Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แสงส่องใจ วิสาขบูชา ๒๕๔๘ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

แสงส่องใจ

(สมเด็จพระญาณสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

อตฺตานเมว ปฐมํ ปฏิรูเป นิเวสาย
อถญฺญมนุสาเสยฺย น กิลิสฺเสยฺย ปณฺฑิโต


บัณฑิตพึงตั้งตนไว้ในคุณอันสมควรก่อน
สอนผู้อื่นภายหลังจึงไม่มัวหมอง
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ ๒๖๒๘ ปีมาแล้ว สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในดุสิตทิพยสถานสูงส่ง ทรงได้รับกราบบังคมทูลเชิญจากพรหมเทพผู้มีหน้าที่แวดล้อมรักษาพระเทวบาทในขณะนั้น มีท่านท้าวจตุโลกบาลวิรุฬหกมหาราชพุทธบัณฑิตเป็นต้น

ให้เสด็จลงทรงเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ เพื่อทรงอัญเชิญพระพุทธศาสนาออกจากความมืดสนิท มาสู่โลก ยังความสว่างรุ่งเรืองให้กลับมาครองโลกอีกครั้งหนึ่ง ให้โลกสว่างไสวร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้งหนึ่ง หลังจากตกอยู่ในความร้อนแรงและความมืดมิดเป็นเวลาหลานพันปีนัก


O โลกตกอยู่ในความมืดมิด ตกอยู่ในความทุกข์ร้อนนานาประการแสนสาหัส ในยามว่างพระพุทธศาสนา คือในช่วงเวลาที่ผู้คนส่วนใหญ่มีจิตใจห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ไม่สามารถรับแสงสว่างเย็นเป็นที่สุดจากพระพุทธศาสนาได้

มีพระพุทธศาสนาอยู่ในโลกก็จริง แต่เหมือนโลกว่างแล้วจากพระพุทธศาสนา เพราะโลกมีแต่ความมืดมิดที่เกิดแต่ใจมนุษย์จำนวนท่วมท้นพ้นจะประมาณได้ ใจที่ไม่มีพระธรรมคำทรงสอนในพระพุทธศาสนา ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ใจเช่นนี้เป็นใจที่มืดนัก ที่ร้อนนัก
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ความมืดความร้อนแห่งชีวิตจิตใจผู้ใดมีมากเพียงใด นั่นคือเครื่องส่องแสดงแจ้งชัดตามความเป็นจริง ว่าชีวิตจิตใจของผู้นั้นห่างไกลพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงนั้น ห่างไกลพระพุทธศาสนาเพียงนั้น

ในทางตรงกันข้าม ความสว่างความเย็นแห่งชีวิตจิตใจผู้ใดมีมากเพียงใด นั่นคือเครื่องส่องแสดงแจ้งชัดตามเป็นจริง ว่าชีวิตจิตใจของผู้นั้นใกล้ชิดกับพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงนั้น ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนาเพียงนั้น

นี้เป็นสัจจะ นี้เป็นความจริง จึงพึงพิจารณาด้วยตนเอง ว่าปรารถนาจะมีชีวิตจิตใจที่มืดที่ร้อน หรือชีวิตจิตใจที่สว่างที่เย็น แล้วปฏิบัติเหตุให้ตรงกับผลที่ปรารถนา ผลย่อมตรงตามเหตุทุกประการ


O สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในดุสิตทิยสถานทรงรับคำกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จลงสู่โลกมนุษย์ เพื่อทรงช่วยดับทุกข์ดับร้อนดับความมืดสนิทแห่งจิตใจมนุษย์ เพราะโลกว่างพระพุทธศาสนา
เสด็จลงทรงเสวยพระชาติเห็นเจ้าชายสิทธัตถะ มกุฎราชกุมารแห่งพระราชวงศ์ศากยะ มีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดา และพระนางมหามายาเป็นพระมารดา เมื่อ ๒๖๒๘ ปีมาแล้ว ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์

ต่อจากนั้นเมื่อทรงมีพระชนมายุได้ ๒๙ พรรษา เจ้าชายมกุฎราชกุมารพระองค์นั้นได้เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ และในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์อีกครั้ง

เมื่อพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือได้ทรงสามารถทำลายความมืดมิดที่ห่อหุ้มพระพุทธศาสนาอยู่ จนไม่ปรากฏแสงรุ่งเรืองสว่าง ให้กลับปรากฏความรุ่งโรจน์โชติช่วงประจักษ์แก่โลกอีกครั้งหนึ่ง

เช่นเมื่อโลกยังไม่ว่างพระพุทธศาสนานั่นก็คือทรงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาขึ้นในโลกอีกครั้งหนึ่ง ในวันเพ็ญเดือน ๖ เช่นเดียวกับวันเสด็จประสูติ ห่างกันช่วงเวลา ๓๕ ปี
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ ๒๖๒๘ ปีมาแล้ว ก่อนพระพุทธศักราช ๘๐ ปี

สมเด็จพระบรมโพธิสัตว์เจ้าเสด็จจากพระครรภ์พระมารดา ต่อมาอีก ๓๕ ปี พระมหาบุรุษเจ้าพระองค์นั้นทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ ๒๕๙๓ ปีมาแล้ว

ก่อนพระพุทธศักราช ๔๕ ปี และต่อมาอีก ๔๕ ปี สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เมื่อ ๒๕๔๘ ปีมาแล้ว

ผู้ได้รู้ความจริงที่มหัศจรรย์นี้ย่อมมีความรู้สึกจริงใจด้วยกัน ว่าไม่มีผู้ใดในโลกทั้งปวง ที่จะเสมอเหมือนสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ทรงเป็นยอดของทุกชีวิตในโลก ทั้งในอดีต ปัจจุบัน พ้นจะเสกสรรผู้ใด สิ่งใด คำใด มาลบล้างได้


O วันเสด็จประสูติ วันทรงตรัสรู้ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดขึ้นตรงกันในวันวิสาขปุณณมี หรือวันวิสาขบูชาในทุกวันนี้ ห่างกันด้วยปีเท่านั้น

นับปีปัจจุบันคือพระพุทธศักราช ๒๕๔๘ ก็เสด็จประสูติเมื่อ ๒๖๒๘ ปีมาแล้ว ทรงตรัสรู้เมื่อ ๒๕๙๓ ปีมาแล้ว และเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อ ๒๕๔๘ ปีมาแล้ว และก็คือพระพุทธศักราชเริ่มเมื่อสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วนั่นเอง
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ได้นำเรื่องวันเสด็จประสูติ วันทรงตรัสรู้และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ในสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์มากล่าวในหนังสือ “แสงส่องใจ” หลายครั้งหลายหนบางทีก็ต่างเล่มต่างปี บางทีก็ซ้ำแล้วซ้ำอีกในเล่มเดียวกัน ใช่ว่าไม่รู้ รู้ รู้ และตั้งใจให้ซ้ำแล้วซ้ำอีก

เหตุผลก็เพื่อให้ได้เกิดความซาบซึ้งถึงใจ ไม่เพียงผ่านไปอย่างไม่เห็นความเป็นพิเศษอย่างยิ่งของการเสด็จประสูติ การทรงตรัสรู้ และการเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไม่สมควรเห็นความมหัศจรรย์แห่งพระพุทธบารมีสมเด็จพระบรมศาสดาของเรา

หรือมีอีกหรือที่จะสามารถกำหนดชีวิตตนได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่เคยมี มีได้ก็แต่เพียงทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น นึกแล้วก็น่าจะเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี ที่มีคำกล่าวว่าผู้ได้เกิดเป็นมนุษย์ผู้พบพระพุทธศาสนานั้นเป็นผู้มีบุญยิ่งนัก ยากจักหาบุญใดเปรียบได้


O เราผู้เป็นพุทธมามกะมีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก ผู้เป็นพุทธศาสนิกมีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของตน ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นให้ชัดแจ้งในความมีบุญยิ่งใหญ่ของตน ความมีบุญที่เกิดเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา อย่าเพียงสักแต่ว่ารู้ ว่าเราคือผู้นับถือพระพุทธศาสนาเท่านี้ไม่พอ ไม่สมควร

น่าเสียดายเป็นที่สุดแม้จะเพียงรู้สึกเท่านี้ในความมีบุญได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา จงให้ความสำคัญแก่ความมีบุญของตนในจุดยิ่งใหญ่นี้ให้มากที่สุด แล้วจะได้รับผลงดงามยิ่งใหญ่แก่จิตใจ เกินกว่าจะพรรณนาได้ถูกต้อง ผู้ใดได้รับ ผู้นั้นจะรู้เอง จะเสียดายนักที่รู้ช้าเกินไปในรสแห่งความสุขที่ยิ่งใหญ่พ้นพรรณนา
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก

แก้ไขล่าสุดโดย I am เมื่อ 30 พ.ค.2007, 8:41 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O สหประชาชาติยังประมาณความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธบารมีได้ จึงประกาศความมีปัญญาสว่างไสวกว้างไกลให้ปรากฏ ว่าเห็นความประเสริฐสุดของพระพุทธศาสนาแล้ว

พระพุทธศาสานานั้นพระผู้ทรงประดิษฐานประทานไว้ให้แก่โลกคือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จพระบรมครูของเราเหล่าพุทธมามกะ เหล่าพุทธศาสนิกชน เราผู้มีบุญเหนือบุญ ของผู้ใดอื่นทั้งนั้น


O เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๕๔๒ สหประชาชาติได้ประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก เป็นการประกาศความมีปัญญาเห็นวามสำคัญที่ควรเห็น แต่สิ่งที่ควรเห็นอีกมากมายนั้นตลอดมามีผู้ไม่ยอมเห็นมิใช่น้อย

ที่ชัด ๆ ก็คือไม่เห็นความไม่ดีของคนไม่ดี ไม่เห็นความดีของคนดี ไม่เห็นความไม่มีประโยชน์ของคนไม่มีประโยชน์ ไม่เห็นความมีประโยชน์ของคนมีประโยชน์ ผู้ไม่เห็นที่ควรเห็นดังกล่าวเป็นต้น

ย่อมเป็นผู้ไม่อยู่ในฐานะที่สวัสดีโดยควร เมื่อสหประชาชาติแสดงความมีปัญญาเห็นความสำคัญของวันวิสาขบูชา และเราก็พากันยอมรับความดีนี้ของสหประชาชาติ ก็น่าจะไม่ลืมนึกถึงตนเองบ้าง เห็นที่ควรเห็นอย่างถูกต้องหรือไม่

ความวุ่นวายเดือดร้อนที่เกิดขึ้นมากมายทุกวันนี้มีความเห็นไม่ตรงตามความจริงเป็นเหตุด้วย และเป็นเหตุสำคัญด้วยแน่นอน ความไม่เห็นถูกตรงตามความเป็นจริงย่อมเป็นเหตุให้มีการปฏิบัติที่เป็นไปตามความเห็นที่ไม่ถูกต้อง

เช่น เห็นพาลเป็นบัณฑิต เห็นบัณฑิตเป็นพาล ก็ย่อมไม่อาจพ้นคำเตือนที่ขึ้นใจกันแทบทุกคนว่า “คบพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก

แก้ไขล่าสุดโดย I am เมื่อ 30 พ.ค.2007, 8:41 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O “คบพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล” คติเตือนใจนี้คนไทยส่วนมากรู้จัก จำกันได้ พูดกันได้อย่างคุ้นปากคุ้นใจ เมื่อใดเกิดความไม่ชอบใจใครก็ตามขึ้นมา ก็มักจะพูดออกมาว่า “คบพาล พาลพาไปหาผิด” ประโยคนี้พูดกันมากกว่าประโยคที่ว่า “คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

นี้ก็เป็นเครื่องแสดงอีกประการหนึ่งว่าปกตินั้นเราพากันไม่เห็นความสำคัญของความดี ใครจะทำดีก็ไม่รับรู้ไม่รับเห็นถนัดชัดเจนเท่ากับรู้กับเห็นใครที่ทำไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการเกี่ยวข้องถึงตนเองของทุกคน ใครจะทำดีให้เพียงใดก็ยากจะรับรู้รับเห็น

นี้จึงมีพระพุทธภาษิตแสดงว่า “ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่หาได้ยากยิ่ง” ไม่เห็นความดีก็เป็นเหตุให้ไม่เห็นคุณ ไม่เห็นบุญคุณ ความกตัญญูกตเวทีย่อมยากจักเกิด ย่อมเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งดังในพระพุทธภาษิต


O ไม่รู้จักพาล ไม่รู้จักบัณฑิต คือไม่รู้จักคนดี ไม่รู้จักคนชั่ว เป็นเหตุให้มีภาษิตเตือนไว้หนักแน่นว่า “คบพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล”

ควรระลึกไว้เป็นเครื่องเตือนสติของทุกคน ที่ปรารถนาจะหนีให้พ้นผิดที่จะเกิดจากการคบพาล และปรารถนาจะได้รับผลที่เกิดจากการคบบัณฑิต พาลคือคนไม่ดี บัณฑิตคือคนดี พระพุทธศาสนามีความหมายเช่นนี้สำหรับคำแตกต่างกันทั้งสอง
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก

แก้ไขล่าสุดโดย I am เมื่อ 30 พ.ค.2007, 8:42 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O คนเป็นอันมากมีจุดอ่อน หรือจะเรียกว่ามีกรรมก็น่าจะไม่ผิด ที่รักใครชอบใครก็จะเห็นคนนั้นดี บอกกล่าวเล่าเรื่องใดก็จะเชื่อ จะฟัง จะไม่ลังเลสงสัย จะไม่รอบคอบคิดถึงเหตุผลว่าจะเป็นจริงเพียงไร

ยิ่งใครคนนั้นเป็นที่รักชอบเป็นพิเศษ ก็จะยิ่งทุ่มเทความเชื่อถือเป็นพิเศษ และนี่คือความไปสู่ความไม่สวัสดีอย่างยิ่ง แม้ไม่ประมาทก็ควรต้องเห็นความสำคัญนี้ ควรต้องไม่ประมาทในการฟัง ควรต้องไม่ประมาทในการเชื่อ ให้อย่างยิ่ง


O การเชื่อที่เกี่ยวกับการฟังต้องมีความสำคัญอย่างยิ่ง จึงมีพระพุทธภาษิตเตือนไว้ว่า “ผู้ฟังมากย่อมต้องพิจารณาเป็นสำคัญ”

การฟังที่สำคัญคือการฟังผู้พูดที่เป็นที่รัก หรือที่เป็นพรรคพวกเป็นคนของเรา อาจจะเป็นเพื่อน เป็นคนรู้จักที่มีความสำคัญ เป็นผู้ที่ดูน่าเชื่อถือ เพราะเป็นคนรัก หรือเป็นสามี หรือเป็นภริยา เป็นต้น

บุคคลเหล่านี้ย่อมมีโอกาสที่จะพูดให้เราฟังมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นเมื่อต้องฟังมาก ก็ควรต้องนึกถึงพระพุทธภาษิต “ผู้ฟังมากย่อมต้องพิจารณาเป็นสำคัญ” การป้องกันไว้ก่อนไม่ใช่เรื่องเสียหาย เป็นเรื่องป้องกันความเสียหายมากกว่า จึงอย่าเห็นเป็นเรื่องไม่ควรทำ คือไม่เห็นความควร

ต้องพิจารณาเรื่องที่ฟังจากผู้ที่ควรถือได้ว่าเป็นผู้ไม่หวังร้ายกับเรา ต้องไม่ลืม ว่าผู้ที่ไม่หวังร้ายกับเราการบอกเล่าทั้งหลายย่อมไม่มุ่งหมายให้เกิดผลร้ายแก่เรา แต่มีความจริงประการหนึ่งที่พึงนึกถึงไว้ เพื่อความสวัสดีของเราเองด้วย และของใครอื่นอีกด้วย

นั่นก็คือเมื่อมีความรักเราอาจะทำให้ผู้ที่รักเราอิจฉาริษยาใครทั้งหลายที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรา และนั่นแหละที่ต้องนึกถึงพระพุทธภาษิต “ผู้ฟังมากย่อมต้องพิจารณาเป็นสำคัญ”
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก

แก้ไขล่าสุดโดย I am เมื่อ 30 พ.ค.2007, 8:42 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O การฟัง การเชื่อ โดยไม่พิจารณาให้ดี เป็นเหตุยังความไม่สวัสดีให้เกิดแก่มากมายหลายชีวิตมาแล้ว มิได้เว้นแม้ชีวิตของผู้ฟังและผู้เชื่อเองที่ไม่พิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ และน่าจะมีหลายคนที่อ่าน “แสงส่องใจ” นี้อยู่ ที่ตกเป็นเหยื่อของความเชื่อโดยไม่พิจารณาให้ดี

ฟังแล้วก็คิดว่าจริง คิดว่าจริงแล้วก็เชื่อ เมื่อเชื่อ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีการปฏิบัติอันเป็นผลของความเชื่อนั้น เชื่อที่ถูกต้องดีงาม ก็มีผลเป็นการปฏิบัติที่ให้ผลไม่ก่อให้เกิดความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นทุกข์โทษภัยอย่างอยุติธรรมแก่ผู้ไม่สมควรจะได้รับ

ที่สำคัญคือผู้เชื่อผิด ผู้ทำผิด จะได้รับผลแห่งการกระทำตามความเชื่อที่ผิดของตนด้วย เกี่ยวกับเรื่องนี้พระพุทธศาสนามีการป้องกันทุกข์โทษภัยที่จะเกิดจากการไม่รู้ผิดไม่รู้ถูกไว้อย่างน่าสนใจมาก

นั่นก็คือมีเรื่องสำคัญที่แสดงไว้เรื่องหนึ่ง คือผู้ที่ปฏิบัติไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิง หรือที่ได้บรรลุมรรคผลสูงสุดแล้ว ได้เป็นพระอรหันต์แล้วนั่นเอง ท่านแสดงชี้ไว้ว่าผู้ปฏิบัติธรรมถึงระดับสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้ว แม้เป็นคฤหัสถ์ต้องบวชเป็นพระครองผ้ากาสาวพัสตร์ภายใน ๗ วัน

มิฉะนั้นจะไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป ท่านมิได้แสดงเหตุผลไว้ ว่าทำไมจึงต้องให้ผู้หมดกิเลสแล้วต้องบวชเป็นพระ แต่แม้คิดด้วยเหตุผลย่อมเข้าใจ ซึ่งไม่น่าจะผิด คือท่านผู้หมดจดจากกิเลสแล้วสิ้นเชิง เป็นผู้มีธรรมของความเป็นคนดีที่สูงสุดในพระพุทธศาสนา

ผู้ใดล่วงล้ำก้ำเกินท่าน ไม่ว่ามากน้อยหนักเบา จักเกิดโทษแก่ผู้นั้นแน่นอน จึงมีทางช่วยมิให้มีการปฏิบัติก้ำเกินคนดีมีธรรมจริงไว้ โดยให้ปรากฏตนเป็นผู้ควรได้รับความรู้สึกที่ดีงาม อันเป็นผู้สมควรพ้นจากการล่วงล้ำก้ำเกินทั้งปวง นั่นก็คือให้ครองผ้ากาสาวพัสตร์อันสูงส่ง ซึ่งจะไม่เป็นผู้ควรการก้ำเกินของผู้ใดทั้งสิ้น


O คฤหัสถ์ปฏิบัติธรรมจิตบรรลุความเป็นพระอรหันต์ จักต้องครองผ้ากาสาวพัสตร์ ประกาศความเป็นพระในพระพุทธศาสนาให้ปรากฏเพื่อป้องกันมิให้มีการล่วงล้ำก้ำเกินอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของคนทั้งหลาย

เพราะผลจะเป็นบาปกรรมที่หนักนัก ยิ่งกว่าการล่วงล้ำก้ำเกินคนดีทั่วไปหลายร้อยหลายพันเท่า ความไม่รู้จะไม่อาจลบล้างหรือลดละโทษาอันเกิดจากกรรมไม่ดีที่ปฏิบัติต่อผู้เป็นคนดีใดได้เลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นการปฏิบัติต่อท่านผู้พ้นแล้วจากความโลภความโกรธความหลง ด้วยการปฏิบัติบรรลุผลจริงตามพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครู

O ในกาลก่อน เชื่อมั่นถือมั่นกันว่าท่านผู้ปฏิบัติบรรลุมรรคผลนิพพานแล้วต้องครองผ้ากาสาวพัสตร์ เพื่อประกาศให้โลกรู้ถึงธรรมสูงสุดในใจท่าน ที่ท่านได้ท่านถึงแล้วจริง

ทั้งนี้มิใช่มุ่งให้เป็นการอวดตนว่าเป็นคนสำคัญควรเป็นที่เทิดทูนเคารพ แต่เพื่อป้องกันมิให้ผู้ไม่รู้หลงปฏิบัติต่อผู้ยังมีกิเลส หลงล่วงล้ำก้ำเกิน หนักบ้างเบาบ้างตามวิสัยของผู้ปฏิบัติ

เพราะจะเป็นบาปกรรมที่หนักที่เหนือบาปกรรมอันก่อแก่คนธรรมดาทั่วไป เราผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักที่นับถือพึงเข้าใจความจริงนี้ให้ชัดแจ้ง ควรจะเกิดความภาคภูมิใจยิ่งนักในผ้ากาสาวพัสตร์ ควรจะไม่เป็นเหตุให้ผ้ากาสาวพัสตร์ต้องมัวหมอง อันจักเป็นโทษแก่ตนเองพ้นจะพรรณนาแน่นอน


O คนดีมีธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่ในศาสนาใดก็ตาม เป็นผู้มีทั้งคุณและโทษในตนเอง นั่นก็คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติควรต่อคนดีทั้งนั้นจักมีส่วนได้รับผลอันเป็นคุณ ที่มีอยู่ในคนดีทั้งปวง

ในทางตรงกันข้ามก็คือผู้ปฏิบัติไม่ดีปฏิบัติไม่ควรต่อคนดีทั้งนั้นจักมีส่วนได้รับผลอันเป็นโทษ ที่มีอยู่ในคนดีทั้งปวง คนดีมีธรรมเป็นผู้มีทั้งคุณและมีทั้งโทษในตนเอง นี้เป็นความจริง ที่ควรให้ความใส่ใจ เพื่อจะได้สามารถรักษาตนให้พ้นโทษจากการปฏิบัติไม่ดีปฏิบัติไชอบต่อคนดี
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O เป็นที่รู้กันในบรรดาผู้มีความเข้าใจในเรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรม ว่าการปฏิบัติดีคือทำกรรมดี ต่อผู้เป็นคนดี ผู้ปฏิบัติดีคือทำกรรมดีนั้นจักได้รับผลดียิ่งกว่าปฏิบัติต่อผู้อื่น และในทางตรงกันข้าม ผู้ปฏิบัติไม่ดีคือทำกรรมไม่ดีนั้นจักได้รับผลไม่ดี หนักกว่าปฏิบัติไม่ดีต่อผู้อื่น

เข้าได้กับเหตุที่เป็นที่รู้กันในบรรดาผู้นับถือพระพุทธศาสนา ว่าบุรุษใดปฏิบัติธรรมจิตหมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงแล้ว จะต้องถือเพศบรรพชิตครองผ้ากาสาวพัสตร์อันสูงส่ง มิฉะนั้นก็จะต้องละโลกนี้ไป ภายใน ๗ วัน

นั่นก็คือแม้เป็นผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมสูงสุดในพระพุทธศาสนาแล้วจริง ก็เป็นคนดีที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งยากจะมีผู้รู้ผู้เข้าใจ เพราะความบรรลุมรรคผลนิพพานมิได้ปรากฏให้คนทั้งหลายรู้เห็นได้ ก็ย่อมเห็นเป็นบุรุษคนหนึ่งที่มิได้แตกต่างจากคนอื่นบุรุษอื่น

ความคิดไม่ดีต่อคนดีนั้น ซึ่งมิได้เป็นธรรมดา แต่แม้ไม่หยุดความคิดไม่ดีไว้ให้อยู่แต่ในใจ ให้เป็นเพียงความคิด แต่แสดงออกทางกายด้วยการชกต่อยตบตียิงฟันกันเป็นต้น

แสดงออกทางวาจาด้วยการดุด่าว่าร้าย แม้จะไม่ใช่เป็นการดี แต่พูดด้วยภาษาง่ายๆ ก็ต้องว่าการนินทาว่าร้ายคนไม่ดีมีบาปน้อยกว่านินทาว่าร้ายคนดี ที่มิใช่คนไม่ดี มิใช่คนเลวร้าย ไม่เป็นดังคำนินทาว่าร้ายรุนแรง ดังนี้บาปของผู้ว่าร้ายคนไม่เลวร้ายย่อมหนัก ก็ทำนองเดียวกับที่ว่าคนดีมีทั้งคุณและโทษอยู่ในตัว


O พระพุทธศาสนาแสดงไว้ให้เห็นว่าเป็นความสำคัญ เป็นควรต้องรอบคอบที่สุดในการจะว่าร้ายผู้ใด หรือจะยกย่องสรรเสริญผู้ใดจะได้ไม่ยกคนไม่ดี เหยียบคนดี เพราะผลจะหนักหนา โดยเฉพาะถ้าเป็นคนไม่ดีที่หนัก หรือถ้าเป็นคนดีที่ยิ่งใหญ่ บริสุทธิ์

ดังท่านยกพระผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงมากล่าว โดยให้แสดงตัวให้ผู้คนยกย่องไม่ก้าวร้าวล่วงเกินด้วยการครองผ้ากาสาวพัสตร์ ถือเพศสมณะที่เป็นที่เทิดทูนเพื่อคนทั้งหลาย จะได้ไม่ทำบาปหนักต่อท่านผู้บริสุทธิ์ คือมีความดีสูงสุด

หรืออีกนัยหนึ่งก็คืออย่าทำความไม่ดีกับคนดีทั่วไป ไม่เฉพาะที่ท่านหมดกิเลสแล้วเท่านั้น หรือมิใช่เฉพาะท่านที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์เท่านั้น
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ผ้ากาสาวพัสตร์เป็นของสูง ผู้มีสิทธิครองผ้ากาสาวพัสตร์ย่อมเป็นที่เคารพยกย่องของผู้คนทั้งหลาย แต่แม้เป็นผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์อยู่ด้วยสิทธิอันสูงส่งมีศักดิ์ศรีควรแก่การเคารพยกย่อง แต่ไม่ปฏิบัติอยู่ในศีลในธรรมในวินัยของผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์

แม้ได้รับความเคารพควรแก่ความมาเป็นผู้ครองผ้ากาสาวพัสตร์ ความเคารพนั้นก็จะยิ่งเพิ่มโทษให้แก่ผู้ไม่ปฏิบัติตามที่ต้องปฏิบัติ ความเคารพที่ผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่เทิดทูน แม้จะทำไปโดยไม่รู้ว่าเป็นการผิดคน แต่ความบริสุทธิ์ ใจที่มุ่งเทิดทูนพระพุทธศาสนา ย่อมเป็นมงคลแก่จิตใจแน่นอน

ในทำนองเดียวกันผู้รู้อยู่แก่ใจว่าตนมิได้เทิดทูนเคารพพระพุทธศาสนา อาศัยการแสดงออกหลอกลวง เช่นนี้ก็แน่นอนที่อัปมงคลย่อมครองใจครองกาย ก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยนานาประการ เริ่มตั้งแต่ในชาติปัจจุบันนี้

ความรู้ตัวอยู่ว่าตนกำลังทำไม่ดี ที่หนักมากเพราะเป็นความไม่ดีที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระผู้ประเสริฐสูงสุด หาที่เปรียบไม่ได้ ทรงประดิษฐานประทานแก่โลก

เพื่อวามงดงาม ร่มเย็นเป็นสุขของโลก มิใช่เพื่อหลอกลวงโลก อันจะเกิดผลร้ายนานาประการแน่นอนในวันหนึ่ง

อาจจะไม่ทันตาทันใจ จนทำให้ผู้ประมาทคิดว่าโทษหรือบาปกรรมของผู้อาศัยพระพุทธศาสนาหาประโยชน์โดยมิชอบนั้นไม่มีจริง ซึ่งความจริงบาปของการทำผิดทำชั่วต่อพระพุทธศาสนามีแน่เป็นผลร้ายที่หนักหนาแน่ พึงกลัวให้อย่างยิ่ง อย่างพึงประมาท


O โลกทุกวันนี้แสดงให้เห็นชัดเจน ว่าบาปกรรมกำลังส่งผลรุนแรงเต็มที่ และเราทุกคนมีส่วนแน่นอนในการทำบาปกรรมอันเป็นเหตุนั้น

แม้ปรารถนาจะเห็นโลก เห็นประเทศชาติ เห็นเพื่อนร่วมโลก เห็นเพื่อร่วมชาติ มีความสงบสุขแม้เพียงพอสมควร ไม่หนักหนารุนแรงเช่นทุกวันนี้ ก็ควรจะได้ยอมรับกับตนเองอย่างจริงใจว่า เรามีส่วนแน่ในความเร่าร้อนรุนแรงในปัจจุบันเราต้องได้ทำบาปแน่

แล้วก็ตั้งใจเสียให้แน่วแน่จริงจัง ว่าจะแก้ไขตนเอง ให้เต็มความสามารถ เปลี่ยนการทำบาปกรรมให้เป็นการทำบุญกรรมให้ได้ ไม่มากก็น้อย ก็ยังดี ให้เร็ววันที่สุด เพื่อให้เกิดผลดีเร็วที่สุด แก่โลก แก่ไทย แก่จิตใจ ทั้งปวง
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ท่านอาจารย์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านสอนไว้ว่า อตีตาธรรมเมา คืออดีตเป็นธรรมเมา อดีตไม่ใช่ธัมมะ เช่นเดียวกับอนาคตก็เป็นธรรมเมา อนาคตไม่ใช่ธัมมะ ปัจจุบันเท่านั้นเป็นธัมมะ

อดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่หลวงปู่ท่านพูด ก็หมายถึงเรื่องราว หรือกรรมคือการกระทำ ที่ทำในอดีต ในปัจจุบัน หรือจะทำต่อไปในอนาคต กรรมที่ทำแล้ว ที่เป็นอดีต หลวงปู่ท่านให้คิดเสียว่าเป็นธรรมเมา

อันคำว่าเมานั้นเป็นที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ว่าไม่ดี ไม่ใช่สิ่งควรเกี่ยวข้อง เป็นสิ่งควรหลีกเลี่ยง ดังนั้นเมื่อหลวงปู่ท่านบอกว่าอดีตเป็นธรรมเมา ก็หมายความว่าอย่าไปเกี่ยวข้องกับอดีต คืออย่าไปคิดถึงเรื่องราวในอดีต

คิดไปแล้ว พูดไปแล้ว ทำไปแล้ว ล้วนเป็นธรรมมา คือไม่ดี ไม่งาม ไม่ควรจะไปเกี่ยวข้อง แม้ด้วยความคิด ปล่อยให้จบสิ้นไป ที่เรียกว่าให้เป็นอดีตไปนั่นเอง อดีตไม่มีความถูก อดีตไม่มีความผิด อดีตไม่มีอะไรควรสนใจทั้งนั้น อดีตเหมือนความเมานั่นแหละ

ความเมาก็คือความเมา หาความหมายไม่ได้ อดีตกับความเมาเท่ากัน อดีตกับความเมาเหมือนกัน หลวงปู่แหวนท่านจึงสอนให้เห็นอดีตว่าเป็นธรรมเมา ฟังท่านแล้วพึงเข้าใจ แล้วพึงปฏิบัติสนองความหวังดีของท่าน อย่าเห็นความสำคัญของความเมา คืออย่าเห็นความสำคัญของอดีต

แล้วก็ให้แล้วกันไป ถูกผิด ดีชั่ว บาปบุญ ก็ให้เป็นอดีต เป็นความเมา เป็นธรรมเมา หลีกให้พ้น อย่าเข้าไปแตะต้องข้องเกี่ยว แม้ด้วยความคิดนั่นเอง


O ไม่คิดถึงอดีต ไม่คิดถึงความเมา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ตามที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่านสอน และอดีตที่รวมการคิด การพูด การทำ ที่เกิดจากการ วาจา ใจ นั้น มิได้หมายเพียงอดีตที่เกิดแต่เราคนใดคนหนึ่งเท่านั้น

แต่หมายรวมถึงอดีตที่เกิดแต่ทุกคนหมด การคิด การพูด การทำ ของใครก็ตาม ที่เกี่ยวข้องถึงเราที่เราได้รู้ เราได้เห็น เ ราได้ยิน เราได้ฟัง เราได้กระทบกระเทือนในทางดี หรือเราได้กระทบกระเทือนในทางร้าย ก็ตาม ให้รู้ว่าอดีตนั้นเป็นธรรมเมา เป็นความเมา ที่ทุกคนพึงหลีกเลี่ยง ทุนคนพึงปล่อยวาง ทุกคนไม่พึงเข้าไปเกี่ยวข้อง

แม้ด้วยความคิด คือไม่คิดถึงเรื่องเหล่านั้น ที่เกิดแล้ว ที่เป็นอดีตไปแล้วนั้น พูดง่ายๆ ก็คือแล้วก็ให้แล้วกันไป ไม่ไปผูกใจนึกถึง ให้เหตุผลกับตนเอง ให้ตนเองยอมรับยอมเชื่อ ว่าเป็นธรรมเมา เป็นของเมา หาควรเข้าไปเกี่ยวข้องแม้สักเล็กน้อยไม่

หลวงปู่แหวนท่านเป็นที่เคารพศรัทธาเลื่อมใสของพวกเราเพียงไร ก็ควรเชื่อท่านให้เพียงนั้นทีเดียว ชีวิตนี้จะได้มีความสุข ไม่มีทุกข์ของความเมา ทุกข์ของเหตุในอดีต
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ความทุกข์ หรือความเดือดร้อนของโลกของประเทศชาติ คือความทุกข์ความเดือดร้อนของคนในโลก ความทุกข์ความเดือดร้อนของคนในประเทศชาติเกิดแต่ความคิดของคนและมิใช่ความคิดของคนเพียงคนสองคน

มิใช่ความคิดของคนจำนวนน้อย แต่เป็นความคิดของคนจำนวนมาก ความคิดของคนทั้งโลก ความคิดของคนทั้งประเทศชาติ ทั้งยังเป็นความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย

ถ้าทุกวันนี้ผู้คนคิดไปในทางดี คิดแต่ที่ดี โลกจะไม่ร้อน โลกจะไม่วุ่น โลกจะไม่ตกอยู่ในความทุกข์ ความคิดที่ดีย่อมนำให้ทำความดี ที่เป็นบุญ ที่เป็นกุศล ตรงกันข้ามกับความคิดที่ไม่ดีที่ยอมนำให้ทำความไม่ดี ที่เป็นบาป ที่เป็นอกุศล

ความคิดของคนจึงสำคัญนัก มีอิทธิพลยิ่งใหญ่นัก และอิทธิพลยิ่งใหญ่นั้นกำลังมีอำนาจเหนือโลก เหนือพวกเรา อยู่ในทุกวันนี้ ที่พาให้เราเดือดร้อนไปตามกัน อย่างไม่เคยมีไม่เคยเป็นถึงขนาดนี้มาก่อน

เมื่อรับรู้ความเดือดร้อนรุนแรงของทุกวันนี้ ก็จะรับรู้ไปพร้อมกันด้วย ว่าเราเองเป็นผู้หนึ่งที่ก่อให้เกิดความทุกข์ความร้อนรุนแรงนั้น ทุกคนต้องรับรู้ความจริงนี้ ที่เป็นความผิดของตนด้วยทุกคน จงรับสารภาพกับตนเองให้จริงใจว่า เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมก่อความทุกข์ความร้อนให้เกิดท่วมท้นจนน่าประหวั่นพรั่นพรึงในทุกวันนี้

ยอมรับสารภาพการทำบาปของตนให้จริงใจ และจงทำบุญคือความดีในทันที ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ความร้อนแรงที่ท่วมทับโลกอยู่จะผ่อนคลายได้แน่นอน ตามกำลังความดีของผู้คน เหมือนเติมน้ำแข็งลงในน้ำร้อน มีหรือที่ความร้อนจะไม่ลดลงตามกำลังมากน้อยของน้ำแข็งที่เย็น


O เราทุกคนไม่ปรารถนาให้โลก โดยเฉพาะบ้านเมืองที่รักของเรา ซึ่งเป็นหนึ่งในโลก มีสภาพเช่นทุกวันนี้ คือ วุ่นวาย ร้ายแรง ทุกข์ร้อน ที่ต้องยอมรับว่าแต่ก่อนหาได้มีสภาพเช่นนี้ หลายคนกล่าวว่ากึ่งพุทธกาลแล้วก็ต้องเป็นเช่นนี้เป็นธรรมดา

แต่ต้องเข้าใจให้ถูกต้องชัดเจนด้วยว่า กึ่งพุทธกาลมิได้เป็นเหตุนำให้เกิดสภาพอันไม่เคยมีไม่เคยเป็นมาก่อนถึงเช่นนี้ กึ่งพุทธกาลเป็นเครื่องแสดงที่ไม่มีผิดแม้แต่น้อยเท่านั้นว่าผู้คนกำลังทิ้งความดีมากขึ้นทุกที จนจะถึงจุดสูงสุดแล้ว

ความดีนั้นเป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่า คือการปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นับถือพระพุทธศาสนาที่ทำความไม่ดีได้ต่างๆ นานา ก็คือผู้นับถือพระพุทธศาสนาแต่ในนามเป็นพุทธศาสนิกแต่ในนาม จิตใจหาได้มีพระพุทธศาสนาไม่

จิตใจที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่มีพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมพุทธเจ้า เป็นจิตใจที่สกปรกเศร้าหมองด้วยกิเลสร้อยแปดพันเก้า กิเลสของคนมากมายเพียงใดก็จะปิดบังแสงสว่างของพระพุทธศาสนามืดมิดเพียงนั้น

กึ่งพุทธกาลที่กล่าวถึงกันหมายถึงตรงนี้ ตรงที่ศาสนายุกาลหรืออายุของพระพุทธศาสนามาถึงกึ่งทางแล้วในบัดนี้ เพราะแสงสว่างของพระพุทธศาสนาถูกความสกปรกเศร้าหมองของกิเลสคนบดบังไปกว่าครึ่งแล้ว

แสงสว่างของพระพุทธศาสนาที่รุ่งโรจน์โชติช่วงมืดมัว ไม่อาจสาดส่องโลกให้สว่างไสวได้เหมือนเคยเพราะถูกใจที่สกปรกมืดมัวของมนุษย์ปิดบังไว้และนับวันก็จะยิ่งถูกปิดบังมากขึ้น หนาขึ้น จนไม่อาจเห็นแสงสว่างที่งดงามยิ่งนักของพระพุทธศาสนาได้

ตรงนั้นคือตรงที่เรียกว่าสิ้นพุทธศาสนายุกาล แต่ขณะนี้ยังเป็นเพียงกึ่งพุทธกาล อีก ๒๔๕๒ ปี จึงจะสิ้นพุทธกาล เวลานั้นไม่มีพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในโลกอีกต่อไป เหมือนไม่มีพระพุทธศาสนาในโลกแล้ว

แต่ที่จริงพระพุทธศาสนายังมีอยู่ ยังสว่างรุ่งเรืองลบแสงตะวันอยู่ เพียงแต่ถูกความสกปรกเศร้าหมองแห่งจิตใจที่ไม่มีพระธรรมคำทรงสอนในพระพุทธศาสนาบดบังจนมืดมิด ดังกล่าว
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O น่าจะกล่าวว่าน้อยคนนักที่เข้าใจเรื่องการสิ้นพระพุทธศาสนายุกาล จึงน้อยคนนักที่จักกลัวชีวิตที่จะดำเนินอยู่โดยปราศจากแสงแห่งพระพุทธศาสนา และความไม่รู้นี่แหละ ที่ทำให้ไม่กลัวที่โลกจะไม่มีพระพุทธศาสนาอีกต่อไปนานแสนนาน

ทุกวันนี้พระพุทธศาสนายังมีอยู่ แต่ก็กำลังจะหมดไป เวลาที่พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่เหลืออีกกว่าสองพันปีก็จริง แต่ถึงเช่นนั้นโลกก็ยังมืดมากมายนักแล้ว ความแรงร้ายนานาประการที่เกิดทุกวันนี้ และไม่มีท่าที่ว่าจะลดลง มีแต่ดูจะหนักหนาน่ากลัวยิ่งขึ้นตามวันเวลาที่ผ่านไป พ้นไป

จนทำให้เวลาสิ้นสุดแห่งพระพุทธศาสนาใกล้เข้ามาทุกที เวลาของพระพุทธศาสนายิ่งใกล้จะจบสิ้นเพียงใด ก็เพราะความไร้ศีลไร้ธรรมของผู้คนจะยิ่งมากขึ้นเป็นลำดับเพียงนั้น แล้วความสุขสวัสดีจะมีมาแต่ไหน ความทุกข์ความเดือดร้อนรุนแรงจะไม่ท่วมไปทั้งโลกนี้หรือ

โลกจะน่ากลัวเพียงใดลองนึกไปให้เห็นเถิด บางทีจะเห็นคุณของพระพุทธศาสนามากกว่าที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ที่เหมือนเป็นคนตาบอดหูหนวกไปตามกัน ไม่เห็นคุณที่สุดประเสริฐสูงส่งของพระพุทธศาสนา ไม่แยแสที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ยอมสยบเป็นทาสของกิเลส เป็นทาสของความชั่วร้ายนานาประการ ร่วมกันปิดบังแสงงดงามแห่งพระพุทธศาสนาให้มืดเข้ามืดเข้าทุกเวลานาที คิดให้ดีจะเห็นความน่ากลัวนัก ของพลังความชั่ว ที่ช่วยกันสร้างทำลายชีวิตจิตใจที่ควรงดงามสูงส่ง ด้วยมีพระธรรมคำทรงสอนในพระพุทธศาสนาเป็นเครื่องประดับอันล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้


O ขณะนี้แสงงดงามแห่งพระพุทธศาสนายังมีให้เราเห็น ให้เป็นแสงส่องทางชีวิตของเราอยู่ จงเพิ่มพลังใจให้สูงขึ้น ด้วยความดีงาม นอบน้อมนึกถึงคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วพยายามปฏิบัติตามให้สุดสติปัญญาความสามารถ

ให้เป็นการเดินไปตามทางที่มีแสงสว่างส่องนำ ที่จะทำให้พ้นภัยใหญ่น้อยทั้งหลาย ชีวิตใหม่ที่วันหนึ่งจะต้องได้พบได้ไปถึงด้วยกันทุกถ้วนหน้า จะได้เป็นชีวิตที่ไม่เศร้าหมองที่น่ากลัว อะไรที่ทำมาแล้วก็ให้แล้วกันไป

นึกถึงที่หลวงปู่แหวนท่านสอน อดีตเป็นธรรมเมา อย่าเข้าใกล้ มาเริ่มต้นกันใหม่ที่ปัจจุบัน ให้ไกลความสกปรกเศร้าหมองของความเมา หรือของอดีต ตามที่หลวงปู่แหวนท่านสอนเถิด ชีวิตจะพ้นความเมา ที่มีโทษนักหนาแน่นอน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O การยุ่งกับความเมา ที่จริงมีโทษไม่หนักเท่าการยุ่งกับอดีต เพราะการยุ่งกับอดีต หรือการทำจำไว้ไม่รู้ลืม ถึงอะไรต่าง ที่เกิดแล้วในอดีต เช่นคนนั้นว่าเราอย่างนั้น คนนี้ดูถูกเราคนโน้นบังอาจทำสิ่งที่ไม่ควรทำเกี่ยวกับเราหรืออะไรทำนองนี้ที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนถูกลบหลู่ ตนไม่ได้รับความยกย่อง

ความคิดผูกพันกับอดีตเช่นนี้มีโทษหนัก เพราะเป็นความคิดที่เป็นความพยาบาท ผูกใจโกรธไม่ลืม เป็นความคิดที่ทำร้ายตนเอง รุนแรงยิ่งกว่าคนอื่นทำมากมายพ้นจะประมาณได้ เพราะเป็นความคิดที่ทำให้ใจเร่าร้อนรุนแรงด้วยความผูกโกรธ

เรื่องราวเกิดขึ้นและจบสิ้นไปแล้ว แต่ผู้ผูกใจอยู่กับอดีต คือผู้ที่นำการกระทำคำพูดที่จบสิ้นไปแล้วให้กลับเกิดมาทำร้ายจิตใจตนเอง ไม่รู้จบไม่รู้สิ้นน่าจะนึกถึงคำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ท่าน ท่านอัญเชิญพระธรรมในพระพุทธศาสนามาสอนด้วยวิธีของท่าน ที่บรรดาผู้เคารพศรัทธาท่านไม่น่าจะปล่อยให้พ้นไปจากใจ

น่าจะคิดถึงไว้ให้เหมือนกับที่ยังพากันคิดถึงท่านอยู่ อตีตาธรรมเมา อดีตไม่ใช่ธัมมะ หลวงปู่ท่านสอนเช่นนี้ ง่ายสั้นควรแก่การจำได้สบายๆ จำไว้ให้เสมอเถิด อย่าลืมเสียเลย จะเท่ากับทิ้งธรรมสำคัญ ที่พระอริยเจ้าองค์สำคัญท่านเมตตาสอนให้ และบัดนี้ท่านก็ละสังขารไปแล้ว จะไม่มีองค์ท่านมาเฝ้าสอนเราอีกแล้ว

ไม่มีองค์หลวงปู่ท่าน ก็จะเหมือนมี แม้พากันปฏิบัติตามที่ท่านสอน อดีตไม่ใช่ธัมมะ อดีตเป็นธรรมเมา อย่าติดอยู่กับอดีตเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าติดอยู่กับอดีตที่ให้ความโกรธความอาฆาตขุ่นแค้น เพราะจะนำให้ก่อบาปกรรมได้ไม่รู้แล้ว เป็นการก่อทุกข์โทษภัยให้ตนเองอย่างร้ายแรงนัก


O หลวงปู่แหวนท่านสอนด้วย ว่าอนาคตาธรรมเมา คืออนาคตก็เป็นธรรมเมา อนาคตไม่ใช่ธัมมะ ก็ทำนองเดียวกับที่ท่านสอนว่าอตีตาธรรมเมา อดีตก็เป็นธรรมเมา อดีตไม่ใช่ธัมมะ นั่นเอง

นั่นก็คืออย่าผูกใจอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และอย่าส่งใจไปคิดถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด ที่ว่าจะเกิดในอนาคต เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ที่หลวงปู่แหวนท่านสอนให้คิดว่าเรื่องที่จะเกิดหรือไม่เกิดในอนาคตนั้นเป็นธรรมเมา

เช่นเดียวกับที่เกิดแล้ว ผ่านพ้นไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว นั่นก็เป็นธรรมเมา เป็นธรรมเมาทั้งอดีตและอนาคต ปัจจุบันเท่านั้นเป็นธัมมะ ปัจจุบันเท่านั้นไม่ใช่ธรรมเมา ปัจจุบันเท่านั้นไม่ใช่ธรรมเมา

ปัจจุบันเท่านั้นจึงมีความสำคัญควรที่จะพากันใส่ใจกับปัจจุบันให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ให้มีความงดงามที่สุด ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ มีสติรักษาให้ดีที่สุดในปัจจุบัน จะไปสนใจกับความเมาทำไม ในเมื่ออดีตก็เป็นความเมา อนาคตก็เป็นความเมา

ทิ้งเสียจะถูกต้องกว่า จะปลอดภัยกว่า มาอยู่กับปัจจุบัน ห่วงใยรักษาปัจจุบันเถิด จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนาจริง มีพระพุทธศาสนาอยู่ในหัวใจจริง มิใช่นับถือพระพุทธศาสนาแต่เพียงธรรมเนียม แต่เพียงที่ปาก ที่น่าเสียดายนัก น่ากลัวนัก ว่าชีวิตในสมัยนี้จะไม่พ้นภัยที่ท่วมโลกอยู่แล้วจริงๆ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:36 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ทุกวันนี้เป็นความจริงที่เห็นกันอยู่ทุกถ้วนหน้า ว่าโลกร้อนแรงมาก ด้วยมีอันตรายร้ายแรงรอบด้าน รอบตัวเราทุกคน โลกไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน ชีวิตของเราทุกคนก็ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับโลกหรือ

หลายคนปรารภปัญหานี้ คำตอบที่ถูกต้องแน่นอน แต่ยากที่จะมีผู้เชื่อ ก็คือเรา เราผู้เป็นมนุษย์ เราผู้เป็นสัตว์โลก ผู้อาศัยอยู่ในโลกนี้แหละ ที่เป็นผู้ทำโลกให้ร้อน ทำโลกให้ร้ายแรง ให้เต็มไปด้วยอันตรายอันน่าสะพรึงกลัวรอบด้าน

แม้เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ตามที่ตนเองคิด ตามที่ตนเองประกาศให้โลกรู้ แต่ความจริงก็นับถือพระพุทธศาสนาเพียงที่ปาก เพียงที่วาจาบอกเล่ากันไป หรือเพียงที่ความคิดตื้นๆ ไม่จริงจัง ไม่จริงใจ

พระพุทธศาสนาที่ประเสริฐสูงสุดด้วยพระกรุณาคุณพระปัญญาคุณ และพระบริสุทธิคุณ แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงดูราวกับ ปราศจากความมีอานุภาพยิ่งใหญ่ ทั้งที่ความจริงนั้นอานุภาพมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนามีอยู่เต็มไปทุกหนทุกแห่งทุกเวลานาที

มนุษย์เราบุญไม่พอจริงๆ ที่ไม่แลเห็น ไม่น้อมรับเข้าสู่ชีวิตจิตใจ จึงไม่อาจสัมผัสความมหัศจรรย์ของพระพุทธศาสนาได้ถูกต้อง เป็นที่น่าเสียดายที่สุดมีของกายสิทธิ์อยู่ในมือ ปล่อยให้พ้นไป จะฉลาดได้อย่างไร


O เมื่อประมาณ ๒๐ ปีมาแล้ว ญาติโยมมาเล่าให้ฟังว่าพระอาจารย์มีชื่อองค์หนึ่ง เป็นที่นับถือกว้างขวางไม่น้อยในความมีญาณรู้เห็นอะไรๆ ของท่าน ท่านบอกว่าหลังกึ่งพุทธกาลแล้วไม่กี่สิบปี จะมีการตายทั้งโลก และท่านย้ำเน้นว่าตายทั้งโลก ทั้งโลกนะ

เมื่อได้ฟังญาติโยมผู้นั้นเล่าก็ได้บอกไปว่าจะจริงหรือไม่จริงตามที่ท่านบอกก็ตาม เพื่อความไม่ประมาท เพื่อสิริมงคลยิ่งใหญ่แก่ชีวิต นึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ ให้ทุกลมหายใจเข้าออก

พระพุทโธนั่นแหละท่องไว้ พระพุทโธ พระพุทโธ พระพุทโธ ให้คำศักดิ์สิทธิ์มหามงคลที่สุดนี้กึกก้องอยู่ในหัวใจตลอดเวลา เสียงนี้มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์มหัศจรรย์ที่สุด ผู้ไม่มีความเคารพเทิดทุนสมเด็จพระบรมศาสดาจริง จะไม่มีวาสนาได้ รับสิริมงคลนี้ไปปกปักรักษาชีวิต

บอกเช่นนี้ไม่ใช่การบอกให้งมงาย นี้เป็นความจริง ไม่ใช่เรื่องงมงาย หรือหลอกลวง คำพระพุทโธเป็นคำสิริมงคลหาที่เปรียบมิได้ และก็เป็นคำที่อัญเชิญมาประจำใจ ประจำความรู้สึกนึกคิด เพื่อให้กิเลสพ่ายแพ้ กิเลสไม่อาจเข้าสู่จิตใจผู้ที่มีคำพระพุทโธอยู่แล้วได้อย่างแน่นอน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O อดีตไม่ใช่ธัมมะ อนาคตก็ไม่ใช่ธัมมะ ทั้งอดีตและทั้งอนาคตเป็นธรรมเมา แต่ต้องยอมรับความจริงว่าเราพากันยึดมั่นผูกพันอยู่กับอดีตและละเมอเพ้อฝันถึงอนาคต ด้วยเป็นเช่นนี้จึงพากันตกอยู่ในสภาพความเมา

คนเมาเป็นอย่างไร พอจะเปรียบได้กับเราทั้งหลายที่พากันผูกพันอยู่กับอดีตและอนาคต กล่าวได้ว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเรามีความเมา แล้วชีวิตจะเป็นเช่นไร คนเมาร้องไห้ก็มี คนเมาหัวเราะก็มี ข้อสำคัญคนเมามิได้หัวเราะอย่างมีเหตุให้ควรหัวเราะ และคนเมามิได้ร้องไห้อย่างมีเหตุให้ควรร้องไห้

คนเมาหัวเราะบ้าง คนเมาร้องไห้บ้าง อย่างปราศจากเหตุ อย่างที่คนไม่เมาเห็นแล้วไม่เข้าใจ แน่ ๆ ก็คือคนเมาเหมือนคนไร้สติแล้ว ไม่รู้ถูกไม่รู้ผิด ไม่รู้ควร ไม่รู้ไม่ควร คิดพูดทำไปตามอำนาจ ความไร้สติ

ผู้ผูกพันยึดมั่นในอดีตหรือในอนาคตก็เช่นกัน เหมือนคนไร้สติ เหตุไม่ดีไม่งามผ่านพ้นไปแล้ว ใครจะว่า ใครจะลบหลู่ ใครจะหยาบคายล่วงล้ำก้ำเกิน ก็จบสิ้นไปแล้ว ยังไม่ยอมลืม

ยังโกรธแค้นขุ่นข้องหมองใจกับเรื่องกับคำกับเสียงที่ได้รับที่ได้ยินที่ได้ฟัง ที่ทำให้โกรธเกรี้ยวบ้าง เสียใจบ้าง หรือทำให้เป็นสุขสนุกสนานเบิกบานบ้าง ก็เหมือนคนเมาไร้สติ ที่ร้องไห้บ้าง หัวเราะบ้าง อย่างไม่มีเหตุผลอันควร

ดังนั้นแม้จะย้อนนึกไปถึงอดีต ให้เกิดอารมณ์ร้ายบ้างดีบ้าง ก็ไม่ใช่ความถูกต้องทั้งสิ้น เป็นความไร้สติทั้งนั้น ถ้าจะใช้วิธีแก้ความยึดมั่นในอดีต ที่เป็นความไม่ถูกต้องแน่นอน เป็นความผิดที่จะทำเราให้เหมือนคนไร้สติ

ถ้าเชื่อคำหวังดีที่หลวงปู่แหวนท่านเตือน ว่าอดีตเป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา ไม่ใช่ธรรมมะ อนาคตก็เป็นธรรมเมา ไม่ใช่ธัมมะ วิธีแก้ที่มีอยู่ และนำมาใช้หยุดความคิดของคนไร้สติได้แน่ ก็คือให้อัญเชิญพระพุทโธเข้าสู่ความคิดให้รวดเร็วที่สุด

ในทันทีก็ยิ่งดีที่เริ่มจะคิดถึงอดีตคิดถึงอนาคต เรียกว่าไม่ยอมเป็นผู้เสียสตินาน รีบรักษาเสียโดยเร็ว โดยฝีมือแพทย์ที่หาที่เปรียบมิได้ พระพุทโธ พระพุทโธ พระพุทโธ นี่แหละคือสมเด็จพระบรมครูพระผู้ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ คนไร้สติก็จะกลับมีสติได้ในทันทีที่อัญเชิญพระพุทโธเข้าสู่จิตใจ


O พระพุทโธมีค่าหาประมาณมิได้ หาที่เปรียบเสมอมิได้ สมบัติพัสถานแก้วแหวนเงินทองเพชรนิลจินดามีค่ามหาศาลเพียงใด ก็เปรียบมิได้กับค่าของพระพุทโธ

ไม่อยากตกอยู่ใต้อำนาจของกรรมร้ายแรงที่น่าสะพรึงกลัวเหนือความน่าสะพรึงกลัวบรรดามี ก็อัญเชิญพระพุทธไว้ในจิตใจ ไว้ในความคิด นั่นก็คือให้ระลึกถึงสมเด็จพระบรมศาสดา ด้วยการนึกถึงพระพุทโธ พระพุทธ พระพุทโธ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ

แม้จะหลงลืมไปบ้างเมื่อไรก็ให้พยายามมีสติรู้ ให้รู้เหมือนกระเป๋าเงินใบเล็ก ๆ ในมือ ที่มีเงินจำนวนมากหลุดมือ ตกลงไปในท่ามกลางผู้คนจำนวนมาก ที่กำลังเดินทางไปเดินกันมา มีหรือที่เราผู้เป็นเจ้าของกระเป๋านั้นจะไม่รีบร้อนลุกลี้ลุกลนเก็บกระเป๋าใบนั้นในทันที

ไม่มีแน่ที่เราจะไม่ตื่นเต้นไม่รีบจัดการเก็บกระเป๋านั้นอย่างเร็วที่สุด ก่อนจะถูกเหยียบย่ำ หรือถูกฉกชิงไปเสียก่อน พระพุทโธมีค่าหาที่เปรียบมิได้ เพียงกระเป๋าแม้จะมีเงินสัก ๒-๓ ร้อยบาทหลุดจากมือ ก็ยังรีบหาหยิบ

หัดเป็นคนช่างคิดในเรื่องนี้เถิด ให้ไม่ปล่อยปละละเลยให้พระพุทโธหลุดหายไปจากใจอย่างไม่เดือดร้อนเลย ลดค่าของพระพุทโธลงก็ยังดี ว่าเป็นธนบัตรใบละพันปลิวหลุดจากมือไป จะไม่รีบตะครุบกลับก็เป็นไปไม่ได้ ตะครุบพระพุทโธกลับให้เหมือนตะครุบธนบัตรใบละพันก็จะดีนัก ทำเถิด ถ้าปรารถนาจะวิ่งหนีกรรม วิ่งหนีภัยชีวิตทั้งปวง
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ค.2007, 8:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ข่าวร้ายรุนแรงที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ในทุกวันนี้ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดได้ในบ้านเมืองพุทธของเราจิตใจเป็นอะไรกันหมดแล้ว แต่ยังดีอยู่บ้างที่มีผู้ปลงด้วยการกล่าวว่า เป็นกรรมต่อกันมาแน่ ผู้ที่ถูกยิงถูกแทงถูกฟัน จนกระทั่งถูกรถชนรถทับ ถึงตายบ้าง พิกลพิการเจียนตายบ้าง ล้วนต้องเคยทำเขามาก่อน

ไม่เช่นนั้นคงไม่ถูกเขาทำรุนแรงหนักหนา ถึงเป็นถึงตาย ทรมานทรกรรมต่างๆ นานาประการ เด็กเล็กเด็กน้อยมิได้รอดพ้น ลูกหลานพี่น้องแม้จนแม่พ่อปู่ย่าตายายก็คงจะเป็นผู้ทำกรรมไว้ต่อกัน

คิดให้ลึกลงไปสักหน่อยจะเห็นว่าการผูกเวรผูกกรรมกันข้ามภพข้ามชาติก็ต้องเป็นเพราะไม่มีความเข้าใจ เช่นหลวงปู่แวนท่านสอน คืออตีตาธรรมเมา คือ แล้วก็ไม่ให้แล้วกันไป
ตั้งแต่ยังมีชีวิตร่วมชาติร่วมโลกกันอยู่ อาจจะเมื่อหลายภพชาติมาแล้ว ความเมาแบบหลวงปู่ท่านสอนแม้นำมาใช้ในกรณีนี้ย่อมได้ประโยชน์มาก

ไม่เมาอดีตในกรณีนี้ก็ดังมีใจให้อภัยทาน ถูกใครทำมาในอดีตกี่ครั้งกี่หน กี่ผู้กี่คน ก็มีใจเช่นหลวงปู่ท่านสอนคือเห็นเป็นอตีตาธรรมเมา ไม่ยอมปล่อยใจให้เมาไปกับอดีต คือไม่ยอมไร้สติ อันจะเป็นเหตุให้คนดีมีสติทั้งหลายเห็นความไม่มีสติแบบคนบ้านั่นเองของเรา

O อดีตเป็นธรรมเมา อนาคตก็เป็นธรรมเมา ปัจจุบันเท่านั้นเป็นธัมโม หรือเป็นธัมมะจริงนั่นเอง นั่นก็คือปัจจุบันเป็นโอกาสที่จะทำความดีได้ทุกประการ คิด พูด ทำ ให้ดีที่สุดเข้าไว้

โอกาสเปิดอยู่ตรงหน้าแล้วทุกคน อย่าหลงติดอยู่ด้วยความคิดถึงอดีต ที่แม้ผิดพลาดเป็นบาปกรรมเลวร้ายไปแล้วก็ตาม และไม่ต้องคิดกลัวอนาคตจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงไรก็ตาม ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ทุ่มเทความคิดทั้งหมดลงที่ปัจจุบัน

เพื่อทำปัจจุบันให้งดงามไกลความไม่ดีไม่งามทั้งปวง ไม่ว่าเล็กน้อยหรือใหญ่ยิ่งเพียงไหน ปัจจุบันของเราต้องไม่มีมลทินนั้น ปัจจุบันของเราต้องบริสุทธิ์สะอาดงามพร้อม เพื่อเทิดทูนถวายเป็นพุทธบูชาในวันสำคัญของโลก คือ วันวิสาขบูชา ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป สิริมงคลยิ่งใหญ่จะเกิดแก่ชีวิตเราทุกคนแน่นอน นักแล


ขออำนวยพร
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๘


>>>>> จบ <<<<<


สาธุ สาธุ สาธุ

เจริญธรรมครับ... ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 24 พ.ค.2013, 9:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เทียน รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “วันวิสาขบูชา”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=23&t=45505
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง