Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เมื่อคุณพ่อของข้าพเจ้าเป็นเปรต ! (นก พระโขนง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อคุณพ่อของข้าพเจ้าเป็นเปรต !
โดย...นก พระโขนง

จากหนังสือ “กรรมกำหนด” เล่ม ๕


ดิฉันอ่านกรรมกำหนดมาหลายเล่มติดต่อกัน
และได้ส่งเรื่องจริงที่เกิดกับตัวดิฉันมาให้คุณพิจารณานำลงตีพิมพ์
แม้ผู้ที่ได้รับกรรมจะเป็นคุณพ่อของดิฉันเอง
แต่ดิฉันก็ยินดี ให้เรื่องเป็นอุทาหรณ์แก่คนทั้งหลาย เพื่อให้หยุดทำกรรม
กุศลนั้นจะได้ผ่อนกรรมของคุณพ่อดิฉัน ให้เบาลงไปบ้างไม่มากก็น้อย
แต่ต้องสงวนชื่อและที่อยู่ไว้ ใช้นามแฝงลงแทน
แต่ดิฉันรับรองว่าเป็นเรื่องจริงทุกตัวอักษร


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รกรากเดิมของดิฉันอยู่ติดกับ วัดตะเคียน
หรือที่เรียกกันว่า วัดมหาพฤฒาราม ในปัจจุบันนี้เอง
ดิฉันจำความได้ก็เห็นคุณแม่กับคุณพ่อ
ช่วยกันลงไปหากุ้งและจับปลาในแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นประจำ
รายได้นั้นก็เลี้ยงดูดิฉันกับน้องๆ ให้เจริญเติบโตขึ้นมาอย่างไม่อดไม่อยาก
และส่วนหนึ่งก็นำมาทำอาหารให้ดิฉันกับน้องๆ กินอย่างอิ่มหมีพีมัน

คุณพ่อของดิฉันท่านไม่ชอบทำบุญสุนทาน
ผิดกับคุณแม่ของดิฉัน ท่านทำบุญเป็นประจำ
ท่านกล่าวกับดิฉันว่า “แม่ฆ่าปลาฆ่ากุ้งมามาก เพื่อเอามาเลี้ยงชีวิต
แม่ต้องทำบุญอุทิศกุศลไปให้พวกมันบ้าง มันจะได้รับกุศล
แล้วจะได้ไปเกิดเป็นอย่างอื่น หรือเป็นคนได้บ้าง”


ส่วนคุณพ่อของดิฉันท่านไม่ชอบทำบุญสุนทาน
และดิฉันก็พลอยเห็นดีกับคุณพ่อระยะหนึ่ง
คือ ไม่ยอมไปวัด ไม่ยอมทำบุญ
เพราะเห็นว่ายุ่งยาก และไม่น่าจะใส่ใจ
พอดิฉันอายุได้ประมาณ ๑๓ ขวบ คุณพ่อก็เริ่มป่วย
ดิฉันยังไม่เข้าใจอะไรมากนัก
และต้องคอยปรนนิบัติคุณพ่อเท่าที่จะทำได้


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณพ่อมีอาการป่วยประหลาด มีเลือดไหลออกมาทางช่องหู
ครั้งละนิดละหน่อย และบางครั้งก็มาก
เมื่อเลือดออกมาก็ต้องช่วยกันล้างช่องหู เพราะเลือดจะกรังจุกรูหู
เลือดออกมาเข้าก็มีอาการป้ำๆ เป๋อๆ พูดจาไม่ค่อยจะรู้เรื่อง
ตอนแรกก็กินข้าวได้บ้างแต่ตอนหลังไม่ยอมกิน
พอเอาไปให้ก็นั่งดูเฉยๆ
พอเห็นว่าคนเผลอ คุณพ่อก็จะหว่านลงไปบนดินจนหมด
คุณแม่ก็ต้องคอยนั่งเฝ้า พอเผลอคุณพ่อก็เอาข้าวหว่านลงไปบนดินหมด
หว่านแล้วก็นั่งยิ้มไปยิ้มมา
วันหนึ่งดิฉันถามคุณพ่อด้วยความสงสัย เพราะเห็นท่านมีอาการดีขึ้น

“คุณพ่อหว่านข้าวสุกลงไปบนดินทำไมคะคุณพ่อ”
ท่านหันมามองดิฉันแวบหนึ่ง แล้วก็ฝืนตอบออกมาว่า


“ให้อ้ายพวกกุ้งพวกปลามัน มันมาว่ายอยู่ใต้ถุนเต็มไปหมด
มันหิว มันอ้าปากชูหนวดกันสลอนไปหมด พ่อกินไม่ลง
ต้องแบ่งให้มันกินให้ทั่ว ในครัวยังมีข้าวไหมล่ะ
เอามาหว่านอีก มา มันยังอยู่โน่นแน่ะ
ไม่เชื่อก็ไปดูซี แต่ค่อยๆ นะ มันจะดำน้ำหายไปหมด”


ดิฉันไปดูที่คุณพ่อหว่านข้าว ก็เห็นเป็นพื้นดินธรรมดานี่แหละ
ไม่เห็นจะมีปลามีกุ้งที่ตรงไหน ดิฉันก็แอบมาบอกคุณแม่
คุณแม่ท่านทำตาแดงๆ กอดดิฉันไว้ แล้วก็บอกว่า

“กรรมของพ่อเจ้าเขามาทวงหนี้กรรมแล้ว เข่นฆ่าเขามามาก
ไม่ทำบุญอุทิศให้เขาบ้าง เขาก็เลยมาทวงเอา
เฮ้อ เราคงจะลำบากกันหน่อยนะ ถ้าพ่อเกิดตายลงล่ะก็”


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาการป่วยของคุณพ่อไม่ดีขึ้น แม้ไม่ได้กินข้าว
แต่คุณพ่อก็ยังมีอาการทรง และคอยเอาข้าว
ไปโปรยให้ปลากุ้งกินอยู่เป็นประจำ
ตอนหลังมานี่คุณพ่อก็มีอาการพิกลอีก

กล่าวคือ มีมดมาคอยกัดท่านตรงโคนขา
แม้จะคอยปัดคอยไล่ แต่มันก็ยังคงกัด
และกัดอยู่ซ้ำกันตรงโคนขา เหมือนมันจงใจจะกัดตรงนั้น

พอเผลอมันก็รวมกันกัด ไล่ไปมันก็กัดอีก
ผิวหนังถลอกเป็นแผล พอเกาเข้าก็เป็นน้ำเหลืองพุพอง
ท่านทรมานมากขึ้นทุกวัน และในที่สุดท่านก็ถึงแก่ความตาย
ตอนที่ท่านตาย เปิดผ้าห่มดู มดยังกัดติดอยู่เลยค่ะ
ดิฉันยังจำภาพนั้นได้ พอคุณพ่อสิ้นใจแล้ว
มดมันก็พากันหลีกออกไป เหมือนมันจะมีสัมผัสวิเศษว่า
เหยื่อของมันนั้นสิ้นลมหายใจแล้ว

ศพของคุณพ่อได้รับการนำไปประกอบพิธีที่วัดปทุมคงคา
โดยสวดเพียงสามคืนแล้วก็เผา เจ็ดวันหลังจากที่เผาศพคุณพ่อแล้ว
ดิฉันกับคุณแม่ก็ได้ยินเสียงประหลาดดังอยู่ทุกคืน
มันดังอย่างนี้ค่ะ

“วีด วีด วี๊ด วี๊ด วิ๊ว.....”

มันจะค่อยๆ ดังขึ้นๆ จนถึงวี๊ดสุดท้าย
จะดังก้องและบาดลึกเข้าไปในโสตประสาท
มันไม่ใช่เสียงนกหวีด แต่แหลมเล็กกว่านกหวีดเสียอีก
เจ็ดวันเจ็ดคืนเต็มๆ ที่ดิฉันกับคุณแม่ต้องทนฟังเสียงแหลมนั้นอยู่

เช้าวันที่แปด คุณแม่จึงได้ไปกราบเรียนท่านสมภารวัดมหาพฤฒาราม
พระองค์นั้นท่านทรงคุณทางวิปัสสนา
ท่านได้นั่งทางในสักครู่ ก็ลืมตาขึ้น แล้วกล่าวกับคุณแม่ของดิฉันว่า

“โยมผู้ชายเขาติดกรรมที่เขาทำไว้เมื่อตอนมีชีวิต
เขาอยู่เปตภูมิ เป็นเปรตและอดอยากมาก
เลยมาร้องของส่วนบุญจากโยม
เขาทำได้ก็แค่ส่งเสียงเท่านั้น
ใครที่เขาต้องการจะให้ได้ยิน ก็จะได้ยิน”


“ทำอย่างไรเล่าคะหลวงปู่”

“ทำสังฆทานอุทิศให้เขาซีโยม ทำให้ถูกต้อง
ยกกุศลให้เขา เขาจะได้ไปตามทางของเขา
ไม่มาเป็นเปรตขอส่วนบุญอีกต่อไป”


คุณแม่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
แล้วบอกกับดิฉันว่า กรรมจริงๆ
พ่อของเจ้ายังไม่หมดกรรม ไปเป็นเปรต
แล้วคุณแม่ก็ทำสังฆทานอุทิศให้นั่นแหละ
เสียงประหลาดจึงเงียบไป ไม่กลับมาให้ได้ยินอีกเลย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณแม่ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
แล้วบอกกับดิฉันว่า กรรมจริงๆ
พ่อของเจ้ายังไม่หมดกรรม ไปเป็นเปรต
แล้วคุณแม่ก็ทำสังฆทานอุทิศให้นั่นแหละ
เสียงประหลาดจึงเงียบไป ไม่กลับมาให้ได้ยินอีกเลย

ดิฉันเชื่อแล้วว่ากรรมมีจริง
และที่ว่าเปรตมาขอส่วนบุญนั้นจริงแท้แน่นอน
แต่ทำไมจึงต้องเป็นคุณพ่อของดิฉันด้วยเล่าคะ


ทุกวันนี้ดิฉันไม่ทำบาปเลย สัตว์เป็นๆ ก็ไม่กิน
ปลาก็ซื้อที่มันตายแล้ว กุ้งตามภัตตาคารที่มันสดๆ เอามานึ่ง
ปลาช่อนสด ปลาบู่สด เอามาทำแป๊ะซะไม่เคยสนใจ
เพราะเห็นว่า เปรตคุณพ่อทรมานอย่างไร


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ครับ เมื่อได้อ่านประสบการณ์ของคุณนก พระโขนง ไปแล้ว
ผมก็เลยขอถือโอกาสพูดถึงเรื่องเปรตให้ได้เข้าใจกันไว้ว่า
เปรต นั้นคืออะไร ในพระอภิธรรมปิฎกกล่าวถึงเปรตไว้ว่า

“เปรตเป็นสัตว์อยู่ในภูมิที่เรียกว่า เปตภูมิ
มีความเดือดร้อนเพราะความหิวโหย ผิดกับสัตว์นรก
ซึ่งเดือดร้อนเพราะถูกทรมาานจากกรรมที่ทำไว้
คำว่า เปตะ หมายถึง ผู้ห่างไกลจากความสุขทั้งปวง


เปรตมีที่อยู่อาศัยทั่วไป เช่น ป่าเขา ภูเขา เหว เกาะแก่ง
ทะเล มหาสมุทร ป่าช้า เป็นอาทิ
เปรตมีความสามารถเนรมิตกายได้หลายอย่าง
อาทิ เป็นฝ่ายที่น่าพอใจ เช่น แปลงเป็นเทวดา
มนุษย์ชายหญิง ดาบส พระ เณร ชี เป็นอาทิ

ถ้าเป็นฝ่ายน่าสยดสยอง ก็เนรมิตเป็น สัตว์ต่างๆ
หรือบิดเบือนให้มีรูปร่างอันน่าสะพรึงกลัวแก่ผู้พบเห็น
บางครั้งก็ปรากฎเป็นแสง เป็นร่างเลือนลาง เป็นสีดำ

เปรตเหล่านั้น เมื่อหิวหนักเข้า ก็ไปกินเศษอาหารที่เขาทิ้งแล้ว
กินของโสโครกต่างๆ เปรตบางจำพวก ไม่หิวเปล่า
เสวยทุกขเวทนาเหมือนสัตว์นรกพร้อมกันไปด้วย

เปรตยังแบ่งออกเป็น ๔ จำพวก ได้แก่

๑. ปรทัตตูปชีวิกาเปรต
(อ่านว่า ปอ – ระ- ทัด - ตู – ปะ – ชี – วิ – กา – เปด)
เปรตพวกนี้ เลี้ยงชีพด้วยส่วนบุญของผู้อื่น ให้ด้วยการเซ่นไหว้

๒. ขุปปีปาสิกเปรต
(อ่านว่า ขุบ – ปี – ปา – สิก –กะ เปด)
เปรตพวกนี้ อดอยาก หิวโหย หิวข้าว หิวน้ำ เป็นนิจ

๓. นิชฌามตัณหิกเปรต
(อ่านว่า นิด – ชา – มะ – ตัน – หิก – กะ – เปด)
เปรตพวกนี้ถูกเผาไหม้ด้วยไฟตลอดเวลากาล

๔. กาลกัญจิกเปรต
(อ่านว่า กา – ละ – กัน – จิก – กะ – เปต)
เป็นอสุรกาย หรือ พวกยักษ์บางจำพวก ที่มาเป็นเปรต


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 16 มี.ค.2007, 6:18 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 16 มี.ค.2007, 6:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อมีปัญหาถามว่า เปรตทั้งสี่จำพวกนี้
พวกไหนบ้างที่จะทำบุญอุทิศ หรือ เซ่นไหว้
ท่านแก้ไว้ในพระบาลีว่า

เปรตสี่จำพวกนั้นมีเพียง “ปรทัตตูปชีวิกาเปรต” เท่านั้นที่จะรับได้
เพราะอยู่ใกล้ภูมิมนุษย์มากที่สุด
ถึงกระนั้นก็ต้องคอยเงี่ยโสตสดับการอุทิศกุศลอยู่เสมอ
เพราะถ้าไม่คอยฟัง ไม่ได้ยินเขาอุทิศให้ก็อด
เรียกว่า ถ้าเขาอนุโมทนาแล้วไม่ได้ยิน ก็ไม่ได้รับ

เปรตดังกล่าวนั้น เกิดขึ้นในบริเวณบ้านเรือนของบุคคลต่างๆ
เช่น คนเราเมื่อใกล้ตาย มีความห่วงอาลัย
ในทรัพย์สินเงินทอง ลูกเมีย ญาติสนิท มิตรสหาย ฯลฯ
เมื่อตายแล้วก็อุบัติเป็นเปรตอยู่ในปริมณฑลของเคหะสถานนั้น
และสามารถแสดงตนให้ปรากฏแก่ญาติและคนอื่นได้
ส่วนใหญ่เรียกกันว่า “ผีเปรต” นั่นเอง


ดังนั้น เปรตคุณพ่อของคุณนก ก็เป็นปรทัตตูปชีวิกาเปรต
และเมื่อได้รับกุศลไปแล้ว ก็สามารถออกจากบ้านเรือน
และปริมณฑลในบ้านที่สิงสถิตอยู่
ไปยังภพภูมิที่เรียกว่า เปตภูมิ หรือ ไปยังภพภูมิอื่น
เช่น เดรัจฉาน, นรก, สวรรค์ ฯลฯ หรือ มาเกิดใหม่เป็นมนุษย์
สุดแท้แต่กรรมที่ตนได้ก่อไว้
เมื่อพ้นไปแล้ว ก็ไปลับ และไม่กลับมา
ให้พบเห็นหรือส่งเสียงให้ได้ยินอีกต่อไป


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

คัดลอกจาก...
http://www.lekpluto.com/index02/kram/kram01_004.htm

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ศิษย์น้อย อ.เทวดา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 มี.ค.2007, 11:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ได้อ่านเรื่องราวกฎแห่งกรรมแล้ว จึงได้นำเรื่องเปตติวิสยภูมิมาเพิ่มเติมให้กับผู้อ่านได้รู้ถึงรายละเอียดยิ่งขึ้นค่ะ
ต้องขอขอบคุณ เวปธรรมะ www.mindcyber.com ที่ได้จัดทำและเผยแพร่ธรรมะผู้ใดสนใจเข้าไปอ่านได้ค่ะมีอีกหลายเรื่องมากมายที่เป็นหลักธรรมะนำไปใช้ได้ถูกต้อง
การให้ธรรมะทาน เหนือกว่าการให้ทานทั้งปวง

สาธุ

ชีวิตในโลกเปรตต่าง ๆ

โลกใหม่ที่บุคคลผู้มีกรรม ซึ่งผลวิบากอกุศลกรรมชักนำให้ไปเกิดกล่าวคืออบายภูมิโลกเปรตนั้น มันหาใช่มีสภาพเหมือนกับมนุษย์โลกที่เขาเคยอยู่ไม่ เพราะโลกเปรตนี้เป็นโลกที่มีความชั่วร้าย ไม่น่าอยู่อาศัยเป็นโลกที่ห่างไกลจากความสุขความสบาย
ความจริงสัตว์ที่ไปเกิดในโลกเปรตนี้ แม้แต่ความทุกข์ความเดือดร้อนน้อยกว่าสัตว์ในโลกนรกก็ตามถึงกระนั้นก็มิได้หมายความว่าเขาจะเป็นสัตว์ที่ได้รับความสุข โดยที่แท้ยังห่างไกลจากความสุขสบายอยู่เป็นอันมาก เพราะฉะนั้น ท่านจึงบัญญัติชื่อเรียกโลกเปรตนี้ว่า เปตติวิสยภูมิ - ภูมิเป็นที่อยู่ของสัตว์เหล่าที่ห่างไกลจากความสุขสบาย
ชีวิตในโลกเปรต
เมื่อจะกล่าวถึงชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์ในเปรตวิสยภูมิ หรือโลกเปรตแล้ว เปรตทั้งหลายย่อมมีชีวิตความเป็นอยู่กันออกไปมากมายหลายประเภท สุดแต่อำนาจแห่งอกุศลกรรมที่ตนทำไว้จักบันดาลให้เป็นไป ในที่นี้จักขอกล่าวถึงเปรตประเภทใหญ่ ๆ ซึ่งมีรายชื่อปรากฏในคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ดังต่อไปนี้

๑ . วิชชาตเปรต
เปรตพวกนี้นับว่าเป็นเปรตชั้นผู้ใหญ่ เป็นเปรตชั้นดีมีฤทธิ์มาก ตั้งอยู่ในฐานะเป็นดุจดังพญาเปรต ทั้งนี้ก็เพราะตนเคยเป็นผู้ที่พอจะรู้จักพระจตุราริยสัจธรรม แต่ไม่นำพาไม่สนใจปฏิบัติให้ถึง จึงมีความมัวเมาประมาท ทำทุจริตผิดพลาดประกอบอกุศลกรรมไว้ในปางก่อน จึงต้องมาเสวยวิบากแห่งกรรมเกิดเป็นเปรตอยู่ในเปรตวิสัย ก็เปรตพวกนี้ย่อมมีปรกติอยู่ในแดนของเขาซึ่งตั้งอยู่เหนือโลกนรกขึ้นมา
อยู่กันแต่เฉพาะพวกเขาเท่านั้น เปรตพวกอื่นจะเข้าไปอยู่อาศัยปะปนด้วยไม่ได้ มีชีวิตเสวยกรรมเป็นเปรตอยู่อย่างนี้สิ้นกาลช้านาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ทำไว้ จึงจะถือกำเนิดในภูมิอื่นต่อไป

๒. วันตาสาเปรต
เปรตพวกนี้มีรูปร่างชั่วร้ายน่าเกลียด มีสถานที่อยู่ไม่แน่นอน ปรากฏว่าได้เสวยทุกข์เวทนามีความอดอยากความหิวโหยเป็นกำลัง
บางครั้งพาสังขารเซซังมาสู่แดนมนุษย์ เห็นมนุษย์ทั้งหลายขากถ่มเสลดน้ำลายออกมา เปรตเหล่านี้ต่างก็พากันดีเนื้อดีใจ รีบตรงไปก้มหน้าลงดูดเอาโอชะแห่งเสลดน้ำลายของมนุษย์เหล่านั้น ได้กินเป็นอาหารหน่อยหนึ่ง แล้วก็หิวโหยต่อไปอีกตามเดิม มันต่างพากันเที่ยวเดินโซซัดโซเซเสวยทุกขเวทนาโดยการเสวงหาเสลดน้ำลายกินเป็นอาหารอยู่อย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๓. กุณปขาทาเปรต
เปรตประเภทนี้มีรูปร่างน่าเกลียดพิลึก มีสถานที่อยู่อันแน่นอนมิได้อีกเช่นกัน บางวันก็เที่ยวเพ่นพ่านเข้ามาถึงแดนมนุษย์เที่ยวซอกซอนหาซากอสุภะกินเป็นอาหาร
ครั้นเห็นซากอสุภะของมนุษย์ของสัตว์ที่กระทำกาลกิริยาแล้ว และกำลังเปื่อยพังเน่าเหม็นอย่างร้ายกาจเหลือหลาย เขาเหล่านั้นต่างพากันดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งตรงเข้าไปก้มลงดูดโอชะอันเน่าเหม็นจากซากอสุภะนั้นกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณ
ได้เสวยทุกขเวทนาอย่างนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๔. คูถขาทาเปรต
เปรตประเภทนี้รูปร่างน่าเกลียดน่าชัง มีกลิ่นเหม็นสาบเหม็นสางน่าอิดสะเอียนเป็นที่สุด เมื่อเที่ยวสะเปะสะปะมาถึงแดนมนุษย์ในบางครั้งแล้ว ครั้นเห็นมูตรคูถคืออุจจาระปัสสาวะที่มนุษย์ถ่ายทิ้งไว้ ก็พากันดีเนื้อดีใจ ยิ่งมีกลิ่นเหม็นคลุ้งไป เพราะถ่ายไว้หลายวันหมักหมมไว้นานเป็นกองโตใหญ่ ก็ยิ่งชอบใจวิ่งรี่เข้าไปกองคูถมีกิริยาดุจสุนัขโซเห็นกองคูถกินเป็นอาหารด้วยความหิวโหยสุดประมาณต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีคูถมูตรเป็นอาหารอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้
เปรตกินอสุจิคือของไม่สอาดทั้ง ๓ จำพวก ซึ่งได้แก่วันตาสาเปรต เปรตกินเสลดน้ำลายของมนุษย์ ๑ กุณปขาทาเปรต เปรตกินซากอสุภะที่มีกลิ่นเน่าเหม็น ๑ คูถขาทาเปรต เปรตกินมูตรคูถที่มีกลิ่นเหม็นร้ายแรง ๑ ดังกล่าวมาแล้วนี้ บางทีท่านก็เรียกว่าเป็น "ปีศาจ" เพราะมีความหิวโหยเป็นกำลัง ทั้งมีปรกติเกิดในอสุจิไม่สอาดทั้งบริโภคของอสุจิไม่สะอาดอยู่เป็นเนืองนิตย์ โดยธรรมดาเป็นอาทิสมานกาย คือมีกายไม่ปรากฏในสามัญจักษุของมนุษย์ทั้งหลาย นอกจากตนต้องการจะแสดงให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งคราวเท่านั้น

๕ อัคคีชาลมุขาเปรต
เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซสกปรกนักหนาที่ได้รับการตั้งชื่อว่าอัคคีชาลมุขาเปรต ก็เพราะเหตุที่เขาเหล่านนั้นถูกอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้มีเปลวไฟแลบออกมาจากปาก ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
ไฟเปรตไหม้ปากและลิ้นได้รับความทุกข์ทรมานเจ็บปวดแสบร้อนอย่างแสนสาหัส ครั้นทนไม่ได้ก็วิ่งร้องลั่นไปในเปรตวิสัย มันวิ่งร้องครางไปไกลตั้งร้อยโยชน์พันโยชน์ ไฟเปรตเวรกรรมนั้นก็หาดับไม่ มิหนำซ้ำไฟจัญไรกลับทวีความร้อนแรงเผาปากและลิ้นให้ได้รับความปวดร้าวหนักเข้าไปอีก
ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีเปลวไฟเผาลนปาก และวิ่งร้องลั่นไปในแดนเปรตอย่างเพ่นพ่านอยู่เช่นนี้นานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนได้ทำไว้

๖ . สูจิมุขาเปรต
เปรตประภทนี้มีรูปร่างแปลกพิกล คือ มีเท้าทั้งสองข้างใหญ่โต ท้องเท่าภูเขามีคอยาวมาก แต่มีปากเล็กเท่ารูเข็มเท่านั้น ได้อาหารตามวิสัยเปรตแล้ว กว่าจะบริโภคได้แต่ละมื้อแต่ละครั้งนั้นยากนักหนา ไม่พออิ่มไม่พออยาก เพราะเหตุที่ตนมีปากเล็กเท่ารูเข็ม อาหารไม่อาจจะผ่านช่องปากเข้าไปได้โดยง่ายเลย
ต้องเสวยทุกขเวทนาได้รับความลำบากเหลือหลาย มีรูปกายผอมโซแลดำเกรียม แลดูน่าเกลียดน่าชังสุดประมาณ ต้องเป็นเปรตหิวโหยเพราะอดอยากอาหารอยู่อย่างนี้มานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๗ . ตัญหาชิตาเปรต
เปรตประเภทนี้มีรูปร่างผอมโซเช่นเดียวกับเปรตประเภทอื่น เพราะความอดอยากโดยมาก ที่ได้ชื่อว่าตัญหาชิตาเปรตก็เพราะเหตุที่มีความอยากข้าวอยากน้ำเป็นกำลัง บางครั้งเดินตระเวรท่องเที่ยวเพื่อเสาะแสวงหาอาหารเรื่อยไป จนมาถึงแดนมนุษย์โลกเรานี้
คราใดเหลือบสายตาไปแลเห็นสระ บ่อ บึง ห้วย หนองน้ำ และนทีก็ดีเนื้อดีใจ รีบวิ่งเข้าไปหมายจะดื่มกินให้สมอยาก แต่ครั้นพอวิ่งไปถึงน้ำในบ่อบึงและนทีเป็นต้นนั้น ก็พลันกลับกลายเป็นสิ่งอื่นมิใช่น้ำไปเสีย ทั้งนี้ก็โดยอำนาจอกุศลกรรมวิบากบันดาลให้เป็นไป
เขาพลาดหวังไปดังนี้ ก็มีความเสียอกเสียใจเป็นอันมาก ต้องทนทุกขเวทนาเสวยกรรมได้รับความอดอยากอยู่อย่างนี้ ตลอดเวลานานเป็นหมื่นเป็นแสนปี เขาไม่เคยได้เคยได้ยินคำว่า " ข้าว " และคำว่า " น้ำ "เลยจนคำเดียว ต้องเปล่าเปลี่ยวเร่ร่อนพเนจรไปด้วยความอดอยากอยู่อย่างนั้นนานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๘. นิชฌามกเปรต
เปรตประเภทนี้มีรูปร่างสัณฐานแปลกกว่าเปรตประเภทอื่น โดยมีฟันขาว มีเขี้ยวยื่นงอกออกมาจากปาก ผมเผ้ายาวพะรุงพะรัง ริมฝีปากบนห้อยย้อยลงมาทับริมฝีปากข้างล้าง
แลดูแสนจะทุเรศนัยน์ตาหนักหนา การที่พวกเขาจะได้ชื่อว่านิชฌามกเปรต ก็เพราะเหตุว่าพวกเขามีสัณฐานและลักษณะการประดุจต้นตาลหรือต้นไม้ใหญ่ที่ถูกไฟไหม้สูงชลูดดำทะมึนแลดูน่ากลัว
เนื้อตัวมีกลิ่นเน่าเหม็น ตีนและมือเป็นง่อยจะเคลื่อนไหวไปมามิได้ ยืนร้องไห้ร้องครวญครางเพราะความอดอยากหิวโหยอาหาร ต้องยืนทื่อทรมานอยู่กับที่โดยไม่มีอาหารจะบริโภคอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน นับจำนวนวันเดือนปีไม่ถ้วนไปจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๙. สัพพังคเปรต
เปรตประเภทนี้มีสรีระร่างใหญ่โต มีเล็บตีนและเล็บมือยาวคม ความคมแห่งเล็บตีนเล็บมือของเขานั้น เปรียบประดุจความคมแห่งมีดและดาบที่ลับไว้อย่างดี เล็บตีนและเล็บมือของเขานั้นมีสัณฐานงอเหมือนขอเหมือนเบ็ด
ตลอดเวลาเปรตประเภทนี้ได้แต่ก้มหน้าก้มตาใช้เล็บตีนเล็บมืออันแปลกพิกล ข่วนตะกายร่างของตนเองให้ขาดวิ่นเป็นเเผลยับกระจุยกระจาย มีเลือดไหลออกมานองเนือง แล้วก็ดื่มกินซึ่งเลือดเนื้อของตนเองนั้นแลเป็นอาหาร
พร้อมกันนั้นก็ร้องลั่นไปด้วยความเจ็บปวดต้องเสวยทุกขเวทนาเป็นเปรตมีเล็บมืออันคมกล้าข่วนตะกายควักเอาเนื้อเเห่งตนออกมากินเป็นอาหาร พร้อมกับร้องลั่นเอ็ดตะโรอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๐. ปัพพตังคเปรต
เปรตประเภทนี้มีร่างกายโตใหญ่เหมือนบรรพตภูเขาและได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าแปลกประหลาด คือ ในเพลาราตรี ทั่วทั้งร่างกายของเขาถูกไฟไหม้ มีร่างกายสว่างไสวรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟปรากฏแก่บุคคลผู้แลดูในที่ไกลประดุจภูเขาใหญ่ถูกไฟไหม้ลุกแดงฉะนั้น ในเพลากลางวัน ปรากฏเป็นควันระอุล้อมอยู่รอบกาย เขาต้องถูกไฟเปรตเผาครอกนอนกลิ้งไปกลิ้งมาดุจดงขอนไม้อันกลิ้งอยู่กลางไร่กล่างป่าเช่นนั้น
ได้เสวยทุกขเวทนาดังว่าจะขาดใจตาย เหลือที่จะทนได้แล้ว ก็ร้องครางร้องครวญปริเทวนาการ มันเป็นเสียงร้องครวญครางขนาดใหญ่โกลาหลทั้งนี้ก็เพราะว่าเปรตประเภทนี้มีหลายตนหลายเปรต ต้องเสวยทุกขเวทนาอันน่าทุเรศอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๑. อชคราทิเปรต
เปรตประเภทนี้เป็นเปรตเบ็ดเตล็ด เพราะมีร่างกายแตกต่างกันหลายอย่างหลายชนิด โดยมีรูปร่างคล้ายกับสัตว์เดียรัจฉานต่าง ๆ ที่เราเห็นกันอยู่ทั่วไปในเมืองมนุษย์โลกนี้ เช่น บางเปรตมีรูปร่างเหมือนกับงูเหลือม ควาย เหี้ย หมา ม้า ไก่ ปลา จระเข้ และบางรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ขี้เรื้อน มีรูปร่างแตกต่างกันไป เดินเพ่นพ่านขวักไขว่ปะปนกับเปรตวิสัย ถึงแม้จะมีรูปร่างลักษณะผิดแผกแตกต่างกันไปอย่างไร
แต่ก็ถูกไฟเปรตเผาไหม้ตลอดร่างกายอยู่ทั่วทุกตัวเปรตเหมือนกัน ตลอดเวลาทั้งกลางวันกลางคืนไม่ว่างเว้น ต้องเสวยผลวิบากแห่งอกุศลกรรมเป็นเปรต มีรูปร่างแสนทุเรศได้รับทุกขเวทนาถูกไฟไหม้อยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้

๑๒. มหิทธิกาเปรต
เปรตประเภทนี้ เป็นเปรตมีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ และทรงไว้ซึ่งรูปอันงดงามดุจเทพยดาทั้งหลาย แต่ว่าเป็นผู้ห่างไกลจากความสุขสบาย เพราะให้รู้สึกหิวโหยอาหาร เต็มไปด้วยความอดอยากเป็นยิ่งนัก ท่องเที่ยวไปในสถานที่ต่าง ๆ บางครั้งก็ตระเวนท่องเที่ยวจนถึงเมืองมนุษย์โลกเรานี้
ครั้นประสบโชคดีได้พบเห็นของที่ไม่สะอาดคือสิ่งโสโครกต่าง ๆ เช่น มูตรคูถในเวจกุฏิที่มนุษย์พากันไปถ่ายหมักหมมไว้เป็นเวลานานแรมปี
ก็ตรงรี่วิ่งเข้าไปดูดเอาโอชะอันชั่วร้ายเน่าเหม็นนั้นกินเป็นอาหาร ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความอดอยากนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้

๑๓. เวมานิกเปรต
เปรตประเภทนี้ดูว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าเปรตทุกประเภท เพราะเหตุว่ามีสมบัติคือวิมานเป็นทองของทิพย์ บางครั้งได้เสวยความสุขประดุจดังว่าตนนั้นหรือคือเทพยดาเจ้า
ปรารถนาจะเอาอะไรก็ได้ดังใจ และมีเปรตบริวารรับใช้มากมายอยู่หลายเปรต ไม่มีความเดือดร้อนเนื้อร้อนใจอะไรเลย แต่แล้วเมื่อถึงกาลกำหนดที่จะต้องเสวยทุกข์ตามประสาเปรต อกุศลกรรมวิบากก็เข้าทำหน้าที่บันดาลให้กลายเพศเป็นเปรตมีรูปร่างแสนจะน่าทุเรศและน่าเกลียดน่าชัง บางครั้งได้เสวยทุกขเวทนายิ่งกว่าเปรตธรรมดาเสียอีก ต้องเสวยทุกขเวทนาโดยมีสภาพเป็นกึ่งเปรตกึ่งเทวดา ผลัดเปลี่ยนไปตามกาละอยู่อย่างนี้เป็นเวลานานแสนนาน จนกว่าจะสิ้นอกุศลกรรมที่ตนทำไว้
ฝูงเปรตทั้งหลายในเปรตโลก เท่าที่ได้พรรณามานี้ เป็นผีเปตรที่ปฏิสนธิเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งอกุศลของตนเอง ต้องเสวยวิบากแห่งอกุศลกรรมของตนไปจนกว่าจะหมดสิ้นกรรม
รับส่วนบุญส่วนกุศลของใครไม่ได้ เพราะยังต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียดหูอื้อตาลาย จิตใจยังไม่มีความเลื่อมใสใคร่จะรับส่วนบุญส่วนกุศลของใครถึงแม้ญาติในมนุษย์โลกนี้จักมีใจดีทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้ด้วยความห่วงใย
จะทำบุญให้ใหญ่โตมโหฬารสักเท่าใดก็ดี พวกผีเปรตเหล่านี้ ก็ไม่สามารถที่จะรับส่วนบุญนั้นได้ ต่อเมื่อใดสิ้นกรรมเวรแล้ว มาเกิดเป็นเปรตประเภทคอยรับส่วนบุญส่วนกุศลที่คนเราอุทิศให้แต่มนุษย์โลกนี้มีชื่อว่า "ปรทัตตูปชีวีเปรต"
เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตนี้ประเภทเดียวเท่านั้น เป็นเปรตที่สามารถจักรับส่วนนบุญส่วนกุศลที่มนุษย์เราอุทิศให้ได้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายพึงสังเกตจดจำไว้ให้ดี การที่เขาสามารถจักรับส่วนบุญได้นั้น ก็โดยเหตุที่เขาเป็นเปรตประเภทที่มีอกุศลบางเบา โมหะความโง่เขลาไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษคลายออกจากจิตใจเป็นอันมากแล้ว
เพราะฉะนั้น จึงมีจิตยินดีที่จะอนุโมทนาส่วนบุญกุศล ปรทัตตูปชีวีเปรตบางตนมีความหิวโหย เพราะอดข้าวและน้ำมานานแสนนานนักหนา จึงเดินโซซัดโซเซเปะปะท่องเที่ยวไปมา พยายามนึกถึงหมู่ญาติของตนด้วยความคิดอันสับสนเลอะเลือนว่าเป็นมิตรอยู่ที่ไหนบ้าง
ครั้นนึกได้ก็ค่อยพยุงกายเดินโซซังไป จนกระทั่งถึงบ้านญาตินั้นแล้วก็คอยอยู่ใกล้ ๆ อุตส่าห์รอคอยอยู่หลายวันหลายเดือนหลายปีโดยมีความหวังว่า
"เมื่อใดญาติของตูทำกุศลแล้ว เขาคงจักอุทิศให้แก่ตูบ้างกระมัง"
ครั้นเห็นเหล่าญาติมัวนั่งเดินยืนนอน ทำอะไรต่อมิอะไรให้ยุ่งไปตามประสามนุษย์ก็สุดที่จักกลุ้มใจ ได้แต่เฝ้ารำพึงอยู่ว่า
"เมื่อใดเล่าหนา มนุษย์เหล่านี้จึงจะมีจิตเป็นกุศล ทำที่พึ่งอันแท้จริงแห่งตนด้วยการทำบุญให้ทานแล้วอุทิศส่วนกุศลนั้นให้แก่ตูเสียสักที มัวแต่วุ่นวายทำอะไรอยู่อย่างนี้ ไม่เห็นจะเป็นแก่นสารเสียเลย"
เฝ้ารำพึงด้วยความน้อยใจอยู่อย่างนี้แล้ว ก็รอคอยต่อไป ครั้นญาติทั้งหลายทำบุญกุศลแล้ว แต่ลืมอุทิศส่วนกุศล คือไม่กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ หรือว่าได้ทำการกรวดน้ำอุทิศให้เปรตชนเหมือนกัน
แต่อุทิศให้แก่คนอื่น ไม่ได้อุทิศให้ตน ปรทัตตูปชีวีเปรตที่น่าสงสาร ก็เดินวนเวียนไปมาอยู่ ณ บริเวณนั้น ด้วยความเศร้าสร้อยผิดหวัง บางครั้งยังเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจถึงกับล้มซบสลบลง ด้วยความหิวโหยสุดประมาณ พอได้ลืมตาขึ้นก็ได้แต่เฝ้าหวังอยู่อีกต่อไปว่า
"ครั้งต่อไปเขาคงไม่ลืมตู เขาคงจะมีจิตคิดถึงตู และอุทิศส่วนกุศลให้ตูบ้างเป็นแน่"
แล้วก็เฝ้าแต่แลดูว่า เมื่อใดญาติของตนจักเกิดจิตเป็นกุศล ทำบุญทำทานอีกสักครั้ง ความหวังของเขาบางทีก็สำเร็จบางทีก็ไม่สำเร็จที่กล่าวมานี้ หมายถึงปรทัตตูปชีวีเปรต ที่มีญาติเป็นพวกสัมมาทิฐิกชนคนนับถือพระบวรพุทธศาสนา
แต่ถ้าเป็นเปรตที่มีญาติเป็นมิจฉาทิฐิ ความหวังของเขาที่ว่าจะคอยอนุโมทนาส่วนกุศลนั้นย่อมไม่มีวันที่จักสำเร็จลงได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิทั้งหลาย แม้จะได้ชื่อว่าทำบุญทำทานอยู่บ้างก็จริง แต่ส่วนกุศลผลทานที่เขาทำภายนอกพระบวรพุทธศาสนานั้น ไม่มีพลังแรงพอที่จักอุทิศส่งไปให้ถึงปรทัตตูปชีวีเปรตได้
แท้จริงการที่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรตจักได้รับส่วนกุศลผลทานที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้แก่ตนได้นั้น ย่อมเป็นการยากยิ่งนักหนา เพราะว่าจะต้องประกอบพร้อมไปด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ

๑ ทานที่เหล่าญาติและมิตรในมนุษย์โลกนี้กระทำนั้น ต้องเป็นทานที่ได้ถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลในพระพุทธศาสนา ซึ่งเรียกว่า "สังฆทาน"

๒. เมื่อเหล่าญาติและมิตรถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ ซึ่งเรียกว่าสังฆทานแล้ว ต้องมีใจผ่องแผ้วตั้งจิตกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลที่ตนได้บำเพ็ญทานนั้นมุ่งไปให้แก่ปรทัตตูปชีวีเปรต

๓. ปรทัตตูปชีวีเปรตนั้น ต้องคอยรับและคอยอนุโมทนาด้วยความตั้งอกตั้งใจเป็นหนักหนา หากว่าทำเป็นมิรู้มิชี้ไม่มีใจเลื่อมใสใคร่จักอนุโมทนา ก็หาได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นไม่

ต้องพร้อมไปด้วยองคคุณอันเป็นเหตุสำคัญ ๓ ประการนี้ ปรทัตตูปชีวีเปรตจึงจะสามารถได้รับส่วนกุศลผลบุญที่เหล่าญาติและมิตรอุทิศให้ ขอท่านผู้มีปัญญาทั้งหลายจงวินิจฉัยใคร่ครวญดูเถิดว่า ปรทัตตูปชีวีเปรตซึ่งมีญาติและมิตรเป็นมิจฉาทิฐิ จักมีโอกาสได้รับส่วนกุศลผลทานได้หรือไม่
ถูกแล้ว......โอกาสที่เขาจักได้รับส่วนกุศลผลทานนั้นน้อยนักหนา ถ้าจะให้พูดกันอย่างไม่เกรงใจก็ว่าไม่มีโอกาสเสียเลยนั้นแหละมากกว่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าพวกมิจฉาทิฐิ ไม่มีโอกาสได้ถวายทานแก่พระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล เพราะตนไม่มีศรัทธาเลื่อมใสแล้วอย่างนี้จะเอาส่วนกุศลผลบุญอันยิ่งใหญ่ ซึ่งเกิดจากการถวายสังฆทานที่ไหน ไปกรวดน้ำอุทิศให้แก่เหล่าปรทัตตูปชีวีเปรต ซึ่งเป็นญาติของตนเล่า ตกลงว่าเปรตเหล่านั้นก็ต้องคอยเปล่าคอยหายอยู่เป็นเวลานานแสนนาน ยิ่งในกาลที่โลกสูญสิ้นว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนา ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลแล้วปรทัตตูปชีวีเปรตทั้งหลายยิ่งไม่มีโอกาสที่จักได้รับส่วนกุศลผลทานได้เลยเพราะฉะนั้น
จึงปรากฏว่าเปรตเหล่านี้บ้างต้องรอส่วนกุศลผลทานจากญาติของตนอยู่ เป็นเวลานานชั่วระยะเวลาตั้ง ๒-๓ พุทธันดรจึงจะได้รับเช่นเปรตญาติของพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น และบางทีเปรตเหล่านี้ก็ไม่มีโอกาสได้รับส่วนกุศลที่พวกญาติอุทิศให้เลย ได้แต่คอยเก้อคอยหายทนเป็นปรทัตตูปชีวีเปรตไปอย่างนั้น จนกว่าจะสิ้นกรรมตายไปเอง
ในกรณีนี้หากมีจะมีปัญหาว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปรตได้ประสบโชคดีได้รับส่วนกุศลผลทานที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้เเล้ว จักมีอะไรเกิดขึ้นแก่เขา?" คำวิสัชนาก็มีว่า เมื่อปรทัตตูปชีวีเปรตโชคดีได้รับส่วนกุศลผลบุญที่พวกญาติและมิตรอุทิศให้แต่มนุษย์โลกเรานี้แล้ว เขาก็จะมีจิตผ่องแผ้วยกหัตถ์ขึ้นท่วมหัวแล้วอนุโมทนาสาธุการส่วนกุศลนั้นด้วยใจจริง สำเร็จเป็นปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรม และแล้วด้วยอำนาจปัตตานุโมทนามัยกุศลกรรมนั้น จักบันดาลให้เขาขาดใจตายในบัดดล พ้นจากความเป็นเปรตแล้วไปปฏิสนธิเป็นเทวดาเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสุคติทันที


สาณราสีเปรต


ยังมีสมเด็จพระบรมกษัตริยาธิบดีพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้ากิตติวัสสราช เสวยราชสมบัติปกครองไพร่ฟ้าประชาชนในแว่นแคว้นของพระองค์ให้ได้ความสุขสืบมา กาลไม่ช้า พระองค์ก็ทรงได้พระราชโอรสองค์หนึ่ง แต่พอประสูติออกมา บรรดาโหราจารย์ทั้งหลายก็พากันถวายพยากรณ์ว่า
"ต่อไปภายหน้าพระราชกุมารนี้ จักสิ้นพระชนม์เพราะอดน้ำ"
เมื่อทรงทราบคำพยากรณ์เช่นนี้ สมเด็จพระเจ้ากิตติวัสสราชาธิบดี จึงมีพระบรมราชโองการสั่งให้ขุดบ่อย้ำไว้ทุกตำบลด้วยพระราชประสงค์ว่า
เมื่อพระราชกุมารเสด็จไปประพาสในที่ใด ๆ จักได้ไม่ขาดแคลนน้ำ
วันหนึ่ง สมเด็จพระราชโอรสซึ่งบัดนี้ได้ทรงเติบใหญ่ตั้งอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ เสด็จไปประพาสพระราชอุทยานเล่นสำราญแล้ว กลับมาถึงประตูพระนคร ทอดพระเนตรเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มิได้แสดงความเคารพตนเหมือนคนอื่น ๆ ก็ทรงโกรธเคืองเป็นกำลัง จึงตวาดด้วยเสียงดังว่า
"เฮ้ย สมณะหัวโล้นนี้จะไปข้างไหน เห็นเราแล้วทำไมจึงไม่แสดงความเคารพ ทำกิริยาเฉยเมยอวดดีประหนึ่งว่าเรานี้มิใช่พระราชโอรส"
ตรัสดังนี้เเล้ว เมื่อทรงเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐนั้นยังเฉยอยู่ตามเดิม ก็ทรงโกรธเคืองหนักยิ่งขึ้น จึงกระโดดลงจากคอคชสารเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า เอื้อมหัตต์จับขอบบาตรแล้วตรัสด้วยสำเนียงดุดันว่า
"ดูก่อนสมณะ อ๋อ ....นี้น่ะหรือคืออาหารที่ท่านไปขอทานเขามา เมื่อเซ่อซ่าไม่รู้จักเรา ซึ่งเป็นพระราชโอรสผู้ควรแก่การเคารพ ก็อย่ากินอาหารมื้อนี้เลย"
ตรัสฉะนี้แล้ว พระราชกุมารผู้เมายศศักดิ์ ไม่ทรงทราบว่าตนจักประสบกับความวิบัติอย่างใหญ่หลวง ก็ทรงกระชากบาตรจากหัตถ์พระปัจเจกพุทธเจ้าเหวี่ยงโครมลงไปที่กอไม้ใกล้ทางด้วยความโกรธ พระปัจเจกพุทธะเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ซึ่งมีนามว่า " พระสุเนตรปัจเจกพุทธเจ้า "เห็นพระราชกุมารกระทำกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าเข้าลักษณะสำเร็จเป็นทิฐธรรมเวทณียกรรมเช่นนั้น ก็พลันมีจิตกรุณามองดูพระราชกุมารด้วยความสังเวชใจ
"อ๋อ .... โกรธหรือสมณะหัวโล้น เราทำแค่นี้ก็โกรธด้วยหรือ จึงมองจ้องหน้า เอาซี จะทำอะไรเราก็เอา เรานี่แหละคือโอรสแห่งองค์สมเด็จพระบรมกษัตริย์ในเมืองนี้ เมื่อท่านจะร้ายแก่เราอย่างไร เราก็อนุญาตให้ด้วยความยินดี "
ครั้นพระราชกุมารผู้โอหัง ประทุษร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวคำเยาะเย้ยดังนี้แล้ว ก็เสด็จขึ้นคอคชสารไปได้หน่อยหนึ่ง พอลับตาพระสุเนตรปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว ก็ทรงกระหายน้ำเป็นกำลัง จึงรับสั่งให้ราชบุรุษทั้งหลายไปตักน้ำที่บ่อ ซึ่งพระราชบิดารับสั่งให้ขุดไว้
แต่ด้วยอำนาจแห่งทิฐธรรมเวทนียกรรมบันดาลให้เป็นไป บ่อนั้นหาได้มีน้ำไม่ราชบุรุษทั้งหลายกลับมากราบทูลว่าน้ำไม่มี จะรีบไปหาน้ำที่บ่ออื่นมาถวายพระราชกุมารผู้มีกรรมทรงอยู่ไม่ไหว
เมื่อมิได้ดื่มน้ำก็สิ้นพระชนม์มายุดับสังขารในที่นั้น สมจริงตามคำที่เหล่าโหราจารย์พยากรณ์ไว้ทุกประการ แล้วก็ทรงถูกอกุศลทิฐธรรมเวทนียกรรมฉุดกระชากลากไปอุบัติเป็นสัตว์นรก ณ อเวจีเผาอยู่ตลอดเวลานานประมาณ ๘๔. ๐๐๐ ปี ครั้นพ้นจากอเวจีมหานรกแล้ว ก็มาปฏิสนธิถือกำเนิดเป็นเปรตในเปรตวิสัย ได้เสวยทุกขเวทนาด้วยการอดอาหาร มิได้บริโภคข้าวและน้ำเป็นเวลานานโดยนับกาลกำหนดมิได้
ครั้นถึงสมัยที่องค์สมเด็จพระมิ่งมงกุฏศรีศากยมุณีโคดมบรมครูเจ้าแห่งเราได้เสด็จมาอุบัติตรัสในโลกนี้แล้ว เปรตอดีตสัตว์อเวจีมหานรกราชกุมารผู้โอหังนั้น ก็พ้นจากความเป็นเปรต มาถือปฏิสนธิเกิดเป็นบุตรชายคนสุดท้องของชาวประมงตระกูลหนึ่ง ซึ่งอยู่ใกล้เมืองกุณฑินคร โดยเหตุที่ในชาติก่อน ๆ ตนเคยเสร้างกุศลกรรมความดีไว้ จึงระลึกชาติได้เมื่อเจริญวัยแล้ว กุมารลูกชายประมงนั้นก็พลันระลึกขึ้นได้ว่า
"อาตมาได้เสวยทุกขเวทนามาช้านาน ด้วยการประพฤติกรรมอันลามกไว้เมื่อครั้งเป็นพระราชกุมารโอรสแห่งพระเจ้ากิตติวัสสราชธิบดี ประทุษร้ายพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีพระคุณอันประเสริฐ จึงไปเกิดเป็นสัตว์นรกอเวจี แล้วมาเกิดเป็นเปรตอดข้าวอดน้ำ ครั้นพอสิ้นกรรมจากเปรตวิสัยแล้ว จึงมาเกิดในตระกูลของชาวประมงอยู่ ณ กาลบัดนี้"
ระลึกชาติได้ฉะนี้แล้ว กุมารนั้นก็มีจิตไม่ผ่องแผ้วเกรงกลัวอยู่แต่บาปกรรม ไม่ปราถนาที่จักฆ่าเนื้อปลาตามตระกูล เมื่อเห็นหมู่ญาติทั้งหลายพากันเอาข่ายไปดักปลาไว้ก็แอบไปทำลายเสีย ถ้าได้ปลามาแล้วเห็นปลานั้นดิ้นอยู่ก็นำไปปล่อยเสีย บิดามารดาบังคับให้ไล่ปลาในน้ำทำการประมง ถ้าหลีกได้ก็หลีกไปให้พ้นไปเสียหาไปไม่
ถ้าคราวใดหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องไปหาปลาด้วยความจำเป็น เมื่อชาวประมงเพื่อนกันได้ปลาคะเนดูว่าตนมีกำลังมากกว่าก็เข้าไปขโมยปลาที่เขาหาได้ปล่อยลงในน้ำเสียอีกเช่นกัน คนทั้งหลายเหล่านั้นจึงนำเอาความมาบอกแก่บิดามารดาของเขา ฝ่ายท่านผู้เฒ่าซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อเห็นว่าเจ้าลูกชายตนมันประพฤติเป็นคนจัญไรสำหรับชาวประมงบ่อยครั้งเช่นนั้น ก็ไม่พอใจจึงขับไล่ออกจากบ้านไป
เมื่อถูกไล่ออกจากบ้าน กุมารนั้นก็เป็นเด็กพเนจร เดินทางอดมื้อกินมื้อไปตามยถากรรม วันหนึ่งเดินทางมาถึงที่อยู่แห่งพระอานนท์เถระเจ้า ขณะนั้นเป็นเพลาเช้า พระเถระเจ้ากำลังฉันภัตตาหาร เมื่อเห็นกุมารเข้าไปใกล้ และถวายนมัสการอยู่แทบเท้า
พระผู้เป็นเจ้าก็ทราบว่าเขามีความต้องการอาหารเป็นอย่างมาก จึงมีความกรุณาแบ่งอาหารให้พอสมควร แล้วก็ไต่ถามถึงความเป็นมา กุมารนั้นเล่าเรื่องของตนเรียนถวายท่านตามความเป็นต่อไปว่า เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอบรรพชาเป็นสามเณรเสียมิดีกว่าหรือครั้นกุมารรับคำเอาพระผู้เป็นเจ้าก็จัดแจงหาสบงจีวรมาได้แล้ว
จึงจัดการปลงผมและบวชกุมารนั้นเป็นสามเณรตามความประสงค์ แล้วพาไปสู่สำนักแห่งสมเด็จพระพุทธองค์ เมื่อทรงมีพระพุทธฏีกาตรัสถามว่า
"ดูก่อนอานนท์ สมเณรน้อยนี้เธอไปได้แต่ที่ไหนมา?"
ท่านพระอานนท์ผู้พุทธอนุชา ก็กราบทูลเรื่องราวให้ทรงให้ทรงทราบทุกประการ แล้วกราบทูลอีกต่อไปว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ สามเณรนี้เป็นผู้ไม่มีลาภสักการะ เพราะแต่ก่อนมิได้ทำกุศลไว้ มาในชาตินี้จึงได้รับความลำบากนักหนา ข้าพระองค์คิดว่าจะอนุเคราะห์แก่สามเณร โดยให้หม้อน้ำแก่เธอไปตักน้ำถวายพระภิกษุเป็นนิตย์ทุกวัน ดังนี้จะเป็นประการใด พระเจ้าข้า "
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุมัติแล้ว พระเถระเจ้าก็มีจิตผ่องแผ่ว มอบหม้อน้ำมาถวายพระภิกษุทั้งหลาย และเฝ้าปฏิบัติรับใช้ด้วยความเอาใจใส่ อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายเห็นสามเณรปฏิบัติเป็นอย่างดี ก็มีจิตศรัทธารักใคร่จึงถวายนิตยภัตทุกวัน มิให้สามเณรนั้นต้องได้รับความเดือดร้อนในเรื่องอาหารแต่ประการใด
ต่อมาพออายุครบอุปสมบทแล้ว สามเณรนั้นก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระบวรพุทธศาสนา อุตสาห์พยายามบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานยังวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้นในสันดานโดยลำดับ ด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่ตนเคยบำเพ็ญมาไม่ช้าก็สามารถยังพระอรหัตมรรคพระอรหัตผลให้บังเกิดขึ้น ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงคุณสูงสุดในที่พระบวรพุทธศาสนา
จะกล่าวฝ่ายบิดามารดาและพี่ชายที่เป็นชาวประมง เมื่อขับไล่บุตรคนเล็กซึ่งตนลงความเห็นว่าเป็นคนจัญไรออกจากบ้านไปแล้ว ในไม่ช้าก็พากันล้มตายไปตาม ๆ กันทั้ง ๓ คน แล้วไปเกิดเป็นเปรตประเภทปรทัตตูปชีวีมีปากและคอเท่ารูเข็ม ประกอบไปด้วยความลำบาก อดอยากหิวโหยเหลือประมาณ มีรูปทรงสัญฐานอันผอมกะหร่อง มีผิวกายดำเกรียมดุจถูกเผาด้วยเพลิง ไม่มีผ้านุ่งห่ม มีแต่หนังหุ้มกระดูก ทุกวันเวลาได้แต่เสวยทุกขเวทนาอยากข้าวอยากน้ำหน้าดำคร่ำเครียดหาความสุขมิได้ อาศัยอยู่แถว ๆ ภูเขาสาณราสี ตามประสาผีเปรตผู้มีกรรมคอยรับส่วนบุญ
คราวหนึ่ง กุมารพเนจรไม่มีที่อยู่อาศัย ผู้ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นพระอรหันตมหาเถระเจ้าทรงสูงสุดในพระพุทธศาสนาไปแล้วนั้น ท่านพาพระภิกษุสหายกัน ๑๒ รูปเดินทางผ่านขึ้นไปพักบนภูเขาสาณราสีอันเป็นที่อยู่แห่งเปรตผู้เป็นโยมบิดามารดาและพี่ชายนั้น ครั้นเปรตชราทั้งสองผู้เป็นบิดามารดา เห็นท่านเข้าใจได้ว่าเป็นบุตรของตน จึงหันหน้ามาซุบซิบปรึกษาซึ่งกันและกัน
“เอ๊ะ นั้นดูเหมือนว่าเป็นบุตรชายคนเล็ก ซึ่งพวกเราขับไล่ออกไปเสียจากเรือนเมื่อก่อนนี้มิใช่หรือ อโห บัดนี้บุตรชายของเรา มีบุญวาสนาได้ครองผ้ากาสาวพัสตร์เป็นสาวกองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหน้าตาผ่องใสครองจีวรสีเหลืองอร่ามงามน่าเลื่อมใสเป็นยิ่งนักเหวย.....เจ้านี่ สูมึงจงไปบอกพระภิกษุน้องชายของมึงซึ่งเป็นลูกของกูว่ากูทั้งสองและมึงเวลานี้ตายแล้ว มาบังเกิดเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาเป็นอันมากอยู่ ณ ที่นี้ หากลูกกูผู้เป็นพระจะมีวิธีช่วยเหลือประการใดแล้ว ขอจงได้กรุณารีบช่วยเหลือโดยเร็วเถิดอย่าช้า"
หันหน้ามาสั่งเจ้าเปรตลูกชายในตอนท้าย เพราะยังมีความละอายไม่กล้าปรากฏกายให้พระมหาเถระเจ้าเห็น และไม่กล้ากล่าวขอส่วนบุญตนเอง
เจ้าเปรตผู้เป็นพี่ชายของพระมหาเถระเจ้านั้น ครั้นรับบัญชาจากเปรตผู้เป็นบิดามารดา ก็พยายามไปแสดงกายเพื่อให้พระมหาเถระเจ้าเห็นเป็นหลายครั้งหลายหนในเพลาราตรีนั้น แต่หาได้สำเร็จไม่ ทั้งนี้ก็เพราะองค์อรหันต์ท่านมัวสนทนาอยู่กับเพื่อนพระภิกษุ ไม่ได้สำรวมจิตพิจารณาเหตุทั้งหลายแต่ประการใด จนกระทั่งถึงตามพารุณสมัยอาทิตย์ไขแสงทองขึ้นส่องอร่ามฟ้า เมื่อเปรตหนุ่มนั้นเห็นพระอรหันต์น้องชายพาเพื่อนสงฆ์ลงมาจากภูเขาเพื่อเข้าไปโคจรบิณฑบาตในละเเวกบ้าน มันจึงวิ่งเข้าไปดักหน้าคุกเข่าประคองอัญชลีขึ้นเหนือเศียรเกล้าแล้วร้องเรียกขึ้นไปว่า
" น้องชายของข้าผู้เป็นพระเอ๋ย.... จำได้หรือไม่เล่า ตัวข้านี้เป็นพี่ชายของท่านทำกาลกิริยาตายแล้ว มาเกิดเป็นเปรตมีความเป็นอยู่อย่างแสนจะน่าทุเรศในเปรตวิสัย เพราะเหตุที่มิได้ประกอบกองการกุศลไว้ กระทำแต่กรรมอันเป็นบาปหยาบช้า ถึงแม้บิดามารดาของเราทั้งสองก็เหมือนกันบัดนี้ท่านตายมาเกิดเป็นเปรตกับข้า ได้รับทุกขเวทนาอดอยากเหลือกำลัง อยากจะขอความช่วยเหลือขอส่วนกุศลจากท่าน หากท่านไม่ปรานีในครั้งนี้แล้ว ข้าพเจ้าและบิดามารดาก็เห็นจะไม่แคล้วเป็นเปรตอยู่อย่างนี้ตลอดไป ขอท่านจงพิจารณาหาทางช่วยเหลือข้าผู้เป็นพี่ และบิดามารดาซึ่งเคยมีความปรานีต่อท่านมาแต่เล็กแต่น้อยเถิดเจ้าข้า "
เปล่า พระมหาเถระเจ้าท่านจะได้รู้เห็นและเห็นจะได้ยินคำร้องของเปรตหนุ่มพี่ชาย ซึ่งอุตสาห์กล่าวขอน้องมาอย่างยึดยาวนั้นแม้สักนิดหนึ่งก็หาไม่ท่านกลับนำหน้าพาเพื่อนสงฆ์เดินเรื่อยไป ราวกะว่าไม่มีเหตุอะไรเกิดขึ้นทั้งนี้ก็เพราะว่าท่านมัวแต่สำรวมอินทรีย์ มิได้พิจารณาเหตุอะไรอื่นเช่นเดียวกับเมื่อคืนนี้เอง เปรตหนุ่มผู้มีกรรมเมื่อเห็นพระน้องชายไม่เห็น และไม่รู้เรื่องที่ตนบอกเดินเฉยเลยไปดังนั้น พลันใบหน้าที่เศร้าอยู่โดยปรกติธรรมดาก็ยิ่งเศร้าดำลงไปอีกด้วยความผิดหวัง เดินโซเซโซซังเข้าไปยังที่อยู่ของเปรตแก่ผู้เป็นพ่อและแม่แล้วแจ้งความให้ทราบ เปรตทั้งสองนั้นก็ช่วยกันพูดยุยงส่งเสริมให้มันเกิดกำลังใจพยายามไปขอส่วนบุญพระน้องชายอีกต่อไป เพราะไม่มีทางใดที่จะทำให้ได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว
อุตสาห์ไปเฝ้าดักหน้าพระอรหันต์ผู้เป็นน้องชาย ในเวลาที่ท่านลงมาจากภูเขาเพื่อเข้าไปโคจรบิณฑบาตในหมู่บ้านเป็นเวลานานหลายวันในที่สุดความพยายามของมันก็เป็นผลสำเร็จ
เพราะเช้าวันหนึ่งพระผู้เป็นเจ้าองค์อรหันต์ท่านบังเอิญเหลือบเห็นเปรตพี่ชายด้วยทิพยจักษุ ตามวิสัยแห่งพระอรหันต์ผู้ได้บรรลุฌานอภิญญา เมื่อทราบจากปากคำของเปรตพี่ชายว่าบิดามารดาได้รับความทุกข์มาบังเกิดเป็นปรทัตตูปชีวีเปรต และมีเจตนาเลื่อมใสใคร่จักอนุโทนาส่วนกุศลเช่นนั้น ท่านจึงบอกแก่เปรตพี่ชายไปว่า
"เอาเถิด.... เราจะยังความปรารถนาของท่านทั้งหลายให้สำเร็จ ขอท่านทั้งหลายจงตั้งใจคอยอนุโมทนาให้ดีก็แล้วกัน ในเพลาสายวันนี้"
บอกแก่เปรตพี่ชายฉะนี้แล้ว ท่านก็เดินนำหน้าพาเพื่อนสงฆ์เข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ครั้นได้อาหารพอเป็นยาปนมัตแล้ว ก็เดินทางกลับมาและขึ้นไปบนภูเขาอันเป็นที่พักก่อนที่จะฉันภัตตาหาร ท่านจึงกล่าวแก่เพื่อนสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้นว่า
"ดูก่อนอาวุโสทั้งปวง วันนี้กระผมใคร่จักขออาหารที่ท่านบิณฑบาตได้มาทั้งหมดทุกรูปในฐานะที่เราเป็นสหายกันจะได้หรือไม่ เพราะว่าบิดามารดาและพี่ชายของกระผมตายไปบังเกิดเป็นเปรตปรทุตตูปชีวี และตัวกระผมนี้มีความปรารถนาใคร่จักถวายสังฆทานแก่พระภิกษุสงฆ์สัก ๑๒ องค์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปให้แก่เปรตผู้ป็นบิดามารดาและพี่ชายเหล่านั้นแต่อาหารที่กระผมบิณฑบาตได้มาในวันนี้ไม่เพียงพอ จึงใคร่ที่จักขอจากพวกท่านทั้งหลายในฐานะที่เป็นสหายกัน จักยินดีให้แก่กระผมได้หรือมิได้ "
"จะเป็นไรไปเล่า อาวุโส เอาเถิดส่วนเราทั้งปวงนี้ยินดียกอนุญาตให้ท่านขอท่านจงตั้งใจถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เปตชนตามอัธยาศัยแห่งท่านเถิด" พระภิกษุผู้เป็นสหายกันเหล่านั้น ยอมอนุญาตยกให้ด้วยความเต็มใจ
องค์อรหันต์ผู้ใคร่จะถวายสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนบุญกุศลแก่เปรตผู้เป็นญาติคนสำคัญ เมื่อได้รับอนุญาตจากเพื่อนสงฆ์ด้วยกันเช่นนั้น ก็ตักเอาอาหารที่ตนบิณฑบาตมาได้ใส่ลงไปในบาตรเหล่านั้น แล้วก็ตั้งจิตคิดถวายเป็นสังฆทาน เสร็จแล้วจึกยกเอาบาตรเหล่านั้นเข้าไปประเคนถวายคืนแก่เพื่อนสงฆ์ทั้ง ๑๒ รูป แล้วก็ตั้งจิตอุทิศส่วนกุศลว่า

อทํ โน ญาตีนํ โหตุ
"ขอกุศลผลทานนี้จงเข้าไปสำเร็จแก่ญาติคนสำคัญคือ บิดา มารดา และพี่ชายของข้าพเจ้า ซึ่งไปเกิดเป็น เปรตปรทัตตูปชีวีในเปรตวิสัย ในกาลบัดนี้ด้วยเถิด "
เปรตร่างร้ายซึ่งเป็นพี่ชายและบิดามารดาผู้มีกรรมทั้ง ๓ ตน มาเดินเวียนวนเฝ้ารอคอยอยู่ ณ บริเวณนั้นเป็นเวลานานมาแล้ว ครั้นเห็นองค์อรหันต์เจ้าจัดการถวายสังฆทานแก่เพื่อนสงฆ์ด้วยกันตามที่บอกไว้ก็ให้ดีใจนักหนา และฉับพลันที่พระมหาเถระเจ้าองค์อรหันต์กล่าวคำอุทิศให้แก่ตนจบลงก็ยกหัตถ์อันผอมเกร็งมีหนังหุ้มกระดูกขึ้นเหนือเศียรเกล้าตั้งจิตอนุโมทนาส่วนกุศลผลทานนั้น ด้วยคารวะเป็นอย่างยิ่ง และแล้วเปรตร่างร้ายทั้ง ๓ ตนนั้นก็ให้มีอันเป็นขาดใจตายพ้นจากเปรตวิสัยไปในบัดดล
ด้วยผลแห่งปัตตานุโมทนามัยกุศล ซึ่งเกิดขึ้นแก่ตนในขณะนั้นเข้าทำหน้าที่ให้ได้ปฏิสนธิในเทพวิสัย กลายเป็นเทวดารูปทรงงามสง่าสวมใส่อาภรณ์อันเป็นทิพย์ ความทุกข์ลำบากและความอยากความหิวโหยที่ตนได้รับมานานไม่รู้ว่ามันหายไปไหน
ขณะนี้มีแต่ความอิ่มกายอิ่มใจเข้ามาแทนที่ อดีตเปรตพี่ชายดูเหมือนว่าจะมีปัตตานุโมทนามัยมากกว่าเพื่อนเพราะฉะนั้น จึงทรงเพศเป็นเทพยดามีรัศมีโอภาสงดงามกว่าเทพยดาทั้งสองซึ่งเป็นบิดามารดา เมื่อมีความปรารถนาจะกล่าวขอบคุณแก่องค์อรหันต์เป็นน้องชาย จึงแสดงกายให้ปรากฏแก่พระมหาเถระเจ้าและพระภิกษุหลายซึ่งอยู่ในที่นั้นทั้งหมด แล้วน้อมกายเข้าไปถวายนมัสการแทบเท้าทั้งสองของพระมหาเถระเจ้าน้องชาย กล่าววาจาด้วยความอิ่มอกอิ่มใจว่า
" ข้าแต่พระน้องชายผู้เจริญ ขอพระน้องชายจงดูสรีรกายแห่งพี่ในกาลบัดนี้ ด้วยว่าบัดนี้ตัวพี่และบิดามารดาได้บังเกิด เป็นเทพยดานุ่งหุ่มผ้าอันเป็นทิพย์ ล้วนแต่สวยงามนักหนาและได้เสวยสมบัติทิพย์นานาประการแสนจะเป็นสุข เพราะได้อนุโมทนาส่วนบุญที่พ่ออุทิศให้ ขอพ่อจงอยู่เป็นสุขในมนุษยโลกนี้ต่อไปเถิด ส่วนพี่และบิดามารดา ซึ่งได้ดีมีความสุขเพราะความกรุณาปราณีจากพ่อ จะขอลาไปเสวยทิพย์สมบัติเป็นสุขต่อไปตามยถากรรม "
มีเทววาทีกล่าวฉะนี้แล้ว ก็มีจิตผ่องแผ้วกราบลงที่บาททั้งสองขององค์อรหันต์ผู้เป็นน้องชาย และถวายนมัสการลาพระภิกษุทั้งหลายแล้วก็อัตรธานหายวับไปกับตา...
สรุปความว่า ผู้ที่มีใจบาปหยาบช้าประกอบช้าประกอบอกุศลกรรมบถไว้ ผลวิบากแห่งอกุศลกรรมบถนั้นย่อมจะบันดาลให้เขาเป็นผู้มีคติวิบัติ คือ เมื่อเขาขาดใจตายไปแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะเป็นผู้มีคติผ่องแผ้ว กลับมาเกิดเป็นมนุษย์โลกเรานี้ หรือไปเกิดในสุคติโลกาวรรค์ได้ แต่จะถูกชักนำให้บ่ายโฉมหน้ามาเกิดในเปรตวิสัย หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า " ทุคติ " นี้โดยมีชีวิตเป็นเปรตได้รับทุกขเวทนาอย่างน่าสังเวชใจเป็นเวลานานแสนนานจนกว่าจะสิ้นกรรมที่ตนทำไว้ แล้วจึงจะได้ไปเกิดในภูมิอื่นตามยถากรรมดังนี้แล............

จากหนังสือกรรมทีปนี (พระพรหมโมลี วิลาศ ญาณวโร)
 
โอ๋
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2007, 1:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาสาธุ ๆ ๆ
 
ไม้อ่อน
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2007
ตอบ: 62

ตอบตอบเมื่อ: 13 เม.ย.2007, 3:48 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนา สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง