Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เข้าใกล้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จักเห็นธรรม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
med_med
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 ต.ค. 2006
ตอบ: 52

ตอบตอบเมื่อ: 09 เม.ย.2007, 7:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้เข้าใกล้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จักเห็นธรรม

มีสติเมื่อใดก็ใกล้ธรรมเมื่อนั้น

อันนี้เราให้มันอิ่มอยู่ด้วยธรรมะ ถ้าเรามีสติอยู่เมื่อไร เราก็อยู่ใกล้ธรรมะเมื่อนั้น ถ้าเรามีสติอยู่เราก็เห็นอนิจจังของไม่เที่ยงอยู่ตราบนั้น เมื่อเราเห็นของไม่เที่ยงอยู่ตราบใดเราก็เห็นพระพุทธเจ้าตราบนั้นแล้วเราจะพ้นความทุกข์ในวัฏฏสงสารมิวันใดก็วันหนึ่ง ถ้าเราไปทิ้งคุณพระ ไปทิ้งพระพุทธเจ้า หรือไปทิ้งธรรมะอันนี้ มันก็เปล่าจากประโยชน์ที่เราทำอยู่ อย่างไรก็ต้องติดตามติดต่อเรื่องการปฏิบัติของเราอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะทำงานอะไรอยู่ เราจะนั่ง จะนอนตาจะเห็นรูป หูจะฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส โผฏฐัพพะถูกต้องทางกาย สารพัดอย่าง อย่าไปทิ้งพระ อย่าห่างจากพระ

ผู้เข้าใกล้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จักเห็นธรรม

นี่ก็เรียกว่าผู้ที่เข้าถึงพระได้ ไหว้พระอยู่ทุกเวลา ตอนเช้าเราก็ไปไหว้ อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ภควา ก็จริงอยู่ แต่ว่ามันจะไหว้ไม่มีความหมายถึงขนาดนี้ มันจะเหมือนกันกับคำว่าภิกขุนั่นแหละ แปลว่าผู้ขอ ก็ขอเรื่อยไป ก็เพราะแปลอย่างนั้น ถ้าหากแปลอย่างดีที่สุดภิกขุก็แปลว่าผู้เห็นภัยในสงสาร อย่างนี้ก็เหมือนกัน อย่างแบบเราทำวัตรสวดมนต์ตอนเช้า ตอนเย็นไหว้พระอย่างนี้ มันก็จะเทียบได้ว่าภิกขุผู้ขอ ถ้าเราเข้าไปใกล้ชิดอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ทุกเวลา เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส มันจะเทียบกับศัพท์ที่ว่าภิกขุผู้เห็นภัยในสงสาร คือมันซึ้งกว่ากันอย่างนี้ แล้วมันก็ตัดหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง ถ้ามันเห็นธรรมะอันนี้แล้ว มันจะมีความรู้มีปัญญาต่อไปเรื่อย

อันนี้เรียกว่าปฏิปทา ให้มีความรู้สึกอย่างนี้ในการประพฤติปฏิบัติของเรา มันจะมีความถูกต้องดีกว่า ถ้าคิดเช่นนี้พิจารณาเช่นนี้อยู่ในใจ ถึงแม้ว่ามันจะไกลจากครูบาอาจารย์มันก็ยังใกล้ครูบาอาจารย์ถ้าหากว่าคนเราอยู่ใกล้ครูบาอาจารย์ แต่ร่างกายของเรา แต่จิตใจมันเข้าไม่ถึง มันก็อยู่ไปก็เพ่งโทษครูบาอาจารย์ สรรเสริญครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ทำถูกใจเราก็ว่าท่านดี ถ้าทำไม่ถูกใจเราก็ว่าไม่ดี ก็ไปปฏิบัติอยู่แค่นั้นแหละ ไม่เห็นมันได้อะไร ไปมองดูคนอื่นว่าคนนั้นดี คนนั้นไม่ดีอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เห็นมันได้อะไรมากมาย ถ้าเราเข้าใจในธรรมะข้อนี้ เราจะเป็นพระขึ้นเดี๋ยวนี้แหละ

มิฉะนั้นเหตุผลที่ว่าอาตมาห่างไกลจากลูกศิษย์ ปีนี้ พรรษานี้ทั้งพระเก่า พระใหม่ พระนวกะ ไม่ค่อยให้ความรู้ความเห็นก็เพื่อให้พิจารณาเอาเองให้มันมากนั่นเอง พระใหม่ที่จะเข้ามา อาตมาบอกข้อกฎอยู่หมดแล้ว ว่าอย่าไปคุยกัน อย่าไปฝ่าฝืนข้อกติกาที่ทำไว้แล้วนั่นนะ คือทางมรรค ผล นิพพาน นั่นแหละ ถ้าใครไปฝ่าฝืนข้อกติกาอยู่มันก็ไม่ใช่พระ ไม่ใช่คนตั้งใจมาปฏิบัติเท่านั้นแหละ มันจะเห็นอะไรถึงแม้จะนอนอยู่กับอาตมาทุกคืนทุกวันก็ไม่เห็นหรอก จะนอนอยู่กับพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าหรอก ไม่ได้ปฏิบัติ เท่านี้แหละ

การรู้ธรรม การเห็นธรรม อยู่ที่การปฏิบัติ

ฉะนั้นการรู้ธรรมะ การเห็นธรรมะ มันอยู่ที่การปฏิบัติ ขอให้เรามีศรัทธาเถอะ เราต้องทำจิตของเราให้มันดี คนในวัดทั้งวัดนั้นทำใจให้รู้สม่ำเสมอกันทุกคน เราจะไม่ต้องไปให้โทษใคร ไม่ต้องไปให้คุณใคร ไม่ต้องไปรังเกียจใคร ไม่ต้องไปรักใคร ถ้ามันเกิดโกรธเกิดเกลียดขึ้น ให้มันมีอยู่ที่ใจ ให้มันดูถนัดเท่านั้นแหละ ให้ดูไปเท่านั้นแหละ ดูไปเถอะ ถ้ามีอะไรมันยังอยู่ในนี้ ก็เรียกว่านั้นแหละต้องขูดมันตรงนั้น เราจะไปพูดว่า "ตัดไม่ได้ ตัดไม่ได้" ถ้าเอาได้นั่นมาพูด มันก็เป็นนักเลงโตกันหมดเท่านั้นแหละ อาศัยที่ว่ามันตัดไม่ได้ต้องพยายาม ตัดไม่ได้ต้องขูดมันสิ ขูดกิเลสเกลากิเลสนั่นแหละ ขูดมันออกซิ มันเหนียวแน่นนี่ มันเป็นอย่างนั้นเสีย ไม่ใช่ว่ามันเป็นของได้ตามปรารถนา ตามใจของเรานะธรรมะ จิตมันเป็นอย่างหนึ่ง ความจริงมันเป็นอย่างหนึ่ง ต้องระวังข้างหน้า ต้องระวังข้างหลัง ฉะนั้นท่านจึงบอกว่ามันไม่เที่ยง มันไม่แน่ ท่านย้ำเข้าไปอยู่เรื่อยๆ อย่างนี้

ความจริงคือสิ่งไม่เที่ยง

ความจริงคือความไม่เที่ยงนี้ ความจริงที่มันสั้นๆ กว้างๆ ถูกๆ นี้ไม่ค่อยพิจารณากัน เห็นไปเป็นอย่างอื่นเสีย ดีก็อย่าไปติดดี ร้ายก็อย่าไปติดร้าย สิ่งเหล่านี้มันมีอยู่ในโลก เราจะปฏิบัติเพื่อหนีจากโลกอันนี้ให้มันสิ้นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงให้วาง ให้ละ ก็เพราะอันนี้มันประกอบให้ทุกข์เกิดขึ้นนั่นเอง ไม่ใช่อย่างอื่นหรอก



..................................................

http://www.ajahn-chah.org
 

_________________
ธรรมได้ก็ไร้ค่า ถ้าไม่ทำ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 8:34 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 10 เม.ย.2007, 3:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง