Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 เวรกรรม (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2004, 7:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

เวรกรรม
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



หลังจากพิธีพระราชทานน้ำสังข์แก่คู่บ่าวสาวจากองค์พระประมุขของชาติไทย ในงานสมรสที่มีเกียรติสูงผู้หนึ่ง ในเดือนพฤศจิกายน เวลาย่ำค่ำวันนั้น เจ้าภาพได้เชิญผู้ที่เคารพรักคุ้นเคย และผู้มีเกียรติมาประสาทพรแก่คู่บ่าวสาว โดยจัดห้องโถงใหญ่ในโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งไว้รับรอง

เจ้าภาพผู้เป็นญาติของคู่บ่าวสาว และตัวบ่าวสาวก็เป็นผู้มีชื่อเสียงกว้างขวางในสังคม เป็นผู้ที่รู้จักทั้งชาวต่างประเทศและข้าราชการ พ่อค้าทุกสาขาทั่วไป เมื่อได้เวลาคืนนั้น ผู้มีเกียรติผู้ใหญ่พร้อมทั้งญาติมิตรสหายของเจ้าภาพและคู่บ่าวสาว ที่รับเชิญมากมายทั้งหญิงชายผู้ลงนามอวยพรให้บ่าวสาว ห้องรับรองกว้างใหญ่โตในโรงแรมก็อัดแอ ไปด้วยผู้มีเกียรติทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย บรรยากาศเป็นกันเอง

แขกที่คุ้นเคยกันมาก่อนเมื่อพบก็ได้ทักทายปราศรัยดีใจ ได้สนทนากันอย่างสนุกสนาน ยืนเป็นกลุ่มเป็นหมู่ ส่วนพวกสุภาพสตรีก็ได้นั่งสนทนากันตามสะดวกสบาย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อได้พบปะเพื่อนฝูงที่สนิทสนมที่รักใคร่ถูกอกถูกใจ เพราะการเลี้ยงคืนนั้นเป็นงานค็อกเทลปาร์ตี้

ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปในงานคืนนั้น ได้พบเพื่อนเก่าแก่หลายท่าน บางท่านไม่ได้พบหน้ากันมานับยี่สิบสามสิบปี บางท่านจำไม่ได้ เราต้องจ้องดูกันอย่างสงสัย เพื่อให้แน่ใจก่อนที่จะทักทายปราศรัยว่าไม่ผิดตัว เหตุเพราะสังขารร่างกาย ต่างก็เปลี่ยนแปลงร่วงโรยไปตามอายุ เวลา วัน เดือน ปีที่ล่วงไป เมื่อได้ทราบว่าไม่ผิดตัว เราต่างก็ดีอกดีใจ หัวเราะขำธรรมชาติที่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่าง เกือบจำกันไม่ได้เนื่องจากไม่ได้พบกันนาน เราจึงมีเรื่องพูดกันมาก เราจึงสนทนาถึงความหลังต่างก็ถามถึงเรื่องเก่าแก่เมื่อยังอยู่ในวัยสนุกสนานหัวหกก้นขวิด และถามถึงคนโน้นคนนี้ที่เคยสนุกด้วยกันมา ก็ได้ทราบว่าหลายคนได้ล่วงลับไปตามอายุขัย ตามธรรมชาติกำหนดไว้ในกรรมลิขิตในโลกมนุษย์นี้มีสิ่งแน่นอนก็คือความตาย ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ใหญ่น้อยจะต้องตายทั้งสิ้น ผิดกันแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น

คืนนั้น ข้าพเจ้าได้ถูกแนะนำให้รู้จักมากท่านด้วยกัน บางท่านก็จำชื่อไม่ได้และที่จำได้แม่นยำผู้หนึ่งในคืนนั้น ก็เพราะได้ยืนสนทนากันนานกว่าผู้อื่น และเป็นผู้หาเรื่องมาคุยกับข้าพเจ้าอย่างสนุกสนาน มีทั้งขบขันและเรื่องเศร้า เหมาะสมที่จะนำมาเขียนนำมาเล่าให้ท่านที่สนใจได้มีโอกาสได้รู้ได้ฟังบ้าง ท่านผู้นั้นมีอายุประมาณ ๓๕ ไม่เกิน ๔๐ เมื่อได้พบรู้จักกันแล้ว ก็รู้สึกสนิทสนมกันรวดเร็ว ข้าพเจ้าชอบนิสัยตรงไปตรงมา แม้จะอ่อนอายุกว่าข้าพเจ้า แต่เราก็เข้ากันได้ดีเหมือนคุ้นเคยกันมาแรมปี ตอนหนึ่งสหายใหม่ของข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า “คืนนี้ผมมีความดีใจมากที่ได้รู้จักคุณอา”

ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณ และข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วท่านผู้นั้นก็กล่าวต่อไป “ผมเชื่อกฎแห่งกรรม ที่คุณอาเขียน เหมาะกับคนทุกชั้นทุกยุคสมัย ถ้าได้อ่านแล้วพิจารณาดู ก็จะเห็นจริงที่คนเกิดมาเพราะกรรมหนุนนำ ใครจะทำอะไร จะเป็นบุญหรือบาปก็จะเกิดผลกรรมดีกรรมชั่วติดตามสนองไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นความจริงครับ ผมเชื่อ”

ข้าพเจ้าได้ฟังก็มีความรู้สึกยินดีว่า ท่านผู้นี้สนใจ เข้าใจในเรื่องกรรม ย่อมจะมีจิตใจเป็นกุศล อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมจึงสนับสนุนความจริงใจว่า

“ผมรู้สึกมีความยินดีที่คุณเข้าใจ เรื่องกฎแห่งกรรมดี เชื่อว่าใครทำดีทำชั่วย่อมจะมีกรรมนั้นตามสนอง และเชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วก็กลับมาเกิดตามกรรมลิขิต หากใครไม่เชื่อกรรมลิขิต ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อทำดีจะได้ดี ทำชั่วจะได้ชั่วและไม่เชื่อว่ามนุษย์เราตายแล้วจะต้องมาเกิดใหม่ มาใช้กรรมที่ตนทำไว้ตามกรรมลิขิต ไม่เชื่อหลักการปฏิบัติทางพุทธศาสนาสามารถจะดับทุกข์ให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องพูดถึงศาสนาต่อไป ตามที่ท่านผู้ทรงความรู้ได้เคยกล่าวไว้”

ท่านผู้นั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ผมว่าพวกที่รู้สึกอย่างคุณอาว่านั้น คงเป็นคนบาปหนามากจนพระโปรดไม่ถึง เพราะตามืดบอด มองไม่เห็นแสงสว่างของธรรม”

ข้าพเจ้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “คงจะเป็นอย่างคุณและผมเข้าใจ และผู้มีจิตใจเป็นปกติทั่วไป ก็คงจะเข้าใจเช่นเดียวกันกับเรา นอกจากผู้ที่มีจิตใจผิดปกติเท่านั้น ที่จะมองเห็นตรงกันข้ามเห็นผิดเป็นชอบ” ท่านผู้นั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า

“กฎแห่งกรรมที่คุณอาเขียน เป็นที่สนใจของผู้ที่ได้อ่านทุกคน ในบ้านผมติดตามอ่านหนังสือของคุณอาทุกคน ตลอดทั้งเด็กๆ ที่อ่านหนังสือออก อ่านแล้วก็เอาไปเล่าให้เพื่อนเด็กๆ ฟังจึงเป็นที่สนใจของเด็กที่ได้รู้ได้อ่าน”

เมื่อพูดแล้วก็นิ่งครู่หนึ่ง แล้วเว้นระยะ เราก็ดื่มน้ำมะเขือเทศแทนสุรา เพราะเราต่างก็ไม่นิยมดื่มสุราด้วยกัน และเลือกกินของว่างเท่าที่เขาจัดไว้สำหรับต้อนรับแขก เมื่อนิ่งไปครู่ใหญ่ ท่านผู้นั้นจึงเริ่มเอ่ยขึ้นว่า

“ผมอยากจะเล่าให้คุณอาฟังสักเรื่องหนึ่ง คิดว่าเรื่องนี้คงเข้าหลักกฎแห่งกรรม และเป็นเรื่องที่ผมได้ประสบเหตุการณ์มาด้วยตนเอง เป็นเรื่องทั้งน่าขำและเศร้ามาก คิดว่าคุณอาคงไม่รังเกียจ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “อย่าใช้คำว่ารังเกียจเลย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในขอบเขตของกฎแห่งกรรม หรือกรรมลิขิตทั้งนั้น ฉะนั้นผมจึงยินดีฟังทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว”

ท่านผู้นั้นยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณครับ ที่กรุณายอมเสียเวลาฟังผมเล่า”

วันหนึ่งผมได้เข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มอยู่ริมถนนใหญ่ เป็นสถานที่นัดพบกับเพื่อน เห็นนาฬิกายังมีเวลาอีกนานกว่าเพื่อนจะมาตามเวลานัด ผมจึงสั่งเครื่องดื่มพร้อมทั้งขนมมานั่งกินรอเวลา และกางหนังสือพิมพ์ออกอ่าน ไม่สนใจต่อสิ่งใด มองดูในหนังสือพิมพ์รายวัน มีข่าวรถคว่ำ รถชนคนตายคนขับหนีไม่เว้นแต่ละวัน จนถือเป็นข่าวธรรมดาไม่ตื่นเต้นเหมือนข่าวนานๆ ครั้ง

ในร้านนั้นก่อนที่ผมจะเข้าไป มีคนขับรถแท็กซี่กับหญิงอีกผู้หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นภรรยา และมีเด็กชายอายุไม่เกินสองขวบกำลังซนนั่งกินกาแฟอยู่ด้วยกัน การที่ผมรู้ว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ ก็เพราะเห็นหมวกแก็ปวางไว้บนโต๊ะ และอกเสื้อมีป้ายติดเป็นเลขเครื่องหมาย

ชายคนขับแท็กซี่คนนั้นคุยเสียงดังและท่าทางวางโต เพราะไม่ประหยัดคำพูด และไม่มีความเกรงใจใครจะรำคาญหรือไม่ คล้ายจะอวดความยิ่งใหญ่ในทางนักเลง แต่แล้วก็มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวแบบผู้ใหญ่ เห็นแล้วรีบห้ามลูกหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง แต่หนุ่มวัยรุ่นคิดว่าโก้เก๋ในสายตาคนอื่น เดินเข้ามาในร้านเครื่องดื่มสองคน ได้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนขับรถแท็กซี่ชายหนุ่มคนนี้ได้พูดถึงข่าวอุบัติเหตุบนท้องถนนหลวง แต่ผมก็สะดุ้งเมื่อได้ยินคนขับรถพูดกับชายหนุ่มวัยรุ่นกางเกงขาลีบว่า “กูอยากจะชนอ้ายพวกห่าคนข้ามถนนเดินอ้อยอิ่งให้มันตายโหงตายห่าให้หมด กูเกลียดมันจริงๆ”



(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2004, 7:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เสียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกล่าวว่า “ก็เขาเดินข้ามถนนตามทางม้าลายล่ะลูกพี่ ไปชนเขาก็ต้องมีความผิดซิ”

เสียงคนขับรถแท็กซี่หัวเราะพูดขึ้นคล้ายกับว่า ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในที่นั้นว่า “เฮ้ย มือชั้นกูแล้วลองทำอะไร ไม่มีใครจับกูได้หรอกวะ” พูดแล้วก็หัวเราะ หญิงผู้เป็นเมียก็พลอยหัวเราะชื่นชมยินดีว่าผัวเป็นคนจริงคนเก่ง ส่วนเด็กเข้าใจว่าเป็นลูกชายอายุไม่เกินสองขวบก็วิ่งเข้าออกภายในร้านเครื่องดื่มด้วยความซุกซนไม่เดียวงสา ผู้เป็นแม่คอยเรียกและวิ่งไล่จับ และคอยดุด่าไม่หยุดปากอยู่เสมอ นั่งไม่เป็นสุข

แต่แล้วเสียงเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “มึงไม่รู้หรือ ลูกพี่เคยขับรถชนเด็กตายมาแล้วไม่มีเรื่อง เพราะหนีรอดไปได้”

คนขับรถตกใจร้องด่าไปว่า “อ้ายห่า มึงเอาอะไรมาพูด ปิดปากโสโครกของมึงเสียบ้าง ปากมีหูประตูมีช่อง”

เสียงเด็กหนุ่มยังไม่ยอมหยุด พูดต่อไปว่า “เรื่องมันนานตั้งปีมาแล้ว ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันความผิดของลูกพี่ แล้วจะต้องกลัวทำไม ถึงรู้ก็ทำอะไรไม่ได้”

เสียงคนขับรถพูดอย่างไม่พอใจว่า “พอทีอ้ายห่า ถึงอย่างไรมึงก็ไม่ควรเอามาพูดในที่นี้ อ้ายนี่จะนำเอาความฉิบหายมาให้กู”

แต่แล้วการโต้ตอบก็สงบลง เด็กหนุ่มทั้งสองก็ออกจากร้านไป เสียงเมียของคนขับรถแท็กซี่พูดว่ากับผัวว่า “พี่ก็มีเรื่องอะไรชอบพูดชอบอวดกับอ้ายพวกปากสว่างดีนัก ระวังเถิด ปลาหมอจะตายเพราะปาก อ้ายพวกนี้จะไว้ใจมันได้หรือ”

เสียงผัวตอบว่า “เออ อ้ายพวกนี้บางเวลากูก็ใช้มันทำประโยชน์ได้เหมือนกัน แต่มันปากสว่างหน่อย ก็ต้องคอยระวัง ถ้ากูห้ามมันไม่เชื่อ กูจะทำโทษเล่นงานมันสะบักสะบอม พักเดียวมันก็กลัวลาน”

เสียงเมียพูดว่า “ระวังนะพี่ ตีงูพิษ ระวังมันจะแว้งมากัดเอา”

ผมนั่งเอาหนังสือพิมพ์บังหน้า ชำเลืองดูสองผัวเมียสนทนากัน หลังจากเด็กวัยหนุ่มออกจากร้านเครื่องดื่มไปแล้ว ทันใดนั้นทางนอกร้านขายเครื่องดื่ม มีผู้วิ่งผ่านหน้าร้านอย่างเกรียวกราวผิดปกติ มีเสียงโจษกันว่า รถชนคนกลางถนนทางม้าลาย เสียงภรรยาเรียกลูกมากอดไว้แน่น พลางพูดกับผัวว่า “พี่รถยนต์ชนคนอีกแล้ว ไม่ไปดูหรือ”

เสียงผัวพูดอย่างดุๆ ว่า “ช่างหัวมัน ให้มันชนกันตายโหงตายห่ายิ่งดี ขืนไปดู ประเดี๋ยวจะต้องพามันขึ้นรถกูไปโรงพยาบาลฟรี ไม่รู้จะไปเอาเงินกับใคร”

ผมเองก็ไม่สนใจในเรื่องรถชนคน เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยมีข่าวบ่อยๆ อยู่แล้ว จึงนั่งคอยเพื่อนอยู่ในร้านไม่ตื่นเต้น ฟังสามีภรรยานั่งคุยกันโดยทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ไม่สนใจในเรื่องอื่น ไม่ช้าในร้านเครื่องดื่มก็มีโต๊ะสองผัวเมียกับลูกเล็กและคนชงกาแฟอีกคนหนึ่งเท่านั้น นอกนั้นเขาวิ่งออกไปดูรถชนคนกันหมด

เสียงเขาถามกันหน้าร้านขายเครื่องดื่ม ได้ยินเข้ามาข้างในว่า “ตายไหม ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

เสียงผู้ไปดูกลับมาบอกว่า “ยังไม่ตาย ถ้าอาการสาหัสยังสลบ ยังมีลมหายใจไม่รู้สึกตัว เป็นเด็กผู้หญิง โน่นแน่เขากำลังอุ้มหารถไปส่งโรงพยาบาล”

แล้วมีพลเมืองดีคนหนึ่งกดแตรรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าร้าน เสียงผัวบ่นว่า “กูละซิ กูจะต้องส่งมันไปโรงพยาบาล” เสียงเมียอ้อนวอน “โธ่พี่ไปส่งเขาหน่อยเถิดน่า นึกว่าเอาบุญ”

ผัวทำท่าทางลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แล้วบอกคนชงกาแฟว่า “เฮ้ย อ้ายโกค่ากาแฟคิดไว้ก่อนนะ แล้วกูจะนำมาเฉ่ง”

พูดแล้วก็ลุกเดินออกไปหน้าร้านเมียอุ้มลูกเดินตาม ผมก็เกิดสนใจเดินตามออกมาดูว่า คนขับรถแท็กซี่จะแสดงอาการอย่างไร แต่แล้วก็เห็นหน้าเพื่อนที่ผมนัดพบกำลังช้อนร่างของเด็กหญิงอายุราว ๗-๘ ขวบ ด้วยสองแขนแนบไว้กับอก มือเท้าของเด็กหญิงห้อยตกแกว่งไปตามจังหวะเดินของผู้อุ้ม ยังมีลมหายใจแต่ไม่รู้สึกตัว เลือดออกจากปากจมูก เลือดเปื้อนเสื้อเชิ้ตขาวตรงหน้าอกของผู้อุ้ม เพื่อได้แสดงถึงมนุษยธรรมโดยไม่มีความรังเกียจ ภาพของเด็กหญิงหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนผมทำให้คนขับแท็กซี่สองผัวเมียอ้าปากค้างตะลึก เสียงเมียร้องไห้โฮปากก็พูดออกมาว่า

“โธ่ อีหนูลูกของแม่ ลูกของแม่ไม่น่าเลย จะมาถูกรถชน ใช้ให้ไปซื้อขนมครกกับถั่วมาให้น้องกินจนลืมลูก แม่สั่งแล้วไม่ให้ลูกข้ามถนน โถ เขาโจษกันแม่ก็ไม่นึกว่าเป็นลูก”

รำพันแล้วก็ร้องไห้ ส่วนคนขับรถแท็กซี่ผู้ผัวตกใจจนหน้าซีด แล้วก็โกรธขบกรามแน่น คำรามแสดงสีหน้าใส่เพื่อนผมที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ในมือ แกร้องตวาดเสียงดังตาลุกวาวเหมือนคนบ้าว่า

“แกขับรถชนลูกข้าหรือ” เพื่อนผมตอบอย่างสุภาพว่า “เปล่า ผมไม่มีรถขับ รถที่ชนเด็กเป็นรถแท็กซี่ เมื่อชนแล้วเขาก็รีบขับหนีไป ผมเห็นเด็กล้มกลิ้งอยู่กลางถนนก็สงสาร จึงรีบวิ่งไปอุ้มมาเพื่อหารถรีบจัดส่งโรงพยาบาลด่วนให้หมอช่วย”

เสียงเมียของคนรถแท็กซี่ร้องไห้ พลางบอกให้ผัวรีบจัดการพาลูกส่งโรงพยาบาลด่วน อย่ามามัวเสียเวลา ฉะนั้น คนขับรถแท็กซี่จึงเปิดประตูหลังให้เพื่อนผมพร้อมทั้งเมียแล้วลูกเล็กของคนขับขึ้นไปนั่งข้างหลัง ทันใดนั้นตำรวจจราจรวิ่งมาบอกให้หยุดก่อน ตัวแกจะต้องตามไปเพื่อสอบสวนด้วย แล้วก็บอกว่า รถแท็กซี่คันที่ชนนั้นจับไม่ทัน มันหนีรอดไปได้ เพราะมันรีบขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เลขเบอร์ท้ายรถตัวหน้าสองตัวสีดำก็กะเทาะออกเห็นแต่เนื้อเหล็กสังกะสี ตัวเลขเลือนลางไม่ชัด เพราะมันขับหนีห่างออกไป มองเห็นไม่ถนัดแล้วก็มองดูเลขท้ายรถคันที่คนขับกำลังจะออก พลางชี้แล้วพูดว่า

“ตัวเลขสีดำมันก็กะเทาะเหมือนรถคันนี้ไม่มีผิด นี่ต่อไปจัดการทำป้ายให้เห็นตัวเลขชัดเจน เอาหมึกดำมาเขียนเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นจะมีความผิด เข้าใจไหม” แล้วก็เปิดประตูหน้าเข้าไปนั่งข้างคนขับ สั่งให้ไปโรงพยาบาลทันที คนขับรถแท็กซี่คันนั้นหันไปมองดูเด็กกำลังสลบ ก็ครางออกมาอย่างเจ็บแค้นซึ่งอัดอยู่ในใจว่า



(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2004, 7:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ถึงเวรกรรมขอกู” แล้วก็รำพันตลอดไปด้วยฟูมฟายน้ำตาเหมือนคนบ้า เพื่อนผมที่ช่วยอุ้มเด็กไปด้วยเพราะความสงสารได้เล่าให้ฟังวันหลังว่า ตลอดทางแกเสียใจเรื่องลูกถูกรถชนแทบจะเป็นบ้า กัดฟันร้องด่าอ้ายคนขับรถแท็กซี่คันที่ชนลูกแก พูดว่าหากพบจับอ้ายคนขับชนลูกแกได้ แกจะบีบคอมันให้ตายคามือ ตำรวจจราจรได้ตักเตือนหลายครั้ง

แกทั้งแค้นทั้งเสียใจบ่นว่าอย่างไม่เป็นภาษามนุษย์จนถึงโรงพยาบาล แล้วรีบนำเด็กเข้าห้องปฐมพยาบาลให้แพทย์จัดการรักษาทันที แล้วเพื่อนผมก็ออกมานั่งคอยฟังข่าวอาการของเด็กอยู่นอกห้อง ด้วยจิตใจสงสาร และตำรวจก็ถามปากคำเพื่อนผม ตามที่รู้เห็น และสีของรถแท็กซี่เท่าที่จำได้ เมื่อหมดหน้าที่แล้วก็ตั้งใจจะกลับบ้าน เห็นเสียเวลานาน เด็กก็ได้ส่งถึงหมอในโรงพยาบาล จะรอดูอาการเด็กก็ไม่จำเป็นแล้ว การนัดกับผมก็ต้องล้มเลิก

เพื่อนผมเล่าต่อไปว่า ยังไม่ทันจะออกจากโรงพยาบาล ก็ได้ยินเสียงคนขับแท็กซี่คันนั้นร้องไห้ตีอกชกหัว เหมือนคนบ้า ปากก็ร้องว่า “เวรกรรมของกู เวรกรรมของกู” ร้องไห้พลางบ่นว่าเวรกรรมของกู เหมือนคนเสียสติ ทำให้ภรรยาต้องฉุดออกมาข้างนอกแล้วเป็นผู้ปลอบสามีไม่ให้เสียใจเกินไป เมื่อทราบข่าวว่าเด็กหญิงคนนั้นหมดลมเสียแล้ว ก่อนที่นายแพทย์จะช่วยเหลือไว้ทัน

“นี่แหละครับคุณอา นี่เป็นกฎแห่งกรรม ผมจึงเชื่อแน่เหลือเกิน เรื่องนี้มันเกิดมานานแล้ว แต่มันก็มีคติพอที่จะสอนว่า เราจะทำอะไรลงไป ก็ขอให้นึกย้อนมาคิดถึงตัวเราบ้าง ความเจ็บปวดรวดร้าว เป็นความรู้สึกทางจิตใจที่เขารู้สึกเพียงไร เมื่อถึงตัวก็รู้สึกเช่นเดียวกัน กรรมนั้นมันสนองเราในวันหนึ่งข้างหน้าไม่ช้าก็เร็ว คนที่ไม่เชื่อกรรมก็คิดว่าเป็นเหตุบังเอิญ ถ้าเราได้ติดตามชีวิตของผู้สร้างกรรมแล้ว จะพบบั้นปลายของชีวิตจะประสบชะตากรรมที่ทำไว้เป็นบาปกรรมตามสนอง จริงไหมครับคุณอา”

ข้าพเจ้าได้ฟังเช่นนั้นก็พยักหน้า แล้วพูดว่า “คุณเข้าใจถูก กรรมนั้นมองไม่เห็นตัวทั้งบุญกรรมและบาปกรรม เหมือนเชื้อโรคร้ายที่เราสูดเข้าไปทางลมหายใจ ที่เราไม่รู้ไม่เห็นมันจะเกิดผลขึ้นภายหลัง เมื่อใดช้าเร็วแล้วแต่เชื้อโรคแต่ละชนิด ไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับกรรม แต่เชื้อโรคมีตัวมีแต่กรรมดีกรรมชั่วไม่มีตัวตน มีแต่ความรู้สึกเหมือนเงา” เราพากันหยุดนิ่งพักหนึ่งด้วยความเศร้าใจ แล้วข้าพเจ้าก็กล่าวต่อไปว่า

“เรื่องคนขับรถแท็กซี่ก็เป็นเรื่องเศร้ามาก เพราะคนเราจะทำอะไรลงไป ไม่นึกถึงหน้าถึงหลัง จึงได้รับเคราะห์กรรมเช่นนี้”

ข้าพเจ้าจึงเล่าให้ฟังถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าเห็นคนขับรถแท็กซี่ที่สุภาพเรียบร้อยมีมนุษยธรรม ข้าพเจ้าเคยนั่งรถแท็กซี่คันนั้นเมื่อขึ้นนั่งก็หยิบหนังสือขึ้นอ่าน ปล่อยให้คนขับพาไปตามตำบลที่บอกไว้ แล้วรถแท็กซี่คันนั้นขับไปตามถนนไม่นานก็หยุดลงข้างถนนโดยข้าพเจ้าไม่รู้ตัว เงยหน้าขึ้นมาถามว่า

“รถเป็นอะไร เครื่องเสียหรือยางแตก” แต่คนขับรถแท็กซี่คันนั้นบอกว่า “เปล่าครับ โน่นครับ” พลางชี้มือให้ผมดูสุนัขที่ถูกรถทับขาหลังเดินไม่ได้ร้องครวญครางอยู่กลางถนน แล้วแกก็ลงจากรถเดินไปที่สุนัขตัวนั้น ค่อยๆ ยกขาหน้าขึ้นมายกเอาไปไว้ที่ข้างถนนบนทางเดินเท้า เพื่อให้พ้นทางสัญจรของยวดยานไปมา

ข้าพเจ้าถามว่า “เราเข้าไปจับ ไม่กลัวมันกัดหรือ” คนขับรถตอบว่า “ไม่กัดหรอกครับ สัญชาติญาณของมันรู้ว่าคนที่มานั้นเป็นมิตรที่มาช่วยมัน ไม่ใช่ศัตรูมาทำร้าย มันก็ต้องการความช่วยเหลือ เพราะเมื่อผมเห็นก็อดสงสารไม่ได้ครับ เห็นแล้วไม่อยากปล่อยให้มันทรมานอยู่กลางถนนรถแล่นเฉียดไปมา ไม่ช้าก็คงมีรถบางคันทับลงไปกลางตัวมัน ถ้ามันไม่ตายก็เพิ่มความทรมานเจ็บปวดยิ่งขึ้น”

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วก็รู้สึกว่า คนขับรถแท็กซี่คันนี้มีคุณธรรมอันสูง และคิดว่าผู้นั่งมาในรถเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เคยสนใจกฎแห่งกรรมแล้ว เขาคงไม่พอใจ คงบ่นว่าที่ต้องเสียเวลาเพราะคนขับไปยุ่งกับหมากลางถนน ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นสาระ หรือบางทีโกรธถึงกับลงจากรถไปหาคันอื่นก็ได้ อย่างน้อยกล่าวติเตียนระบายความไม่พอใจออกมา ที่ต้องเสียเวลาโดยใช่เหตุ คนเรามีจิตใจต่างๆ ไม่เหมือนกัน ทำให้ข้าพเจ้าเกิดสนใจในคนขับรถแท็กซี่ผู้นี้ขึ้นมา จึงถามว่า

“คุณเคยช่วยสุนัขเช่นนี้กี่ครั้งแล้ว” คนขับแท็กซี่ยิ้มแล้วพูดว่า “หลายครั้งแล้วครับ มิใช่ช่วยสัตว์อย่างเดียว ผมพบคนถูกรถชนหรือเป็นลม ผมก็ช่วยส่งโรงพยาบาลทันที”

ข้าพเจ้าแกล้งถามว่า “แล้วค่าโดยสารล่ะ ไม่มีใครจ่ายมิต้องวิ่งฟรี ไม่ขาดทุนหรือ”

คนขับรถแท็กซี่หัวเราะ “ผมไม่สนใจเรื่องค่าจ้างหรอกครับ สนใจช่วยชีวิตคนมากกว่า”

ข้าพเจ้ารู้สึกเลื่อมใสยิ่งขึ้น จึงถามว่า “การที่เราทำความดีเช่นนี้ จิตใจเรารู้สึกอย่างไร ทำให้เรารู้สึกอิ่มเอิบในกุศลผลบุญ สบายใจหรือเปล่า ?”

แกยิ้มอย่างสบายใจ แล้วพูดว่า “ยิ่งกว่าอิ่มเอิบใจอีกครับ ผมเคยได้รับผลตอบแทนมาแล้ว แต่นี่ผมพูดถึงความรู้สึกของผมเองนะครับ คนอื่นเขาเห็นอย่างไรอีกเรื่องหนึ่ง”

ข้าพเจ้าเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น จึงถามขึ้นว่า “เกิดผลตอบแทนได้อย่างไรโปรดเล่าให้ฟังได้ไหม”

คนขับแท็กซี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีครับ คือเย็นวันหนึ่งผมได้รับสุภาพบุรุษท่านหนึ่ง ที่โรงแรมทางสถานีรถไฟหัวลำโพง แล้วท่านผู้นั้นให้ผมพาไปธุระหลายแห่ง เข้าตรอกเช้าซอย ตอนจะกลับออกจากซอย ผมเห็นแมวตัวหนึ่งถ้าจะถูกตี ตอนขาหลังเป็นง่อยกระดุกกระดิกไม่ได้แข็งทื่อ มันพยายามใช้ขาหน้าตะเกียกตะกายจะลากตัวหนีเข้าข้างทาง ผมเห็นเช่นนั้นก็สงสาร หยุดรถแล้วค่อยๆ พยุงช้อนจับตอนหัวกับคอและเอาตัวมันไปไว้ข้างๆ ซอยที่ปลอดภัยจากรถผ่านไปมา แล้วก็หยิบเอาผ้าเหลืองสำหรับเช็ดรถไปปูให้มันนอน เสร็จแล้วผมก็ขึ้นรถ กล่าวขอโทษท่านสุภาพบุรุษผู้นั้นที่ทำให้ท่านเสียเวลา ท่านกล่าวยิ้มๆ ว่า ไม่เป็นไร”

แล้วผมก็ไปส่งท่านที่โรงแรมที่ท่านพัก เมื่อท่านลงจากรถแล้ว ท่านถามผมว่า

“คิดเท่าไหร่ ?”

ผมบอกท่านว่า “สุดแต่ท่านจะให้เถิดครับ” ท่านผู้นั้นหยิบเงินให้ผมมากกว่าธรรมดาที่ผมจะเรียกร้องเอง แล้วท่านก็บอกว่า

“พรุ่งนี้โมงเช้า เธอจะมารับฉันที่โรงแรมนี่ ได้ไหม ?”

ผมรีบตอบท่านว่า “ได้ครับ ผมจะมารับท่านตรงเวลา”

ท่านบอกว่า ขอบใจแล้วก็ขึ้นไปบนโรงแรม



(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2004, 7:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คืนวันนั้นบุตรชายผมอายุ ๖ ขวบ เกิดตัวร้อนจัดเป็นไข้ ผมให้ภรรยาไปซื้อยาแก้ไข้ให้กิน แต่ปรากฏว่าอาการไม่ดีขึ้น เพ้อเพราะพิษไข้สูง ผมและภรรยาต้องเฝ้าพยาบาลกันตลอดคืน แทบไม่มีเวลานอน อาการของลูกชายไม่ดีขึ้น เรามีลูกชายคนเดียวยังเล็ก ฉะนั้น จึงรักเป็นห่วงและสงสาร แกเป็นหัวแก้วหัวแหวนของเรา รุ่งเช้าขึ้นอาการเป็นที่น่าวิตก แกซึมมากขึ้น ผมจะต้องขับรถออกจากบ้านไปตามนัด ภรรยาผมแกอ้อนวอนให้ผมหยุดพักสักวันหนึ่ง จะได้พาลูกไปหาหมอ แกอยู่คนเดียวกับลูกที่ป่วยหนัก รู้สึกไม่สบายใจว้าเหว่ อยากจะร้องไห้ ผมบอกภรรยาว่า ไม่ได้หรอก ผมนัดกับใครแล้วไม่ยอมเสียนัดเป็นอันขาด

คิดว่าสายๆ ส่งสุภาพบุรุษผู้นั้นเสร็จแล้ว ผมก็ตั้งใจว่าหากลูกยังไม่ดีขึ้นก็จะพาไปโรงพยาบาล แม้ผมจะมีใจเป็นห่วงลูกที่รักยิ่งกว่าชีวิต ห่วงเมียทิ้งไว้ทางบ้านคนเดียวกับลูกกำลังป่วย ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ทางโรงพยาบาลเขาเปิดสาย ความจริงผมไม่ใช่เป็นคนงมงาย แต่เมื่อถึงที่คับขันไม่มีที่พึ่งทางใจเลย ก็รู้สึกเหมือนว่ายน้ำอยู่ในที่มืดไม่รู้ทิศทางหมดกำลังใจ

ผมนึกหาที่พึ่งขึ้นมาได้แบบคนโบราณ จึงเข้าห้องหยิบธูปมาจุด ๓ ดอก ความหวังลมๆ แล้งๆ ทำให้เกิดกำลังใจ ยกมือขึ้นพนมเหนือหัว แล้วอธิษฐานว่า อันตัวลูกนี้ไม่เคยสร้างบาปสร้างกรรมทำความเดือดร้อนมาให้ผู้ใดเลย แม้จะหากินด้วยการขับรถแท็กซี่ ก็หากินด้วยความสุจริต มิได้เคยคิดฉ้อโกงผู้ใด ขอให้กุศลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มีอยู่ทั่วไป จงคุ้มครองป้องกันอย่าให้บุตรชายเป็นที่รักยิ่งของลูกเป็นอันตรายใดๆ เลย ขอให้ท่านปัดเป่าให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยเถิด

เมื่อผมปักธูปทางหัวนอนเสร็จแล้ว ก็กราบลงด้วยจิตตั้งมั่นเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทำให้ผมเกิดกำลังใจขึ้นมา หวังความช่วยจากสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วผมก็ขับรถออกจากบ้านตรงไปโรงแรมจุดที่นัดหมาย เมื่อรถผมไปถึง ก็ปรากฏว่า ท่านสุภาพบุรุษผู้นั้น แต่งตัวยืนคอยผมอยู่ที่หน้าโรงแรมก่อนแล้ว ผมหยุดรถเปิดประตูหลังให้ ท่านขึ้นนั่งแล้วก็พูดขึ้นว่า

“เธอมาตรงเวลาดีมาก” แต่แล้วพอรถวิ่งไปตามถนนท่านก็ทักว่า “ดูท่าทางเธออิดโรยมาก ไม่สบายหรือเปล่า ?”

ผมบอกท่านว่า “เปล่าครับผมเพียงอดนอน เพราะลูกชายผมป่วยมาก ไม่ได้สติตลอดคืน” แล้วผมก็เล่าอาการให้ฟังท่านผู้นั้นนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า

“หาหมอรักษาหรือยัง”

ผมตอบท่านว่า “ยังครับ ผมตั้งใจว่า พอสายหน่อยกลับไปผมจะรีบพาไปโรงพยาบาล”

ท่านผู้นั้นสั่งผมอย่างรีบร้อนว่า “กลับไปโรงแรมเร็ว” ผมนึกสงสัยแต่ไม่ถามอะไร รีบกลับรถตรงไปโรงแรมที่ท่านสั่งทันที เมื่อถึงโรงแรมท่านรีบวิ่งขึ้นไปบนห้อง แล้วก็หิ้วกระเป๋าลงมานั่งหลังรถแล้วสั่งว่า “ขับไปบ้านเธอเดี๋ยวนี้”

ผมเองก็ตะลึงว่า ท่านจะไปบ้านผมทำไม ยังไม่ทันจะถามก็ได้ยินท่านพูดขึ้นว่า “ฉันเป็นหมอบ้านนอก เมื่อได้รู้ว่าลูกชายเธอป่วยอาการหนักก็อยากจะช่วย”

เมื่อผมได้ยินท่านพูดผมก็มีกำลังใจขึ้น และดีใจที่พบหมอโดยบังเอิญ แต่แล้วก็ถามท่านว่า “ท่านกำลังมีธุระด่วนจะเสียเวลาของท่านนะครับ”

แล้วก็ได้ยินท่านพูดว่า “สำหรับฉันธุระเป็นเรื่องเล็ก การช่วยชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ รีบพาฉันไปบ้านเธอเร็วๆ เถิด เท่าที่เธอเล่า ฉันรู้ว่าอาการหนัก ช้าไม่ได้”

ผมฟังแล้วน้ำตาไหล รีบพานายแพทย์บ้านนอกผู้นั้นตรงไปบ้านทันที เมื่อเชิญหมอเข้าไปในบ้านแล้ว ก็เห็นภรรยาผมนั่งร้องไห้ก็ตกใจ รีบถามว่า “ลูกเป็นอะไรหรือ” ภรรยาผมตอบว่า “สงสารลูกไม่ได้สติ นอนแน่นิ่งตลอดเวลา มีแต่ลมหายใจรู้ว่ายังไม่ตายเท่านั้น จึงร้องไห้รักและสงสารแก”

ผมแนะนำให้ท่านทราบว่าภรรยาผม และบอกภรรยาว่านี่คุณหมอ ท่านจะมารักษาลูกให้เรา แต่แล้วหมอก็เปิดกระเป๋า แล้วขอน้ำและสบู่มาล้างมือ จัดการคลำตามตัวเด็ก หยิบเครื่องมือแพทย์ออกมาตรวจฟัง ให้จัดการหาน้ำเย็นมาเช็ดตัว หยิบหลอดยาฉีดและเข็มออกมา จัดการฉีดยาให้เด็กที่กำลังหมดสติ แล้วพูดว่า

“ไม่ต้องวิตกปลอดภัยแล้ว ที่ไม่ได้สติ ก็เพราะพิษไข้ขึ้นสูง พอไข้ลดประเดี๋ยวก็รู้สึกตัว”

แล้วท่านก็ให้ยาก่อนและหลังอาหาร ภรรยาผมยิ้มออกมาได้ทั้งน้ำตา รู้สึกแกจะเลื่อมใสหมอมาก เพราะครู่ใหญ่เด็กก็รู้สึกตัวผมดีใจมากแทบจะเข้าไปกราบเท้าท่าน

ผมรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณนายแพทย์ผู้นี้มาก ภรรยาผมดีใจที่เห็นลูกรู้สึกตัว คิดว่ากำลังจะหายเป็นปกติในไม่ช้า ผมบอกท่านว่าผมอยากจะช่วยค่ายาท่าน แต่ท่านหัวเราะแล้วว่า

“ไม่ต้องช่วยอะไรทั้งหมด ที่ฉันช่วยเธอนี่ก็ไม่หวังอะไรตอบแทนหรอก เหมือนอย่างที่เธอได้ช่วยพวกสัตว์ที่กำลังบาดเจ็บทุกข์ยากเช่นเดียวกันแหละ”

ผมตะลึงในคำพูดของท่าน ต่อมาผมก็ขับรถไปส่งในที่ต่างๆ ผมถือว่าท่านเป็นผู้มีบุญคุณ ตั้งใจว่าจะไม่ยอมรับค่าจ้างเพื่อตอบแทนบุญคุณของท่าน แต่ท่านเป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตากรุณาเห็นใจคนจนจริงๆ ท่านไม่ยอมรับบริการฟรีจากผม ท่านได้จ่ายค่ารถให้ผมตามปกติธรรมดา ท่านบอกว่าการรักษาลูกผมเป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะต้องช่วยไม่ว่าคนมีคนจน การช่วยชีวิตคนก็ได้กุศลอยู่ในตัวแล้ว การยอมให้บริการฟรีเพื่อตอบแทนบุญคุณมันเป็นการเบียดเบียนผู้มีรายได้น้อย ท่านจะไม่ยอมรับเป็นอันขาด ท่านไม่ยอมให้ใครเดือดร้อนเพราะท่าน ผมยังไม่เคยพบผู้ที่ไม่เห็นแก่ได้ หายากจริงๆ

เรื่องนี้คนอื่นเขาคงคิดว่าบังเอิญ แต่ผมว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญจริงไหมครับ แกเล่าให้ข้าพเจ้าฟังในระหว่างขับรถจนถึงที่ทำงานเขาก็ยังพูดไม่จบ แล้วเขาก็จอดรถเล่าต่อ ข้าพเจ้าฟังแล้วรู้สึกพลอยปลื้มปีติไปด้วย เมื่อพูดถึงคนดีๆ จึงส่งเสริมว่า

“คุณเป็นคนทำความดีมีเมตตาจิต แม้จะเป็นคนหาเช้ากินค่ำก็สมควรยกย่อง การทำความดีก็เป็นทางกุศลที่จะชักนำไปพบคนดี เช่นนายแพทย์ผู้ได้ช่วยชีวิตของลูกคุณไว้ ผมคิดว่าถ้าหากคุณไม่ช่วยแมวไปไว้ข้างทาง ทำให้นายแพทย์ได้เห็นความเมตตาสัตว์ของคุณแล้ว คุณรับปากไปตามนัดเวลา แม้จะห่วงลูกเพียงไร คุณก็ไม่ยอมผิดนัดเป็นคุณงามความดีอันหนึ่ง หากคุณขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่นคุณไม่แสดงเมตตาสัตว์ให้เห็น และไม่ยอมไปตรงเวลาตามนัด ผมเชื่อว่าลูกของคุณคงจะมีอะไรเกิดขึ้นเป็นแน่ และทั้งคุณก็ไม่รู้ว่า ท่านผู้นั้นเป็นนายแพทย์ด้วย”

คนขับรถแท็กซี่คันนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “เดี๋ยวนี้ผมเชื่อแล้วครับว่า ใครทำดีทำชั่ว ย่อมจะได้รับผลกรรมตามสนอง” เมื่อข้าพเจ้าลงจากรถแล้วก็หยิบค่าโดยสารส่งให้ แกยกมือไหว้แล้วก็ขับรถออกไป ข้าพเจ้ามองตามหลังรถที่ค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไปด้วยความชื่นชมยินดี

งานคืนนั้นเราต่างคนต่างเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแลกเปลี่ยนกันอย่างเพลิดเพลิน จนได้เวลาไม่ดึกนัก หลังจากท่านผู้มีเกียรติได้ขึ้นไปพูดแทนในนามของผู้รับเชิญ ประสาทพรให้แก่คู่บ่าวสาวแล้ว เราก็ทยอยกลับกัน คืนนั้นหลังกลับถึงบ้านยังไม่ดึกนัก ข้าพเจ้าพยายามเข้านอนเพื่อให้หลับแต่หัวค่ำ เพราะได้นอนดึกมาหลายคืนติดๆ กันแล้ว แต่ก็อดคิดถึงเรื่อง “เวรกรรม” ไม่ได้ ทำให้ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอยู่จนดึกกว่าจะหลับลงได้



>>>>> จบ >>>>>
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2004, 2:50 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นโซเฟอร์ตีนผีที่ฉ้อฉล
ขับรถชนคนตายบ่ายหน้าหนี
ไม่มีมนุษยธรรมนำชีวี
ผลกรรมนี้สนองให้เห็นทันตา
บุตรสุดรักของตนรับผลกรรม
วิ่งถลำกลางถนนรถชนถลา
เนื่องด้วยกฎแห่งกรรมที่ทำมา
ผลชั่วช้าย่อมปรากฏชดใช้เวร


ท.เลียงพิบูลย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
สบายใจ
บัวผลิหน่อ
บัวผลิหน่อ


เข้าร่วม: 29 ส.ค. 2004
ตอบ: 1

ตอบตอบเมื่อ: 29 ส.ค. 2004, 9:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อยากได้เยอะๆๆ อ่า ยิ้ม
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2007, 3:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2007, 3:46 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ทำดีได้ดี ทำขั่วได้ชั่ว สาธุ...
 

_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง