Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 มังสวิรัติในทัศนะเสฐียรพงษ์ วรรณปก อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2007, 5:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

มังสวิรัติ
ในทัศนะเสฐียรพงษ์ วรรณปก



ระยะนี้ผมมักถูกคนถามอยู่สองเรื่องคือ เมืองไทยมีพระอรหันต์หรือเปล่า ที่มีคนพูดว่าหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้เป็นอรหันต์เป็นความจริงเพียงใด นี่เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือ พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่ ที่พูดกันว่าคนกินเนื้อสัตว์เป็นคนไร้เมตตาธรรมเท่ากับสนับสนุนให้มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คนที่มีเมตตาแท้จริงต้องไม่กินเนื้อสัตว์ หรือที่เรียกกันโก้เก๋ว่า "มังสวิรัติ" จริงหรือไม่

ทั้งสองเรื่องนี้ มันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันผมค่อนข้างบ่อย บ่อยซะจนต้องเขียนเรื่อง "ขบวนการอรหันต์ดิบ" ลงในหนังสือรายเดือนฉบับหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ยังเหลือแต่เรื่องมังสวิรัติ ซึ่งก็ถึงเวลาอันเหมาะจะเขียนถึงพอดี

พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์หรือเปล่า ถ้าพุทธศาสนิก (ในทะเบียนสำมะโนครัว) จะสนใจอ่านพุทธประวัติ อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาเพียงเล่มสองเล่ม (ไม่ต้องถึงพระไตรปิฎก) ก็จะรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องตั้งคำถามเช่นนี้

พระพุทธเจ้าทรงเป็น "บรรพชิต" ตามรูปศัพท์แปลว่า "เว้นโดยสิ้นเชิง" หมายถึงเว้นจากพฤติกรรมทุกอย่างที่เคยทำสมัยยังครองเรือน หันมาถือเพศผู้ไม่มีเรือน (อนาคาริยะ) ก็ได้แปลว่า "เดินไปข้างหน้า" หมายถึงใช้ชีวิตเร่ร่อนไม่อยู่ที่ไหนเป็นการถาวร หรือหมายถึงปฏิบัติมุ่งไปสู่ความดับทุกข์โดยสิ้นเชิงก็ได้ พระองค์ทรงดำรงชีวิตด้วยการขออาหารจากชาวบ้าน (ภิกษุ) บำเพ็ญตนเป็นคนอยู่ง่ายกินง่าย (สุภระ) เขาให้อะไรก็กินสิ่งนั้นเพียงเพื่อให้มีชีวิตอยู่ทำประโยชน์แก่สังคม (กายัสสะ ฐิติยา ยาปนายะ)

เมื่อรู้วิถีการดำรงชีวิตของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกเช่นนี้แล้ว ก็ตอบได้ทันทีว่า พระพุทธเจ้าเสวยทั้งอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์ และอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ พูดง่ายๆ ก็ว่าทรงเป็นทั้งมังสวิรัติและไม่มังสวิรัติ ขึ้นอยู่กับผู้ถวาย ถ้าคนถวายเขากินเนื้อสัตว์เขาคงเอาเนื้อมาถวาย ถ้าเขากินเจเขาก็คงเอาอาหารเจมาถวาย

เขาถวายอะไร พระองค์ก็รับมาเสวยทั้งนั้น ขณะรับก็มิได้จำแนกว่า เนื้อสัตว์หรือไม่เนื้อสัตว์ เจหรือไม่เจ ทรงคิดแต่เพียงว่า "รับอาหาร"

ผมยังไม่อ่านเจอที่ไหนว่า พระองค์จะปฏิเสธอาหารที่เขานำมาถวาย ด้วยเหตุผลว่าปรุงด้วยเนื้อสัตว์

จะมีก็แต่พระภิกษุบางกลุ่มในปัจจุบันนี้แหละ ปฏิเสธชาวบ้านที่นำแกงเนื้อมาใส่บาตรด้วยเสียงดังฟังชัดว่า "พวกอาตมาไม่ฉันเนื้อสัตว์ อยากทำบุญด้วยเนื้อสัตว์ ไปถวายองค์อื่น" ว่าแล้วก็เดินเชิดหน้าหนีไปด้วยมาดสำรวม

ตั้งแต่เกิดมาก็เพิ่งประสบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก โยมคนนั้นจึงถือขันข้าวค้างด้วยความตกใจเป็นธรรมดา

ต้นเหตุของมังสวิรัติก็คือพระเทวทัต พระเทวทัตเป็นใครเชื่อว่าชาวพุทธ (ในทะเบียนบ้าน) ก็คงรู้จัก เพราะท่านก็ "ดัง" ไม่แพ้หลวงปู่ หลวงพ่อขลังทั้งหลายในปัจจุบันนี้ หลังจากบวชแล้วไม่นาน พระเทวทัตก็คิดการใหญ่ หวังจักปกครองพระสงฆ์แทนพระพุทธเจ้า

เรียกอย่างสมัยนี้ก็ว่า คิดทำปฏิวัติ รัฐประหาร อะไรทำนองนั้น

เทวทัตมีสหายคู่ในสี่รูปคือ โกกาลิกะ, กตโมรกติสสกะ, ขัณฑเทวีบุตร และสมุทททัตตะ วันดีคืนดีเข้าไปยื่น "โนติส" หรือเงื่อนไข 5 ข้อ ต่อพระพุทธเจ้า ขณะประทับอยู่ท่ามกลางสงฆ์

เงื่อนไข 5 ข้อ คือ

(1) พระต้องอยู่ป่าเป็นวัตร (หมายถึงอยู่ประจำ) ตลอดชีวิต รูปใดอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน มีความผิด

(2) พระต้องเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดรับกิจนิมนต์ มีความผิด

(3) พระต้องใช้ผ้าบังสกุลเป็นวัตร (หมายถึงหาเศษผ้ามาทำจีวรเอง) ตลอดชีวิต รูปใดใช้ผ้าที่ทายกถวาย มีความผิด

(4) พระต้องอยู่ตามโคนต้นไม้เป็นวัตรตลอดชีวิต รูปใดอาศัยอยู่ในที่มุงที่บัง มีความผิด

(5) พระต้องไม่ฉันปลาและเนื้อตลอดชีวิต รูปใดฉัน มีความผิด

ข้อเสนอ 5 ประการนี้ส่อความจริงสองประการคือ ประการที่หนึ่ง พระพุทธเจ้าเสวยเนื้อสัตว์แน่นอน หาไม่เทวทัตจะยกเอามาเป็นเงื่อนไขเพื่อให้พระองค์ห้ามพระฉันทำไม ถ้าพระองค์และพระสาวกไม่ฉันอยู่ก่อนแล้ว อีกประการหนึ่ง เทวทัตผู้ยื่นเงื่อนไขเองก็คงปฏิบัติตามไม่ได้ แต่ที่เสนอขึ้นมาเป็นเพียง "แผน" หาคะแนนนิยม หาสมัครพรรคพวกเท่านั้นเอง (เพราะขณะนั้นมีสมุนคู่ใจเพียงสี่รูปเท่านั้น) และรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงนิยม "การปฏิบัติสายกลาง" อะไรที่มัน "ตึงเกินไป" ย่อมขัดต่อพุทธประสงค์

การณ์ก็เป็นไปตามที่เทวทัตคาด พระพุทธเจ้าตรัสปฏิเสธเงื่อนไขของพระเทวทัตด้วยเหตุผลว่า "อย่าเลย เทวทัต ภิกษุใดปรารถนา ภิกษุนั้นจงถือการอยู่ป่าเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงอยู่ในบ้าน รูปใดปรารถนาจงถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงยินดีกิจนิมนต์ รูปใดปรารถนาจงถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร รูปใดปรารถนาจงยินดีคหบดีจีวร เราอนุญาตโคนไม้เป็นเสนาสนะ 8 เดือน เราอนุญาตปลาและเนื้อที่บริสุทธิ์โดยสามส่วน คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รังเกียจ (สงสัยว่าเขาฆ่าเจาะจงตน)" (เพราะไตรปิฎกเล่ม 7 ข้อ 384 หน้า 185)

เทวทัตได้ทีจึงขี่แพะไล่ทันที ประกาศก้องว่า เห็นไหมท่านทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พระสันโดษมักน้อย ไม่สะสมมีความเพียร ปฏิบัติเคร่งครัดแต่ปาก ครั้นเราเสนอข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดกลับไม่อนุญาตให้พระปฏิบัติ แสดงว่าไม่เคร่งจริง ใครชอบปฏิปทาที่เคร่งครัดให้ตามเรามา

กล่าวเสร็จก็ "วอล์กเอาต์" จากที่ประชุม

พระบวชใหม่ประมาณ 500 รูป ที่ยังไม่รู้พระธรรมวินัยดีเห็นเทวทัตเธอพูดเข้าท่า จึงตามไปสมัครเป็นลูกน้องด้วย นับว่าแผนการยึดอำนาจของพระเทวทัตได้บรรลุผลไปขั้นหนึ่ง


มีต่อ >>>>>
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 29 มี.ค.2007, 5:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรื่องเกี่ยวกับเสวยหรือไม่เสวยเนื้อสัตว์ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจน ในสูตรอีกสูตรหนึ่งชื่อ ชีวกสูตร (พระไตรปิฎก เล่มที่ 13 ข้อ 56-61 หน้า 47-51)

มีข้อความโดยย่อว่า หมอชีวกโกมารภัจ ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ได้ยินคนเขาพูดว่า คนทั้งหลายฆ่าสัตว์เจาะจงพระสมณโคดม พระองค์ทรงทราบข้อนั้นอยู่ ยังเสวยเนื้อสัตว์ที่ทำเฉพาะตนมีความจริงเพียงใด คนที่พูดนั้นพูดตรงกับความจริง หรือว่ากล่าวตู่ (กล่าวหา) พระองค์ด้วยเรื่องไม่จริง

พระองค์ตรัสว่า หากเขาพูดเช่นนั้น แสดงว่าเขาพูดไม่จริง กล่าวหาด้วยเรื่องไม่มีมูล และตรัสต่อไปว่า

เนื้อที่ไม่ควรบริโภคคือ เนื้อที่ตนได้เห็น เนื้อที่ตนได้ยิน เนื้อที่ตนรังเกียจ ส่วนเนื้อที่ควรบริโภค คือ เนื้อที่ตนไม่ได้เห็น เนื้อที่ตนไม่รังเกียจ หมายความว่า ถ้าพระภิกษุได้เห็นกับตา หรือได้ยินกับหู ว่าอาหารที่เขานำมาถวาย เขาฆ่าแกงให้ท่านโดยเฉพาะหรือสงสัยว่าเขาจะฆ่าแกงให้ท่านโดยเฉพาะ ก็ไม่ควรฉัน ถ้าไม่อยู่ในเงื่อนไขนี้ก็ฉันได้

ในพระสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงอธิบายถึงปฏิปทาของพระองค์และพระสาวกในเรื่องนี้ว่า ภิกษุจะไปอยู่ที่ใด ไม่ว่าบ้านหรือนิคม ย่อมมีจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นปกติอยู่แล้ว แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์หาที่สุดหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนใคร เมื่อชาวบ้านเขานิมนต์ไปรับ ภัต (อาหาร) ก็รับนิมนต์ วันรุ่งขึ้นก็ไปรับบิณฑบาตโดยมิได้ขอร้องให้เขาถวาย แผ่เมตตาไปยังผู้ใส่บาตร ไม่ติดในรสอาหาร ฉันอาหารด้วยอาการสำรวม ปลงและพิจารณาก่อนฉัน ฉันพอประมาณพอยังชีพอยู่เพื่อทำประโยชน์แก่สังคม

สุดท้ายทรงสรุปว่า ใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์เจาะจงตถาคตหรือสาวกของตถาคต ผู้นั้นย่อมประสบบาปมิใช่บุญเป็นอันมาก (หมายถึงบาปมาก) ด้วยเหตุ 5 สถาน คือ

(1) สั่งให้นำสัตว์ตัวนี้มา (เท่ากับชักนำให้คนอื่นร่วมทำบาปด้วย) นี่บาปสถานหนึ่ง

(2) สัตว์ที่ถูกนำมาฆ่า ถูกลากถูลู่ถูกังมา ได้รับความเจ็บปวดเป็นอันมาก นี่บาปสถานสอง

(3) ออกคำสั่งให้เขาฆ่า (ตัวเองก็บาป คนฆ่าก็บาป) นี่บาปสถานสาม

(4) สัตว์ที่กำลังถูกฆ่าได้รับทุกขเวทนาสาหัสจนสิ้นชีพ นี่บาปสถานสี่

(5) ทำให้คนอื่นเขาหาช่องว่าพระตถาคตและสาวกด้วยเรื่องเนื้อสัตว์ที่ไม่ควร นี่บาปสถานห้า

(จริงอยู่ ถ้าพระไม่รู้ไม่เห็นไม่สงสัย ว่าเขาจะฆ่าเจาะจงตนไม่ต้องอาบัติ แต่คนภายนอกอาจหาว่าพระรู้แต่แกล้งไม่รู้ หรือปากว่าตาขยิบก็ได้)

ผมได้กล่าวไว้แล้วว่า พระพุทธเจ้าเสวยทั้งเนื้อสัตว์และมิใช่เนื้อสัตว์ คือบางครั้งเสวยอาหารที่ปรุงด้วยปลาและเนื้อ บางครั้งเสวยอาหารเจ ขึ้นอยู่กับบิณฑบาตได้อาหารอย่างใดมา เขาถวายอะไรก็เสวยอย่างนั้น

พูดให้ถูกก็ว่า พระองค์เสวยอาหารเพียงเพื่อยังชีพให้ยืนยาวต่อไป เพื่อมีกำลังบำเพ็ญประโยชน์แก่ชาวโลก มิได้มานั่งจำแนกว่านี่เนื้อสัตว์ นี่มิใช่เนื้อสัตว์

ไม่ว่าพระองค์จะเสวยอะไร ทรงเสวยด้วยอาการไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่คือประเด็นที่ควรใส่ใจ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กินอะไร แต่อยู่ที่กินด้วยอาการอย่างไร

ที่น่าสังเกตก็คือ บุคคลที่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่ขณะเดียวกันมีการจำแนกหรือให้ความหมายแก่อาหารที่กิน และคนกินอาหารไม่เหมือนกัน เช่น เนื้อสัตว์ไม่ดี ผักหญ้าเท่านั้นดี คนกินเนื้อสัตว์เป็นคนเลว คนไม่มีเมตตากรุณา คนไม่กินเนื้อสัตว์อย่างฉันเท่านั้นคือคนดี

นักมังสวิรัติพวกนี้กินอาหารด้วยอุปาทาน คือยึดติดอยู่สิ่งที่กินและไม่กิน คนพวกนี้ไม่กินเนื้อสัตว์จริง แต่กิน "อุปาทาน" เข้าไปเต็มกระเพาะ

นักมังสวิรัติบางพวกเอาแป้งมาทำเป็นอาหารทุกชนิด เช่น ลูกชิ้น เนื้อ ปลา หมู แม้กระทั่งกระเพาะปลา ไส้หมู แล้วนำมาต้มแกงใส่เครื่องปรุงตามกรรมวิธีของเขา ดูแล้วทั้งสีและกลิ่นไม่มีอะไรผิดเพี้ยนไปจากของจริง

แถมรสชาติยังเอร็ดอร่อยยิ่งกว่าของจริงเสียอีก

นักมังสวิรัติพวกนี้ นอกจากจะพอกอุปาทานให้เหนียวแน่นจนยากจะแกะออกได้แล้ว ยังหลอกตัวเองและหลอกคนอื่นอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

พวกนี้กำลังกินแป้งก็จริง แต่ขณะเคี้ยวอยู่ก็นึกวาดภาพว่าตนกำลังกินลูกชิ้นปลา ไส้หมู กระเพาะปลาอย่างเอร็ดอร่อยดูแล้วก็บ้าดีพิลึก

ใครเป็นนักมังสวิรัติประเภทนี้ ผมก็อยากจะฝากคำถามให้คิดว่า "การกินเนื้อสัตว์ แต่คิดว่าตนกำลังกินแป้ง กับกินแป้ง แต่คิดว่ากำลังกินเนื้อสัตว์ อย่างไหนจะให้ผลในทางปฏิบัติได้ดีกว่ากัน"

พูดถึงเรื่องกินเนื้อสัตว์ไม่กินเนื้อสัตว์นี้นึกถึงหลวงพ่อเทียนขึ้นมาได้ หลวงพ่อเทียนท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่มีลูกศิษย์ลูกหามากรูปหนึ่งในปัจจุบัน วันหนึ่งมีสาวกของนักมังสวิรัติไปต่อว่าท่ามกลางประชาชนที่กำลังนั่งฟังเทศน์อยู่ว่าหลวงพ่อคุยว่าเป็นผู้ปฏิบัติ แต่ยังกินเนื้อสัตว์อยู่ อย่างนี้ไม่มีทางบรรลุหรอก แค่เมตตาขั้นพื้นฐานยังทำไม่ได้

หลวงพ่อเทียนท่านตอบว่า "โยมเอ๋ย การจะบรรลุหรือไม่ไม่ขึ้นอยู่กับกินเนื้อสัตว์หรือไม่กินดอก คนลงจะไม่ถึงคราวบรรลุแล้วอย่าว่าแต่ไม่กินเนื้อสัตว์เลย ไม่กินข้าวมันก็ยังไม่บรรลุ ดูอย่างพระพุทธเจ้าสิ ก่อนตรัสรู้ อดข้าวแทบสิ้นพระชนม์ยังไม่บรรลุ ต้องหันมาเสวยข้าวให้มีเรี่ยวมีแรงจึงบรรลุ"

มังสวิรัติกถา ก็จบลงด้วยประการฉะนี้เอวัง

(คัดจาก พุทธศาสนา : ทัศนะและวิจารณ์ หน้า 118-121)


หนังสือพิมพ์ข่าวสด หน้า 29
คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมาสน์ โดย ไต้ ตามทาง


สาธุ รวมกระทู้ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับ “การกินเจ-มังสวิรัติ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=19&t=39721
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง