร
และก็รู้อยู่เสมอว่าร่างกายของเรานี้มันสกปรก
ร่างกายของคนอื่นก็สกปรก มันสกปรก ไม่สกปรกเปล่า
ในที่สุดมันก็พังทลายเหมือนผีตายทั้งหลายนั้นแหละ
ความจริงเราต้องการความสะอาด
เราไม่ต้องการความสกปรก
เมื่อจิตของเราเห็นว่าอัตภาพร่างกายของเราก็ดี
ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดีสกปรก
ความรัก ความปรารถนา ความใคร่มันก็หมดไป
เพราะว่าไม่มีใครต้องการความสกปรก


พิจารณาความตาย

๑. เรื่องของความตายนี้ ทางพระท่าน ถือว่า เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะไม่ว่าใครทั้งสิ้นที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องตายเหมือนกันหมด
จะตายด้วยโรคอะไรหรืออาการอย่างไร ในที่สุดก็ตายเหมือนกัน
พระท่านสอนไม่ให้เสียใจ เพราะเหตุแห่งความตายมาถึง
คนรับฟังมีเยอะ แต่รับปฏิบัติ คือ ตัดใจไม่ให้เศร้าโศกถึงคนตาย
นี่หายาก เรื่องของการระงับความเศร้าโศกอาลัย
ในเมื่อมีคนที่เรารักตายนี้ มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง
คนที่จะทำได้แน่นอน ไม่มีอารมณ์หวั่นไหวในเรื่องของความตายนั้น
ท่านว่ามีพระอรหันต์เท่านั้น
ที่จะเห็นเรื่องของความตายเป็นของปกติธรรมดา
เหมือนเห็นใบไม้ที่แก่งอมร่วงลงมาจากต้น
ไม่มีความรู้สึกเสียดายห่วงใยใดๆ
ถ้าว่ากันตามภาษาชาวบ้าน ถ้ามีคนตายเกิดขึ้นที่บ้านใคร
ถ้าคนที่เกี่ยวข้อง เช่น สามีหรือภรรยาของผู้ตาย
ไม่ร้องไห้แสดงความเสียใจ เขาก็หาว่าเป็นคนใจจืดใจดำ
กลายเป็นคนไม่ดีไปเสียอีก
ต้องแสดงออกถึงความโศกเศร้ารำพันนั่นแหละ
เขาถึงจะนิยมว่าเป็นคนดีรักกันจริง
เรื่องความเห็นของพระกับชาวบ้านไม่ใคร่จะลงกันก็อีตอนนี้แหละ

๒. คนเราเมื่อตายจากอัตภาพนี้แล้ว มันไม่ตายจริง
คือ ไม่หมดความรู้สึกสุขทุกข์
ยังมีสุขมีทุกข์มีความรู้สึกเหมือนเมื่อยังไม่ตาย
แต่สิทธิต่างๆ ในเมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้แล้ว
ก็มีบางอย่างที่วิญญาณไม่มีสิทธิจะครอง
นั่นก็คือ ทรัพย์สินที่พยายามสะสมไว้
ตั้งแต่สมัยเมื่อยังทรงอัตภาพนี้
ส่วนอื่นนอกจากนี้ คือ ความสุขและความทุกข์ยังมีตามเดิม
บางท่านเมื่อก่อนตาย ทำความดีไว้มาก
เมื่อตายแล้วก็มีความสุข
บางรายก่อนตายสร้างความเลวร้ายไว้มาก
เมื่อตายแล้วก็ได้รับความทุกข์
อันนี้เป็นกฎของความเป็นจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้


อริยสัจ

๑. เราเกิดมาเพื่อประสบกับความทุกข์
คนที่เกิดมาแล้วทุกคนจะไม่มีทุกข์เป็นไม่มี
ถ้าหากว่าเรายังยึดถือว่า ร่างกายเป็นของเรา
ทรัพย์สินเป็นของเรา ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงเป็นของเรา
อารมณ์ทุกข์มันก็เกิด เกิดเพราะว่าเราเกาะ ที่เรียกว่าอุปาทาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งโลกธรรมแปดประการ
คือ มีลาภดีใจ ลาภสลายตัวไปเสียใจ
มียศดีใจ ยศสลายตัวไปเสียใจ
มีความสุขในกามดีใจ ความสุขหมดไปร้อนใจ
ได้รับคำนินทาเดือดร้อน ได้รับคำสรรเสริญมีสุข
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้พวกเรา
ใช้อารมณ์คิดอยู่เสมอว่า ทุกข์นี้เป็นกฎธรรมดาของโลก
ทุกอย่างเราทำงานตามหน้าที่

๒. สำหรับการที่เราเจริญพระกรรมฐาน
ก็ต้องใคร่ครวญอยู่เสมอว่า
เราเจริญพระกรรมฐาน เพื่อต้องการความรู้
เป็นเครื่องพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย
เพราะความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บความตายเป็นทุกข์
ถ้าเรายังต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่อย่างนี้
เราก็มีแต่ความทุกข์ เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ
การเจริญสมถกรรมฐานวิปัสสนากรรมฐาน
เราทำเพื่อสิ้นความเกิด
เพราะเราไม่ต้องการความทุกข์ต่อไป
จงพิจารณาหาทุกข์ให้พอในอริยสัจ


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พิจารณาขันธ์ ๕

๑. ให้พิจารณาว่า ขันธ์ ๕
คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
เราไม่มีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่มีในเรา โดยให้พิจารณาเป็นปกติ
เมื่อเห็นว่าขันธ์ ๕ ป่วยก็รักษา เพื่อให้ทรงอยู่
แต่เมื่อมันจะพังก็ไม่ตกใจ
หรือมันเริ่มป่วยไข้ก็คิดว่า ธรรมดามันต้องเป็นอย่างนี้
เราจะรักษาเพื่อให้ทรงอยู่
ถ้าทรงอยู่ได้ก็จะอาศัย เพื่องานกุศลต่อไป
ถ้าเอาไว้ไม่ได้มันจะผุพัง ก็ไม่มีอะไรหนักใจ
ความทุกข์ก็เกิดแก่ตัวเองหรือใครอะไรก็ตาม
ไม่ผูกจิตติดใจอย่างนี้ จนกระทั่งบรรลุอรหัตผล

๒. จิตต้องยึดเป็นอารมณ์ว่า ถ้าตายคราวนี้เรามุ่งนิพพาน
ต้องคอยชำระจิต ก็หมายความว่า อย่าให้ความโลภคลุมใจ
อย่าให้กามฉันทะมันคลุมใจ
ความโกรธและโมหะอย่าให้คลุมใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหันเข้ามาตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ ๕ ของเรา
ตัดให้ขาด ทุกอย่างมันจะเกาะไม่ได้


สังโยชน์ ๑๐

๑. อารมณ์ที่จะพึงสนใจมากที่สุดหรือโดยตรง
นั่นก็คือ สังโยชน์ ๑๐ ตัวตัดอยู่ตรงนี้
เราจะทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่สามารถจะตัดสังโยชน์ได้
แม้แต่หนึ่ง ก็ไม่มีผลในการปฏิบัติ
เหนื่อยมาเกือบตาย กิเลสก็ยังท่วมตัวอยู่
ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่มีเวลากำจัดก็แย่
บางท่านก็มีความฉลาด เริ่มปฏิบัติไม่กี่วันก็สามารถกำจัดกิเลส
เข้าถึงเขตแห่งความเป็นพระอริยเจ้าได้อันนี้เป็นกำไรมาก

๒. นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมา
และได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น
ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ
เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด
แล้วจะรู้ผลของการปฏิบัติ ให้ปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั่นเอง
ไม่ใช่คิดเอาเองว่า เราเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
อรหันต์ ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง


พระโสดาบัน

๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ
จำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ

ประการที่ ๑ มีความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง
พระสงฆ์นี่เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ
เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก
ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี

ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีล โดยเด็ดขาด
เรียกว่ารักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด

ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียว คือ นิพพาน
ขึ้นชื่อว่าทำความดีตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน
ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปราณีแก่บุคคลทั้งหลาย
ความดีนี้ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด
เราต้องการอย่างเดียวทำ เพื่อผลของพระนิพพาน
เพียงเท่านี้เขาเรียกว่า พระโสดาบัน

๒. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้
คือปรารภความตายเป็นปรกติ
ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่ มันต้องตาย
เมื่อคิดว่าจะต้องตาย เขาก็ไม่ประมาท
ไม่ยอมไปอบายภูมิ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง
เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริงเป็นปกติ
และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์
การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน
คิดว่าผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียว คือ พระนิพพาน
เท่านี้เองความเป็นพระโสดาบัน


สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ดอกไม้
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 26 ต.ค. 2006
ตอบ: 164

ตอบตอบเมื่อ: 02 พ.ค.2007, 11:15 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระสกิทาคามี

๑. พระสกิทาคามี อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด
ตัดสังโยชน์สามเหมือนกัน
แต่ว่ามีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ
บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ

สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามีนั่น
ก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก
การถูกด่า ถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป


พระอนาคามี

๑. ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทอยู่
พระอนาคามีมรรคได้มันเข้ามาเอง
ทำไปๆ จิตมันก็โทรมลงมา
คือว่า จิตหมดกำลังใจด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น
มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ
คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศ
อย่างนี้ท่านเรียกว่าพระอนาคามีมรรค
ถ้าหากว่าจิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘
แล้วก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้
ท่านถือว่าเริ่มเข้าอนาคามีมรรค
เรียกว่า เดินทางเข้าหาพระอนาคามีต่อไป
ถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ
คือ ถ้าหมดความรู้สึกก็ถือว่า เป็น พระอนาคามีผล
และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ
คือ อารมณ์กระทบกระทั่งใจนิดๆ หน่อยๆ
ความไม่พอใจการแสดงออก น่าจะมีสำหรับคนในปกครอง
ถ้าทำไม่ดีต้องดุ ต้องด่า ต้องว่า ต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา
เป็นการหวังดี แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี
เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือ ตัดตัวปฏิฆะ
ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่าเต็มภาคภูมิของ พระอนาคามีผล

รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้วจะเป็นพระอนาคามีก็คือ
• สังเกตว่าใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริงๆ
• จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้
• ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาดอย่างนี้เป็น พระอนาคามีผล


พระอรหันต์

๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน
จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตน
จิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย
จิตไม่ติดในอวิชชา คือ ฉันทะกับราคะ
ฉันทะความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มีราคะ
จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก
จิตพอใจจุดเดียว คือ นิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์
คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
ไล่ลงมาอีกทีนะจิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า
ธรรมดาคนเกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องป่วย
ต้องมีการพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจ
คนเกิดมาแล้วต้องตาย
ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน
ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว
ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว ก็จิตคิดว่า
ถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้นใจสบาย

๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว
วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา
ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย
อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง
เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก
ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือ ไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย
ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย
ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด
คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว
ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ
เป็นที่พึ่งของเราและเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่น
ไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น
ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว
ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน
มันพังเมื่อไรพอใจเมื่อนั้น
ขึ้นชื่อว่าความเกิดมีขันธ์ ๕
ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา
ความเป็นเทวดาหรือพรหมจะไม่มีสำหรับเรา
สิ่งที่เราต้องการ คือ นิพพานนี่แค่นี้เท่านั้นแหละ
ไม่เห็นมีอะไรยาก
ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ
ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ
มันก็ไม่ลำบากมันก็สำเร็จมรรค สำเร็จผล


http://www.kanlayanatam.com/sara/sara80.htm

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
หลวงตา ส.
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 มิ.ย.2007, 10:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง