Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นักโทษประหาร (ศ.แสง จันทร์งาม) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

นักโทษประหาร
โดย ศ.แสง จันทร์งาม


เราทุกคนล้วนเป็นนักโทษประหาร

เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม 2508 เรา 3 คน
คือ อ.บุพพัณห์ นิมมานเหมินท์ นายกยุวพุทธิกสมาคมเชียงใหม่
ร.อ.เสาร์ สุวิทยาลังการ อนุศาสนาจารญ์ประจำค่ายกาวิละ
และกรรมการยุวพุทธิกสมาคม และข้าพเจ้า
ได้รับเชิญจากคุณเชาวน์ เจริญพงษ์
ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดเชียงใหม่
ให้ไปทำการอภิปรายปัญหาไขข้อข้องใจต่างๆ แก่นักโทษ
ซึ่งมีจำนวน 900 คนเศษในเรือนจำนั้น
วิธีการอภิปรายของเรา
เป็นแบบให้นักโทษถามปัญหา แล้วเราช่วยกันตอบ
ปรากฏว่านักโทษสนใจถามปัญหากันมาก
ปัญหาที่ถามก็มีทุกชนิด แต่เมื่อประมวลดูแล้ว
มีเกี่ยวกับเรื่องไสยศาสตร์ เรื่องผี เรื่องกรรม
และเรื่องวิปัสสนาเป็นส่วนมาก
เราอภิปรายได้เพียง 4 - 5 ปัญหา ก็ต้องยุติด้วยเวลา
ท่ามกลางความเสียดายของบรรดาผู้ต้องขังทั้งหลาย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 10 เม.ย.2007, 5:48 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำได้เล่าให้เราฟังว่า
นักโทษที่อยู่ในเรือนจำนั้น ต้องโทษตั้งแต่ 10 ปี ลงมา
ถ้ามีนักโทษเกิน 10 ปี ก็ส่งไปกรุงเทพฯ
ความผิดส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์
ทางการเรือนจำ ให้อาหารและเสื้อผ้า แก่นักโทษ
และมีระเบียบบังคับให้กิน นอน ทำงาน เล่น ตามเวลา
ภายในเรือนจำมีห้องสมุด มีการเปิดสอนวิชาชั้นประถมศึกษา
ให้แก่นักโทษที่สนใจสมัครเรียน
นับว่าทางเรือนจำได้เอาใจใส่ต่อสวัสดิการ
และการบริการแก่ผู้ต้องขังเป็นอย่างดี
ทำให้ผู้ต้องขังมีความสะดวกสบายตามสมควรแก่อัตตภาพ

แต่แม้จะมีความสบายกาย นักโทษทุกคนก็หาได้ลืมไม่ว่า
ตนเป็นผู้ต้องขัง ไร้อิสรภาพ ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของทุกคน
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นผู้ต้องขังทั้งนั้นมีหน้าตาหม่นหมอง ไร้ราศี
ขาดแววแห่งความสุขสดชื่น
แม้จะยิ้มด้วยความพอใจต่อวาทะของผู้อภิปรายบางท่าน
ก็เป็นการยิ้มแหยๆ เฉพาะที่มุมปาก
ไม่ใช่การยิ้มอย่างเบิกบานทั่วใบหน้า
ทุกคนปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะออกไปให้พ้น
จากเนื้อที่ 2 ไร่เศษ แวดล้อมด้วยกำแพงสูงทั้ง 4 ด้านนั้น
เฉพาะอย่างยิ่ง อยากออกไปสู่อ้อมกอดอันอบอุ่น
ของภรรยาและบุตรซึ่งตั้งตาคอยอยู่ทางบ้าน

เมื่อได้เห็นสภาพของนักโทษแล้ว
ข้าพเจ้าเกิดความสงสารอย่างจับใจ
สงสารเห็นใจเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับความทุกข์
ข้าพเจ้าได้ปรารภกับ อ.บุพพัณห์ว่า
ถ้าเป็นไปได้ เราควรหาทางเข้ามาทำธรรมสงเคราะห์
แก่นักโทษเหล่านี้เป็นการประจำ
เพราะเขาเหล่านี้เป็นคนป่วย ที่กำลังต้องการยาอย่างแท้จริง
การเผยแผ่ธรรมในเรือนจำ เป็นการยิงลูกศรถูกเป้าหมาย
เพราะการเผยแผ่มีจุดประสงค์สำคัญ
คือ ทำคนชั่วให้เป็นคนดี
เรือนจำอาจถือได้ว่าเป็นที่อยู่ของคนชั่ว
ถ้าเราสามารถกลับจิตกลับใจเขาได้แม้เพียง 4 - 5 คน
ก็จะเป็นมหากุศลและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ ศาสนาอย่างมาก
เราไปเทศน์ไปแสดงปาฐกถาที่อื่น ล้วนแต่คนดีๆ มาฟังทั้งนั้น
คนเหล่านี้แม้จะไม่ได้ฟังเทศน์เลย เขาก็จะไม่ทำชั่ว
เป็นการวางยาแก่คนไม่ป่วย
อ.บุพพัณห์เห็นด้วย และจะติดต่อกับผู้บัญชาการเรือนจำ
เพื่อดำเนินการต่อไป


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตั้งแต่วันนั้นมา ข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจในคนประเภท
ที่เรียกกันว่า นักโทษและเรือนจำ
วันหนึ่งเมื่อมีโอกาสจึงได้ไปเยี่ยมเรือนจำมหันตโทษอีกแห่งหนึ่ง
และได้พบเห็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์น่าสนใจเหลือล้ำ
ยิ่งกว่าที่พบเห็นมาแล้วในเรือนจำกลางเชียงใหม่
ข้าพเจ้าแทบไม่เชื่อว่าสิ่งที่ได้พบเห็นในเรือนจำนั้นเป็นความจริง
แต่ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันกับท่านผู้อ่านว่า มันเป็นความจริง จริงๆ
เพราะเหตุผลบางประการ
ข้าพเจ้าจะยังไม่บอกท่านว่าเรือนจำนั้นอยู่ที่ไหน

สิ่งแรกที่ประทับใจข้าพเจ้า ก็คือ ความกว้างใหญ่ไพศาลของเรือนจำนั้น
มันกว้างใหญ่จริงๆ จนมองไม่เห็นกำแพงที่ล้อมอยู่โดยรอบ
และจำนวนนักโทษที่ถูกคุมขังอยู่ภายในเรือนจำนั้นก็มากมาย
เหลือคณนา ประกอบด้วยคนทุกชาติทุกชั้นวรรณะ
เจ้าหน้าที่เรือนจำและผู้คุมก็มีจำนวนมากมาย
พอๆ กับจำนวนนักโทษ
ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจว่า มันน่าจะเป็นมหานครแห่งหนึ่ง
มากกว่าจะเป็นเรือนจำ

ท่านผู้บัญชาการเรือนจำ ซึ่งเป็นชายผิวคล้ำ ร่างใหญ่
อายุประมาณ 50 ปี ได้อธิบายให้ข้าพเจ้าฟังว่า
"นักโทษทุกคนในเรือนจำนี้
ล้วนแต่ต้องคดีอุกฉกรรจ์ที่ต้องประหารชีวิตทั้งสิ้น"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าถึงกับ สะดุ้งสุดตัว เมื่อได้ทราบข่าวเท็จจริงอันนี้
พยายามระงับใจให้เป็นปกติ แล้วก็เรียนถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า
"นักโทษเหล่านี้ส่วนมากทำความผิดอะไรครับ
จึงถูกส่งตัวมาคุมขังที่นี่"

"ผมไม่ทราบและไม่สนใจว่าใครทำความผิดอะไรมาก่อน"
ผู้บัญชาการตอบ แสดงความยิ่งใหญ่อยู่ในน้ำเสียง
"มันเป็นหน้าที่ของตำรวจและศาล
เมื่อตำรวจจับผู้กระทำความผิดได้ ก็ส่งตัวให้ศาลดำเนินคดี
เมื่อศาลพิพากษาเสร็จ ตำรวจก็คุมตัวนักโทษมาส่งผม
ผมก็คุมขังไว้และจัดการประหารชีวิตตามชอบใจ
ถ้าคุณอยากทราบว่าเขาทำผิดอะไร
คุณลองไปถามนักโทษคนนั้นดูซิ"
ผู้บัญชาการชี้มือไปที่นักโทษคนหนึ่ง
ซึ่งกำลังนั้งถอนหญ้าอยู่ใกล้ๆ

"นี่คุณ คุณทำความผิดอะไร จึงต้องมาถูกขังอยู่ในเรือนจำนี้"
ข้าพเจ้าถามด้วยเสียงสุภาพ
นักโทษคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้า
ดุจเห็นข้าพเจ้าเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง
ดวงตาของเขามีแววขุ่นแสดงว่า ไม่พอใจอย่างมาก
"คุณเป็นใครมาจากไหน" เขาถามด้วยเสียงเครียด
"ผมไม่ได้ทำความผิดอะไร
ผมไม่ได้เป็นนักโทษ ผมไม่ได้อยู่ในเรือนจำ !"
เขาตอบด้วยเสียงดังลั่น

ข้าพเจ้าถึงกับยืน อ้าปากค้าง
ด้วยความงงงันต่อพฤติกรรมประหลาดของนักโทษคนนั้น
เมื่อไม่รู้จะโต้ตอบอย่างไร จึงหันไปมองดูผู้บัญชาการฯ
ด้วยหวังจะได้รับคำชี้แจงเพิ่มเติม
อย่างน้อยท่านก็อาจจะบอกข้าพเจ้าว่า
นักโทษคนนั้นเป็นคนเสียจริตหรืออะไรทำนองนั้น
แต่แล้วข้าพเจ้าเองก็เกือบจะกลายเป็นคนเสียจริตไป
เพราะท่านผู้บัญชาการฯ และเจ้าพนักงาน 4 - 5 คน
ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ได้หัวเราะเยาะขึ้นพร้อมกัน และไม่พูดว่ากระไร
ข้าพเจ้าบอกไม่ถูกว่าขณะนั้นรู้สึกอย่างไร
ทั้งโกรธทั้งงงทั้งประหลาดใจระคนกัน

"เอ นี่นักโทษคนนั้นบ้า หรือว่าท่านบ้า หรือว่าผมบ้ากันแน่"
ข้าพเจ้าโพล่งออกมาด้วยความหัวเสีย จนขาดสติสัมปชัญญะ

"บ้าด้วยกันทั้งนั้น" ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลังจากเหตุการณ์ประหลาดนั้นแล้ว
ท่านผู้บัญชาการก็พาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไป
ตลอดระยะทางที่เดินผ่าน
ข้าพเจ้าเห็นนักโทษรวมกันทำงานอยู่เป็นกลุ่มๆ
กลุ่มละ 5 คนบ้าง 6 คนบ้าง
ทุกคนกำลังทำงานอย่างเอาจริงเอาจัง
หน้าตาและเนื้อตัวขุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ
งานที่นักโทษทำก็มีทุกประเภท
เช่น บางกลุ่มก็ปลูกผักในสวนของเรือนจำ
บางพวกก็เป็นช่างไม้ บางพวกก็เป็นช่างเหล็ก
บางพวกก็เป็นช่างทอง บางพวกที่มีความรู้ก็ทำงานเป็นเสมียน
บางพวกก็ค้าขายอยู่ในร้านค้าของเรือนจำ
ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจมากที่ได้เห็นนักโทษทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
จึงได้ถามท่านผู้บัญชาการว่า
"ผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงานเหล่านั้น
ทางเรือนจำแบ่งให้นักโทษบ้างหรือไม่
หรือเอาไว้เป็นของหลวงหมด"

ผู้บัญชาการตอบว่า "ผลประโยชน์ที่นักโทษทำได้
ตกเป็นสมบัติของนักโทษนั่นเอง ทางเรือนจำไม่เกี่ยวข้องเลย
แต่เมื่อเขาถูกประหารชีวิตตายไปแล้ว
สมบัติของเขาทั้งหมดจะต้องตกเป็นของเรือนจำ
แต่ตราบเท่าที่เขายังมีชีวิตอยู่
เขาสามารถจะหาทรัพย์และใช้ทรัพย์ของเขาได้ อย่างเต็มที่
เพราะฉะนั้นนักโทษของเราทุกคน
จึงตั้งหน้าทำงานด้วยความขยันขันแข็งโดยไม่ต้องบังคับ
บางคนทำงานทั้งกลางวันกลางคืนก็มี"

ข้าพเจ้าถามขึ้นว่า "ที่เรือนจำกลางเชียงใหม่
เขามีการให้อาหารตามเวลา มีการให้เครื่องนุ่งห่ม
ผมอยากทราบว่าที่เรือนจำนี้มีการให้อาหารและเสื้อผ้าหรือไม่"

"ไม่มี" ผู้บัญ่ชาการฯ ตอบ "เราไม่ให้เสื้อผ้าหรืออาหารแก่นักโทษ
เพราะนักโทษแต่ละคนมีสิทธิหาเองได้ ทำงานได้
ทางเรือนจำเลยปล่อยให้ทุกคนช่วยตัวเอง
แต่ทุกคนก็มีพออยู่กิน มีบางรายเหมือนกันที่เกียจคร้าน
หรือไร้ความสามารถ ไม่อยากทำงาน
ไปเที่ยวขโมยหรือปล้นสะดม
หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์ของนักโทษคนอื่นมาเลี้ยงชีวิต"

"มีการปล้นกันภายในเรือนจำนี้ด้วยหรือครับ"
ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

"มี" ผู้บัญชาการตอบ "มีการปล้นกันทุกวัน
มีการทะเลาะวิวาทกันทุกวัน มีการตีรันฟันแทงกันตายทุกวัน"

"แล้วทางการเรือนจำจัดการอย่างไร
กับนักโทษใจร้ายที่ฆ่าเพื่อนนักโทษตายในเรือนจำ" ข้าพเจ้าถาม

" ไม่ทำอะไร" ผู้บัญชาการฯ ตอบ
คล้ายกับไม่เห็นว่าการฆ่ากันตายเป็นเรื่องร้ายแรง
"ปล่อยให้เขาทำตามสบาย
เพราะนักโทษทุกคนในเรือนจำนี้มีโทษถึงตายทุกคนอยู่แล้ว
สักวันหนึ่งทุกคนจะต้องถูกประหารชีวิต
ฉะนั้นแม้จะทำความผิดในระหว่างนี้หรือไม่ทำ
ทุกคนก็จะต้องถูกประหารชีวิตอยู่แล้ว
ดีเสียอีกที่เขาจัดการประหารชีวิตกันเอง
โดยไม่ให้เจ้าหน้าที่เพชฌฆาตเรือนจำต้องลำบาก"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ามองดูหน้าท่านผู้บัญชาการเรือนจำด้วยความงุนงง
พลางคิดในใจว่า เรือนจำนี้ช่างโหดร้ายทารุณป่าเถื่อนเสียเหลือเกิน
ผู้บัญชาการเรือนจำเองก็ช่างใจไม้ไส้ระกำ
เห็นชีวิตของคนเป็นชีวิตของมดของปลวกไปได้
แต่มิได้พูดออกมาด้วยวาจา
เพียงแต่เดินตามผู้บัญชาการฯ และคณะไปอย่างเงียบๆ

"คุณอยากจะดูการประหารชีวิตนักโทษไหมล่ะ" ผู้บัญชาการถาม
ข้าพเจ้าเกิดความกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันที
เพราะใจหนึ่งเกิดอยากรู้อยากเห็น
แต่ใจหนึ่งเกิดความสังเวชสลดใจ
ไม่อยากเห็นเพื่อนมนุษย์ถูกตัดคอต่อหน้าต่อตา
กลัวจะเกิดเป็นลม เพราะตกใจกลัว
ต่อความโหดร้ายทารุณของการฆ่ามนุษย์
แต่คิดว่าวิธีการประหารชีวิต ไม่แสดงความโหดร้ายทารุณเกินไป
ก็จะไปดูประดับความรู้เสียบ้าง
เพื่อแน่แก่ใจ จึงถามผู้บัญชาการฯ ดู
"ทางเรือนจำประหารนักโทษโดยวิธีไหน ?"

"ทุกชนิด" ผู้บัญชาการฯตอบ "ใช้ปืนยิงบ้าง ใช้มีดแทงให้ตายบ้าง
ใช้ค้อนทุบกะโหลกศีรษะบ้าง แขวนคอบ้าง บังคับให้ดื่มยาพิษบ้าง
ปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดตายบ้าง กดคอให้จมนำตายบ้าง
ให้ล้อเหล็กขนาดใหญ่บดตัดคอให้ตายบ้าง
บางทีก็ให้เจ้าหน้าที่ทรมาน
โดยตัดแข้งขาตีนมือเนื้อหนังออกทีละน้อยๆ จนตายไปเอง"

ข้าพเจ้าเหงื่อแตกพลั่ก ด้วยความสะดุ้งตกใจกลัว
ต่อวิธีการประหารชีวิตอันทารุณโหดร้าย
ที่ผู้บัญชาการฯ บรรยายให้ฟัง "ผมไม่ดูละครับ"
ข้าพเจ้าบอกผู้บัญชาการฯ
"เพียงแต่ได้ยินท่านเล่าวิธีการให้ฟังเท่านั้น
ผมก็แทบทนฟังไม่ไหวแล้ว ถ้าไปเห็นจริงๆ ผมเป็นลมแน่"

"รู้สึกว่าคุณขวัญอ่อนมาก" ผู้บัญชาการกล่าวยิ้มๆ
"ถ้าคุณกลายเป็นนักโทษและจะถูกประหารชีวิตแบบนั้นบ้าง
คุณจะรู้สึกอย่างไร"

"ผมก็คงช็อคตายก่อนถูกประหารจริงๆ"
ข้าพเจ้าตอบ ผู้บัญชาการฯ หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำที่ยืนข้างๆ
แล้วก็ยิ้มอย่างมีนัย ทำให้ข้าพเจ้าหวาดระแวงอย่างไรชอบกล


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เราได้เดิน ผ่านนักโทษกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งกำลังนั่งล้อมวงเสพสุราและร้องเพลงกันอยู่อย่างสนุกสนาน
"เขาทำอะไรกันครับ" ข้าพเจ้าถามท่านผู้บัญชาการฯ

"เขากำลังฉลองสมาชิกใหม่
วันนี้ตำรวจนำนักโทษ เข้ามาส่งเรือนจำหลายคน
พวกนี้คงสามารถดึงนักโทษใหม่บางคนมาเป็นสมาชิกได้
จึงดีอกดีใจและฉลองกันเป็นการใหญ่
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นของธรรมดาในเรือนจำของเรา
นักโทษทุกกลุ่มต่างปรารถนาอยากได้นักโทษใหม่
มาเข้าร่วมคณะมาช่วยการงานของคณะ
มีการวิ่งเต้นหาสมาชิกใหม่กันทั่วไป"

เดินต่อไปอีกไม่นาน ข้าพเจ้าก็ได้พบกับภาพตรงกันข้าม
กับภาพที่เพิ่งเห็นมา คือ นักโทษกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งล้อมวง
ส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชเ วทนา
ข้าพเจ้าเดินเข้าไปใกล้แล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นเหรอ"

"สมาชิกของเราคนหนึ่งเพิ่งถูกประหารชีวิต"
นักโทษคนหนึ่งตอบทั้งน้ำตานองหน้า
"เขาเป็นคนดีและขยันขันแข็งมาก
เราทุกคนรักและเสียดายเขาที่มาด่วนถูกประหารชีวิตเสีย
เราได้สูญเสียแขนขวาของเราไปเสียแล้ว........."
ว่าแล้วเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญต่อไป

"เขาถูกประหารชีวิตโดยวิธีใด" ข้าพเจ้าถาม

"โดยวิธีถูกตัดคอ" ชายคนเดิมตอบ
เขาค่อยๆ เลิกผ้าคลุมออกจากหน้าของศพ
เผยให้เห็นหัวที่ขาดจากไหล่กลิ้งอยู่ต่างหากจากลำตัว
มีเลือดนองอยู่บนพื้นและจับเกรอะตามหน้าและตามลำตัว
"ขณะที่เขากำลังนั่งคุยกับเราอยู่อย่างสนุกสนานนั่นเอง
เพชฌฆาตคนหนึ่ง ก็ถือดาบอันคมกริบ
วิ่งมาฟาดฟันลงไปที่คอของเขาสุดแรง
ทำให้ศีรษะจของเขากระเด็นตกไป
เราต้องเก็บเอาศีรษะของเขามาเก็บไว้ที่เดิม
แล้วก็เอาผ้าขาวม้าคลุมอย่างที่เห็นอยู่นี้"

ข้าพเจ้าบอกให้เขาดึงผ้าปิดศพเสียตามเดิม
แล้วก็หันมาทางผู้บัญชาการฯ
ด้วยความตั้งใจจะต่อว่าความโหดร้ายป่าเถื่อนของเพชฌฆาต
แต่ก็พูดไม่ออกอยู่เป็นนาน
เพราะรู้สึกว่ามีอะไรมาจุกที่คอหอย
เมื่อควบคุมสติสัมปชัญญะได้ดังเดิม
แล้วจึงถามผู้บัญชาการฯ ว่า
"ทำไมท่านปล่อยให้คนของท่านทำอย่างป่าเถื่อนเช่นนั้น
ท่านมิได้แจ้งให้นักโทษทราบล่วงหน้าดอกหรือ
ว่าจะประหารชีวิตโดยวิธีใด ที่ไหน และเมื่อไร
นักโทษไม่มีโอกาสรู้ล่วงหน้าและเตรียมตัวบ้างหรือ"

"การประหารชีวิตนักโทษนั้น" ผู้บัญชาการตอบ
"เรายกให้เป็นหน้าที่ของเพชฌฆาตโดยตรง
เพชฌฆาตมีอำนาจประหารชีวิตใคร ที่ไหน
เมื่อใดก็ได้ตามชอบใจ โดยไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
บางทีนักโทษกำลังนอนหลับอยู่ดีๆ
เพชฌฆาตอาจจะเอาดาบไปฟันคอตายโดยไม่รู้สึกตัวก็ได้
บางคนกำลังเล่นอยู่อย่างสนุกสนาน
เพชฌฆาตอาจจะเอาค้อนไปทุบหัวตายก็ได้"

"ถ้าอย่างนั้นนักโทษทุกคน ก็คงนอนตาไม่หลับ" ข้าพเจ้ากล่าว
พลางสั่นหัวด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ
ต่อระเบียบการอันวิตภารของเรือนจำแห่งนั้น
"คงหวาดผวาอยู่ตลอดเวลา
เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไรเพชฌฆาตจะมาลากตัวไปประหารชีวิต"

"ตรงกันข้าม" ผู้บัญชาการฯ ตอบ "ไม่มีนักโทษคนใดประหวั่นพรั่นพรึง
ต่อการประหารชีวิตเลย นักโทษส่วนมากลืมเสียสนิท
ว่าตนเป็นนักโทษประหาร ต่อเมื่อเห็นเพื่อนถูกประหารต่อหน้าต่อตา
นั่นแหละ จึงจะระลึกขึ้นได้ แต่ไม่ช้าก็ลืมสนิท
แล้วก็สนุกสนานเพลิดเพลินต่อไป"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:38 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านผู้บัญชาการ เรือนจำพาข้าพเจ้าตระเวนชมเรือนจำต่อไปอีก
เราได้ผ่านกลุ่มนักโทษไปมากมายหลายกลุ่ม
สังเกตดูนักโทษทุกๆ กลุ่มต่างทำงานและเล่นกันอย่างสนุกสนาน
แทบทุกคนมีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นอันดี
ทำให้ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ
ที่ว่านักโทษส่วนมากลืมสนิทว่าตนเป็นนักโทษประหาร

"ทางเรือนจำมีระเบียบควบคุมนักโทษอย่างไรบ้าง" ข้าพเจ้าถาม

ผู้บัญชาการฯ หัวเราะแล้วตอบว่า
"ไม่มีเลย นักโทษจะเล่น จะทำงาน จะกิน จะนอน จะเที่ยว
ไปที่ไหนก็ได้ ภายในเรือนจำนี้ ไม่มีการควบคุมใดๆ ทั้งสิ้น"

"การปล่อยปละละเลยเช่นนี้ ท่านไม่กลัวนักโทษแหกคุกหรือ"

ผู้บัญชาการเรือนจำหัวเราะดังยิ่งขึ้น แล้วตอบว่า
"ไม่กลัว ผมจะบอกเหตุผลว่า ทำไมไม่กลัว
ประการแรกก็เพราะว่า ไม่มีใครอยากจะออกไปจากเรือนจำนี้
แทบทุกคนพอตกเข้ามาอยู่ในเรือนจำนี้
ก็สนุกสนานเพลิดเพลิน จนไม่อยากจากไป
ทุกคนอยากอยู่ที่นี่ อยากถูกประหารชีวิตและตายที่นี่
นั่นเป็นเหตุผลสำคัญที่สุด
เหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมไม่กลัวว่า นักโทษจะหนี
อยู่ที่โน่น ผมจะพาคุณไปดูเดี๋ยวนี้"

"ท่านผู้บัญชาการฯ ได้จูงแขนข้าพเจ้าพาไปยังหอคอยสูงหลังหนึ่ง
เราเดินตามบันไดขึ้นไปจนถึงยอดหอคอยแล้ว
ผู้บัญชาการฯ ก็ชี้มือให้ข้าพเจ้าดูสิ่งหนึ่ง
พอเห็นสิ่งนั้นข้าพเจ้าก็เห็นด้วยกับผู้บัญชาการฯ ทันทีว่า
ทำไมจึงไม่กลัวนักโทษจะแหกคุก

สิ่งที่มีอยู่ข้างหน้าข้าพเจ้า คือกำแพงสูงใหญ่
ที่ล้อมรอบเรือนจำอยู่ถึง 3 ชั้น
มีช่องว่างระหว่างกำแพงกว้างประมาณ 30 เมตร
กำแพงทั้ง 3 มีความหนาและความสูงไม่เท่ากัน
และสร้างด้วยวัสดุต่างๆ กัน
คือ กำแพงชั้นใน เป็นกำแพงก่อด้วยอิฐ แต่ไม่มีการโบกปูน
จึงมองเห็นแผ่นอิฐเรียงกันเป็นก้อนๆ
กำแพงอิฐมีความหนาประมาณ 6 ฟุตและสูงประมาณ 10 ฟุต
กำแพงชั้นกลางมีสีเทาแก่ เพราะสร้างด้วยแผ่นหินขนาดใหญ่ทั้งนั้น

ท่านผู้บัญชาการฯ บอกข้าพเจ้าว่า
กำแพงหินกว้างและสูงมากกว่ากำแพงอิฐ 2 เท่า
กำแพงชั้นนอกสูงแลดูเป็นสีดำทะมึนตลอด
มีความกว้างและความสูงมากกว่ากำแพงหิน 2 เท่า
เพราะฉะนั้นจึงเป็นกำแพงขอบนอกที่มั่นคงแข็งแรงที่สุด
ข้าพเจ้าได้ถามท่านผู้บัญชาการฯ ว่า
"กำแพงชั้นนอกทำด้วยอะไร"

"ทำด้วยเหล็กทั้งแท่ง" ท่านผู้บัญชาการฯตอบ

"มิน่าเล่า ถึงไม่มีใครคิดจะหลบหนี"
ข้าพเจ้าพูดขึ้นมาอย่างลอยๆ
ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็เหลือบเห็นนักโทษหลายต่อหลายคน
กำลังใช้ท่อนไม้ขนาดกลางทุบต่อยและกระทุ้งกำแพงอิฐ
อยู่อย่างขะมักเขม้น "เอ๊ะ นั่นเขาทำอะไรกัน"
ข้าพเจ้าถามด้วยความประหลาดใจ

"เขากำลังจะเจาะกำแพงหลบหนี"
ผู้บัญชาการตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
คล้ายกับเห็นว่าการแหกคุกเป็นเรื่องเล็ก

"แล้วทำไมท่านจึงปล่อยให้เขาทำ
ทำไมท่านไม่จับกุมหรือห้ามปราม"

"ไม่" ผู้บัญชาการตอบหน้าตาเฉย
"นักโทษทุกคนมีสิทธิที่จะแหกคุกได้ เราไม่ห้ามปรามแต่อย่างใด
เพราะมีน้อยคนเหลือเกิน ที่คิดจะแหกคุก
คุณลองคิดดูซิในเรือนจำมีนักโทษตั้งเท่าไร
แต่คุณก็เห็นแล้วว่า มีนักโทษเพียงไม่กี่คนที่กำลังเจาะกำแพง
อีกอย่างหนึ่งกำแพงของเราก็แข็งแรงมาก ยากที่จะเจาะทะลุได้
นักโทษส่วน มากมักจะเลิกล้มความพยายามเสียในระหว่างนั้น
แม้จะพ้นกำแพงอิฐไปได้ก็ติดที่กำแพงหิน
คุณดูที่ฐานกำแพงหินนั่นซิ"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ามองตามมือผู้บัญชาการฯ
ไปยังกำแพงหินและได้เห็นนักโทษ 2 - 3 คน
ซึ่งรอดพ้นจากกำแพงอิฐมาได้
กำลังเอาขวานเจาะกำแพงหินอยู่อย่างขะมักเขม้น
"แล้วนักโทษอื่นๆ ทำไมไม่ออกตามช่องที่เขาเจาะไว้แล้ว
จะได้ช่วยกันเจาะกำแพงหินต่อไป" ข้าพเจ้าถาม

ผู้บัญชาการฯ ตอบว่า "ผมบอกคุณแล้วว่าไม่มีใครคิด
อยากจะออกไปจากเรือนจำ และยิ่งกว่านั้น
ช่องแต่ละช่องที่นักโทษเจาะสำเร็จนั้น
เราจะจัดการปิดให้ดีเหมือนเดิมทันที ที่นักโทษคนนั้นลอดออกมาพ้น
ฉะนั้นถ้าใครอยากออก
ก็ต้องเจาะช่องใหม่สำหรับตนเอง เจาะให้กันไม่ได้
ฉะนั้นนักโทษคนหนึ่งเจาะช่องได้สำหรับตนคนเดียวเท่านั้น"

"มีนักโทษคนใด สามารถเจาะทะลุกำแพงหินบ้างไหม"

"มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที
ถ้าคุณมองดูที่ฐานกำแพงเหล็ก
คุณจะเห็นนักโทษหัวเห็ดเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น
โน่นยังไงละ คนหนึ่งเพิ่งหลุดออกไปได้จากกำแพงหิน"

ข้าพเจ้ามองตามมือ ท่านผู้บัญชาการฯ ไปที่ฐานกำแพงเหล็ก
และเห็นนักโทษผู้มีร่างล่ำสันบึกบึนคนหนึ่ง
กำลังใช้ขวานฟันกำแพงเหล็กอยู่อย่างเหนื่อยอ่อน
ขวานของเขารู้สึกว่าเต็มไปด้วยประกายแวววับ
ทุกครั้งที่เขายกขึ้นฟันมันจะสะท้อนแสงแวววาวเข้านัยน์ตาของเรา
จนเราต้องหลับตา ข้าพเจ้านึกชมความอุตสาหะวิริยะ
ของนักโทษหัวเห็ดคนนั้นอยู่ในใจ
และภาวนาขอให้เขาออกไปให้ได้

"เคยมีนักโทษ เจาะกำแพงเหล็กออกไปได้บ้างไหมครับ
ท่านผู้บัญชาการ"

"มีเหมือนกัน แต่น้อยเต็มที ในหมื่นหรือแสนคนจะมีสักคนหนึ่ง
เท่าที่ผมอ่านดูในประวัติของเรือนจำนั้น
เมื่อประมาณ 2500 ปีมาแล้ว
มีนักโทษสำคัญคนหนึ่งแหกคุกออกไปได้สำเร็จ
และพาเอานักโทษอื่น ๆ ออกไปด้วยเป็นจำนวนมาก
แต่หลังจากนั้นมา ก็ไม่เคยมีการแหกคุกเป็นการใหญ่เช่นนั้นอีก"

"ถ้าสมมติว่ามีนักโทษแหกคุกออกไปได้สำเร็จ ทางเรือนจำ
ติดตามไปจับเขานำมาขังไว้ในเรือนจำอีกหรือไม่ครับ" ข้าพเจ้าถามต่อไป

"ไม่" ผู้บัญชาการตอบ "เราปล่อยให้เขาไปเลย
เราถือว่าเขามีความสามารถ เป็นวีรบุรุษสมควรจะได้รับอิสรภาพ
ยิ่งกว่านั้น เรายังให้สิทธิพิเศษแก่เขาอีกด้วย"

"สิทธิอะไรครับ" ข้าพเจ้าถามด้วยความสนใจ

"สิทธิที่เข้าออกเรือนจำได้ตามชอบใจทุกเวลา
ถ้าเขาอยากจะกลับเข้ามาในเรือนจำ
เพื่อชักชวนเพื่อนนักโทษให้แหกคุก
หรือแนะนำวิธีเจากำแพงที่ได้ผลแก่นักโทษอื่นๆ
ก็อาจจะทำได้ตามชอบใจ คุณเดินตามผมมาทางนี้"


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าเดินตามผู้บัญชาการฯ ไปอย่างว่าง่าย
เราได้มาถึงนักโทษกลุ่มหนึ่ง
กำลังนั่งล้อมวงฟังชายคนหนึ่งพูดอยู่ใต้ต้นไม้
ชายประหลาดคนนั้นยืนอยู่ท่ามกลางวง
แล้วพูดด้วยเสียงอันดังว่า "ตื่นเถิดพี่น้องทั้งหลาย
อย่ามัวหลับไหลอยู่เลย
อย่าลืมว่าท่านเป็นนักโทษประหาร
กำลังถูกขังอยู่ในกำแพงถึง 3 ชั้น
สักวันหนึ่งเพชฌฆาตจะมาลากคอท่านไปประหารชีวิต
รีบลุกขึ้นแล้วแหกคุกหนีไปเสียก่อนที่จะถึงเวลานั้น............."

ชายคนนั้นพรรณนาโทษของเรือนจำ ต่อไปอีกมากมาย
ซึ่งล้วนแต่เป็นความจริง
แต่ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่ามีนักโทษน้อยคน
ที่ตั้งใจฟังวาทะของเขา
ส่วนมากหันหน้าไปคุยกันเสียบ้าง หลับเสียบ้าง
ยิ่งกว่านั้นบางคนยังหัวเราะเยาะเขา
และตะโกนคัดค้านเขาเป็นครั้งคราว
แต่ชายคนนั้นก็ใจเย็นอย่างน่าอัศจรรย์
เขามิได้แสดงอาการโกรธเคือง
หรือพูดจาโต้ตอบผู้ก่อกวนเหล่านั้นแต่อย่างใด

เขาเอามือควานลงไปในถุงซึ่งวางอยู่บนพื้นข้างๆ
แล้วหยิบเอาขวานเล่มหนึ่งขึ้นมา
เขาชูขวานไปรอบๆ แล้วพูดขึ้นว่า "พี่น้องทั้งหลาย
นี่คือ ขวานหินสำหรับเจาะกำแพงอิฐ
ท่านผู้ใดอยากจะได้รับอิสรภาพ
โปรดเอาขวานนี้ไปเจาะกำแพงอิฐ
ข้าพเจ้ายินดีจะมอบขวานนี้ให้แก่ท่านฟรี"
พูดแล้วเขาก็ชูขวานนั้นไปรอบๆ
แต่ปรากฏว่าไม่มีนักโทษคนใดแสดงความสนใจ
ในขวานของเขาเลย นักโทษคนหนึ่งได้ตะโกนขึ้นว่า
"เดี๋ยวนี้เป็นสมัยจรวดแล้ว เราไม่ต้องการขวานหิน
เชิญท่านนำไปแจกคนสมัยหินของท่านเถิด"

โดยมิได้คำนึงต่อคำเยาะเย้ยของนักโทษคนนั้น
ชายผู้ใจเย็นยังคงชูขวานต่อไปอีก
จนกระทั่งมีนักโทษคนหนึ่งยืนขึ้น เดินไปรับขวานจากเขา
นักโทษคนนั้นหยิบขวานมาลูบคลำ พิจารณาดูอยู่หน่อยหนึ่ง
แล้วก็ยื่นกลับคืนไปให้เจ้าของพลางพูดว่า
"มันหนักเกินไป แบกไม่ไหว"

ชายผู้หวังดีหยิบเอาขวานหินเล่มนั้นมาเก็บไว้
แล้วล้วงเอาขวานอีกเล่มหนึ่งออกมาจากถุง
ยกชูไปรอบๆ พลางพูดว่า "พี่น้องทั้งหลาย นี้คือ ขวานเหล็ก
ใช้สำหรับเจาะกำแพงชั้นกลาง คือ กำแพงหิน
ผู้ใดต้องการข้าพเจ้ายินดีจะให้โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด
เชิญรับเอาไปเถิด" เขาส่งขวานไปรอบๆ
ด้วยสายตาแสดงความวิงวอน แต่ไม่ปรากฏว่ามีใครรับเอา

เขาวางขวานเหล็กลงไว้ แล้วล้องเอาขวานเล่มใหม่ขึ้นมา
เขาชูไปรอบๆ ตามเคย พลางกล่าวว่า "พี่น้องทั้งหลาย
กำแพงเหล็กชั้นนอกอาจจะหนาและสูง แต่ท่านไม่ต้องท้อใจ
นี้คือ ขวานพิเศษสำหรับเจากำแพงเหล็ก
ถ้าท่านดูให้ดีท่านจะเห็นว่า คมของขวานนี้ทำด้วยเพชร
โปรดดูด้วยตาของท่านเอง"
เขาได้หยิบเอาเหล็กมาท่อนหนึ่ง
แล้วก็เอาขวานนั้นฟันให้ดูเป็นตัวอย่าง
ปรากฏว่าขวานจ้องฟันเพียงครั้งเดียว ท่อนเหล็กนั้นก็ขาดกระเด็น
แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีใครสนใจจะรับเอาขวานนั้น
ชายผู้ใจเย็นก็รวบรวมขวานใส่ในถุง ยกถุงขึ้นแบกบนบ่า
แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังนักโทษกลุ่มอื่นต่อไป
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะของนักโทษกลุ่มนั้น


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขณะนั้นเป็น เวลาเกือบ 11.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องกลับ
เพราะมีนัดรับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อน
ข้าพเจ้าขอบคุณท่านผู้บัญชาการฯ แล้วก็กล่าวคำอำลา

"คุณ ยังจะกลับไม่ได้" ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้นด้วยท่าทางขึงขัง
ทำให้ข้าพเจ้าประหลาดใจไม่น้อย
ใจหนึ่งคิดว่าท่านผู้บัญชาการฯ
อาจจะชวนให้รับประทานอาหารกลางวันด้วย
แต่เพื่อให้แน่ใจจึงถามดู "ทำไมล่ะครับ"

"กฏของเรือนจำมีอยู่ว่า ทุกคนที่เข้ามาในเรือนจำของเรา
ต้องกลายเป็นนักโทษประหารของเราด้วย
เพราะฉะนั้น เวลานี้คุณได้กลายเป็นนักโทษของเราเสียแล้ว"

ข้าพเจ้ารู ้สึกตกใจและงุนงงดุจถูกตีที่ศีรษะ
แต่ก็ยังอุ่นใจอยู่ว่าผู้บัญชาการฯ คงจะล้อเล่นสนุกๆ มากกว่า
จึงกล่าวว่า "ท่านผู้บัญชาการฯ อย่าล้อผมเล่นเลยน่า
ผมจะต้องรีบไปพบเพื่อนตามนัด"

"คุณจะไม่มีหวังไปพบเพื่อน ได้ตามนัดโดยเด็ดขาด"
ผู้บัญชาการฯ พูดพลางหัวเราะอย่างผู้มีชัย
ท่านได้หันไปมองดูเจ้าหน้าที่เรือนจำอย่างมีนัย
แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่มีร่างกำยำ 2 คน
ก็ตรงเข้ามาขนาบข้างซ้ายขวาของข้าพเจ้า
และยึดแขนไว้อย่างมั่นคง

ถ้าสามารถมองเห็นตัวเองในขณะนั้น
ใบหน้าของข้าพเจ้าคงขาวซีด ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด
เพราะการกระทำของผู้บัญชาการฯ ตอนนี้บอกว่าเอาจริงแน่นอน

"คุณไม่เชื่อหรือว่าผมพูดจริง" ผู้บัญชาการฯ พูดขึ้น
"ถ้าไม่เชื่อผมจะพาไปดูอะไรบางอย่าง" ว่าแล้วก็ออกเดินทันที
ข้าพเจ้าก็ถูกเจ้าหน้าที่ฉุดให้เดินตามไปด้วย
เราได้มาถึงตึกใหญ่หลังหนึ่ง ผู้บัญชาการฯ สั่งให้หยุดอยู่ที่ประตู
เมื่อประตูถูกเปิดออกข้าพเจ้ามองเข้าไปข้างใน
ก็ได้พบภาพที่ไม่เคยนึกเคยฝันว่า จะได้พบในเรือนจำ
ภายในตึกนั้นเต็มไปด้วยพระภิกษุสามเณร พระราชามหากษัตริย์
ประธานาธิบดี นายพล มหาเศรษฐี และบุคคลชั้นสูงอีกมากมาย !"

"ทั้งหมดนี้คือนักโทษประหารของผมทั้งสิ้น" ผู้บัญชาการฯ พูด
แล้วมองดูหน้าข้าพเจ้าคล้ายกับบอกว่า
"คนใหญ่คนโตขนาดนั้น ยังตกเป็นนักโทษของผม
นับประสาอะไรกับคุณซึ่งเป็นคนธรรมดาๆ คนหนึ่ง"

ข้าพเจ้ารู้สึกหน้ามือ ศีรษะหมุนติ้วคล้ายจะเป็นลม
จึงทรุดตัวลงนั่งเอามือกุมศีรษะอยู่ใกล้ประตูตึกนั่นเอง
ขณะที่นั่งหลับตาอยู่นั่นเอง ภาพใบหน้าของภรรยาสุดที่รัก
ก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึกแล้วภาพมารดา พี่น้อง
ตลอดถึงลูกศิษย์ที่สอนอยู่เป็นประจำ
จิตใจในขณะนั้นวิ่งพล่านกลับไปยังทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง
เขาเหล่านั้นจะอยู่อย่างไร กินอย่างไร และคิดอย่างไร
เมื่อได้ทราบว่า ข้าพเจ้าได้กลายเป็นนักโทษประหารเสียแล้ว
ขณะที่จิตใจกำลังวิ่งพล่านอยู่นั้น
ภาพพุทธสถานก็ปรากฏขึ้นมาในห้วงนึกพร้อมกับจำได้ว่า
ในวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2508 จะต้องไปแสดงปาฐกถาเรื่อง
"ตื่นเถิดชาวพุทธ" ประชาชนจำนวนมาก
ที่อยากฟังปาฐกถา จะรู้สึกสึกผิดหวังเพียงไร
ถ้าถึงเวลาแล้วไ ม่มีข้าพเจ้าไปแสดงปาฐกถา
พร้อมๆ กันนั้นก็เกิดการตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวขึ้นมาทันทีว่า
จะต้องไปแสดงปาฐกถาให้ได้

"ท่านผู้บัญชาการที่รักและคิดถึง" ข้าพเจ้าพูดออกมาคล้ายคนบ้า
"ท่านจะเอากับผมอย่างไรก็เอา ผมยอมทั้งนั้น
แต่ผมขอความกรุณาจากท่านเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย
คือ ขออนุญาตออกไปแสดงปาฐกถาที่พุทธสถาน
ในคืนวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคมนี้ ท่านจะอนุญาตหรือไม่"

ผู้บัญชาการฯ นิ่งคิดอยู่นักครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า "ตกลง
เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่ผมจะให้เจ้าหน้าที่เรือนจำ 3 คน
ควบคุมคุณไปทุกฝีก้าว"

พระคุณเจ้าและท่านสาธุชนที่เคารพ ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังพูดอยู่นี้
เจ้าหน้าที่ทั้ง 3 คนจากเรือนจำ ก็กำลังยืนคุมข้าพเจ้าอยู่
คนที่ยืนทางขวามือของข้าพเจ้า
คือ เจ้าหน้าที่ทรมานนักโทษให้ตายโดยวิธีตัดแข้งตัดขา
คนที่ยืนทางซ้ายมือนี้ คือ พนักงานปล่อยสัตว์ร้ายให้กัดนักโทษตาย
ส่วนอีกคนหนึ่งที่ยืนถือขวานอยู่ข้างหลังข้าพเจ้านั้น
คือ เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง
หลังจากแสดงปาฐกถาที่นี่เสร็จแล้ว
ข้าพเจ้าก็จะถูกนำตัวสู่เรือนจำและจะถูกประหารชีวิต ณ วันใดวันหนึ่ง
ซึ่งข้าพเจ้าเองไม่มีทางรู้

ข้าพเจ้าขออำลาท่านทั้งหลายไปก่อน......................สวัสดี


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 5:47 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ปัญหาและคำตอบในเรื่อง "นักโทษประหาร"

1. เรือนจำใหญ่ได้แก่อะไร ทำไมจึงเรียกว่าเรือนจำ

ตอบ เรือนจำใหญ่ได้แก่โลกนี้ทั้งโลก
ถ้าพูดอย่างกว้าง หมายถึง ภพทั้งสามภพ
คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ซึ่งเป็นดินแดนตายของสัตว์
เหตุที่ได้ชื่อว่า เรือนจำ ก็เพราะเป็นที่กักขังสัตว์ไว้
มิให้บรรลุถึงพระนิพพาน


2. นักโทษประหารหมายถึงใคร
ทำไมจึงเรียกว่านักโทษประหาร


ตอบ นักโทษประหาร หมายถึง สัตว์ทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด
อยู่ในภพทั้งสาม เหตุที่เรียกว่านักโทษประหาร
ก็เพราะว่า สัตว์ทั้งหลายในสามภพ
ไม่ว่าจะเกิดในกำเนิดต่ำหรือสูง จะต้องตายทั้งสิ้น


3. ข้อที่ว่า นักโทษไม่รู้ว่าตัวเป็นนักโทษถูกขังอยู่ในเรือนจำนั้น
หมายความว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่าสัตว์ที่เกิดในสามภพ
หารู้สึกตัวไม่ว่าตนติดอยู่ในห้วงทุกข์ และจะต้องตาย
แต่มัวสนุกสนานเพลิดเพลินอยู่ในภพนั้นๆ จนลืมตัว


4. ข้อที่ว่านักโทษในเรือนจำรวมกันเป็นกลุ่มๆ
ช่วยเหลือกันและกัน แสวงหาสมาชิกมาเข้ากลุ่ม
และมีการเฉลิมฉลองเมื่อมีสมาชิกใหม่นั้น หมายความว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่า คนในโลกรวมกันอยู่เป็นครอบครัว
เมื่อมีคนเกิดขึ้นในครอบครัวก็ดีอกดีใจ
ถ้าไม่มีก็พยายามที่จะให้มีทุกวิถีทาง


5. ตำรวจที่นำนักโทษมาส่งเรือนจำหมายถึงอะไร

ตอบ หมายถึงชาติหรือความเกิด ซึ่งส่งให้สัตว์มาเกิดในภพทั้งสาม


6. กำแพงทั้งสามชั้นที่ล้อมเรือนจำไว้หมายถึงอะไร

ตอบ กำแพงอิฐชั้นใน หมายถึง กรรมดีและชั่ว
ที่เป็นเหตุให้สัตว์เกิดในสามภพ
กำแพงหินชั้นกลาง หมายถึง กิเลสหยาบ เช่น โลภ โกรธ หลง
อันเป็นเหตุให้สัตว์ทำกรรม
กำแพงเหล็กชั้นนอก หมายถึง อวิชชา
ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดทำลายได้ยาก
แม้เกิดในพรหมโลกก็ยังมีอวิชชา


7. ขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชร
สำหรับทำลายกำแพงอิฐ กำแพงหินและกำแพงเหล็กหมายถึงอะไร


ตอบ ขวานหิน หมายถึง ศีล สำหรับควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อย
ขวานเหล็ก หมายถึง สมาธิ สำหรับปราบกิเลสหยาบ
ขวานเพชร หมายถึง ปัญญา ซึ่งใช้สำหรับทำลายกิเลสละเอียด คือ อวิชชา


8. นักโทษที่กำลังแหกคุก โดยใช้ขวานทำลายกำแพงอิฐ
กำแพงหินและกำแพงเหล็กหมายถึงใคร


ตอบ หมายถึงพุทธบริษัททั้งสี่ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ
ปฏิบัติตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อทำลายกรรม
กิเลสหยาบและกิเลสละเอียด เพื่อความเป็นอิสระจากวัฏฏะ
นักโทษที่กำลังทำลายกำแพงอิฐมีมาก
เปรียบเหมือนคนที่ปฏิบัติขั้นศีลได้มีมาก
นักโทษที่กำลังใช้ขวานเหล็ก ทำลายกำแพงหินมีน้อยลง
เปรียบเหมือนพุทธบริษัทขั้นสมาธิมีน้อย
นักโทษที่ใช้ขวานเพชรทำลายกำแพงเหล็กมีน้อยที่สุด
เปรียบเหมือนพุทธบริษัทที่เข้าถึงปัญญามีน้อย


9. ทางเรือนจำไม่ห้ามปราม นักโทษที่คิดจะแหกคุก
และถ้าแหกคุกได้สำเร็จยังได้รับสิทธิพิเศษ
ให้เข้าออกเรือนจำได้ทุกเวลา
ให้ชักชวนนักโทษอื่นๆ ให้แหกคุกได้หมายความว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่า วัฏฏะไม่เคยกีดกัน
ผู้ที่จะปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา
เพื่อบรรลุพระนิพพาน เมื่อบรรลุพระนิพพานแล้ว
จะเทศนาสั่งสอนให้สัตว์ทั้งหลายทำลายวัฏฏะเสีย ก็อาจทำได้


10. บุรุษผู้ยืนโฆษณาชักชวนให้นักโทษแหกคุก
และแจกขวานหิน ขวานเหล็ก ขวานเพชรหมายถึงใคร


ตอบ หมายถึงพุทธบริษัทผู้เห็นภัยในวัฎฎะ
ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญาจนบริสุทธิ์หลุดพ้นด้วยตนเอง
แล้วสั่งสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติตาม
การที่นักโทษไม่ค่อยสนใจ เปรียบเหมือนมนุษย์ในโลก
ที่มัวเพลิดเพลินอยู่กับอารมณ์ของโลก ไม่สนใจในพระศาสนา
ไม่ปฏิบัติตามศีลสมาธิปัญญา


11. การที่ "ข้าพเจ้า" เข้าไปเยี่ยมเรือนจำ
แล้วก็พลอยถูกจับกลายเป็นนักโทษประหารไปด้วย
หมายความว่าอย่างไร


ตอบ หมายความว่า ใครๆ ก็ตามที่ไปเกิดในภพทั้งสาม
แล้วจะต้องตายทั้งสิ้น


12. เจ้าหน้าที่ทั้งสามของเรือนจำที่ควบคุม "ข้าพเจ้า" อยู่
ทุกฝีก้าวนั้นหมายถึงอะไร


ตอบ เจ้าหน้าที่ทรมานสัตว์
โดยการค่อยๆ ตัดอวัยวะต่างๆ ออกทีละน้อย
หมายถึง ชรา ความแก่ เจ้าหน้าที่
ปล่อยสัตว์ร้ายกัดนักโทษให้ตาย หมายถึง พยาธิ ความเจ็บป่วย
เพชฌฆาตผู้ประหารชีวิตนักโทษโดยตรง หมายถึง มรณะ ความตาย


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้



คัดลอกจาก...คุณ ธรรมดา ธรรมดา
แก้ไขโดย...คุณ ~*aom*~

http://larndham.net/index.php?showtopic=17802

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง