Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 โทสะ อุปกิเลสข้อ ๒ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 06 ก.พ.2007, 7:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวรฯ
ลงพิมพ์ในหนังสือแสงส่องใจ
๓ ตุลาคม ๒๕๒๙


O โทสะ อุปกิเลสข้อ ๒ ท่านแปลว่า “ความร้ายกาจ”

โทสะนั้นแรงกว่าโกธะความโกรธ โทสะเกิดได้จากความคิดปรุงแต่งเช่นเดียวกับอุปกิเลสทุกข้อ ผู้ไม่พิจารณาจึงไม่เห็นว่า โทสะนั้นไม่เกิดขึ้นเอง

จะเกิดก็ต่อเมื่อมีการคิดปรุงแต่งและต้องเป็นการคิดปรุงแต่งเพื่อให้เกิดโทสะด้วย โทสะจึงจะเกิด ถ้าเป็นการคิดปรุงแต่งไปในทางอื่น เช่นคิดปรุงแต่งให้โลภ โทสะก็จะไม่เกิดจากความคิดปรุงแต่งนั้นโดยตรง

โทสะเกิดจากความคิดปรุงแต่ง ถ้าไม่คิดปรุงแต่งเมื่อได้ยินเสียงหรือได้เห็นรูปเป็นต้นว่า เป็นเสียงนินทาว่าร้ายเรารุนแรงหรือเป็นการแสดงการดูถูกก้าวร้าวเรา โทสะจักไม่เกิด ผู้มีปัญญาเห็นโทษของโทสะ จึงทำสติเมื่อได้ยินเสียงหรือได้เห็นรูปเป็นต้น ไม่คิดปรุงแต่งเกี่ยวกับเสียงกับรูปนั้นให้วุ่นวาย จนก่อให้เกิดโทสะ

อันรูปอันเสียงที่ได้เห็นได้ยินนั้น แม้บางทีจะเกิดจากเจตนามุ่งร้ายจริง แต่ถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้เห็นเจตนามุ่งร้ายนั้น เจตนาจะเป็นเช่นไรไม่นำไปคิดปรุงแต่ง โทสะจักไม่เกิด
ความคิดปรุงแต่งจึงสำคัญนัก ก่อให้เกิดความรุนแรงได้ เป็นทั้งความโลภอย่างไม่มีขอบเขต ความมีโทสะร้ายกาจ และอุปกิเลสทุกประการ

เมื่อโทสะเกิด ความมืดมิดต้องเกิด ที่ท่านกล่าวว่าโกรธจนหน้ามืดก็คือโทสะนี้เองเกิด หน้ามืดก็คือตาใจมืด ทำให้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ไม่เห็นผิดชอบชั่วดี ไม่เห็นความควรไม่ควรทั้งหลาย เรียกว่าเป็นความเศร้าหมองอย่างยิ่ง

บดบังความบริสุทธิ์ประภัสสรได้อย่างยิ่ง สามารถทำจิตใจที่ประภัสสรดูราวกับไม่มีความประภัสสรอยู่ในตัวเลย กลายเป็นจิตที่มืดมัวเพราะความประภัสสรไม่อาจปรากฏให้เห็นได้

ผู้มีปัญญาปรารถนาจะนำความประภัสสรแห่งจิตให้ปรากฏเจิดจ้า จึงพยายามทำสติอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อจะดูหรือจะฟังสิ่งใดเรื่องใด เพื่อว่าสติจะได้ควบคุมความคิดปรุงแต่งไม่ให้เกิดอุปกิเลสข้อโทสะนี้เป็นสำคัญ

จะพยายามให้สติควบคุมความคิดปรุงแต่งที่อาจยังต้องมีอยู่ตามวิสัยของบุถุชน ให้เป็นการคิดปรุงแต่งอย่างเป็นคุณแก่ตนเอง เช่นคิดปรุงแต่งไปในทางที่ดี ให้เกิดเมตตาเป็นต้น เพื่อให้เมตตาเป็นเครื่องดับโทสะ เท่ากับให้เมตตาเป็นเครื่องกำจัดความมืดมิด มิให้มาบดบังความประภัสสรของจิต

เมตตาดับความคิดปรุงแต่งให้เกิดโทสะได้ เมตตาจึงเป็นเครื่องช่วยขจัดหมอกมัวบางส่วน มิให้บดบังความประภัสสรสวยงามอันเป็นที่พึงปรารถนาแห่งจิต

แม้ปรารถนาได้พบเห็นความบริสุทธิ์ประภัสสรแห่งจิตตน ทุกคนต้องเจริญเมตตาให้อย่างยิ่งด้วยปัญญาด้วย

(จบอุปกิเลสข้อ ๒)

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 07 ก.พ.2007, 11:05 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุจ้า... ยิ้ม

ธรรมะสวัสดีค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง