Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แสงส่องใจ ส.ค.ส. ๒๕๔๙ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

พระพุทธพรมงคล

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


กราบอัญเชิญพระไตรรัตนะ
รักษาพระจอมราชัย
ปกป้องประเทศประชาไทย
ให้ผ่องแผ้วพ้นภัยพาล
ให้ร่มเย็นให้เป็นสุข
ให้สิ้นทุกข์ให้เบิกบาน
ละอองพระพุทธบทมาลย์
ปกเกศเกล้านิรันดร์เทอญ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แสงส่องใจ
ส.ค.ส. ๒๕๔๙

อตฺตา สุทนฺโต ปุริสสฺส โชติ
ตนที่ฝึกดีแล้ว เป็นแสงสว่างของบุรุษ


นี้เป็นพระพุทธภาษิต คือ พระคติพจน์ ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธวจนะ ที่ทรงมีพระพุทธดำรัสประทานเป็นคติในพระพุทธศาสนา

มิใช่เป็นคติอันเกิดจากผู้ใดอื่น ความสำคัญของพระพุทธภาษิตจึงมีความสำคัญเหนือความสำคัญของภาษิตอื่นใด ให้ข้อเตือนใจที่ใหญ่ยิ่งนัก ควรเป็นที่สุดที่ผู้มีปัญญาจะอัญเชิญเข้าสู่ชีวิตจิตใจ นอบน้อมปฏิบัติให้เต็มสติปัญญาความสามารถ
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:27 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O “ตนที่ฝึกดีแล้ว” คือตัวเราทั้งหลายที่ได้รับการอบรมให้ดีงาม มีศีลมีธรรม มีความดีทุกประการเต็มสติปัญญาความสามารถ ที่จะมานะพยายามอบรมให้เกิด และที่จะไม่ให้เกิดความไม่ดีไม่งามทั้งนั้น เช่น ความไม่มีศีลไม่มีธรรม

O การคิดดี การพูดดี การทำดี สามประการนี้สรุปลงในคุณสมบัติของคนดี คนที่ฝึกตนดี ที่ในพระพุทธภาษิตแสดงว่า “เป็นแสงสว่างของบุรุษ” คือเป็นแสงสว่างส่องทางชีวิตของคนดีทั้งหลาย ของเราท่านที่มีความดีทั้งหลาย เราทั้งหลายล้วนปรารถนาจะมีชีวิตที่สว่างไสว พ้นจากความมืดมนอนธการ

เพราะทุกคนย่อมรู้ดี ว่าความมืดนั้นเป็นความน่ากลัว ทุกวันนี้มีการกล่าวอยู่ทั่วไปว่าโลกมืด และเมื่อใช้คำว่าโลกมืดทุกวันนี้ ก็หมายถึงทุกวันนี้โลกมีความน่ากลัว ทุกวันนี้โลกมีความมีภัยอันตรายที่แลเห็นไม่ได้ ที่รู้ไม่ได้ ว่าจะเป็นอะไร ว่าจะเป็นอย่างไร

รู้ก็เพียงว่าเป็นความไม่ดี เป็นความแรงร้าย ที่ไม่มีผู้ใดปรารถนาให้บังเกิดจนถึงไม่อยากให้มีคำว่าโลกมืด ไม่อยากรู้สึกว่าโลกมืดแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็พากันจำต้องกล่าวตามความรู้สึกจริงใจว่าโลกมืด


O เมื่อโลกมืด เมื่อเราทุกคนอยู่ในโลก โลกมืดก็เท่ากับชีวิตของเรามืดด้วย มีอันตรายแวดล้อมอยู่อย่างน่ากลัวนักหนาด้วย แม้พากันคิดให้ดี คิดให้ถูก ว่าทุกที่ที่มีความมืด ก็ควรต้องหาแสงสว่างมาขจัดความมืดให้บรรเทาเบาบางให้ได้

อย่างน้อยก็คือช่วยให้ตัวเองเห็นแสงสว่างเพียงพอที่จะไม่ทำให้ถึงกับไม่เห็นอะไรเลย มีแต่ความมืดอยู่เบื้องหน้า รวมกับเป็นคนตามืดตาบอด ซึ่งกำลังต้องครองชีวิตอยู่ท่ามกลางความน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง

O โลกไม่ได้มืดด้วยตนเอง โลกมืดก็คือเราผู้อยู่ร่วมโลกมีใจที่มืด จำนวนพวกเราที่มีใจมืดมีจำนวนมากเพียงใด ก็จะทำให้โลกอันเป็นที่รวมของพวกเรามืดเพียงนั้น ความมืดของโลกที่กล่าวถึงกันนั้นมิได้หมายถึงอย่างใดอื่น แต่หมายถึงใจของผู้อยู่ในโลกทั้งหลายว่ามืดมิด ด้วยความชั่วร้ายนานาประการ

ไม่มีความดีงามเพียงพอจะให้เป็นความสว่างแก่โลกได้ ใจเป็นใหญ่อย่างแท้จริงตามพระพุทธภาษิตที่ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” ใจเป็นใหญ่ จึงทำให้โลกมืดก็ได้ ทำให้โลกสว่างก็ได้ เป็นความมหัศจรรย์หรือมิใช่ เพราะเป็นความจริง


O ใจที่มืดคือใจที่มีความดีน้อยเหลือเกิน แทบจะไม่มีความดี และแน่นอนเมื่อเป็นใจของคนจำนวนมาก มากกว่าใจของคนจำนวนน้อยที่มีความดี อย่างประมาณมิได้ จึงกล่าวได้ไม่ผิดแน่ ว่าโลกมืดคือโลกที่กำลังหาคนดีแทบไม่ได้ที่กล่าวเช่นนี้ หรือที่คิดเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นการคิดในแง่ร้ายดูถูกดูหมิ่นจิตใจของเพื่อนร่วมโลกทั้งหลาย

แต่เป็นการพูดจาจากใจตามเหตุผล ประกอบด้วยความมั่นใจในพระพุทธศาสนสุภาษิตบทสำคัญที่ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ” ถ้าใจมนุษย์ไม่มืดโลกจะมืดได้หรือ ต้องเพราะใจคนในโลกมืด โลกจึงมืดและใจที่มืดก็คือใจที่สกปรกด้วยความไม่ดีไม่งาม ไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่มีเมตตากรุณา นั่นเอง

O เมื่อรู้สึกอยู่ว่าขณะนี้โลกมืด เราทุกคนที่ยอมรับว่าโลกมืดน่าจะยอมรับว่าเพราะใจคนในโลกมืด ใจคนในโลกที่มีความดีน้อยมาก น้อยกว่าที่เคยเป็นมาในอดีตมาก ในอดีตจึงไม่เคยมีการกล่าวว่าโลกมืด เราทุกคนควรจะยอมคิดว่าเราคงจะมีส่วนที่ทำให้โลกมืด คือเราทุกคนคงจะมีความดีไม่เพียงพอ คงจะมีความไม่ดีมากว่าความดี

เราทุกคนควรกล้าพอที่จะรับกับตนเองว่าต้องเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้โลกในทุกวันนี้มืด แม้ทุกคนจะมีโอกาสยอมรับกับตนเอง กับตนเองเท่านั้นก็ได้ ไม่ต้องถึงกับไปสารภาพกับใคร ว่าตนมีความไม่ดีอย่างไรบ้าง ที่เป็นเหตุให้มีส่วนทำโลกให้มืด รับกับตนเองด้วยความจริงใจเท่านั้น ว่ามีส่วนทำบาปกรรม ทำความไม่ดี แม้เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

โลกมีเราเป็นส่วนทำให้โลกมืดแน่นอน อาจจะเป็นส่วนมืดของเราที่ไม่มากมาย แต่แม้เช่นนั้นเราทุกคนควรพยายามช่วยโลก ให้มีความมืดลดน้อยลงได้บ้างก็ยังดีกว่าพากันไม่สนใจเลยที่จะช่วยแก้ไขความน่าสะพรึงกลัวที่กำลังครองโลกอยู่


O ปุถุชน หรือกัลยาณปุถุชน คือคนทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนดีอยู่ก็ตาม ตราบใดที่ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์ ก็ยังมีการคิดผิดพูดผิดทำผิดด้วยกันทั้งนั้น จะเพียงแต่มากน้อยต่างกันอยู่บ้าง และการจะแก้ไขความผิดก็มิใช่เป็นสิ่งจะทำได้ง่ายนัก และก็น้อยนักที่แม้รู้อยู่บ้างว่าตนมีความไม่ดี

แต่ก็ยากจะยอมแก้ไขความผิดความไม่ดีของตนอย่างตั้งใจจริง จะรู้สึกเป็นเรื่องธรรมดาเสียมากกว่า บางคนคิดไปถึงว่าเราเป็นคนธรรมดา ไม่สำคัญถึงกับจะควรแก้ไข ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้อยนักที่อาจจะกล่าวได้ว่าครั้งหนึ่งเคยไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้ดีขึ้นแล้ว ไม่เหมือนก่อนแล้ว เหตุก็ดังกล่าวคือน้อยนักที่จะยอมแก้ความผิดความบกพร่องในการคิดการพูดการทำของตน

O หาได้ยากมาก ที่จะมีผู้ยอมรับและแก้ไขความไม่ดีงามในการคิดการพูดการทำของตน แต่หาได้ง่ายกว่าที่จะมีผู้คิดอยากทำดี ที่เห็นได้ง่ายก็คือที่อยากทำบุญทำกุศล ซึ่งบุญกุศลก็มีความสำคัญมาก มีส่วนเป็นแสงสว่างของชีวิต ผู้ที่ทำความดีคือบุญกุศล และของชีวิตบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้ด้วยเหมือนกัน

ดังนั้นแม้จะยังไม่สามารถแก้ไขความไม่ดีงามต่างๆ ในการคิดการพูดการทำของตน ยังมีความสนใจไม่เพียงพอที่จะแก้ไขความผิดร้ายความไม่ดีงามต่างๆ ในชีวิตตน แต่ก็พยายามทำดีที่ง่ายกว่าไปก่อน เช่นนี้ก็ดีกว่าจะไม่คิดเลยว่าจะพยายามเป็นผู้หนึ่งที่สามารถช่วยให้แสงสว่างแก่โลกได้

การให้ความช่วยเหลือคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เท่าที่สติปัญญาความสามารถพอจะทำได้ ก็ยังดี ดีกว่าจะไม่แยแสในความทุกข์ยากเดือดร้อนของผู้ใดเลย ความไม่สนใจไยดีในใครอื่นเลยเป็นส่วนหนึ่งของความมืดที่กำลังครองโลกอยู่ และยิ่งวันก็ยิ่งทวีขึ้นอย่างรู้เห็นกันอยู่ทุกวันเวลา



(มีต่อ ๑)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:28 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O เป็นความจริง ที่อะไรทั้งหลายในโลกนี้แม้ไม่มากขึ้น ก็ต้องน้อยลง ที่จะคงตัวอยู่ในระดับเดียวตลอดไปไม่มีแน่นอน ดูบ้านเรือนเป็นตัวอย่างจะเห็นได้เข้าใจได้ ปล่อยไว้ไม่ปัดกวาดเช็ดถูก็จะสกปรกขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้ใดเอาโคลนตมหรือของสกปรกรกรุงรังไปเพิ่มไปเติม สกปรกขึ้นได้เองแม้ไม่มีการทำให้สะอาดสม่ำเสมอ

เพียงลองเผลอปล่อยไว้ไม่กวาดถูกสักไม่กี่วันก็จะเห็นได้ถึงความสกปรกที่เพิ่มขึ้น จิตใจของทุกคนก็เช่นกัน แม้ไม่ได้รับการแยแสจากเจ้าตัว ไม่คิดเพิ่มความดีงามให้สม่ำเสมอ แม้จะมั่นใจว่าไม่ได้ทำบาปทำไม่ดีใดๆ อยู่เฉยๆ แต่นั่นแหละความไม่ดีไม่งามจะเกิดขึ้นได้โดยเจ้าของจิตใจไม่รู้ตัว

ยิ่งละเลยใจตนเองนานเพียงไร บุญไม่เคยทำ บาปไม่เคยแก้ วันหนึ่งจะเป็นที่รู้เห็นของผู้เกี่ยวข้องใกล้ชิดถึงความไม่ดีงามที่เพิ่มขึ้น ทั้งที่เหมือนจะไม่ได้มีการกระทำใดที่ไม่ดีงามเลย ทั้งที่อยู่เฉยๆ เพียงแต่ไม่ได้ทำอะไรที่ดีงามเลยเท่านั้น

O ขอให้รู้เถิด เราทุกคนต้องไม่หยุดทำความดี ต้องทำไว้เสมอ เล็กน้อยเพียงใดก็ให้ทำเถิด ให้เสมอเถิด คิดดี พูดดี ทำดี ไว้ให้เป็นกิจวัตร นิดๆ หน่อยก็ได้ ดีนิดๆ หน่อยๆ ที่ทำเสมอนั้นแหละจะเป็นเครื่องกีดกันความไม่ดี

มิให้มีอำนาจเข้าครองใจเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้น และขณะเดียวกันก็อาจขับไล่ความไม่ดีที่มีอยู่ในชีวิตจิตใจเรา ที่เราอาจรู้แต่ไม่สนใจจะแก้ไขหรือที่เราอาจไม่รู้ จึงไม่แก้ไข มั่นใจเถิดว่าการทำความดี เช่นทำบุญทำทานเมตตาช่วยเหลือเท่าที่สามารถทำได้

แม้ไม่มากมาย แต่ก็มีผลให้ความสว่างแก่จิตใจเราได้ และความสว่างของจิตใจเรานั่นแหละ จะเป็นความสว่างของโลกด้วย แม้เพียงเล็กน้อย แต่หลายคนเพียงไร จุดเล็กจุดน้อยของแสงสว่างก็จะเพิ่มความสว่างให้แก่โลกได้ ทีละเล็กทีละน้อยก็ยังดี


O บุญก็ตาม ความดีก็ตาม เป็นแสงสว่างที่ยิ่งกว่าแสงใด ที่กล่าวว่าโลกมืดในทุกวันนี้จึงเป็นเรื่องชี้ลงไปว่ามีการทำบุญน้อย คือทำความดีน้อย ไม่เป็นเช่นกาลเวลาที่ล่วงมา เพราะไม่เคยมีการกล่าวว่าโลกมืดในกาลที่ล่วงมานั้น อันบัดนี้เป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันแตกต่างห่างไกลกันมากกับอดีต

จึงมีความรู้สึกทั่วกันในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน ว่าโลกมืดโลกร้อน อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตแต่ละวัน เป็นบุญของไทยเรานัก ที่อยู่ในเมืองพระพุทธศาสนา เมืองที่มีโอกาสพร้อมสำหรับทำความดี ทำบุญกุศลนานาประการ พระพุทธศาสนาชี้ทางแห่งบุญไว้พรั่งพร้อม ทั้งบุญน้อย ทั้งบุญใหญ่

สำคัญที่ผู้ได้รับคำ ทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีบุญมีปัญญารับปฏิบัติได้มากน้อยเพียงใด หรือกล่าวให้ถูกจริงก็คือแล้ว แต่จะมีบุญ หรือมีกรรม มากน้อยเพียงไร มีบุญมากก็จะนอบน้อมเชื่อมั่นมากในคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดา ความเชื่อนั้นจะเป็นเหตุให้ปฏิบัติตามทรงสอน

ผลก็คือบุญจะเกิดปรากฏมากเสมอด้วยการปฏิบัติ แสงแห่งบุญนั้นสว่างยิ่งแสงอื่นใด ใจผู้ใดมีแสงแห่งบุญสว่างไสวมากเพียงใด ก็เท่ากับผู้นั้นอยู่ในที่สว่างเพียงนั้น พ้นจากความน่าสะพรึงกลังของอันตรายในความมืดเพียงนั้น

O บุญเป็นคุณยิ่งใหญ่ ที่มีจริง แต่ไม่ค่อยจะรับรู้รับเห็นกันเท่าไรนัก ได้รับอะไรๆที่ดีงามก็สักแต่เพียงยินดีพอใจในผลดีงามที่ได้รับ มิได้พากันนึกให้เข้าใจ ว่าความดีงามทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิต ให้เกิดความยินดี ความสุขกายสุขใจนั้นเป็นผลของบุญกุศลใดที่ได้ทำไว้

ถ้าไม่มีเหตุทำไว้ ผลจะมีไม่ได้แน่นอน และผลจะเกิดตรงตามเหตุเสมอ ผลดีจะเกิดจากการทำเหตุดีแน่นอนเสมอ ผลดีจะไม่เกิดจากการทำเหตุไม่ดีแน่นอนเสมอ จะเข้าใจพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องพอสมควร พึงทำความเข้าใจเรื่องบุญและการให้ผลของบุญให้ชัดเจน ให้เกิดความมั่นใจจริงว่าการทำบุญจะให้ผลที่ดีงามควรแก่เหตุแน่นอนไม่เป็นอื่นแน่นอน

ปรารถนาความสุขต้องทำเหตุแห่งความสุข คือทำความดี ที่เป็นบุญเป็นกุศลจึงจะสมปรารถนา โดยมีเงื่อนไขสำคัญว่าผลจะยิ่งใหญ่ การทำเหตุจะต้องยิ่งใหญ่ด้วย ทำเหตุยิ่งใหญ่เพียงใด ก็จะได้รับผลเล็กน้อยเพียงนั้น นี้เป็นเหตุและผลที่แน่นอน ไม่เป็นอื่นไม่มีข้อยกเว้น


O เป็นสิบปีมาแล้วโดยประมาณ ได้เดินทางไปในการพระราชทานเพลิงศพท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม จึงหวัดเลย ระยะนั้นอากาศหนาวค่อนข้างมาก เสร็จจากการร่วมพิธีศพท่านพระอาจารย์ชอบท่านแล้ว ได้เดินทางต่อไปยังภูเรือ มีญาติโยมเดินทางติดตามไปด้วยหลายคน

โดยต่างก็เตรียมเครื่องกันหนาวไปมากมาย เพราะมีผู้ส่งข่าวว่าอากาศหนาวจัด อุณหภูมิ ๖ องศา เมื่อไปถึงในวันนั้นอุณหภูมิถึง ๑๘ องศา อากาศอุ่นสบาย พักอยู่บนภูเรือคืนหนึ่ง หรือสองคืนไม่แน่ใจแล้ว เมื่อเดินทางออกจากภูเรือ ได้รับข่าวว่าอากาศเย็นลงเป็น ๖ องศาเช่นก่อนจะเดินทางไปถึง

ทุกคนชอบใจสนุกสนานกันมาก พากันกล่าวว่า “บุญ บุญ จริงๆ” แต่ก็ไม่มีผู้สนใจคิดว่าบุญอะไรที่ทำให้อากาศเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งประหลาดด้วย เพราะเมื่อคณะเราไปถึงอากาศก็อุ่นขึ้น พอกลับก็เย็นลง อยู่ในระดับปกติของที่นั่น คือหนาว ๖ องศาในระยะนั้น

O ญาติโยมผู้หนึ่งเล่าให้เพื่อนฝูงฟัง ว่าตนเป็นผู้มีบุญอย่างยิ่ง ที่ได้พบครูอาจารย์องค์สำคัญมากมายหลายองค์ที่ท่านเป็นพระปฏิบัติสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ ได้ ถวายท่านทั้งผ้าห่มหนาว และเครื่องปรับอากาศให้หายหนาว มีทั้งท่านพระอาจารย์ฝั้น ท่านพระอาจารย์ขาว ท่านพระอาจารย์แหวน

แม้กระทั่งท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่มีโอกาสได้กราบท่านเพราะท่านเข้ามาพักที่วัดบวรนิเวศวิหารในวันหนึ่ง เป็นช่วงที่อากาศกำลังหนาวจัดในกรุงเทพฯ ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าได้กราบเรียนถามท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ท่านในโอกาสแรกที่พบครั้งนั้น ว่าท่านหนาวมากหรือไม่ ได้รับคำตอบจากท่านว่าหนาวมาก

แต่ะจะพักอยู่ไม่กี่วันก็จะกลับ ญาติโยมผู้นั้นเล่าว่าได้รับไปซื้อเครื่องปรับอากาศให้หายหนาวมาถวายท่านในเช้าวันนั้น เพื่อช่วยให้ท่านไม่ต้องหนาวในระหว่างพักที่วัดบวรฯ และได้ถวายให้ท่านนำกลับไปยังวัดของท่าน

หลวงปู่ท่านเป็นสังฆ์ที่พูดน้อย เมื่อญาติโยมผู้นั้นไปกราบท่านในวันรุ่งขึ้น ท่านก็บอกว่าไม่หนาวเลย อุ่นสบาย ผู้ถวายก็เพียงดีใจ หาได้คิดเลยไปถึงว่าจุดแสดงแห่งบุญขึ้นในชีวิตแล้ว ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดูลย์ผู้เป็นต้นเหตุให้เกิดแสงแห่งบุญนี้ ท่านเป็นพระปฏิบัติสำคัญยิ่งใหญ่เพียงไร ก็รู้กันอยู่



(มีต่อ ๒)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:29 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O กว่าสิบยี่สิบปีมาแล้ว คณะญาติโยมได้ไปกราบท่านพระอาจารย์หลวงปู่แหวน ที่วัดดอกแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ เช้าวันนั้นก่อนออกเดินทางมีฝนโปรยลงมา ทำให้อากาศเย็น ญาติโยมจึงนึกถึงหลวงปู่แหวนท่าน อากาศคงจะหนาวแล้วท่านไม่น่าจะมีเครื่องกันหนาว รวมทั้งพระอาจารย์หนูผู้อยู่ปฏิบัติท่านก็น่าจะไม่มีเครื่องกันหนาวเพียงพอ

ก่อนออกเดินทางจึงซื้อผ้านวมไนล่อนอย่างดีสวยงามด้วยสีสัน ที่เพิ่มตกเข้ามาใหม่จากต่างประเทศ มีความบางเบาแต่ให้ความอบอุ่นอย่างดี เหมาะสำหรับท่านผู้สูงอายุแล้วเช่นหลวงปู่ท่าน พร้อมทั้งเตรียมหาผ้าสีพระไปด้วย เพื่อหุ้มทับมิให้ปรากฏดีสดสวยอันไม่เหมาะกับท่านผู้เป็นพระเป็นสงฆ์

เมื่อไปถึงก็ปรากฏว่าอากาศบนวัดดอยแม่ปั๋งเย็นจัด ได้ช่วยกันรีบเย็บผ้าหุ้มนวมสีสวยจนสมกับเป็นผ้าที่หลวงปู่ท่านสมควรห่มกันหนาวได้ ไม่น่าเกลียดด้วยสีสดสวย ได้ถวายผ้านวมผืนนั้นหลวงปู่ท่านได้ใช้ในการจำวัดคืนนั้น รุ่งเช้าหลวงปู่ท่านออกเดินจากกุฏิ มาถึงญาติโยมที่ก่อไฟหุงต้มทำอาหารเตรียมถวายท่านอยู่ข้างถนนทางเดินในวัด

ขณะนั้นวัดยังไม่มีครัว ไม่มีอะไรทั้งสิ้นที่เป็นความสะดวก ยังต้องใช้ทางข้างถนนเป็นโรงครัว ไม่ต้องพูดถึงที่พักของหลวงปู่ท่าน ก็เล็กกะจ้อยร่อย เพียงพอท่านได้พักนอนเท่านั้น จนหลวงปู่ท่านปรากฏเป็นที่รู้จักกว้างขวางแล้ว จึงมีการปรับปรุงวัดจนสะดวกสบาย ไม่เงียบเหงาเช่นอดีต

พวกผู้มีศรัทธาเต็มเปี่ยมในท่านพระอาจารย์หลวงปู่แหวนก็มีความสุขสนุกสบายทั่วกัน หลวงปู่ท่านเดินมาหยุดตรงหน้าพวกญาติโยมทั้งหลายยิ้มแย้มและกล่าวว่า “เมื่อคืนอากาศกำลังดี อุ่นสบาย ไม่หนาวเลย”

บรรดาผู้ฟังก็ชื่นใจ รู้ว่านั่นเป็นการหยอกล้อของหลวงปู่ท่านแทนที่จะบอกตรงๆว่าท่านได้ห่มผ้าที่ถวายไปแล้ว จึงไม่หนาว ต่างชื่นใจไปตามกัน โดยหาได้หวังว่าจะได้รับผลบุญตอบแทนการถวายความอบอุ่นแก่หลวงปู่ท่าน ใจมุ่งยินดีที่มีส่วนถวายความอบอุ่นให้แก่ท่านเท่านั้น

O เล่าต่อๆ กันมาว่าเมื่อเวลาผ่านไปแล้วนานปี ญาติโยมคณะดังกล่าวไปที่ไหนที่อากาศหนาวเย็น ก็จะกลับมีความอบอุ่นทุกแห่งทุกครั้งไป เมื่อความเข้าใจในเรื่องกรรมและการให้ผลของกรรมชัดเจนขึ้น เกิดสงสัยว่าทำไมคณะนี้ไปในที่ใดที่อากาศกำลังหนาวเย็น ต้องเตรียมเครื่องกันหนาวไปกันนักหนา

กลับไม่มีความหนาวเย็นให้ต้องใช้เสื้อผ้าเครื่องกันหนาวที่จัดหาเตรียมไปเลย เรียกว่าลำบากเปล่าในการจัดเตรียมแต่ละครั้ง จนถึงกับมีการปรึกษาหารือกันว่าที่นี้ไม่น่าจะต้องเตรียมเครื่องหนาวไปก็น่าจะได้ ไปถึงคงไม่หนาว เพราะไม่รู้ว่าทำไมจึงต้องเตรียมเก้อทุกครั้ง ไม่เคยได้พบหนาว ไม่เคยได้ใช้เครื่องกันหนาว

ครั้งหนึ่งญาติโยมคณะนี้ติดตามไปที่ยอดดอยสูงสุดในประเทศไทย และบังเอิญอีกครั้งหนึ่งที่เป็นหน้าหนาว จึงมีการเตรียมเครื่องกันหนาวกันอย่างวุ่นวายอีกครั้งในบรรดาญาติโยม โดยเฉพาะที่เป็นสุภาพสตรีหลายคน และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่อากาศเปลี่ยนจากหนาวจัดเป็นไม่หนาว สร้างความประหลาดใจโจษขานสนุกสนานไปตามกัน

ถึงกับมีการเอ่ยปากกันว่าต่อไปนี้แม้รู้ว่าจะหนาวที่ไหน จะไปโดยไม่เตรียมเครื่องกันหนาวเลย แน่ใจแล้วว่าเมื่อคณะนี้ไปถึงอากาศจะไม่หนาวแน่นอน แต่นั่นก็เป็นเพียงการพูดกันเมื่อเผชิญความอัศจรรย์ใจในความหนาวไม่หนาวเท่านั้น เพราะถึงเวลาต้องไปในที่อากาศหนาวทีไร ก็เตรียมกันวุ่นวายไปทีนั้น

ทำให้หนักเปล่าทีนั้น แต่ก็ไม่ได้จริงจังกันเท่าไรในความชอบกลของอากาศ พบเข้าเมื่อไร ก็ฮือฮากันเสียที ก็เท่านั้น จนเวลาล่วงไปเป็นสิบยี่สิบปีจึงมีผู้แสดงว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นเหตุผลในการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่น่าเชื่อของอากาศ และเรื่องของบุญอีกนั่นเอง ที่เป็นคำตอบสำคัญในเรื่องนี้


O ญาติโยมสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ในคณะที่ติดตามไปในที่อากาศหนาวแล้วกลับแปรเปลี่ยนเป็นอุ่นสบายหลายต่อหลายครั้ง ให้เป็นที่อัศจรรย์ใจจริงของผู้ร่วมประสบพบเห็นทั้งหลาย วันหนึ่งแสดงความเข้าใจออกมาอย่างมั่นใจที่สุดว่ารู้แล้ว รู้แน่แล้ว อากาศไม่หนาวทุกที ในระยะหลังๆ

ก็เพราะบุญยิ่งใหญ่ คือได้ถวายเครื่องกันหนาวครูอาจารย์สำคัญหลายองค์สายปฏิบัติท่านพระอาจารย์มั่น แทบจะทุกองค์ที่ท่านมีชีวิตอยู่ให้ได้กราบไหว้หลายครั้งหลายหนก็ไม่ผิด การไปเมืองอากาศหนาวแรกๆ ก็หนาวเป็นปกติไม่มีอะไรให้ประหลาดใจ และเพราะความรู้สึกหนาวไปตามอากาศในขณะไปกราบครูอาจารย์ที่มีอายุมากๆ แล้วนั่นเอง

ที่ทำให้คิดหาเครื่องกันหนาวไปถวายทุกองค์ท่าน ท่านพระอาจารย์หลวงปู่แหวนเป็นองค์แรกดังกล่าว ต่อมาก็ท่านพระอาจารย์หลวงปู่ดุลย์ แล้วก็ถึงท่านพระอาจาย์ฝั้น ท่านพระอาจารย์ขาว และเป็นการถวายที่ค่อนข้างจะไม่มีผู้คิดทำในสมัยนั้น เหตุผลก็น่าจะเพราะครูอาจารย์พระปฏิบัติเหล่านั้นท่านยังไม่ปรากฏนาม ไม่ปรากฏองค์ ให้มีผู้รู้จักมากเท่าไร

กล่าวได้ว่าบุญจริงๆ ของผู้ได้พบได้กราบท่าน โดยเฉพาะที่สำคัญอย่างยิ่งคือได้รับฟังธัมมะจากท่าน ที่ล้วนสั้นแต่สูงสุด เป็นธัมมะแท้จริงของพระพุทธองค์ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของพรหมเทพและมนุษย์

O ญาติโยมผู้พบความอัศจรรย์ของอากาศกล่าวว่าเป็นผู้ที่ขี้หนาวมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย จนใครๆที่รู้จักดีจะรู้ ว่าเป็นคนเลือดน้อย เคยเล่าว่าเมื่อครั้งไปกราบปูชนียสถานที่อินเดียและเนปาลในตอนที่มีอายุ ๓๗-๓๘ ปี อากาศเย็นจัดมาก อุณหภูมิ ๒ องศา ไปเพียง ๗ วัน กลับมาบ้าน ไม่สบายถึง ๒ เดือน อาการเด่นชัดคือพูดไม่ได้ ไม่มีเสียง ได้แต่อ้าปากงาบๆและเป็นไข้

โดยที่เพื่อในวัยเดียวกัน ๓ คนไม่เป็นอะไร แจ่มใสสดชื่นเสียอีกด้วย อากาศหนาวไม่ทำให้ต้องล้มหมอนนอนเสื่อ มีเพียงคนเลือดน้อยคนเดียวในคณะเดินทาง มาถึงทุกวันนี้เวลาล่วงไปกว่า ๔๐ ปี อายุที่เพิ่มขึ้นของคนเลือดน้อยที่ขี้หนาวอย่างมาก กลับไม่ทำให้ต้องเผชิญความหนาวรุนแรงอีกเลย เพราะดังกล่าวแล้ว

คณะของญาติโยมผู้นี้ได้พบความน่าอัศจรรย์หลายครั้งหลายหน อากาศที่หนาวนักในช่วงเวลาที่คณะนี้เดินทางไปถึง จะอุ่นขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แต่วันหนึ่งก็เข้าใจ ด้วยรำลึกไปถึงบุญที่ได้กระทำมามากอยู่เกี่ยวกับอากาศหนาวไม่หนาวเป็นบุญที่ยากจะมีผู้มีโอกาสทำได้อย่างพร้อมพรั่งจริงๆ

คือท่านผู้ได้รับผลแห่งจิตปรารถนาดีเป็นบุญเป็นกุศลที่ยิ่งใหญ่นั้น ทุกท่านเป็นสงฆ์บริสุทธิ์ แต่ละองค์ท่านเป็นอริยสงฆ์สำคัญจริง ตามความมั่นใจของบรรดาผู้มีบุญได้พบเห็นได้กราบไหว้รับธัมมะจากท่าน

ทั้งท่านพระอาจาย์หลวงปู่ดุลย์ ทั้งท่านพระอาจารย์หลวงปู่แหวน ทั้งท่านพระอาจารย์หลวงปู่ขาว ทั้งท่านพระอาจารย์หลวงปู่ฝั้น ทุกองค์ท่านพระอาจารย์ที่กล่าวนี้ บรรดาผู้ปฏิบัติธรรม ที่มีบุญมีโอกาสได้เดินทางไปต่างจังหวัดภาคอีสาน จะรู้จักทุกองค์ท่าน จะต้องปีติโสมนัสในความมีบุญของตนแน่นอน

และทุกองค์ท่านพระอาจารย์ที่กล่าวนามมา ญาติโยมผู้กลัวความหนาวอย่างยิ่ง มีใจนึกไปถึงท่านพระอาจารย์ทุกองค์ ท่านนั้นอย่างห่วงใยเป็นที่สุด จึงจัดหาเครื่องกันหนาวไปถวายทุกองค์ท่าน เท่าที่สามารถทำได้ตามฐานะที่ไม่ถึงกับเป็นเศรษฐีเพียงพอมีไม่ลำบาก จัดทั้งผ้าห่มที่กันหนาวได้ดีที่สุด เครื่องปรับอากาศไม่ให้หนาว เป็นเครื่องไฟฟ้าสำหรับองค์ที่อยู่ในวัดมีไฟฟ้าใช้

สำหรับองค์ที่วัดยังไม่มีไฟฟ้าใช้ในขณะนั้น เครื่องปรับอากาศจะมีถังแก๊สใหญ่แทนไฟฟ้า ได้มีการเดินทางนำเครื่องให้ความอบอุ่นไปถวายท่านผู้เป็นครูอาจารย์สำคัญดังกล่าวในแต่ละวัด ด้วยความเบิกบานยินดีในโอกาสที่ได้ทำ เป็นอย่างยิ่ง โดยมิได้คิดหวังว่าจะได้บุญได้กุศลอย่างใด

ความมุ่งหมายรวมอยู่ที่ได้ช่วยท่านผู้เป็นสงฆ์แท้ที่เคารพศรัทธาจริงใจ ที่มีวัยสูงมากแล้วทุกองค์ ความสุขใจอยู่ที่จุดนี้ทั้งหมด มิได้คิดกันถึงบุญที่จะเกิดแก่ตนด้วยการทำนั้น นานปีมากกว่าจะเข้าใจ ว่าทำไมอากาศหนาวเพียงไรเมื่อคณะนี้ไปถึงที่นั้น อากาศก็จะอุ่นสบายทันที หลายที่หลายครั้ง ที่เกิดขึ้นเป็นความจริง และก็เป็นความจริงอีกเช่นกัน ที่เพิ่งจะมีการเข้าใจ ว่าเหตุใดจึงเกิดความอัศจรรย์ให้เกิดได้ถึงเช่นนั้น

บุญนั่นเองทำความอัศจรรย์ให้เกิดได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นเรื่องจริงที่เกิดหลายครั้งหลายหน เป็นที่ปรากฏประจักษ์แก่ความรู้เห็นของหลายๆคน สำคัญที่ว่าจะพากันมั่นใจในอานุภาพของบุญเพียงพอจะทำให้มุ่งมั่นทำดีเพียงใด ทั้งการคิดดี การพูดดี การทำดี เป็นบุญทั้งนั้น มิได้เป็นอื่น ในทางตรงกันข้าม การคิดไม่ดี การพูดไม่ดี การทำไม่ดี เป็นบาปทั้งนั้น มิได้เป็นอื่น




(มีต่อ ๓)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O เป็นบุญนักแน่ ที่ได้ถวายเครื่องกันหนาวทุกองค์ท่านผู้เป็นสงฆ์สำคัญเป็นที่มั่นใจเคารพศรัทธาของญาติโยมจำนวนมาก แม้บัดนี้ท่านจะละสังขารไปนานปีมากแล้วทุกองค์ที่กล่าถึง แต่ก็ยังเป็นที่เคารพศรัทธาของญาติโยมอยู่เป็นอันมาก

การนำเรื่องนี้มากล่าวไว้ใน “แสงส่องใจ” ก็ด้วยหวังให้ได้เป็นแสงส่องใจท่านที่ได้อ่านพบให้มีกำลังใจเข้มแข็งที่จะเชื่อมั่น ว่าบุญมีอำนาจใหญ่ยิ่งจริง เป็นอำนาจที่บางที่บางทีก็แทบเหลือเชื่อ

ดังที่สามารถให้ผลแก่ผู้ทำขนาดอากาศก็ยังทำให้ไม่เป็นทุกข์แก่ผู้ทำบุญแล้วดีจริงได้ การทำดีหรือการทำบุญ จะส่งผลงดงามแก่ผู้ทำแน่นอน ทำให้ยิ่งใหญ่เพียงใด ก็จะได้รับผลตอบสนองที่ยิ่งใหญ่เพียงนั้น และเป็นผลที่ตรงตามเหตุคือบุญที่ทำแน่นอน

สำคัญที่จงทำบุญ คือทำดีนั่นเอง ให้ทั้งกายวาจาใจ น่าจะเหมือนบุญของผู้ถวายเครื่องกันหนาวที่เล่ามา ที่ก็น่าจะเป็นการทำพร้อมทั้งกายวาจาใจ คือใจมุ่งจะถวายความสุขให้ท่านพ้นจากทุกข์ของความหนาว การไปซื้อหาเพราะไม่มีอยู่แล้ว และเดินทางไปถวายในที่ห่างไกล ก็เป็นเรื่องของกาย

ส่วนเรื่องของวาจานั้นก็แน่นอน ย่อมมีความยินดียิ่งนักที่จะได้บอกเล่าถึงทานอันเป็นบุญสำคัญแก่จิตใจตนนี้ ผลที่เกิดปรากฏประจักษ์จึงมหัศจรรย์จริงจริงจนทำให้กว่าจะเข้าใจกันได้ก็นานนัก เป็นความมหัศจรรย์ ที่เชื่อยากมากประการหนึ่ง และแน่นอนต้องมีผู้ทำบุญอีกหลายท่าน ที่ได้รับผลบุญเป็นความมหัศจรรย์มาแล้ว

เพียงแต่ท่านอาจยังไม่เข้าใจ และมิได้แสดงให้ปรากฏเท่านั้น บุญหรือการทำความดีนั่นเอง มีผลจริงแท้แน่นอนเสมอไป ขอจงทำใจให้เชื่อมั่นเถิด ทำความดีกันให้เต็มความสามารถเถิด จะช่วยให้โลกพ้นความมืดที่น่าสะพรึงกลัวได้

O อานุภาพของความดีใหญ่ยิ่งจริงแน่ และการทำความดีก็มีความหมาย มีโอกาส มีช่องทาง กว้างใหญ่ไพศาลมากมายนัก จนน่าจะพากันทำได้มากมาย ไม่ลำบากยากเย็นอย่างไร แต่ก็น่าเสียดายที่สุด น่าเสียใจที่สุด ที่ทุกวันนี้ไม่ได้ทำความดีกันเพียงพอให้ความคุ้มครองชีวิตให้สวัสดีได้ แม้เพียงพอสมควร

การที่ต้องรู้สึกจนถึงต้องพากันกล่าวว่าโลกทุกวันนี้มืดนัก น่าสะพรึงกลัวนัก นั่นก็คือแสงแห่งความดีมีน้อยนัก จนไม่อาจยังโลกให้สว่างได้เช่นเคยเป็นมาในอดีตหลายร้อยหลายพันปี ทำไมจึงเป็นได้เช่นนี้

คำตอบสำหรับปัญหานี้ก็น่าจะมีอยู่เพียงอย่างเดียว คือผู้คนทุกวันนี้ทำดีน้อยมาก จึงพ่ายแพ้แก่อำนาจของกรรม กรรมที่บังคับบัญชาให้ทำความดีไม่ดีต่างๆ นานา ขอแนะนำด้วยความหวังดีที่สุด ว่าบุญจะไม่ยุยงส่งเสริมให้เราทำไม่ดีจะไม่เกิดขึ้นด้วยการยุยงส่งเสริมของบุญอย่างแน่นอน

บาปหรือที่เรียกว่ากรรม คือบาปกรรมนั่นเองจะเป็นตัวร้ายยั่วยุให้เราคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ถามตัวเองให้เสมอไว้เถิด ว่าอยากได้บุญ หรืออยากได้บาป และแน่นอนคำตอบของทุกคนต้องไม่เป็นอื่น นอกจากอยากได้บุญ ไม่อยากได้บาป


O ทุกคนชอบบุญ ทุกคนไม่ชอบบาป แต่ปัจจุบันก็น้อยคนนักที่ปฏิเสธคำยั่วยุต่างๆ นานาของบาป หรือของกรรมนั่นเอง มีน้อยคนนักที่เข้มแข็งปฏิเสธคำยั่วยุของบาปกรรมได้สำเร็จ การทำบาปทำไม่ดีจึงไม่เบาบางจากโลก ทั้งยิ่งวันก็ยิ่งมากขึ้นทุกที

ที่รู้ได้ดังนี้ก็ด้วยเราพากันสารภาพเอง บอกเอง ว่าโลกทุกวันนี้มืดแล้ว ไม่มีแสงแห่งความดีงามเพียงพอจะสู่กับอำนาจเลวร้ายของกรรม ที่จริงเราพากันแพ้กรรม ยอมตกอยู่ใต้อำนาจบังคับบัญชาของกรรม ยอมคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ได้ต่างๆ นานา

ไม่ใช่เพราะเราอยากทำเช่นนั้น ไม่มีใครอยากเป็นคนไม่ดี ไม่มีใครอยากเป็นคนชั่ว แต่ที่พากันเป็นคนชั่วคนไม่ดีก็เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของกรรม โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกกรรมบัญชา ถูกกรรมสั่งให้ยอมเป็นคนไม่ดี

ความยินยอมพร้อมใจไปกับกรรมก็เพราะขาดสติอย่างสิ้นเชิง จนไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว ไม่รู้ความควร ไม่รู้ความไม่ควร สติจึงสำคัญนัก สำคัญที่สุด สติจะทำให้ผู้มีสติรู้ผิดรู้ชอบดังกล่าวแล้วไม่มีใครอยากทำผิด ถ้ามีสติรู้ตัวรู้ผิดชอบ จะรู้เมื่อกรรมเข้ามาบัญชา จะไม่ยอมแพ้กรรม นั่นก็คือจะสามารถรักษาตัวให้พ้นจากการเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว คนทำชั่วได้

O จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ พยายามมีสติไว้ให้เสมอ คือพยายามอย่าให้ขาดสติ อะไรเกิดขึ้นได้จะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ อะไรจะพาไปถูกก็รู้ อะไรจะพาไปผิดก็รู้ อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้

ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก ให้มีสติจริง ให้รู้จริง จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม กรรมที่ทุกคนได้ทำไว้มากมายด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นสิ่งที่สั่งสมมานับพบนับชาติไม่ถ้วน

อกุศลกรรมคือกรรมไม่ดี ตามทันเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละที่จะบังคับบัญชาผู้ที่ได้ทำกรรมไม่ดีไว้ ให้ทำบาปทำชั่วต่างๆนานา อันจะฉุดกระชากลากถูไปสู่ห้วงเหวแห่งความชั่วร้าย ที่จะให้โทษทุกข์รุนแรงทั้งสิ้น


O น่าจะเป็นเพราะทุกวันนี้เราพากันทำกรรมไม่ดีมากมายรุนแรงยิ่งกว่าเคยทำมาแต่ไหนแต่ไรมากมายนัก จึงมีผู้แสงดตนว่ามีญาณหลายคนกล่าวเตือนด้วยความหวังดี ว่าทุกวันนี้เจ้ากรรมนายเวรของทุกคนกำลงรวมตัวกันแล้ว เพื่อแก้แค้นทุกคนที่ก่อกรรมทำเวรไว้กับพวกเขา เร่งระวังตัวกันให้ดีเถิด ทุกคนเถิด

เพราะไม่มีใครรู้ตัว ว่าจะต้องใช้กรรมที่ทำไว้ กับใครบ้าง หนักหนาอย่างไรบ้าง เจ้ากรรมนายเวรที่ผูกใจเจ็บแค้นจะจัดการกับเราเมื่อไร หนักหนาอย่างไรก็น่ากลัว และแม้กลัว ก็ต้องไม่สักแต่ว่ากลัว ต้องไม่ยอมให้เจ้ากรรมนายเวรตะครุบไว้ในอุ้งมือได้

ต้องหนีให้สุดชีวิต การพยายามหนีมือแห่งกรรมไม่ดีที่ต้องพากันทำไว้แน่ทุกคน ในอดีต ที่นับภพชาติไม่ถ้วน เป็นการถูกต้อง การเชื่อว่าเราทุกคนกำลังมืกรรมไล่ตะครุบอยู่ไม่ใช่ความงมงาย ไม่ใช่ความโง่เขลาเบาปัญญา แต่เป็นความถูกต้อง เป็นความมีปัญญา และกำลังใช้ปัญญา เพื่อประคองชีวิตให้พ้นความน่าสะพรึงกลัวที่สุดแห่งมือของกรรมร้าย ที่ได้ทำกันไว้เองแน่ในภพชาติอดีต ที่นับภพนับชาติไม่ถ้วน



(มีต่อ ๔)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O การทำความดีเป็นการวิ่งหนีกรรม แต่จะหนีพ้นหรือไม่พ้นก็อยู่ที่กรรมจะมีแรงวิ่งเร็วกว่าความดี หรือความดีจะมีแรงวิ่งเร็วกว่ากรรม เราผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ มีโอกาสจะทำความดีหนีกรรมได้มากกว่าผู้ไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ มีโอกาสจะทำความดีหนีกรรมได้มากกว่าผู้ไม่มีพระพุทธศาสนาเป็นสรณะ

เพียงการอัญเชิญพระพุทโธไว้ในใจให้สม่ำเสมอ อย่างมั่นใจในความประเสริฐสูงสุดหาที่เปรียบมิได้ของพระพุทโธ คือ ของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง เพียงเท่านี้แรงวิ่งหนีกรรมก็เร็วสุดแน่นอน

อย่าละเลยสิ่งประเสริฐเลิศล้ำสูงสุด ที่ควรเป็นของเรา ผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเป็นอันขาด จะได้มีทางหนีพ้นกรรม กรรมที่กลัวกันหนักหนา โดยไม่รู้ว่าสามารถหนีพ้นมือกรรมได้ ด้วยพระพุทโธ

พระพุทโธพาพ้นกรรมได้จริง อย่างน้อยก็ทำให้กรรมคว้าแม้ปลายผมเราไว้ไม่ได้ อาจจะเพียงมีแรงเร็วไล่ประชิดเราอยู่ แต่พระพุทโธที่ไม่พ้นจากใจเราจะทำให้กรรมคว้าผิดคว้าถูก ไม่อาจฉุดกระจากลากเราเข้าไปบดขยี้ให้สาสมกับความอาฆาตพยาบาทได้ง่ายๆแน่นอน


O ที่มีหลายคนกลัวกรรมก็เพราะเชื่อ ว่ากรรมจะพาให้เกิดความทุกข์นานาประการ แต่ทั้งที่กลัวกรรมก็ไม่หนีกรรมให้จริง ได้แต่กลัวนั่นก็เพราะหาได้รู้ไม่ ว่าสภาพที่กรรมจะฉุดลากไปนั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นรกนั้นกรรมพาไปได้จริง และนรกก็น่ากลัวที่สุดจริง

ทรมานผู้ตกลงไปได้อย่างหนักหนาที่สุดจริง แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าได้ทำกรรมไว้หนักหนาเพียงใด อย่าประมาทว่าตนจะไม่มีกรรมหนักหนาถึงต้องตกนรก กลัวไว้ก่อนดีกว่า ระวังไว้ก่อนดีกว่า อย่าประมาทโดยไม่หนีมือกรรมเสียตั้งแต่บัดนี้

ยิ่งโลกมืดโลกร้อนเพียงใดเช่นในปัจจุบัน ก็แสดงว่ากรรมกำลังเร่งมือทำงานอย่างเต็มที่แล้ว อย่าประมาท อย่าไม่แยแสที่จะหนีกรรมให้สุดความสามารถ ถึงจะไม่มีญาณหยั่งรู้ว่ากรรมกำลังไล่จับตนเองอยู่ ก็พึงเชื่อไว้ก่อนเถิดว่าชีวิตตนกำลังจะตกอยู่ในมือกรรมแน่นอนแล้ว

นรกอาจจะรออยู่แล้วก็เป็นได้ เพราะเราไม่รู้ว่าได้ทำบาปอกุศลไว้หนักหนาเพียงใดในอดีตที่นับภพชาติไม่ได้ และในปัจจุบัน กลัวนรกไว้ก่อนดีที่สุด ถ้าเรามั่นใจว่าเราเป็นคนพิเศษสุด ไม่เคยทำบาปอกุศลหนักหนาเลยในภพชาติอดีตที่ยาวนาน การกลัวไว้ก่อน ป้องกันไว้ก่อน หนีมือกรรมไว้ก่อนให้สุดความสามารถ ก็ไม่เสียหายจะได้ผลดีด้วยซ้ำไป

เพราะการกลัวกรรม การพยายามหนีมือกรรม ก็คือการทำความดีเต็มสติปัญญาความสามารถ อันจะไม่เป็นเพียงการหนีมือกรรมเท่านั้น แต่จะเป็นการสร้างมือบุญให้ประคับประคองเสริมส่งชีวิต ให้งดงามยิ่งด้วยความสุขความสำเร็จนานาประการได้ด้วย การกลัวกรรมและหนีมือแห่งกรรม จึงควรเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของทุกคนผู้มีปัญญา

O การอัญเชิญพระพุทโธไว้ในหัวใจให้สม่ำเสมอ เป็นมหามงคลวิธีที่ทำได้ไม่ลำบากยากเย็น และมีผลประเสริฐเลิศล้ำแน่นอนที่สุด เปรียบการท่องพระพุทโธเหมือนการร้องให้มีผู้ช่วยขณะต้องเผชิญกับอันตรายยิ่งใหญ่ก็ได้ ก็ไม่ผิด ความจริงก็เป็นเช่นนั้น

เสียงพระพุทโธ พระพุทโธ ที่กึกก้องอยู่ในหัวใจจริง ไม่แตกต่างกับเสียงร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย ของผู้กำลังหวาดกลัวภัยร้ายที่กำลังต้องเผชิญอยู่ ผู้ได้ยินเสียงร้องนั้นต้องเข้าช่วยสุดความสามารถ เพื่อให้พ้นจากอันตราย

อันพระผู้ที่จะได้ยินเสียงพระพุทโธพระพุทโธของพวกเรา ผู้กลัวอันตรายยิ่งใหญ่จากกรรม คือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธะ ใจที่หวังพึ่งพระมหากรุณาให้พ้นมือแห่งกรรมร้าย ด้วยเสียงของใจที่กึกก้องร้องร่ำเป็นคำพระพุทโธ พระพุทโธ เปรียบได้ไม่ผิดกับเสียงร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วย นั่นเอง

พระมหากรุณาของสมเด็จพระบรมศาสดามีหรือจะไม่เกิดเป็นผลแก่ผู้กำลังหวาดกลัวอันตรายยิ่งใหญ่หาใดเปรียบมิได้ อันเป็นอันตรายที่เกิดจากกรรม กรรมที่น่ากลัวที่สุด สำหรับทุกชีวิต ไม่มีอะไรร่ากลัวเสมอด้วยกรรม

เมื่อเสียงขอรับพระเมตตาช่วยให้พ้นภัยกรรมดังกึกก้องเมื่อไรก็เมื่อนั้นจะทรงบรรเทาไฟร้ายแห่งกรรมโปรดประทาน เป็นการทรงแผ่พระพุทธเมตตาที่มีความเย็นยิ่งเย็นใด ยังให้จิตใจที่กำลังร้อนเร่าสงบเย็นลงได้แน่นอน




(มีต่อ ๕)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ทุกวันนี้ต้องมีไม่น้อยคนที่คิด ว่ากำลังจะมีการตายเกิดขึ้นกับผู้ใดบ้าง มากหรือน้อยหนักหรือเบา ถูกเขาฆ่า หรืออุบัติเหตุ หรือฆ่าตัวตายเอง ที่ความคิดเช่นนี้เกิดแก่หลายๆ คนในปัจจุบัน โดยไม่เคยเกิดมาก่อน ก็เพราะทุกวันนี้มีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องคิดมิได้ว่างเว้นแต่ละวัน

เช้าขึ้นก็มีแล้ว ข่าวลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าลูก แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าแม่ฆ่าพ่อแล้วฆ่าตัวตาย เพื่อนฆ่าเพื่อน ครูฆ่าศิษย์ ศิษย์ฆ่าครู วุ่นวายสับสนไปหมดด้วยข่าวร้ายที่เหลือเชื่อ อะไรหรือที่มีอิทธิพลให้เกิดความเศร้าสะเทือนใจหนักหนารุนแรงอย่างไม่มีวันว่างเว้น

ผู้ไม่รู้จักคำว่ากรรมเสียเลย ก็จะไม่รู้คำตอบที่ถูกแท้ ว่ากรรมนั่นเองที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ บันดาลให้เกิดเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวที่สุด น่าสลดหดหู่หัวใจที่สุด อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

O กรรมมีอำนาจที่สุด กรรมน่ากลัวที่สุด เพราะกรรมมีความชั่วความไม่ดีเป็นกำลังหนุนส่งอยู่ทุกเวลานาที จากมากมายหลายชีวิตที่สร้างความชั่วร้ายอยู่อย่างไม่หยุดยั้ง อย่างโฉดเขลาเบาปัญญา อย่างไม่รู้ว่ากำลังยอมตนให้ถูกกรรมฉุดกระชากลากไปสู่ภพภูมิที่น่ากลัวที่สุดคือ นรกภูมิ

อย่าทำความคุ้นเคยกับคำว่านรกเสียจนไม่ตระหนักในความเป็นจริง ว่านรกไม่เพียงเป็นคำอยู่ที่ปากพูดถึงบ่อยจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดาเท่านั้น นรกมีจริง นรกน่ากลัวจริง เพราะนรกมีไว้จริงสำหรับผู้ทำบาปกรรมที่ชั่วร้ายหนักหนาจริง ควรแก่โทษทัณฑ์แรงร้ายน่าสะพรึงกลัวที่สุด

นรกเป็นที่ที่จัดเตรียมรอผู้กระทำความชั่วร้ายอันเป็นบาปกรรมหนักหนา พวกเขา หรือพวกเรา ตกลงไปถึงนรกเมื่อไร ก็เมื่อนั้นจะหนีไม่พ้นเครื่องลงทัณฑ์ร้อยแปดประการในนรก ความเจ็บปวดทรมานที่ได้รับย่อมยากจะพรรณนา

น่าจะพากันวาดภาพให้ปรากฏชัดเจนแก่จิตใจ ให้เกิดความกลัวให้มากเพียงใดได้ก็ยิ่งดี ยิ่งจะเป็นเครื่องช่วยให้พยายามหนีมือแห่งกรรม ที่จะสาแก่ใจเจ้ากรรมหนักหนาเมื่อได้มีโอกาสฉุดลากผู้ใดผู้หนึ่งลงไปรับผลแห่งกรรมเลวร้ายของเขาในนรก


O ใครต่อใครจำนวนไม่น้อยต้องละโลกนี้ไปอย่างปัจจุบันทันด่วน โดยมิทันได้สั่งเสียผู้เป็นที่รัก โดยมิทันได้เตรียมตัว โดยมิทันได้นึกถึงพระอันเป็นที่พึ่งที่แท้จริงเลยแท้สักแวบเดียว ความตายเป็นเช่นนี้ เมื่อเอื้อมมือถึงเมื่อไร ก็ปลิดชีวิตไปเมื่อนั้น

กลางถนนบ้าง กลางน้ำบ้าง กลางโคลนกลางตมบ้าง กลางความร้อนเผาไหม้เนื้อหนังหมดเนื้อหมดตัวบ้าง กลางคมมีดคมดาบกลางเลือดท่วมมีกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งบ้าง ความตายไม่ปรานีเลือกให้ตายอย่างดีงาม เอื้อมมือถึงเมื่อไร จะในสภาพไหน ก็ปลิดชีวิตได้ทันที จะว่าขาดความเมตตาอย่างสิ้นเชิงก็ได้

สาเหตุที่แท้จริง ที่สำคัญจริง อยู่ที่ตัวเราทุกคน หรือตัวผู้ตายทุกคนนั่นเอง ไม่ได้เตรียมหนีมือกรรมเลย เผชิญหน้าอยู่กับกรรมก็ไม่รู้ไม่กลัว เหมือนเผชิญผู้ถือมีดถือดาบคมกริบขาววับเงือดเงื้อจะฟาดฟันลงไปบนเนื้อตัวหัวหูของตนแล้ว ก็ยังไม่คิดหนี ยังยิ้มสู้เหมือนคนขาดสติ ยังไงยังงั้น แล้วจะไม่ตกอยู่ในเงื้อมมือมัจจุราชอย่างสาหัสสากรรจ์หรือไม่บ้าแน่ ไม่โง่แน่ ไม่ผิดแน่

แม้จะกลัวกรรมให้จริง วาดภาพของกรรมให้ชัดเจน ดังเห็นผู้ร้ายใจโหดเหี้ยมอำมหิตชูดาบคมกริบกำลังจะฟาดฟันลงบนร่างเราแล้ว เพื่อปลิดชีวิตเราไปแล้ว ด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม จงวาดภาพเช่นนี้ให้ปรากฏจนหวาดกลัวไว้เสมอเถิดแต่ต้องไม่กลัวจนลืมร้องขอความช่วยเหลือ

ทุกวันนี้ยังมีผู้เมตตาอยู่ เสียงร้องขอความช่วยเหลือสำคัญนัก ถ้าเป็นเสียงดังพอก็จะมีผู้ได้ยินมีผู้เข้ามาช่วย ให้พ้นภัยอันน่าสะพรึงกลัวแน่นอนเสียงร้อง ช่วยด้วย ช่วยด้วย จะพ้นได้ด้วยมีมือมนุษย์มาช่วย

แต่เสียงพระพุทโธ พระพุทโธที่กึกก้องอยู่ในจิตใจ คือเสียงวิงวอนขอรับพระเมตตาจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงยิ่งด้วยพระเมตตาคุณ ไม่มีเมตตาของผู้ใดเปรียบได้ แล้วมีหรือผู้มีพระพุทโธดังกึกก้องครองจิตใจอยู่ทุกเวลานาที จะไม่ได้รับพระเมตตา มีหรือที่ชีวิตจิตใจของผู้ร่ำร้องขอประทานพระเมตตาจากสมเด็จพระบรมศาสดาอยู่เป็นนิตย์ จะไม่สวัสดีมีสุข

O จำไว้ให้มั่น ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจิตใจเถิด ว่าเสียงร้อยช่วยด้วย ช่วยด้วยเป็นเสียงร้องให้คนช่วย เมื่อเผชิญภัยอันตรายที่น่ากลัว และเสียงร้อง พระพุทโธ พระพุทโธ ที่ดึงกึกก้องอยู่ในหัวใจ เป็นเสียงร่ำร้องขอรับพระพุทธเมตตาจากสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องร้องขอกันมิรู้หยุดมิรู้หย่อน

เพราะอันตรายร้ายแรง น่ากลัวที่สุด กำลังผจญเราทุกคนอยู่แน่นอน ทุกเวลานาทีกรรมนั้นจะเอื้อมมือมาถึงได้ ทุกเวลานาทีผู้มีปัญญาจึงไม่หยุดร่ำร้องขอรับพระพุทธเมตตา นี่เป็นความจริง กำลังนำความจริงมาบอกกล่าวอยากจะขอให้เชื่อ เรากำลังผจญกับมือมีพลังอำนาจที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดของกรรม

การส่งเสียงขอให้มีผู้เข้ามาช่วยจะจำเป็น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องช่วยตัวเองด้วย หนีให้ทุกวิถีทาง ไม่ใช่ร้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วไม่ช่วยตัวเองให้สติปัญญาความสามารถ

เช่นหยุดยืนนิ่งอยู่ให้ตกเป็นเป้าของผู้มุ่งร้าย ไม่ว่างให้พ้นมือไม้และอาวุธของผู้ร้าย ร้องช่วยด้วยช่วยด้วย แล้วก็หวังแต่ว่าจะได้รับความช่วยเหลือ เช่นนี้ก็เป็นไปได้ยากที่จะปลอดภัยจริง ต้องช่วยตัวเองด้วย ให้สุดความสามารถ การท่องพระพุทโธ พระพุทโธ ก็เช่นกัน




(มีต่อ ๖)
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 12 ก.พ.2007, 8:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O การท่องพระพุทโธ พระพุทโธ ก็จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องไม่สักแต่ว่าท่องพระพุทโธ พระพุทโธ แล้วก็หวังว่าจะพ้นมือกรรมได้ ใจมีพระพุทโธกึกก้องอยู่ก็เหมือนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือพระผู้เมตตาอยู่ ร้องช่วยด้วย ช่วยด้วย เท่านั้นไม่พอที่จะให้ได้รับความปลอดภัยอย่างเต็มที่ได้ ตัวเองต้องหนีให้ไกลมือไกลไม้ผู้ร้ายด้วย

ก่อนที่จะมีผู้ช่วยเข้ามาถึง ก่อนที่จะมีผู้เข้ามาช่วยให้ปลอดภัยได้จริง พระพุทโธก็เช่นเดียวกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือเมื่อเผชิญกับอันตรายเฉพาะหน้า จะท่องแต่พระพุทโธ พระพุทโธ โดยไม่ช่วยตนเองให้เต็มสติปัญญาความสามารถ ด้วยอุบายวิธีที่จะช่วยประคับประคองกำลังใจที่จะรักษาพระพุทโธไว้ให้ได้ยั่งยืน ไม่บางเบาไปพร้อมกับความอ่อนแอของพลังจิต

มีพระพุทโธกึกก้องอยู่ในใจนั้นถูกต้องที่สุด เป็นความมีปัญญาที่สุดที่พึ่งพระพุทธเมตตาพาให้พ้นมือร้ายแห่งกรรม แต่ต้องเพิ่มความเข้มแข็งให้จิตใจให้เต็มที่ด้วย ต้องไม่ปล่อยให้ใจอ่อนแอร่วงหลุดลงไปในที่สกปรกโสโครกของการขาดศีลขาดธรรม จนเสียงพระพุทโธพระพุทโธไม่สามารถปรากฏกึกก้องขึ้นได้ในจิตใจ

O เมื่อจำเป็นอย่างที่สุดแล้วสำหรับทุกชีวิต ทุกชีวิตจริงๆ มิได้มียกเว้น ที่แม้ปรารถนาจะหนีให้พ้นความมืดมิดที่กำลังครองโลก ที่มือแรงร้ายของกรรมกำลังแน่นขนัดไปทุกที่ ก็ต้องพึ่งพระพุทโธนั้นถูกแล้ว แต่การจะส่งเสียงร้องเช่นเสียงช่วยด้วย ช่วยด้วย ไม่ถูกต้องนัก ไม่ปลอดภัยนัก

ถ้าปล่อยให้กิเลสโสโครกทับถมใจจนอ่อนปวกเปียกไม่แรง ย่อมยากที่จะสามารถมีพลังเสียงขอความช่วยเหลือ หรือขอพระพุทธเมตตาก็ตาม ให้ได้ยินถึงผู้อยู่ห่างไกลจากบริเวณสกปรกโสโครกอย่างไกลลิบลับได้ เสียงเรียกร้องทั้งช่วยด้วย ช่วยด้วย หรือพระพุทโธ พระพุทโธ ก็จะเพียงข่มขวัญผู้ร้ายให้หวาดกลัวบ้างเท่านั้น จะไม่ถึงกับฟาดฟันให้ผู้ร้ายทิ้งอาวุธแล้วหนีเตลิดเปิดเปิงไป


O รู้จักพระพุทโธเป็นบุญที่สุดแล้ว แต่จงอย่าหมกชีวิตไว้ในความสกปรกโสโครกเน่าเหม็นของความไม่มีศีลไม่มีธรรม อย่าหลงเข้าใจผิดไปมากมาย ว่าจะคิดชั่วพูดชั่วทำชั่วต่อไปก็ได้ เพราะท่องพระพุทโธ พระพุทโธ พระพุทโธช่วยได้ให้พ้นมือกรรม คิดเช่นนี้แล้วก็คิดชั่วพูดทำชั่วต่อไป เช่นนี้เป็นความคิดของคนไม่มีปัญญา

คนมีกรรมหนัก และกรรมกำลังวิ่งไล่อยู่แล้วสุดฝีเท้า พระพุทโธบริสุทธิ์สูงส่ง หาที่เปรียบมิได้ อย่าคิดว่าจะอัญเชิญไปช่วยให้พ้นบาปพ้นกรรมที่ทำอยู่ไม่หยุดยั้งได้ คิดเช่นนั้นทำเช่นนั้น เป็นการคิดที่ผิด เป็นการทำที่ผิดที่แรงของกรรมจะหนักหนายิ่งขึ้นไปอีก

O พระพุทโธเป็นที่พึ่งได้จริง เป็นที่พึ่งที่สูงส่ง และบริสุทธิ์สะอาด เรามีบุญนักแล้ว ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา และรู้ว่าพระพุทโธคือมหามงคลที่สามารถอัญเชิญเข้าสู่ชีวิตจิตใจได้ ที่จะมีพระพุทธเมตตาแผ่ลงปกปักรักษาให้ห้างไกลมือร้ายแห่งกรรมได้ ก็จริง แต่ต้องถวายความเคารพให้ควรแก่ความบริสุทธิ์สูงส่งหาที่เปรียบมิได้ของพระพุทโธ

นั่นก็คือเพียงต้องพยายามทำจิตใจให้ควรแก่การจะจัดให้เป็นที่อัญเชิญพระพุทโธไปประดิษฐานอยู่ยั่งยืนนาน พระพุทธไม่ใช่จะสถิตอยู่ได้เฉพาะในใจอันบริสุทธิ์ผ่องแผ้วแท้จริงของพระอรหันต์หรือพระอิรยสงฆ์เท่านั้น ใจของผู้เทิดทูนคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง มุ่งมั่นปฏิบัติตามที่ทรงแสงสอนไว้จริงพระพุทธโธก็พร้อมที่จะประดิษฐานอยู่ให้เป็นสิริมงคลสูงส่งแก่ชีวิตนั้น


O พระพุทธภาษิตมีกล่าวว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ตนทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง ตนไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง” พระพุทธภาษิตทั้งหมดนี้แสดงแจ้งชัดว่าตนต้องทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน ไม่ใช่จะทุ่มเทความหวังพึ่งผู้อื่นเป็นสำคัญ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องจำไว้ให้มั่น ระลึกไว้ให้เสมอ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจิตใจ “ตนทำบาปเองย่อมเศร้าหมองเอง ตนไม่ทำบาปเองย่อมหมดจดเอง” จำคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมครูไว้ให้มั่น ให้มีเสียงเตือนสติเตือนใจเราอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก พร้อมกับที่ให้มีเสียงพระพุทโธ พระพุทโธ เถิด ชีวิตจะสวัสดี มีความงดงามด้วยความสุขสงบพ้นจะพรรณนา

O ปีเก่าพระพุทธศักราช ๒๕๔๘ กำลังจะพ้นไป ปีใหม่กำลังมาถึงแล้ว พึงทำชีวิตให้งดงามยิ่งขึ้น อะไรไม่ดีงามที่เคยมีอยู่ในจิตใจในชีวิตปล่อยให้พ้นไปเสียพร้อมกับปีเก่าเถิด ความดีงามใหม่ๆ มีเต็มไปทั้งโลก โอบอุ้มเข้าไว้ให้เต็มสติปัญญาความสามารถเถิด ฝึกตนเองให้เต็มกำลังที่จะได้มีที่พึ่งที่สำคัญยิ่ง

มีพระพุทโธเป็นที่พึ่งนั้นหนึ่งละ ขณะเดียวกันต้องไม่ลืม ว่าพระพุทโธสูงส่งบริสุทธิ์สะอาดหาที่เปรียบมิได้ ต้องเตรียมใจของเราให้เป็นที่สมควรเป็นที่อัญเชิญพระพุทโธเข้าประดิษฐาน คิดดีพูดดีทำดีไว้ คือ การจัดเตรียมหัวใจให้เป็นแท่นบูชาพระพุทโธอย่างสูงส่งเหมาะสม

พระพุทธานุภาพ พระธรรมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พรั่งพร้อมอยู่ในพระพุทโธแล้ว จะปกปักรักษาชีวิตให้ร่มเย็นเป็นสุข ให้สว่างแม้ในท่ามกลางความมืดของโลก ที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก


O “ผู้มีตนฝึกดีแล้วย่อมได้ที่พึ่ง ซึ่งได้ยาก” นี้เป็นพระพุทธภาษิต พระพุทโธเป็นหนึ่งในที่พึ่งที่ได้ยาก สำหรับผู้ฝึกตนให้ดี ด้วยวิธีง่ายๆก็คือฝึกตน ที่สูงสะอาดควรแก่การจะอัญเชิญพระพุทโธเป็นที่พึ่ง ที่หาได้ยาก เรื่องอานุภาพใหญ่ยิ่งจริงแท้ของพระพุทโธนี้ เคยนำลงใน “แสงส่องใจ” นานมาแล้วครั้งหนึ่ง

จะขอนำมาเล่าอีกสักครั้ง คือเมื่อเป็นสิบยี่สิบปีมาแล้ว ญาติโยมผู้หนึ่งเล่าให้ได้ยินได้ฟังกันหลายคนว่าเธอมีบุญมาก ที่มีพระพุทโธเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดมา ตั้งแต่ยังเป็นเด็กทีเดียว คือวันหนึ่งลงว่ายน้ำในคลองใหญ่ ซึ่งสมัยก่อนคลองมีในบ้านเมืองไทยเรามาก

เธอเล่าว่าขณะที่กำลังสนุกกับการเล่นน้ำกัน ก็รู้สึกว่ามีมือจับขาเธอดึงจนจมลงใต้น้ำ อย่างไม่มีทางจะดิ้นรนให้พ้นมือร้ายนั้นได้

เธอรู้สึกในขณะนั้น ว่ากำลังจะต้องจมน้ำตาย โดยไม่มีใครเห็น ไม่มีใครมาช่วยได้แน่ แล้วความมีบุญที่คุ้นเคยกับความเป็นเด็กอยู่ในแวดวงของผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ทำให้เธอนึกขึ้นมาได้ ว่าเมื่อมีผู้ใกล้จะสิ้นใจตาย จะมีการบอกทางแก่ผู้นั้น ว่าให้ท่องพระพุทโธไว้ และบางคนก็ได้รับการบอกทางว่าพระพุทโธ พระพุทโธจนสิ้นใจ

ความคิดนี้เกิดขึ้นในใจเธอในขณะที่รู้สึกว่ากำลังจะต้องตายแน่แล้ว เด็กหญิงผู้นั้นก็ได้พึ่งพระพุทโธเต็มที่ เรียกว่าพระพุทโธช่วยเธอทั้งชีวิตก็ไม่ผิด เพราะเธอรอดชีวิตด้วยนึกถึงคำสอนที่เคยไดยินคำบอกเล่าดังกล่าว คือท่องพระพุทโธเมื่อชีวิตใกล้จะแตกดับ เธอแน่ใจแล้วว่าชีวิตกำลังจะออกจากร่าง เธอกำลังจะจมน้ำตาย

ความมีบุญยิ่งใหญ่แน่นอนที่ทำให้เด็กหญิงผู้นั้นท่องพระพุทโธทันที แม้จะไม่เป็นเสียงดังออกมา เพราะกำลังจมดิ่งลงในน้ำด้วยแรงฉุดดึงของมือที่เด็กหญิงไม่รู้ว่าเป็นมือใครและมาแต่ไหน ปุบปับก็มาจับขาเธอดึงดิ่งลงใต้น้ำอย่างไม่น่าเวทนาปรานีแม้สักน้อย

เธอเล่าอย่างปีติโสมนัสอย่างยิ่ง ว่าพอพระพุทโธกึกก้องขึ้นในใจเธอเท่านั้น มือพิฆาตก็ปล่อยเธอให้เป็นอิสระทันที ได้โผล่ขึ้นพ้นน้ำ รอดตายยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ ชีวิตของญาติโยมผู้นั้นจึงมีพระพุทโธเป็นที่พึ่งที่ระลึกตลอดมา

ด้วยใจที่ผูกพันมั่นคงในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมครูทั้งของเทพและมนุษย์ทรงเป็นที่พึ่งที่แท้จริงของสัตว์โลกทั้งปวง ที่มีบุญมีใจเทิดทูนมั่นคงในพระองค์ท่าน เช่น ญาติโยมผู้นั้น ที่กล่าวว่าตั้งแต่ได้พบพระพุทธปฏิหาริย์ได้รอดพ้นจากความตายในวันนั้นแล้ว ไม่เคยมีใจพ้นจากพระพุทโธเลย

O สมเด็จพระบรมครูทรงมีพระมหากรุณาตรัสเตือนไว้ว่า “ถ้ารู้ตนเป็นที่รัก ก็ควรรักษาตนนั้นให้ดี”

กรรมคืออกุศลทั้งหลายที่ได้ทำกันมานับภพนับชาติไม่ถ้วน จะเป็นศัตรูสำคัญคอยยุยงส่งเสริมแต่ละคน ไม่มียกเว้นให้ไม่รักษาตนให้ดี ให้คิดพูดทำที่ไม่ดี ที่เป็นการไม่รักษาตนให้ดีได้ รักตนจริงเหมือนไม่รักตน เพราะการทำตนให้มีบาปมีกรรมหนักหนานานาประการ เป็นการทำตนให้เป็นคนไม่ดี

คนไม่ดีนั้น แน่นอนจะเรียกว่าเป็นคนรักตนไม่ได้ คนที่ไม่ดีทั้งหลายนั้นรู้หรือไม่รู้ก็เป็นคนไม่รักตน เพราะทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของตน ทำตนให้เป็นที่ดูถูกของผู้รู้เห็นทั้งหลาย ตัวเองจะหาความสุขใจจริงไม่ได้ คิดดูก็แล้วกันว่าใครเคยสบายใจหรือเมื่อรู้อยู่แก่ใจ ว่าตนกำลังทำความไม่ดี

ดังนั้นแม้ไม่สบายใจเพราะการทำไม่ดี ก็ให้รู้เถิดว่าที่คิดว่าตนรักตนนั้นตนไม่ได้รักตนเลย


O “บัณฑิตพึงทำตนให้ผ่องแผ้วจากเครื่องเศร้าหมองจิต” จำพระพุทธภาษิตตรัสเตือนนี้ไว้ให้มั่น เทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้า เป็นพระพุทธพรปีใหม่ โลกจะสว่างไสวด้วยการพากันน้อมรับพระพุทธภาษิตนี้ไว้เหนือเกล้า ชีวิตเราทั้งหลายจะไกลความมืดมนอนธการ

ขออำนวยพร
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
พ.ศ. ๒๕๔๙


สาธุ สาธุ สาธุ

=====

...เจริญธรรมครับ ทุกท่าน... ยิ้มเห็นฟัน
 

_________________
ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง