Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กราฟชีวิตที่ขาดตอน (พรรษมน ผ่องพักตร์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
kong_014
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2006
ตอบ: 37
ที่อยู่ (จังหวัด): สมุทรปราการ

ตอบตอบเมื่อ: 17 ม.ค. 2007, 1:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

กราฟชีวิตที่ขาดตอน

เรื่องราวชีวิต 44 ปีที่ผ่านมาของ พรรษมน ผ่องพักตร์ เหมือนเส้นกราฟที่ต้องพบกับจุดสะดุดอยู่ร่ำไป เธอโชคดีที่มีจุดเริ่มต้นจากระดับกลาง แล้วค่อยๆ ไต่ขึ้นไปแตะยังจุดสูงสุด แต่แล้วก็พลันตกฮวบ ทั้งบางช่วงยังขาดตอนซ้ำเติมอีก จนนิ่งสนิทอยู่กับความเรียบง่ายในปัจจุบัน

“เมื่อลำดับภาพเหตุการณ์ต่างๆ ความเป็นเหตุเป็นผล ทำให้ดิฉันต้องเชื่อในเรื่องกรรมเก่ากรรมใหม่ ที่บุคคลในชีวิตรวมทั้งตัวเอง อาจจะทำไปแบบไม่ตั้งใจหรือตั้งใจก็ดี ซึ่งผลที่สะท้อนกลับมา แม้เจ้าตัวจะไม่ได้รับโดยตรง แต่ก็ยังคงตกถึงลูกหลาน ดังที่ดิฉันได้ประสบเป็นคนแรก...

ดิฉันเป็นลูกสาวคนสุดท้อง คุณพ่อรับราชการ ส่วนคุณแม่เป็นแม่บ้าน มีพี่สาวกับพี่ชาย 2 คนที่รักกันมาก สมัยก่อนบ้านอยู่ริมคลองมีนบุรี แถวลาดกระบัง ชาวบ้านสร้างเขื่อนกั้นน้ำ เพื่อใช้เป็นที่สัญจรของคนละแวกนั้น จำได้ว่าเรียนชั้น ป. 5 ขณะที่กำลังเดินไปโรงเรียนเห็นขนมตกอยู่บนสันเขื่อน ด้วยความเป็นเด็กก็ก้มลงเก็บทันที เพื่อนที่เดินตามหลังจึงชนเข้าเต็มแรง ดิฉันตกลงไปในคลอง คุณพ่อเห็นก็ตะโกนเรียกให้คนช่วย เราว่ายน้ำไม่เป็น น้ำเข้าปากเข้าจมูกทุรนทุราย จวนเจียนจะขาดใจ พอดีว่าคุณลุงคนหนึ่งดึงผมดิฉันขึ้นไป ตอนนั้นหมดสติแล้ว เขาพยายามปั๊มหัวใจ จนรอดตายมาได้หวุดหวิด

นั่นคือเหตุการณ์ร้ายแรง ที่เกิดขึ้นในครอบครัวเราเป็นครั้งแรก กระทั่งเวลาล่วงเลยไปพร้อมกับเรื่องราวต่างๆ ก็ทวีความรุนแรงขึ้น สมัยก่อนที่บ้านดิฉันค่อนข้างมีอิทธิพล อยู่ที่อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เนื่องจากคุณลุงเป็นกำนัน และเป็นหมอประจำอำเภอ แทบทุกปิดเทอม ครอบครัวเราจะไปเที่ยวกันที่บ้านคุณลุง สมัยนั้นแม่น้ำไทรโยคยังเต็มสวย คุณพ่อชอบเข้าป่าล่าสัตว์ ที่ทุ่งใหญ่นเรศวรกับบรรดานายพรานทั้งหลาย แล้วเก็บหัวสัตว์มาประดับไว้ที่บ้าน ส่วนเนื้อที่ล่าได้ก็เอามากินกันอย่างสนุกสนาน พวกเรายังเด็กรู้สึกสนุกไปด้วย นอกจากนั้นยังมีกิจการกว้านซื้อหอยมุก เพื่อส่งให้กับบริษัทแห่งหนึ่งที่ภาคใต้ กิจการดีมาก สังเกตจากเวลาคุณพ่อสั่งคนงานพม่า ให้งมหอยแล้วต้มสดๆ เพื่อแกะเอาแต่เปลือก คืนหนึ่งๆ บรรทุกลงใต้เป็นสิบคันรถสิบล้อเลยทีเดียว

กระทั่งพี่ชายเรียนจบได้เข้าหุ้นกับรุ่นพี่ทำงานด้านโซลาร์แพ็ค ซึ่งเขาเป็นคนแรกที่คิดค้นระบบน้ำร้อนในบ้าน ที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพราะฉะนั้นอายุแค่ 24-25 เขาก็ประสบความสำเร็จในการทำงานแล้ว

เย็นวันหนึ่งเขาขับรถมาหาคุณพ่อคุณแม่ บอกว่า 'ผมจะไปบ้านคุณลุงที่ไทรโยคนะ' โดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะไม่ได้กลับมาอีกเลยชั่วชีวิต เหตุการณ์หลังจากนั้นแฟนพี่ชายเล่าว่า รถป้ายแดงใหม่เอี่ยมที่พี่ชายขับไปเกิดเสียกลางทาง เขาจึงไล่แฟนกลับบ้าน ส่วนตัวเขายืนยันที่จะขึ้นรถทัวร์ไปเมืองกาญจน์ให้ได้ หลังจากพักค้างคืนที่บ้านคุณลุงแล้ว รุ่งเช้าก็ขึ้นรถทัวร์กลับมาทำงาน แต่ขณะที่มาถึงท่ารถในตัวเมืองกาญจน์ ได้มีโจรเสือขาวบุกปล้น พี่ชายถูกยิงเสียชีวิต

กว่าจะเช็คได้ว่าเป็นลูกหลานใครก็ค่ำแล้ว รุ่งเช้าคุณป้ามาแจ้งข่าวกับคุณแม่บอกเพียงว่า พี่ชายป่วยหนัก ดิฉันจำได้ว่าท่านตกใจ เข้าห้องไหว้พระทันที เพราะท่านรักพี่ชายคนนี้มาก พวกเรารีบเดินทางไปที่เมืองกาญจน์

จากที่ตั้งใจจะไปรับเขาขึ้นมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ แต่ที่ไหนได้กลายเป็นว่าต้องไปรับศพกลับบ้าน ณ ตอนนั้นภาพที่สะเทือนใจดิฉันมากๆ คือ ไม่เคยเห็นคุณพ่อคุณแม่เสียใจเท่านี้มาก่อน คุณแม่ร้องไห้จนเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ส่วนคุณพ่อเป็นคนไม่พูด แต่ท่านก็คงคิดได้จากการที่ท่านล่าชีวิตคนอื่น โดยเห็นเป็นเรื่องสนุก พอถึงวันหนึ่งสิ่งที่รักก็ต้องจากไปเช่นกัน

แม้พี่ชายจะจากไปแล้ว แต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกชายคนเดียวก็ยังคงไม่เสื่อมคลาย เคยปูที่นอนให้อย่างไรท่านก็ยังทำเช่นนั้นทุกวัน ตกค่ำก็เรียก ‘น้อยเอ๊ย นอนเสียลูก’ เช้าขึ้นก็เรียกทานข้าว ยังไม่ทันที่ความเศร้าโศกในบ้านจะจางหาย มรสุมลูกใหม่ก็ถาโถมซ้ำเติมครอบครัวเราอีก ตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 คุณพ่อต้องลาออกจากราชการ ตั้งแต่นั้นจากคนที่เคยมีเพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งเกียรติยศ ศักดิ์ศรี เงินทอง กลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรเลย คุณแม่ต้องขายสมบัติเก่า เพื่อส่งเสียเลี้ยงดูพี่สาวกับดิฉัน ขณะที่ตัวท่านก็ล้มเจ็บด้วยโรคมะเร็ง ดิฉันจำได้ว่าบรรยากาศในครอบครัวแย่มาก ปัญหาต่างๆ รุมเร้าเข้ามาในเวลาเดียวกัน มันจึงเท่ากับเพิ่มความกดดันให้ตัวเองว่า เราจะจนไม่ได้เด็ดขาด ต้องพยายามทำงานหาเงิน เพื่อที่จะไม่โดนคนดูถูก

ขณะนั้นดิฉันกำลังเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมภายใน ที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ก็พยายามดิ้นรนหาเงินทุกวิถีทาง ทำของไปฝากขายตามที่ต่างๆ ได้เงินเท่าไรก็เอามาให้คุณแม่ เพราะฉะนั้น จะมีพ็อคเก็ตมันนี่ของตัวเองมาตั้งแต่เรียนหนังสือ กระทั่งเรียนจบดิฉันเริ่มงานเป็นเลขาฯ ฝ่ายโฆษณาตามสื่อต่างๆ ของบริษัทแห่งหนึ่ง ตั้งแต่นั้นชีวิตก็แวดล้อมอยู่ในแวดวงสังคมชั้นสูง ทำงานทางด้านแฟชั่น บางครั้งก็ถูกเชิญเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ มีความสุขมาก มีทุกอย่างที่อยากได้ ยึดติดอยู่กับวัตถุ จนดิฉันกลายเป็นคนทะเยอทะยาน ตั้งเป้าให้กับตัวเองเลยว่าอายุเท่านี้จะมีอะไร และต้องทำให้ได้

จากนั้นดิฉันได้รับทุนจากดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ให้ไปเรียนต่อทางด้านการดีไซน์ ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเวลา 2 ปี ขณะที่เรียน ดิฉันก็หารายได้พิเศษ ด้วยการเป็นผู้ช่วยคุณอลันลาลู ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น ความที่เป็นคนขยันไม่นิ่งดูดาย และมีมนุษยสัมพันธ์ดี นายสั่งอะไรดิฉันทำหมดทุกอย่าง เพราะฉะนั้นบอสจะรักมาก เรียกว่าเปย์ให้ทุกอย่าง มีอาหารให้กิน มีที่พักให้อยู่อย่างดี มีรถพอร์ชให้ขับ ระหว่างนั้นดิฉันหลงเพลิดเพลินอยู่ท่ามกลางสังคมหรูหรา ที่ขึ้นชื่อว่าป๊อปปูล่าร์ที่สุดของฝรั่งเศส ได้มีโอกาสกระทบไหล่กับดีไซเนอร์ดังๆ ระดับโลกมากมาย

ชีวิตช่วงนั้นแฟนตาซีมาก บ้าวัตถุ แต่งตัวแฟชั่นเนเบิลมากๆ อย่าง เทียร์รี่ มูแกลร์ ดิฉันรู้จักก่อนหน้าที่จะเข้ามาเมืองไทยเป็น 10 ปี หรือ อัสซาดีน อารายา ท็อปดีไซเนอร์ของฝรั่งเศส ที่ได้รับรางวัลนิ้วทองคำรุ่นแรกๆ คนไทยน้อยคนจะรู้จัก แจ๊กเก้ตของเขาตัวละเป็นแสน ดิฉันก็มีแทบทุกคอลเลคชั่น ขณะเดียวกันความที่เราทำงานศิลปะ ซึ่งเมืองนอกยอมรับงานทางด้านนี้ เพราะฉะนั้นทำอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด หาเงินง่าย เงินเดือนทั้งหมดส่งให้คุณพ่อคุณแม่ที่เมืองไทย จนซื้อบ้านได้ 1 หลัง และยังมีเงินสดเหลือเก็บอีกต่างหาก

เรียนจบ บอสเสนอทุนให้เรียนต่อ แต่คุณแม่ขอร้องให้กลับเมืองไทย ดิฉันยอมตามใจท่าน กลับมาทำงาน โดยเริ่มจากเป็นเซลส์พาลูกค้ามาซื้อภาพที่แกลเลอรี่ รวมทั้งพาลูกค้าจากเมืองนอก ไปซื้อเสื้อผ้าที่โรงงาน แล้วบวกเปอร์เซ็นต์จากราคาขาย รายได้ดีมากๆ แล้วไปเซ้งล็อคขายเสื้อผ้าที่ใต้ถุนโรงหนังลิโด้ ตอนแรกทุกคนบอกว่ามุมตรงนี้อับ ขายไม่ได้หรอก แต่ระยะเวลาแค่ 6 เดือนสามารถขยายร้านได้

ด้วยความที่ยังติดอยู่กับวัตถุ ชีวิตเราต้องมีไอ้นั่นไอ้นี่ จึงมุมานะทำงานจนลืมไปว่าคุณพ่อคุณแม่ นั่งนับวันรอให้เรากลับมาทานข้าวทุกเสาร์อาทิตย์ คุณแม่จะจัดเตรียมอาหารที่ชอบไว้ให้ ท่านจะถามว่า ‘โยเอ๋ย เมื่อไรมาลูก’ ดิฉันจะผลัดท่านไปเรื่อยๆ โดยที่ไม่รู้เลยว่าการกระทำในวันนั้น จะกลายเป็นตราบาปไปตลอดชีวิต

ปกติทุกเสาร์อาทิตย์ ท่านจะต้องไปค้างที่บ้านพี่สาว แล้วเช้าวันจันทร์พี่สาวจะมาส่งที่บ้าน วันที่ดิฉันเปิดร้านใหม่ ตั้งใจว่าจะไปรับคุณพ่อที่บ้านมาแต่เช้า เพื่อให้ท่านมาเจิมร้านเป็นสิริมงคล แต่ปรากฏว่าประมาณตี 5 มีโทรศัพท์มาว่า รถที่พี่สาวขับมาส่งคุณพ่อคุณแม่ประสบอุบัติเหตุ คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่าพี่สาวแวะไปส่งหลาน 2 คนที่สาธิตเกษตรฯ แล้วก็ยูเทิร์นตรงสี่แยกเกษตร ฝั่งถนนวิภาวดีรังสิต เพื่อไปส่งหลานคนเล็กที่โรงเรียนไผทอุดมศึกษา เพราะจากตรงนั้นสามารถออกไปมีนบุรี ลาดกระบังได้ หลังจากที่พี่สาวยูเทิร์น รถเกิดเสียหลักชนกับต้นมะขามข้างทาง และไถลไปชนเสาไฟฟ้า ก่อนจะตกไปในคูน้ำครำข้างทาง ซึ่งรถที่เซฟตี้มากๆ พอจมน้ำระบบจะล็อคหมดทั้งคัน กว่าคนมาช่วยทุบกระจกรถ คนในรถก็ขาดออกซิเจนแล้ว

คนแรกที่ช่วยออกมาได้คือ หลานสาวคนเล็ก แล้วถึงเป็นคุณพ่อ ซึ่งสภาพของท่านคอหัก อวัยวะภายในช้ำหมด เสียชีวิตคาที่ ส่วนคุณแม่ และพี่สาวติดเชื้อในปอด ระบบร่างกายไม่ทำงาน เป็นตายเท่ากัน หลานสาวคนเล็กยังพอมีสติอยู่บ้าง คนเจ็บทั้งหมดถูกส่งไปที่โรงพยาบาลวิภาวดี

ขณะที่ดิฉันนั่งรับศพคุณพ่อ เห็นศพคนนั้นเข้าคนนี้ออก คนนี้ไม่ควรจะตายก็กลับต้องมาตาย ตรงนั้นทำให้ได้คิด คนเราอาจเลือกเกิดในโรงพยาบาลดีๆ หรูๆ หรือผ่าท้องเอาฤกษ์ได้ แต่ความตายคุณเลือกไม่ได้ ทำให้เราทอนคำว่าอยากมีอยากเป็นลง สิ่งต่างๆ ที่เพียรหามาชั่วชีวิต เพื่อจะเก็บไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ ถึงเวลาจริงๆ แล้วท่านไม่ได้ใช้หรอก ท่านเรียกร้องอยากเจอ แต่เรากลับเห็นการทำงานเป็นเรื่องสำคัญ และกว่าที่เราจะเห็นคุณค่าก็สายเสียแล้ว

ขณะนั้นดิฉันต้องพยายามประคองสติ เพื่อจัดงานพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อให้ลุล่วง หลังจากนั้นไม่กี่วัน คุณแม่กับพี่สาวก็จากไป ความรู้สึกดิฉันแย่มาก แต่จำเป็นต้องคอนโทรลตัวเองให้ได้ พอเสร็จงานศพทั้งสองคน อาการหลานสาวเริ่มแย่ลง ไตไม่ทำงาน ตามตัวมีสายเจาะระโยงระยางเต็มไปหมด พี่ๆ เขาก็ร้องไห้ หลานสาวถามถึงแต่แม่ และเขียนจดหมายฝากให้แม่ด้วย พี่เขยปรึกษาหมอว่า จะเคลื่อนย้ายไปรักษาโรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ก็คิดดูเฮลิคอปเตอร์เตรียมพร้อมอยู่ที่ลานจอดแล้ว แต่ไม่ทันไรกราฟ หัวใจหยุดนิ่ง หมอพยายามปั๊มหัวใจจนอกหลานเขียวซ้ำไปหมด ดิฉันจึงบอกพี่เขยว่า ‘ปล่อยลูกไปเถอะ อย่าทรมานเขาเลย’ จำได้ว่าพี่เขยเขวี้ยงโทรศัพท์ และร้องไห้โฮเลย ดิฉันจับมือหลานพร้อมกับท่องคาถาชินบัญชร กระซิบที่หูเขาว่า ‘ไปเถอะนะ อย่าทรมานเลย’ เขาจึงค่อยๆ หลับตา แล้วจากไปอย่างสงบ

‘พอเสร็จจากงานศพหลาน สภาพร่างกาย และจิตใจก็เกินจะทนไหวแล้ว ดิฉันตัดสินใจเซ้งกิจการทั้งหมด ตั้งใจว่าจะไปอยู่กับเพื่อนรักที่เกาะเสม็ด ขณะที่ฝันไกลไปถึงวันข้างหน้า ไม่ทันคิดเลยว่า ชั่วระยะเวลาหนึ่งเดือน ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอดไปถึงวันนั้นเสียแล้ว

คืนนั้นดิฉันออกจากออฟฟิศดึกมาก ขับรถมาตามทางด่วน ฝนตกพรำๆ มีความรู้สึกว่ารถเทรลเล่อร์คันหน้าขับแกล้งเรา มันล็อคทางไว้ไม่ให้แซง พอลดความเร็ว มันก็ลดตาม แล้วอยู่ดีๆ รถคันนั้นเกิดเบรกก ะทันหัน ดิฉันจึงเบรกตาม วินาทีนั้น เทรลเล่อร์ที่พ่วงอยู่ด้านหลังก็เหวี่ยงออกมา รถวอลโว่ 980 ที่ดิฉันขับอยู่จึงอัดก๊อปปี้เข้ากับท้ายรถเทรลเล่อร์ จำได้ว่าท้ายรถอยู่ห่างจากหน้าผากแค่คืบเดียว หน้าอกที่คาดเซฟตี้เบลท์เขียวช้ำหมดเลย ถ้าเป็นรถบางประเภทคงตายไปแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีบาดแผลเลยช้ำข้างในนิดหน่อย และผลจากอาการช็อกอย่างกะทันหัน ทำให้ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัดไป 3-4 เดือน

ดิฉันหลบไปสงบจิตสงบใจอยู่กับเพื่อนที่เกาะเสม็ด แรกๆ เพื่อนเป็นห่วง เพราะดิฉันเคยอยู่กับความสุขความสบายมาตลอด แล้วต้องไปนอนมุ้ง แอร์ก็ไม่มี ดึกๆ ก็มีเขียดมีปาดมานอนด้วย แต่พอเริ่มปรับตัวได้ ชีวิตก็มีความสุข วันๆ ไม่ทำอะไรเลย อยู่กับธรรมชาติ ฝึกกรรมฐาน จนกระทั่งเพื่อนที่กรุงเทพฯ ตามตัวกลับไปทำงาน ดิฉันจึงตัดสินใจเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ ดิฉันทอนสิ่งต่างๆ ได้เยอะขึ้น ทรัพย์สินเงินทองคือ สิ่งที่ทำให้อยู่ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องมีมากมายเหมือนสมัยก่อนแล้ว วันนี้กินข้าวจานเดียวก็อิ่มได้เหมือนกัน

จากนั้นดิฉันอุทิศตัวทำงานรับใช้พระพุทธศาสนา โดยการเปิดสอนลงรักปิดทองพระพุทธรูปที่บ้าน มีความสุขอยู่กับความเรียบง่ายสมถะ แต่ใช่ว่าทุกข์นั้นจะสิ้นสุด ชีวิตดิฉันเหมือนถูกกำหนดมาว่า ถ้ารักใคร คนๆ นั้นจะต้องมีอันเป็นไปโดยไม่มียกเว้น แม้แต่สามี เขาเป็นช่างฝ่ายบูรณะราชภัณฑ์ ที่วิทยาลัยในวังชาย วันนั้นเขาโทรมาบอกดิฉันว่า งานหล่อเทียนพรรษาถวายในหลวง และต้องทำเวทีเตรียมรับเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ อีก อาจจะกลับดึก พอดิฉันเสร็จจากสอนนักเรียนลงรักปิดทองที่ฟิวเจอร์พาร์ค กลับถึงบ้านก็หลับเป็นตาย กระทั่งเช้าเห็นสามีนอนอยู่กลางบ้าน ดิฉันพยุงเข้าไปนอนในห้อง สายแล้วก็ยังไม่ตื่น ทั้งๆ ที่เขาต้องไปรับเสด็จ สมเด็จพระเทพฯ ดิฉันจึงไปปลุก เห็นเขาปัสสาวะรดกางเกง คิดว่าคงแฮ้ง แต่พอดื่มน้ำ ปรากฏว่าอาเจียนเป็นเลือด

พอถึงโรงพยาบาล คุณหมอวินิจฉัยว่า สามีอาจจะเป็นเบาหวานขึ้นสมอง หรือเส้นเลือดในสมองแตก พอดีว่าเครื่องสแกนเสีย ดิฉันจึงพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง 5 นาทีต่อมา ดิฉันถึงกับช็อกพูดอะไรไม่ออก เมื่อผลออกมาว่าเส้นเลือดในสมองแตก และมีเลือดซึมไปกดเส้นประสาททำ ให้เส้นประสาทแตก ต้องรีบผ่าตัดโดยด่วน ซึ่งดิฉันสู้ค่ารักษาที่นั่นไม่ไหว จึงย้ายสามีมาที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง หมอเข้ามาคุยกับดิฉัน และพี่สาวสามีว่าให้ทำใจ ผ่าตัดแล้วถึงเขาจะรอด แต่ก็เป็นเจ้าชายนิทราไปตลอดชีวิต ดิฉันบอกว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ดิฉันรับสภาพได้

หลังจากผ่าตัดเสร็จ วันรุ่งขึ้นเขารู้สึกตัว แต่ตลอดทั้งอาทิตย์สมองบวมมาก ไม่ลืมตานอนเป็นเจ้าชายนิทรา ตัวลีบผอม ณ ตอนนั้นสติฉันไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ต้องวิ่งรอกระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล กระทั่งวันหนึ่งคุณหมอโทรด่วนเพราะอาการสามีกำเริบ อย่างไรต้องเสียชีวิต ดิฉันก็พยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้เขารอด ไหว้พระขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อุทิศตัวด้วยการกินมังสวิรัติ และจะทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาตลอดชีวิต แต่พออธิษฐานเสร็จ พี่เขยก็โทรมาว่าสามีไม่ไหวแล้ว ดิฉันตามไปที่โรงพยาบาล ร้องไห้น้ำตาแทบเป็นสายเลือด ให้เขารวมจิตอธิษฐาน ถ้าหายป่วยจะขอบวช

เชื่อไหม ปาฏิหาริย์มีจริง อีก 3 ชั่วโมงเขาฟื้น พ้นขีดอันตราย ตั้งแต่นั้นดิฉันเริ่มมีกำลังใจขึ้น ผ่านไปประมาณ 1 เดือน อาการเขากลับแย่ลงอีก หมอบอกติดเชื้อในกระแสเลือด พยายามให้ยาทุกชนิด จนผิดหนังพองลอกเป็นแผ่นๆ แต่ก็ยังหาเชื้อไม่เจอ เหลืออีกแค่ชนิดเดียว ซึ่งแรงและแพงมาก แม้แต่หมอก็ไม่รับรองผล เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอะไรไปญาติต้องรับรู้ ก็ถือว่าเขายังโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ แม้จะอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราก็ตาม

ตั้งแต่ดิฉันปรนนิบัติดูแลสามีมาตลอด ทุกเช้าจะสระผมตะไคร้กับน้ำอุ่นล้างเท้า ขูดพังผืดที่ฝ่าเท้า เพื่อให้เลือดลมไหลเวียนสะดวก แล้วใช้ดินสอพองทาตัวไม่ให้เป็นแผลกดทับ ดิฉันจะใส่แหวนและกำไลไว้เพื่อวัดว่าตัวเขาบวมหรือเปล่า ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานหาเงินจ่ายค่ารักษาพยาบาลล่วงหน้าไปก่อน เพราะฉะนั้น นอกจากจะเปิดสอนลงรักปิดทองที่บ้านแล้ว ดิฉันยังรับงานนอกด้วย ตอนเที่ยงก็เข้ามาให้อาหารสามีแล้วกลับไปทำงานต่อ เป็นอย่างนี้อยู่ 1 ปี บางครั้งก็เหนื่อยและท้อ แต่ต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะตอนนี้มีเราที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว

ทุกวันนี้อาการสามีดีขึ้นตามลำดับ นั่งได้ หยิบจับได้ ทานอาหารเหลวได้ แต่ยังพูดไม่ได้ ต้องทำกายภาพบำบัด ที่ผ่านมาถามว่าดิฉันโชคร้ายไหม ก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้ามองอีกมุม ก็ถือว่าตัวเองโชคดีที่ได้เรียนรู้ และเจอเหตุการณ์เหล่านี้ ก่อนที่จะอายุมากเกินกว่าแก้ไขอะไรได้”



--- จบ ---
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง EmailYahoo Messenger
ผู้เยี่ยมชม






ตอบตอบเมื่อ: 19 ม.ค. 2007, 10:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ

สาธุๆๆ /ขอบคุณ

ยิ้ม
 
แก้วลักษณ์
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 03 ส.ค. 2006
ตอบ: 35

ตอบตอบเมื่อ: 14 ก.พ.2007, 3:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีใจด้วยค่ะ ที่วันนี้คุณได้พบพระพุทธศาสนาแล้ว สู้ สู้ สู้ สู้ สู้ สู้
 

_________________
ธรรมะคือความจริงของชีวิต
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 13 มี.ค.2007, 1:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 

_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง