Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 คิดแบบนี้ บาปไหม อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 1:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไปวัดทีไร เมื่อมองเห็นอะไรที่ไม่ถูกต้องอย่างที่จิตเราคิด เป็นต้องพูดวิจารณ์ ให้คนข้างเคียงได้รับรู้ทุกทีไป เหมือนได้ระบายกับสิ่งที่เห็นที่ข้องใจออกมา

อย่างเช่น ไปวัด แล้วเจอ พวกที่ไปบวชชีฯ นุ่งห่มขาว ทำนิ่งก็จริงกับคนที่ไม่ได้ร่วมบวชฯ ด้วยสายตาที่มองมา เหมือนไม่แผ่เมตตา มันนิ่งจนเหมือนหยิ่ง แข็งกระด้าง หรือ อย่าง เราเดินไปชนเขา แบบไม่ตั้งใจ ทำไมเขาถึงหันมามองเรา ด้วยสายตาเหมือนจะเอาเรื่อง แต่กริยาอยู่ในท่านิ่งสบง เราขอโทษ แทนที่จะหลบทางเดินอันคับแคบ ซึ่งเราหลบไม่ได้ จนเราต้องเป็นฝ่ายขอโทษเป็นครั้งที่สอง บางคน บวชชีฯ มาไม่รู้กี่หน แต่เมื่อเราได้คุยด้วย ทำไมเรารู้สึกเขายังปลงไม่ได้ บางคนพูดยิ้มจนเกินเหตุ เหมือนทำตัวให้สุขอยู่ตลอดเวลา เราเห็นแบบนี้แล้ว อยากบวชชีฯ เพื่ออยากเรียนรู้ เลยต้องงดความตั้งใจ เพราะเรามองไปว่า วัดสอนไม่ดีไปซะงั้น บางเรื่องบางอย่าง เราไม่เคยบวชชีฯ ถือศีล แต่แค่ชอบทำบุญ หัดนั่งสมาธิในบางครั้งคราว เราว่าจิตเราปลงมากกว่าพวกเขานะ (แต่ยังปลงเรื่องปากไวไม่ได้ซะที...อิอิอิ)

ไปทำบุญ ด้วยความตั้งใจตั้งแต่แรก รวมถึงตอนถวาย แต่หลังถวาย แอบมีนิดๆ คิดว่า เงินที่ถวายไป จะไปถึงส่วนที่เราตั้งใจไว้ไหมหนอ แค่คิดแว๊บๆๆ นะ แต่ก็คิดว่าชั่งเถอะ เราตั้งใจแล้ว ถึงไง เราก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้ ก็สบายใจที่ได้ทำ (ถวายเงินเพื่อบริจาคซื้อที่ดิน โดยถวายซองกับหลวงพ่อท่านไว้)

.... เมื่อไปทำบุญ เจอคนที่รู้จัก ชอบเอาของมาขายเพื่อ หาเงินนี้ไปทำกองผ้าป่าของตน บางทีเราเบื่อนะ แต่โดนนสะกิดเรื่อย จนต้องซื้อของนั้น เพื่อให้เงินเขาไปสร้างบุญ เจอแบบนี้ ควรหลีกไงดี ???????

.... เป็นคนที่ชอบให้เมื่อไปวัด โดยการแจกอาหารบ้างที่เราทำไป แต่เพื่อนที่ไปด้วย ชอบค้าน เราก็ได้แต่ยิ้มนะ แต่ก็แจก แต่ในใจอึดอัดเพื่อนจัง ทำไมเขาถึงได้หวงจังกะแค่เรื่องกิน และของเล็กๆ น้อยๆ

การมีจิต คิดแบบนี้เมื่อไปวัด ผิดไหม เราไม่ตั้งใจน่ะ แต่ทุกอย่างมันเหมือนละครที่วิ่งมาให้เราได้ดู ไว้วิจารณ์เอง

เราควรทำไงดี กับการที่จะนิ่งได้ ถ้าเรานิ่งแล้วมองเห็นสิ่งไม่ดี เราว่ามันก็ไม่ดีนะ ใครผู้รู้ช่วยบอกที.....ว่าข้าน้อยควรทำไงดีจ๊ะ

อ้อ...การบวชชีฯ จำเป็นต้องไปวัด มีผู้สอนไหม หากทำเองที่บ้าน จะมีผลอย่างไร

.......การตั้งใจ ที่จะถวายเงินทอดผ้าป่า แล้วไม่ได้ทำเนื่องจาก จิตตอนนั้นคิดว่า ไม่พร้อมในเครื่องถวาย ผลัดไปทำโอกาสหน้า เพื่อความสมบรูณ์กว่า แบบนี้ ผิดไหม


สงสัย สงสัย สงสัย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สมพร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 8:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกคนอยู่ในขั้นของการฝึก อย่าไปมองว่าเขาดีหรือไม่ดีเลย ต่อไปทุกคนก็ดีหมด เราควรดูตัวเราไว้ให้มาก ว่าตอนนี้ เรามีอะไรที่ไม่ดีบ้าง เมื่อมันออกมา เราก็เตือนตัวเราแล้วก็รีบแก้ไข อย่างนี้จะดีมากครับ ส่วนการที่ทำบุญช้า ไม่บาปครับ แต่อานิสงส์ก็น้อยไปหน่อยแต่ก็ยังมีอานิสงส์สูงอยู่ครับ ต้องขอโทษด้วยถ้าพูดตรงเกินไปนะครับ
 
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 12:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อืมม์ ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับการตอบที่ตรงไปตรงมา ของคุณสมพร ซึ่งก็ถือว่าให้ข้อคิดกับดิฉันได้ข้อนึง
อืมม์ แค่สงสัยนะค่ะว่า ทำไมเขาได้เรียนรู้แล้ว ทำไมยังไม่สบงอย่างที่เราคิด ปากเลยคัน ต้องหาที่ปรึกษา เพื่อฟังความคิดเห็นของคนอื่น ว่าคิดเช่นเราไหม บางครั้งอยากจะนิ่งๆเหมือนกัน แต่ มาคิดอีกที เหมือนเราเข้าไปอยู่ในที่ไม่สมบรูณ์ สงสัยดิฉันคิดมากไปนะค่ะ อะไรในโลกมันจะมาดี และสมบรูณ์อย่างที่เราคิดไว้คงไม่มีแน่นอน สงสัย ขำใช่ไหมค่ะ
สงสัย .........ทำไมการทำบุญช้าถึงได้มีอนิสงส์น้อยไปล่ะค่ะ ถ้าเรามองในแง่ที่ว่า รีบทำอย่างไม่มีสติ ทำตามคนอื่นทำ เพื่อหวังบุญโชคลาภค้ำจุน โดยไม่คิดถึงแนวทางที่ถูกต้องและผลที่จะตามมาให้ดีเสียก่อน เราว่าเราขอรอคิด เพื่อให้ตัวเราพร้อม ใจเราพร้อม และศรัทรามากกว่าเดิม " ถ้าจะทำ ต้องทำให้ได้ดี " แบบนี้ไม่ดีกว่ารึค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
โอม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 4:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จะว่าบาปอย่างที่เข้าใจนั้น ไม่บาปหรอก

แต่จะทำให้จิตใจของเราเศร้าหมอง ฟุ้งซ่าน ไม่สงบ

รับรู้แล้ว ก็ผ่านไปดีกว่า ยิ้ม ยิ้มแก้มปริ
 
เจ๊เป็นตุ๊ด
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 29 พ.ย. 2006
ตอบ: 60
ที่อยู่ (จังหวัด): ร้อยสอง

ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 6:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อน ติ ผู้อื่น ต้อง ติ ตนเองโดย ละเอียดถี่ถ้วน ถึงจะเหมาะสม ถ้าไม่รู้วิธี ติตนเอง ก็ศึกษาวิธีนั้นได้จากหลักธรรมครับ

ถ้าอยากบวชชีให้ดี คุณลองไปหาบุคคลท่านนี้สิครับ เห็นมีโพสในกระทู้อยู่ ดูน่าเคารพดี ท่านชื่อว่า ภิกษุณีธัมมนันทา แห่งวัตรทรงธรรมกัลยาณี
 

_________________
ปัญญาอยู่ไหน ที่ไหนมีขายบ้าง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 7:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขำ ขำ ขำ ถ้ามองตัวเองว่า ไม่มีที่ติ หรือมีก้น้อยนิด
แต่มันน่าติ จริงๆนะค่ะ ก็บวชเรียนแล้ว มุ่งเข้ามาทางธรรมแล้ว ทำไมยังไม่มีอะไรดีขึ้น แบบนี้จะเข้ามาทำไม อีกอย่าง เบื่อและปลงแทนพวกบวชชีฯทั้งหลายที่บวชเพื่อเสริมดวง อกหักรักคุด ซวยมาจึงเข้าวัดจัง
อิอิ...เริ่มป่วนบอร์ดล่ะอ่ะฮั้น ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ยิ้มเห็นฟัน ไม่ได้กวนนะค่ะ แลบลิ้น แลบลิ้น แลบลิ้น แลบลิ้น แต่มันสงสัยตรงนี้จริงๆๆ อายหน้าแดง อายหน้าแดง ขำ ขำ สงสัย สงสัย
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
จิตงาม
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 06 มี.ค. 2007
ตอบ: 86

ตอบตอบเมื่อ: 06 มี.ค.2007, 7:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ คิดว่าจะลองไปสมาธิก่อนค่ะ ไปเรียนฝึกที่วัดธรรมมงคล ใครเคยไปมาช่วยแจงด้วยค่ะ
เราแค่บวชชีพราหมณ์นะ ยังไม่ถึงกะห่มเหลืองอ่ะค่ะ อายหน้าแดง อายหน้าแดง อายหน้าแดง
บวชเพื่อรู้ว่าทำไม จึงเป็นนอย่างนั้น แล้วที่เขาว่าเมื่อมีสติ ปัญญาจะเกิด มันจริงไหม จิตสงบ เมตตาในสัตว์โลกมันเป็นไง ถ้าถึงขั้นนี้แล้วการมองโลกแบบนี้จะถูกหลอกง่ายหรือไม่ เรื่องบุญที่ได้ เราขอเป็นเพียงผลพลอยได้ดีกว่านะ
การคิดแบบเรานี่ มันท้าทายเหมือนไม่เคารพ เราเคารพนะ แต่ไม่งมงาย
ขนาดเจอผี ยังถ้าผีเลย จนเจอแบบจะๆๆ เล่นเอาเราวิ่งป่าราบเหมือนกัน แต่ก็ยัง งงๆนะ ว่าวิ่งมาได้ไง น่าจะท้าต่อไป เอาให้ร่างผีปรากฏเห็นเต็มตาไปเลย ซึ้ง ซึ้ง
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
เพื่อนชวนหาเรื่อง???
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 07 มี.ค.2007, 10:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่าคุณเข้าข่าย คิดมากไป หรือเปล่าครับ ดูเหมือนว่าคุณมีความตั้งใจที่จะศึกษาหรือปฏิบัติธรรมเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวคุณหรือเปล่า

ถ้าใช่ผมว่าน่าจะลองเล่าปัญหาของคุณ เล่าสู่กันฟังจะดีไหม เผื่อท่านผู้รู้ธรรมหรือเพื่อนๆในที่นี้จะได้แนะนำได้ถูกประเด็น

ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเพียงแค่อยากปฏิบัติธรรมแต่คิดมาก ไม่แน่ใจว่าผลออกมาจะดีหรือไม่ดี เพราะเห็นตัวอย่างไม่ดีก็เยอะ เหมือนกับกำลังหาเหตุผลในความศรัทธาอยู่...

ผมว่าคนบางคนก็ศรัทธาในสิ่งนั้นๆก่อนแล้วปฏิบัติตามแล้วจึงค่อยหาเหตุผล บางคนต้องรู้เหตุผลก่อนค่อยเกิดความศรัทธาแล้วจึงปฏิบัติตาม ก็ไม่มีฝ่ายผิดฝ่ายถูก เพียงแต่การศึกษาธรรม เป็นเรื่องเกี่ยวกับนามธรรมหรือแม้กระทั่งวิทยาศาสตร์เองก็ให้ความสนใจน้อย ดังนั้นหากจะหาเหตุผลก่อนอาจจะใช้เวลานานนนน อาจนานจนเราไม่มีโอกาสได้ศึกษาหรือปฏิบัติเลย...

แก่นแท้ของการศึกษาหรือปฏิบัติธรรม มิใช่เพื่อหาเหตุผลมาพิสูจน์ข้อสงสัยใดๆของเรา แต่เพื่อทำให้ใจเราสงบสุขลง ทำให้สามารถใช้ชีวิตที่เหลืออย่างปกติสุข ทำให้เรารู้จักการดำเนินชีวิตที่เรียกว่า ทางสายกลาง และอาจช่วยทำให้คุณไม่คิดมากจนเกินไปซึ่งทำให้เสียสุขภาพได้

ผมเห็นด้วยกับเพื่อนท่านอื่นที่แนะนำว่าให้ดูที่ตัวเราก่อน ให้วิจารณ์ตัวเราก่อน ให้เตือนตัวเราก่อน ให้สงสัยความคิดตัวเราก่อน ให้อยู่กับเนื้อกับตัวเราก่อน ก่อนที่จะส่งจิตใจหรือความคิดของเราออกไปภายนอก ตัวเรายังไม่รู้จักตัวเราดีพอ จะไปวิจารณ์คนอื่นมีประโยชน์อะไร เหมือนกับคำเปรียบเปรยประมาณว่า ตัวเรายังไม่รักตัวเราเองแล้ว จะมีปัญญาไปรักคนอื่นไหวเหรอ...

หวังว่าพอจะมีประโยชน์บ้างนะครับ...เริ่มปฏิบัติเลยครับ ลุยเลยครับ...
 
สมพร
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2007, 9:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับคุณจิตงาม การทำบุญเร็วได้อานิสงส์มาก มีมาในประวัติ มีตายายสองคน เป็นคนจนมาก มีผ้าอยู่ผืนเดียวเป็นผ้าคุมตัว ตาไปฟังเทศพระพุทธเจ้าก็เกิดความเรือมใส อยากจะถวายผ้า แต่ก็กลัวยายไม่มีผ้าห่มมาฟังเทศ พอเวลาผ่านไป ก็คิดแบบนี้อีก พอยามสามทนไม่ไหวแล้ว เลยตัดสินใจถวายผ้า แล้วเปล่งวาจาว่า เราชนะแล้ว พระราชาที่ฟังเทศอยู่ด้วยท่านได้ยิน เลยถามว่า ท่านชนะอะไร ตาเลยบอกว่า เราชนะความโลภ พระราชาเห็นดังนั้นก็มีความยินดี เลยมอบผ้าและเงินทองให้ตาได้อยู่แบบสุขสบาย พระพุทธองค์จึงตัดว่า ถ้าตาถวายตั้งแต่ยามต้น ตาจะได้เป็นมหาเศรษฐี นี่ถวายช้าไป ส่วนที่ว่า ต้องเห็นว่าผู้รับบริสุทธิ์นั้นก็ถูก ทานของเราด้วย ตัวเราด้วยนั้นถูกต้อง เราถึงต้องเลือกก่อนที่เราจะไปทำบุญ ว่าที่เราจะทำนั้นดีแท้แน่นอน คุณจิตงามไปฝึกสมาธิที่วอยสายสมก็ได้นะครับ ฝึกแบบเห็นนรกสวรรค์ เอาจิตเราไปดูด้วยตนเองเลยครับ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 08 มี.ค.2007, 11:32 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แหะๆ....มาแว้วววว.....คิดเอง ปรุงเอง แต่งเองตามความคิด ถ้าคิดแล้วหายสงสัยก็คิดต่อไป มัวแต่คิดก็ได้แค่คิด .....หวัดดีจ้า....แหะๆ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ชช.
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 มี.ค.2007, 8:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่าปุถุชนอย่างเราๆ ต่างก็มีความคิด ความทรงจำ มีความอยาก เวลาตั้งใจทำอะไร ก็มักต้องการให้ได้อย่างที่หวัง เมื่อไม่ได้อย่างที่หวัง ก็เสื่อมศรัทธา ผมก็ยังเป็นเช่นเดียวกับท่าน หลายครั้งตั้งใจทำบุญแต่ก็กลับได้ความกังวล เสียดายติดมือกลับมา...

กว่าที่คนเราจะให้ได้ อย่างที่ไม่หวังในสิ่งที่ให้ และศรัทธาอย่างจริงใจได้ คงต้องโชคดีพานพบผู้ที่ควรแก่การให้ มอบความศรัทธาแก่ผู้ควรศรัทธา แต่คงยากนะครับ...

เพราะทุกวันนี้ พ่อแม่ ผู้มีพระคุณ ที่เราควรตอบแทนพระคุณ หรือให้อย่างไม่หวังในสิ่งที่เราให้ ที่เราควรมอบความศรัทธาอย่างจริงใจ และใกล้ตัวเราที่สุดนี้ เรายังทำไม่ได้ดีเลยครับ...

คงต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนมีให้ผู้อื่นก่อนจะง่ายกว่าให้คนอื่นเริ่มกับเราก่อน นะครับ ผมคิดอย่างนี้ ปาบหรือเปล่าก็ไม่รู้... ครับผม
 
หนิง
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 มี.ค.2007, 9:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ถือว่าเป็นความเห็นนะครับ ไม่ได้เป็นข้อแนะนำให้เชื่อตามหรือบอกว่าความคิดของผมถูกต้อง

ก่อนอื่นเลยผมถามตัวเองอยู่เสมอว่าเรากำลังทำอะไร โดยเฉพาะเรื่องที่เราไตร่ตรองแล้วว่าเป็นเรื่องดีและเกิดประโยชน์ แล้วยึดมั่นในสิ่งนั้นครับ คือถ้าไปทำบุญแล้วเจอเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้ใจเรากระเทือน มันเผลอหวั่นไหวไปแล้วก็ย้อนกลับมาดูเหตุผลแรก ว่าเรากำลังมาทำอะไรที่วัดนี้ ผมมักเรียกความตั้งใจดีนี้ว่าเป็น "ข้อหนึ่ง" คือใจเตลิดไปไหนแล้วก็ย้อนกลับมาดู "ข้อหนึ่ง" เสมอ ก็คือความตั้งใจมาทำบุญ

เราห้ามไม่ได้เลยครับโดยเฉพาะสายตา เห็นแล้วอคติมันเกิดทันทีเมื่อพบสิ่งที่ไม่ถูกใจ ข้อสำคัญก็คือเราห้ามอคติเหล่านี้ไม่ได้เลย เมื่อห้ามไม่ได้แล้วก็แค่ตามดูเฉยๆ คือรู้แล้วก็วางลง แรกๆ ยากครับ ผมก็ใช้วิธีกลับไปดู "ข้อหนึ่ง" ที่ว่า เมื่อรู้ทันความคิดแย่ๆ บ่อยๆ มันจะสั้นลงครับ คือคิดไม่ดีอยู่นั่นแหละ แต่ก็ตามไปรู้มันทุกครั้งเลยกลายเป็นเรื่องน่าสนุกไป ที่ได้เห็นความคิดของตัวเองอยู่บ่อยๆ

ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้มองเห็นตัวเองอีกแล้วครับ ไม่ว่าเราจะทำไม่ดีหรือคิดไม่ดีก็ตาม ขอให้รู้เท่านั้นเป็นพอ และอีกวิธีนึงครับ ผมใช้วิธีเก็บสายตาคือมองพิ้นออกไปไม่ไกลมากนัก อันนี้ก็ช่วยได้ครับถือว่ามาเสริมกัน ขอเป็นกำลังใจให้อคติทั้งหลายจงจางหายไปในเร็ววัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างมาจากการฝึกฝนครับ พุทธศาสนาเราไม่ได้สอนให้สวดมนต์อ้อนวอนขออะไรต่อมิอะไร พุทธศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้เราลงมือปฏิบัติครับ ไม่มีอะไรได้มาฟรีทั้งนั้น บางทีลาภลอยที่มาถึงเราแบบไม่ทันตั้งตัวนั้น ก็มาจากผลแห่งการกระทำมาแล้วในอดีตที่เราอาจจะลืมเลือนไปแล้ว แต่ผลของเขาเที่ยงตรงเสมอ ระลึกไว้เถอะครับว่าใครทำอย่างไรก็ได้รับผลอย่างนั้น คนเหล่านั้นก็กำลังฝึกตนอยู่เหมือนกัน เราโชคดีที่ได้เห็นและไม่ทำอะไรแย่ๆแบบที่เขาทำ ให้อภัยไปเถอะครับไม่มีอะไรต้องเสียเลย ขอเป็นกำลังใจครับ
 
1
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 19 มี.ค.2007, 9:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สู้ สู้ ขำ อืมม์ อืมม์ อืมม์ ยิ้มเห็นฟัน
 
อ้วด
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 20 มี.ค.2007, 12:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนพวกนั้นที่คุณมองเห็นเขายังมีอัตตาสูงอยู่ ยังไม่สามารถแยกแยะได้ ธรรมะสูงสุดคือ
การรับใช้ครับ พระพุทธเจ้าเกิดมาเพื่อรับใช้มนุษย์โดยการโปรดสัตว์สอนให้รู้จักดีชั่วจนชั่วชีวิต
การยึดมั่นถือมั่นทำให้เราไม่ได้รับใช้มนุษย์ด้วยกัน การรับใช้คือการทำดีให้มนุษย์ด้วยกัน
เทวดาทั้งหลายคงยินดี
 
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 28 มี.ค.2007, 1:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องการที่มองเห็นคนที่กำลังมีสมาธิในการทำอะไรบางอย่างอยู่แล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเขาหยิ่ง ๆ นั้น ผมก็พอเข้าใจครับ เพราะตัวผมเองก็โดนด่าว่าเรื่องทำนองนี้บ่อย ๆ บวกกับการเป็นคนที่หน้าตาเหมือนกับจ้องจะหาเรื่องชาวบ้านอยู่ตลอดเวลาแล้วดันมาทำอาชีพบริการอีก (ไม่ใช่ขายบริการนะครับ -_-"a เป็นงานที่เกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกน่ะครับ) ยิ่งต้องทนก้มหน้าก้มตาทำงานไม่ปริปากบ่น และพยายามปลงเสีย คิดเสียว่า อืม.. ไม่เป็นไร ให้อภัยเขา ที่เขาคิด ทำ พูดต่อเราเช่นนั้น เพราะเขาไม่รู้จักตัวตนของเรา เขามีสิทธิที่จะคิด พูด ทำ ในสิ่งที่เขาคิด และสิ่งเหล่านั้นจะแสดงให้เห็นถึงพื้นฐานจิตใจของเขาด้วยเช่นกัน

ที่สุดแล้ว ผมว่าเวลาเราพบปะผู้คนควรที่จะพูดคุย และดูพฤติกรรมของเขาสักพักนึงเสียก่อนจึงจะตัดสินว่าเขาเป็นคนอย่างไร การด่วนตัดสินคนจากเปลือกนอกและหูเบาเชื่อจากที่คนอื่นเล่ากรอกหูเรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำ ควรจะมีเมตตาต่อคนทุกคนที่เราพบปะ

ส่วนเรื่องการทำบุญนั้นผมเห็นว่าบุญเกิดจากเจตนา (อันนี้อ่านจากเวปนี้แหละครับ ช่วยให้เข้าใจได้เยอะจริงๆ) เมื่อเราจะทำบุญต้องมีเจตนาที่ดีหมายจะให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น เมื่อให้ไปแล้วไม่เสียใจ ไม่เป็นทุกข์ และเมื่อให้แล้วไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองให้เป็นทุกข์ ทำบุญตามกำลังของตน ทำบุญ 1 บาทด้วยความเต็มใจหมายจะให้เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ เป็นบุญกว่าทำบุญ 100 ล้าน แต่สักแต่ว่าให้ สักแต่พูดว่าให้ แต่ใจเสียดายในทรัพย์นั้น

ขอให้คุณจิตงามจงเจริญในธรรมครับ สาธุ
 
ปิงปอง ม.ราม
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 22 ม.ค. 2007
ตอบ: 6
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2007, 3:48 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จิตเป็นสิ่งทีห้ามได้ยาก เที่ยวไปดวงเดียว มีกายเป็นทีอยุ่อาศัย การที่เราปากไวไปวิจารณ์เขานั้นก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี ยิ่งในหมู่ผูปฏิบัติธรรม ถ้าเราไปคิดไม่ดี หรือพูดไม่ดีบาปจะมากกว่าทำกับคนุธรรมดาเพราะเขาถือศีล 8 จะว่าไปไม่มีใครเหมือนใครเราไม่สามารถพบสิ่งที่ถูกใจเราทุกอย่าง คนที่บวชชีพารหมณเขาก็ยังอยุ่ในขั้นฝึกฝน ยังไม่ได้บรรลุธรรม ยังมีโลภ โกรธ หลงอยู่เหมื่อนคนทั่วไป อยากให้ฝึกจิตเยอะๆเข้าไว้ แล้วเมื่อนั้นเราจะสามารถบังคับจิตของตนเองได้ ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ
 

_________________
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง