Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ถามคนที่เคยได้เข้าอบรมบวชชีพรหมณ์ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2007, 10:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีข้อสงสัย ในบุคคลที่เคยบวชชีฯ ทำไมถึงต้องมีบุคลิกแปลกๆ ทราบว่า คนเข้าอบรมบวชชีฯ นี่ ต้องยึดหลัก พูดน้อย กินน้อย นอนน้อย แต่ทำไม คนเหล่านี้ในขณะบวช ยังห่มขาวอยู่ แววตาถึงได้แข็งกระด้างจัง มองน่ากลัว มองไปเหมือนคนเครียด มากว่ามารับบุญ

ในความเห็นส่วนตัว ถึงแม้จะห่มขาวอยู่ จิตไม่ควรนิ่งจนแข็งกระด้าง ใครพูดด้วย ก็ไม่พูด (พูดได้ แต่ ควรพูดให้น้อย พูดเท่าที่จำเป็น พูดแบบเมตตาต่อคนฟัง มิใช่รึ) แววตาแข็ง จ้องเหมือนจะหาเรื่องคน

บางคน ออกบวชมาแล้ว หลุดไปเลยรึป่าวมิทราบ ทำตัวสุขใจเกินเหตุ ยิ้มเกินความจำเป็น ไม่มีเหตุให้ยิ้ม เธอก็ยิ้มทั้งใบหน้า แววตา โอ้พระเจ้า ...สงสัยไปอ่านอนิสงของการบวชฯมาแน่ๆ ในข้อที่ว่า เมื่อบุญเกิด ผิวจะผ่อง หน้าจะใส ยิ้มออกมาจากบุญ ทั้งแววตา มุมปาก ใบหน้า แต่ที่เห็นคนเหล่านี้นะ มันบ้า...แล้ว อะไรจะมาสุขใจได้เพียงนี้

ทุกอย่างที่ถามตั้งคำถามนี่ เพราะมันติดใจอยากรู้ในตัวเธอนักบวช วิ่งสายทำบุญจริงๆ ทำไม บุคลิกจึงออกมาแบบนี้ได้

จากที่สังเกตมา สาเหตุของคนที่เข้าบวชนั้น เพราะ ผิดหวังในชีวิตทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องความรัก บางคนโลภ หวังบุญเสริมก็มี ที่เข้าบวชเพื่อเรียนรู้จริงๆ ในการให้เกิดสมาธิ ปัญญา ชั่งน้อยจริงๆ ส่วนใหญ่หวังบุญมาลบกรรม

เนื่องจากสงสัย เราเองเลยอยากบวช อยากไปรู้ไปเห็นให้รู้แล้วรู้รอดไปว่า เราจะเป็นอย่างคนอื่นๆหรือไม่ ขอบอกว่า กลัวเป็นแบบคนเหล่านั้นเช่นกัน ไม่กลัวหลงบุญ แต่กลัวเพี้ยน เพราะสังเกตแล้วพุดมากไป กลัวจะเป็นเช่นเขาเหล่านั้นจริงๆ สาธุ....บุญคุ้มครอง สาธุ

การที่เราอยากบวช สิ่งที่อยากได้คือสมาธิ ปัญญาซึ่งเขาบอกจะตามมาทีหลัง สองอย่างนี้อยากได้มาก จิตสงบแค่นี้พอแล้วมั้ง บุญจะเกิด เขาเกิดเอง เบื้องบนท่านจะประทานมาหรือไม่ท่านดูที่คน เราคิดแบบนี้แหละ

ทำบุญน้อย แต่ศรัทธาแรง ไม่งกในบุญ เราว่าบุญเกิดมากกว่า คนเดินสายแล้วหลงในบุญล่ะคุณ อืม...เราเคยหลุดประโยคแบบนี้ไป พระท่านบอก จะบวชไหม ขำ ขำ ขำ ขำ ขำ แล้วมองเราแบบแปลกๆ กลัวๆ เรานะ อันนี้จริงๆ นะ พระท่านกลัวเรา เรารู้สึกงี้จริงๆ เราแปลกกว่า

หญิงคนอื่นๆ ตรงไหน ยัง งงๆ อยู่เลยนะนี่ ขนาดถวายของให้ท่าน ท่านยังถามว่าอะไรนี่ ทีกะคนอื่นถวาย ไม่เห็นถาม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 17 เม.ย.2007, 11:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืม ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อย่าได้น้อยใจไป สหาย

คนกำลังอยู่ในช่วงเบญจเพศก็แบบนี้

ขุนเขาทั้งลูกขวางเราอยู่ เราจะย้ายมัน หรือเราจะย้ายตัวเราเอง คิดดูสหาย เราแค่มองอย่างเดียวพอแล้วภูเขานะ มันก็อยู่ของมันอย่างนั้น ไม่เห็นจะต้องไปวิจารย์อะไรมันมากเลยนี่ เพราะหุบเขาเกือบจะทุกลูกมันก็คล้ายกันไม่ใช่หรอสหาย? หุบเขาต่างมันต่างอยู่ คิดมากเครียดมาก และที่สำคัญกรรมาก เป็นคนเจ้าปัญหาไปเลย เยี่ยมจริงๆ อีกหน่อยสหายก็คงเปิดศูนย์บ่มเพาะปัญหาแห่งชาติได้เลยละผมว่าใช่แหมะ ยิ้มเห็นฟัน

May the Dhamma be with you. ขอธรรมจงสถิตอยู่กับเจ้า สหาย ยิ้มขยิบตา
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 12:56 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันไม่ใช่อย่างนั้นซิ สหาย ขำ ขำ ขำ ขำ ขำ อ้าวววว กลายเป็นห้องคอมมิวฯไปป่าวนี่ อย่าใช้คำว่าสหายเลยขอร้องคุณเศษฯ
มันก็จริงอยู่นะ ถ้าจะเปรียบดั่งภูเขา แต่ในโลกแห่งสังคมความเป็นจริงนั้น เมื่อเราเห็นอะไรมันเพี้ยน มันไม่ปกติ เราจะนิ่งเฉยเลยรึไง จะไม่หาคำตอบให้ชัด ไว้บอกลูกหลานหรือบอกตัวเองรึไง ไอ้จะไปบอกคนเหล่านั้นนะ มันคงยากแล้วล่ะ คงต้องปล่อยให้เป็นภูเขาให้เราเดินข้ามไปแหละ เราเองแค่เพียงหยุดมองสังเกตก่อนเดินข้ามภูเขาเหล่านี้ ก็เท่านั้นเอง
รู้ตัวไม่ใช่ไม่รู้ตัว ว่าการหยุดมองอะไรแล้วติมากพูดมากไป คนนอกจะมองว่าเราบ้าเจ้าปัญหา เครียดนะไม่เครียด เพราะไม่ใช่เรื่องของเราเลย เพียงแต่ งง นิดๆ กับสิ่งที่พบเจอ ที่จริงคนมันก็เหมือนละครโลกนึงจริงๆ บุญกรรมมีจริง นี่ไม่ใช่แค่เขียนมาดี ให้คุณๆอ่านแล้วว่ามีดี แต่นี่คือเรา
คงไม่เปิดศูนย์แน่นอน เปิดแล้วเหมือนสร้างกรรมเลว เพราะจะมีแต่คนเลว มารร้ายเต็มศูนย์แน่นอน ขำ ขำ ขำ ขำ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เศษพุทธทาส
บัวใต้น้ำ
บัวใต้น้ำ


เข้าร่วม: 08 เม.ย. 2007
ตอบ: 121

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 1:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืมขออภัยด้วยครับ แต่ประเด็นของผมก็คือไม่ต้องสังเกต ไม่ต้องข้าม ไม่ต้องไปจัดการอะไรกับมันหรอกครับ แต่ให้ข้ามตัวเรา สังเกตตัวเรา จัดการกับตัวเราครับผมที่ท่านว่าไว้ เพื่อไว้บอกลูกหลานและตัวเราเองแบบนี้นะครับ ส่วนเรื่องที่คุณงง ผมว่านะครับผมว่า อย่าเอาไปทำให้ลูกหลานปวดหัวเลยครับ ให้เขารู้แค่ว่า มั่นสร้างบุญกุศล เป็นเด็กดีต่อตนเองและผู้อื่นแค่นี้ก็พอแล้วครับ(ไม่ต้องคิดลึกอะไรนะครับ ผมไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น) ยิ่งฉลาดมากก็ยิ่งคิดมากยิ่งทุกข์มาก ถ้าคุณไม่เครียดจริงก็ดีครับ ผิดพลาดอย่างไรก็อภัยด้วยครับ สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่าจงโง่อย่างมีปัญญา น่าจะเป็นทางหนึ่งที่ลูกหลานต้องการรวมทั้งตัวผมด้วยครับ สาธุ สาธุ
 

_________________
ทำวันนี้ให้ดีและต้องรู้ไว้ว่า ทำดีเพื่อดี ทำหน้าที่เพื่อหน้าที่ อุปสรรคไม่มี บารมีไม่เกิด
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 3:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน คุณเศษฯค่ะ เข้าใจค่ะในความหมายของคุณ ที่ตามตอบนี่ ก็หนุกๆไปงั้นแหละ
ที่จริง มีเหตุ ต้องมีผล ใครมาบอกเราแต่ผล คุณไม่อยากรู้ว่ามาไงรึค่ะ
อย่างเรานะ ถ้าคนรักบอกเลิก เราต้องถามล่ะ เพราะไร ทำไม ถ้าเจอคนตอบมาไร้เหตุ เราถามไม่เลิกนะ รู้ว่างี่เง่า แต่มันอยากรู้ แต่ถ้าคนรักตอบมาคำเดียวว่า หมดรัก เหตุเพราะคนอื่นดีกว่าเด่นกว่า เราจะเลิกถามเลย เพราะรู้เหตุแล้วไง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นิด
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 7:19 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แม่ชีโกนหัวหรือปาวค่ะ
และเป็นเหมือนกันหมดเลยหรอค่ะคุณจิตงาม
ดิฉันยังไม่เคยเข้าอบรมเลย
เคยเห็นที่ไหนหรอค่ะ อยากรู้ด้วย
 
ยุ้ย
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 3:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณจิตงามคะ ดิฉันพอเข้าใจคุณ (แต่ไม่ทราบว่าจะเข้าใจถี่ถ้วนไปทุกอย่างหรือไม่ค่ะ) วันแรก ๆ ที่ดิฉันรักษาศีล 8 ที่วัด ขอยอมรับเลยค่ะ ว่า 3 วันแรก จะเป็นอะไรที่เราอึดอัดใจที่สุด เพราะท่านอาจารย์ท่านให้พูดน้อย กินน้อย นอนน้อย "แต่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้มาก" เพื่อสร้างบุญไงคะ
ช่วงแรกที่เข้าไปดิฉันต้องฝืนความรู้สึก เพราะดิฉันกินเก่ง พูดก็มาก อยากจะคุยกับคนอื่นทั่วไปหมดแหละค่ะ แล้วก็ต้องปล่อยวางภาระปัญหาที่บ้านให้หมด มีสติคิดถึงปัจจุบันเสมอ
อยู่ 3 วันแรกยอมรับว่าอยู่แทบไม่ได้เลยค่ะ ต้องเข้าหาท่านอาจารย์ถามข้อสงสัย "การถามข้อสงสัยทางธรรมไม่ถือว่าพูดมากนะคะ" เพราะเราต้องการความกระจ่างทางธรรมค่ะ
และที่สำคัญก็คือ ห้ามเพ่งโทษคนอื่น ไม่งั้นจิตไม่สงบหรอกค่ะ
 
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 6:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ใช่โกนหัวค่ะ แล้วก็ยังไม่เคยบวชฯเหมือนกัน
แค่ไปวัดไปเจอ เห็นอาการคนเหล่านี้ มันแปลกๆ แทนที่จะสงบ ฉายด้วยแววเมตตา ต่อสรรพสัตว์ แต่นี่อะไร เหมืนคนบ้าบุญหลงบุญไปโน่นเลย
การพูดน้อน กินน้อย นอนน้อย ในทางวิทย์ฯ มันเป็นเรื่องมีเหตุผลเข้ามาเช่นกัน พูดมาก เดี๋ยวเป็นบ่อแห่งการเกิดเรนื่องร้อนใจ กินมาก ทำให้เกิดความอ้วน อึกอัด สมธิขาด นอนน้อย ทำให้ร่างกายตื่นไม่เพลียขี้เกียจขี้เซา
แต่นี่ ไม่พูด ทำไมต้องฉายแวว หน้าบึ้งตึง ต่อคนอื่นที่เดินผ่านไปมา หรือ ใครยิ้มให้ พี่ก็ตึง ที่จริง ถ้าจะส่งฉายแววเมตตามาทางสายตา ยิ้มที่มุมปากนิดพองาม จิตก็สั่งมาทั้งนั้นนะว่าคุณเมตตาต่อสัตว์ แบบนี้ผิดทางธรรมรึ อยากรู้จัง
(ไม่ใช่ นิ่งซะบึ้ง แนวว่าถ้าไม่ห่มขาวด้วยกันฉันไม่คุย ไม่ยุ่ง ไม่รับรู้ กลัวศีลหลุด บุญจะขาดงั้นเชียว แล้วจะไปบวชฯทำไมนี่ )
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
panda
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 17 เม.ย. 2007
ตอบ: 2

ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 8:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

นี่คุณก้อสงสัยมิใช่หรือถึงถาม จุดประสงค์คืออะไรมิทราบ ว่าไงคะ คุณจิต- - - -
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สมพร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 18 เม.ย.2007, 10:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นบางที่ที่ไม่ให้พูดมาก จะได้เอาจิตเราไปอยู่กับลมหายใจ หรืออยู่กับ อนุสติ นึกถึงความดีอย่างไดอย่างหนึ่ง จิตจะได้เป็นสมาธิ บางที่ก็ไม่มีอะไรมาก แค่ให้อยู่ในศิล สวดมนต์ ภาวนา พูดคุยได้ ผมไปที่วัดป่าธรรมชาติ ไปทำมาสามวัน รู้สึกดีครับ ปฏิบัติแบบสบายๆ
 
Atago
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 เม.ย.2007, 7:08 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ธรรม ไม่ทำ ไม่ธรรม ทำ
 
กุหลาบสีชา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 28 เม.ย.2007, 10:21 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถ้าบุคลิกแปลกๆ หมายถึง แปลกไปจากบุคลิกของปุถุชนซึ่งเป็นฆราวาสที่ใช้ชีวิตโลดแล่นไปตามแรงโน้มนำของกิเลสล่ะก็ใช่ แต่ไม่ใช่อาการแปลกที่ฝืน หรือผิดไปจากธรรมชาตินะ

การยึดวัตรปฏิบัติ กินน้อย พูดน้อย และลำรวมทั้งกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม เป็นสิ่งที่นักบวชเนกขัมมภาวนาซึ่งนุ่งขาวห่มขาว และถือศีล ๘ พึงปฏิบัติ

เรื่องนี้มีเหตุผลมารองรับอยู่ในศีลที่พึงรักษาอยู่แล้ว

เนกขัมมะ หมายถึง การออกจากกาม หมายถึงการถือศีล ๘ นั่นคือศีล ๕ (ที่ข้อ ๓ ปรับจากกาเมสุมิจฉาฯ เป็นอพรัมจริยา ถือเพศพรหมจรรย์ ไม่มีสามี และภรรยา) บวกศีลอีก ๓ ข้อนอกเหนือศีล ๕ นี้ มีไว้ให้ฝึก ลด ละ เลิก "กามฉันทะ" หรือ ความพอใจในกาม อันเป็นกิเลสร้อยรัดที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมขั้นสูงต่อไป ได้แก่

วิกาละโภชนา เวระมณีสิกขาปทัง สมาทิยามิ

งดเว้นการบริโภคอาหารหลังเที่ยง

หมายความว่า ผู้ถือศีล ๘ นั้นบริโภคอาหารได้ ๒ มื้อ เพราะหากบริโภคมากเกินไป โดยเฉพาะในมื้อเย็น ร่างกายจะต้องทำงานหนักเพื่อการเผาผลาญ ก่อให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งเป็น อุปสรรคต่อความเพียรในการปฏิบัติธรรม

นัจจะคีตะ วาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปนะ มัณฑนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมณีสิกขาปทัง สมาทิยามิ

งดเว้นการตกแต่งร่างกายใบหน้าด้วยเครื่องหอม เครื่องประดับตกแต่งให้งาม และงดการชม ฟังมหรสพ การดนตรีอันทำให้เกิดกิเลสทั้งปวง

อุจจาสะยานะ มหาสะยานา เวระมณีสิกขาปทัง สมาทิยามิ

งดเว้นการนอนบนที่นอนที่เป็นฟูกนุ่ม

นี่จึงเป็นเหตุผลที่กินได้ แต่ควรกินน้อย
พูดได้ แต่ควรพูดน้อย เพื่อสำรวมระวังวาจา ไม่คลุกคลี หากจำเป็นต้องพูดคุยกัน ควรพูดคุยแต่เรื่องทางธรรมเพื่อจรรโลงจิต จิตจะได้ไม่แส่ส่ายไหลลงไปในเรื่องอันเป็นกิเลสของปุถุชน

ถ้าปฏิบัติถูกต้องอย่างเข้าใจ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง ไม่เคร่ง
เพราะธรรมะ คือ ธรรมชาติ

ส่วนที่กล่าวว่า
"จากที่สังเกตมา สาเหตุของคนที่เข้าบวชนั้น เพราะ ผิดหวังในชีวิตทั้งนั้น ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องความรัก บางคนโลภ หวังบุญเสริมก็มี ที่เข้าบวชเพื่อเรียนรู้จริงๆ ในการให้เกิดสมาธิ ปัญญา ชั่งน้อยจริงๆ ส่วนใหญ่หวังบุญมาลบกรรม"

นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะน้อยคนนักที่อยุ่ในสภาวะสุข แล้วจะเห็นธรรม
ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงต้องประสบทุกข์ก่อน แล้วจึงเห็นธรรม

แต่ก็เป็นสิ่งที่ควรแก่การรอนุโมทนามิใช่หรือ ที่เขาและเธอได้พบ และเริ่มเดินไปตามทาง
สว่างนั้น

สุดท้าย
"การที่เราอยากบวช สิ่งที่อยากได้คือสมาธิ ปัญญาซึ่งเขาบอกจะตามมาทีหลัง สองอย่างนี้อยากได้มาก จิตสงบแค่นี้พอแล้วมั้ง บุญจะเกิด เขาเกิดเอง เบื้องบนท่านจะประทานมาหรือไม่ท่านดูที่คน เราคิดแบบนี้แหละ"

บวชก็ดี ไม่บวชก็ดี สามารถปฏิบัติให้เกิดซึ่ง สติ สมาธิ และปัญญาในที่สุดได้ แต่ถ้าบวช ไม่ว่าจะถือศีล ๘ หรือ ๒๒๗ ข้อ ย่อมเอื้อแก่การชำระกิเลสหยาบและละเอียด มากกว่า เพราะศีลเป็นเสมือนบาทฐานของสมาธิ และปัญญา

แค่คิดจะบวชก็ขออนุโมทนาแล้ว แต่ถ้าทำจริงด้วยหลังคิด อานิสงส์จากกุศลกรรมนี้ก็จะเกิดขึ้นเต็มที่จากเจตนาอันดีและการลงมือปฏิบัติจริง

เบื้องบนมีหรือไม่ เคยประทานให้ใครรึเปล่าไม่รู้

รู้แต่ว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม และตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ทำเอง จึงจะรู้เอง เข้าใจเอง โดยปราศจากอคติ และไม่ต้องผ่านการวิพากษ์ใคร ยิ้ม
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 06 พ.ค.2007, 2:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มองคนแบบพุทธ คือมองว่า บุคคลท่านนี้กระทำกิจวิชชา บุคคลท่านนี้กระทำกิจอวิชชา

ไม่ควรมองคนด้วย อุปาทาน ของตนเอง เพราะ อุปาทาน ของตนอาจทำให้ วิชชา ถูกบิดเบือน
 
แก้ว
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 พ.ค.2007, 5:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตดี ก็มองโลกในแง่ดี มองคนบ้ายังมีความดีอยู่

คุณจิตงาม แต่ตรงกันข้ามเลย แสดงว่าคุณปฏิบัติไม่ได้จริงๆ แหล่ะ

จิตคุณส่งออก มองนอก มองใน มองคนโน้น ติฉิน นินทา คนนี้ คุณนั้นแหล่ะ ที่ส่งจิตออกนอกตลอดเวลานาที หลวงพ่อจรัลบอกว่า..คนแบบคุณน่ะ มาปฏิบัติกรรมฐาน ไม่ได้บุญ แถมได้บาปอีกด้วย ขาดทุนลูกเดียว อุตส่าห์มาแต่เอาอะไรไปไม่ได้เลย เป็นคนเลาะและ ไม่เอาไหน พวกนี้มีแต่เสีย ขาดทุน บุญไม่มี บารมีก็ไม่ได้ เสียเวลาเปล่า ไม่ได้อะไรเลยยยยยยยย...ทำบุญให้พวกผี ผีก็ไม่รับน่ะ หลวงพ่อบอก เขาไม่เอาหรอก เพราะอะไรน่ะหร๋อ เพราะตัวคุณเองทำกรรมฐานยังไม่เกิดบุญเลย แล้วจะเอาบุญที่ไหนไปส่งให้เขาล่ะ

คนที่ตั้งใจปฏิบัติเขาจะไม่ส่งสายตาออกห่าง 1 เมตรหรอกน่ะ และเขาพยายามกำหนดรู้ตลอดเวลานาที แม้จะเดิน ยืน นอน นั่ง เขาจะสำรวมกิริยา กาย วาจา ใจ ดิฉันว่า..มองแล้วงามจะตายไป คนที่ตั้งมั่นในการปฏิบัติน่ะ เขางามจริงๆ เชียวล่ะ งามภายนอก และงามภายใน มองแล้วดิฉันว่า..เขาเหมือนเทวดาน้อยๆ เชียวน่ะ ดิฉันก็จะยกมือโมทนา..สาธุ ที่เขาทำอยู่ถ้าได้พบเจอ

ก่อนเข้าวัดปฏิบัติธรรมฐาน หลวงพ่อมักจะบอกให้บอกคนที่บ้าน เจ้าหนี้ เจ้านาย ให้เขารู้ว่าเราไปเข้ากรรมฐาน และตัดบริโภคกังวลให้หมด เมื่อเข้าวัดแล้วก็ไม่ควรเปิดโทรศัพท์ คุยกะคนนั้น โม้กะคนนี้ ตั้งใจปฏิบัติจริงๆ ดิฉันเองไปเข้าวัดปฏิบัติก็จะบอกสามี+ลูก โทรศัพท์ก็ไม่เอาไป ไปเพื่อทำจริงๆ จังๆ เอาบุญมาให้ลูก+สามี+เจ้านาย+เพื่อนที่ทำงาน มีความสุขออกจะตาย

คุณจิตงาม..ควรรู้ ข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ก่อนเข้ากรรมฐานน่ะว่า สิ่งใดที่ควรละ ควรวาง ก่อนถือศีล
 
ฌาณ
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 23 ก.ค. 2008
ตอบ: 1145
ที่อยู่ (จังหวัด): หิมพานต์

ตอบตอบเมื่อ: 11 ก.ย. 2008, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้
 

_________________
ผมจะพยายามให้ได้ดาวครบ 10 ดวงครับ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง