Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 .......การปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงตามหาบัว...... อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 01 ก.พ.2007, 7:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



Ltb1.jpg


เรื่อง : หมวดการปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงตา
หมวด : การปฏิบัติและปฏิปทาของหลวงตา
โดยท่านพระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน
วัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี
-------------------------------------------------------------------




1). “นับตั้งแต่เรียนหนังสือจบลงไปแล้วตามความปรารถนาของตัวเอง คือ ตั้งใจตัวเองว่าเรียนจบ ๓ ประโยคแล้วจะออกปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอจบเท่านั้นแล้วก็ออกปฏิบัติ มีหลวงปู่มั่นเป็นสนามชัยอันใหญ่หลวง เป็นโรงงานอันใหญ่โตสำหรับผลิตธรรมให้แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลาย

ไปได้ยินได้ฟังธรรมจากท่านแล้วถึงใจ ๆ ออกมาปฏิบัติกำจัดกิเลสตั้งแต่พรรษา ๗ จนกระทั่งบัดนี้เป็นยังไง พรรษา ๗ นั่นเรียนจบประโยค ๓ ส่วนหนังสือทางโลกนั้นหลวงตานี้ได้ประถม ๓ นี่หลวงตา ป.๓ ซึ่งกำลังเทศน์อยู่เวลานี้ จากนั้นก็ออกเรียนหนังสือทั้งทางโลกทางธรรมสับปนกันไปไม่มีขั้นมีภูมิ จนกระทั่งออกปฏิบัติ เมื่อออกปฏิบัติสนใจต่ออรรถต่อธรรมต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง ก็ไปปลดเปลื้องความสงสัยทั้งหลายจากหลวงปู่มั่นนั่นเอง พอไปถึงท่านเหมือนกับว่าท่านมีเรดาร์จับไว้แล้ว เนื่องจากว่าเรามีความมุ่งหวังอย่างเต็มหัวใจที่ต้องการมรรคผลนิพพาน พูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยว่า เราขอเป็นพระอรหันต์เท่านั้นในชาตินี้ เราจะไม่กลับมาเกิดต่อไปอีกทั้งที่มีกิเลส แต่ความมุ่งมั่นที่จะสังหารกิเลสให้ขาดสะบั้นออกจากใจ ครองพระอรหันต์ขึ้นมาเท่านั้น จึงเสาะแสวงหาครูอาจารย์ที่แม่นยำเป็นที่แน่ใจของเรา ก็ไปหาหลวงปู่มั่น พอไปถึงท่านเท่านั้นเอง เหมือนว่าท่านมีเรดาร์จับไว้เลยว่า นี่มาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน สิ่งต่าง ๆ ทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่มรรคผลนิพพานไม่ใช่กิเลส กิเลสจริง ๆ มรรคผลนิพพานจริง ๆ อยู่ที่ใจ ท่านลงที่ใจ ๆ ท่านไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน หาที่ใจ กิเลสอยู่ที่ใจ กิเลสมันปิดมรรคผลนิพพานไม่ให้ปรากฏ ให้เปิดกิเลสออกด้วยการบำเพ็ญภาวนามีจิตตภาวนาเป็นสำคัญ พอได้รับนี้ พูดถึงเรื่องความถึงใจ ไม่พูดมากเอาย่อ ๆ ให้พอดีกับเวล่ำเวลา พอได้ฟังธรรมะจากท่านอย่างถึงใจ ๆ ประหนึ่งว่าเวลาท่านเทศน์สอนเรา เหมือนดึงออกมาจากหัวใจแบมาใส่มือให้เห็น นี่น่ะเห็นไหม ๆ มรรคผลนิพพานเห็นไหม ท่านไปหามรรคผลนิพพานที่ไหน เหมือนอย่างนี้ ๆ ก็ถึงใจ

จากนั้นมาก็ขึ้นเวทีฟัดกับกิเลสเอาเป็นเอาตายเข้าว่าเลย ต้องขออภัยจากพี่น้องทั้งหลาย การนั่งภาวนานี้เรานั่งจนกระทั่งถึงก้นแตก นั่นฟังซิ เคยมีไหมพวกเราที่นั่งภาวนาจนก้นแตก มันมีตั้งแต่หมอนแตกเสื่อขาดนั่นแหละ ไปที่ไหนถ้าจะว่าภาวนา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ ไม่จบก็คิดถึงหมอนแล้ว หมอนแตก ๆ เสื่อขาด ที่จะให้นั่งภาวนาจนก้นแตกไม่เคยมี แต่สำหรับหลวงตาบัวนี้พูดจริง ๆ พูดเพื่อเปิดความจริงแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าตลอดมรรคผลนิพพานให้พี่น้องทั้งหลาย จากผลที่ได้ปฏิบัติมาเต็มกำลังความสามารถ เป็นที่พอใจหายสงสัยแล้ว ในโลกธาตุนี้เราไม่สงสัยสิ่งใด จากนั้นมาก็ก้าวขึ้นสู่เวทีฟัดกับกิเลส นั่งภาวนานี้ฟาดตั้งแต่ยังไม่ค่ำจนกระทั่งสว่างจ้าขึ้นมาวันหลัง ๆ เอาจนกระทั่งขนาดนั้นไม่ทราบว่ากี่คืน ๆ แต่ไม่ซ้ำกันคือไม่ติดกัน เว้นสองคืนสามคืนนั่งภาวนา ฟาดเสียจนกระทั่ง ทีแรกมันก็ไม่แตก นั่งคืนแรกตลอดรุ่ง ออกร้อนก้น หลังจากนั้นมาพอออกร้อนแล้วมันก็พอง เพราะนั่งไม่ถอย นั่งตลอดรุ่ง ๆ จะเอามรรคผลนิพพานให้ได้ หลายครั้งหลายหน ออกจากพองก็แตก ออกจากแตกก็เลอะ นี่ละการต่อสู้กับกิเลส ถึงขั้นเป็นก็เป็น ถึงขั้นตายก็ตาย ลงได้นั่งตั้งสัจอธิษฐานแล้วว่าตลอดรุ่งถึงจะลุก เมื่อไม่ตลอดรุ่งไม่ลุก จะเป็นก็เป็น ตายก็ตาย ซัดกันใหญ่ นั่นละสติปัญญาเวลามันมาแก้กิเลส มันแก้เวลาจนตรอกจนมุม คนเราจะตายต้องหาทางดิ้นทางดีด สติปัญญาก็ดีดดิ้นหาทางออก สุดท้ายก็ได้กำลังวังชาอันใหญ่หลวงขึ้นมาทุกคืน

ในคืนที่นั่งตลอดรุ่งนี้ไม่เคยมีคืนไหนที่ผิดพลาดไปว่า เราไม่ได้ธรรมอัศจรรย์ภายในหัวใจของเราในคืนวันนั้น เวลาพิจารณาด้านสติปัญญา คืออริยสัจเป็นหินลับปัญญา ความทุกข์ความทรมานทั้งหลายนี้เป็นหินลับปัญญา ฟาดจนจิตลงสว่างจ้าขึ้นภายใน ๆ ทุกคืน ไม่มีขาดไม่มีเว้นที่ว่านั่งตลอดรุ่งไม่เคยได้รับความอัศจรรย์ ที่จิตลงอย่างสะบั้นหั่นแหลกเป็นแบบอัศจรรย์อย่างนั้น ไม่ได้อย่างนี้ไม่มี ได้ทุกคืน ๆ นี่ละการปฏิบัติธรรม เมื่อตั้งใจปฏิบัติจริง ๆ แล้วเห็นมาตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ จากนั้นจิตก็สงบเป็นหินไปเลย เพราะเหตุไร เพราะจิตมีความสง่างามภายในใจ อยู่ที่ไหนสบายหมด ในต้นไม้ ภูเขา ในถ้ำ เงื้อมผา ที่ไหนก็ตาม ไม่ได้สนใจกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น มีแต่ความภาคภูมิใจในหัวใจที่เต็มไปด้วยอรรถด้วยธรรม ความเอิบอิ่มจากหัวใจที่เกิดขึ้นจากการภาวนาของตัวเอง มีแต่ความรื่นเริง จากนั้นก็ก้าวถึงด้านปัญญา ปัญญานี้สำคัญมากนะ สมาธินี้จะอยู่เต็มภูมิเหมือนกับน้ำเต็มแก้วน้ำเต็มโอ่ง เมื่อสมาธิเต็มภูมิ จิตนี้จะเต็มภูมิขนาดไหนอยู่ในภูมิของสมาธิก็ไม่เลยภูมินั้น ต้องเปิดกันออกทางด้านปัญญา เมื่อออกทางด้านปัญญา สติปัญญาออกแล้ว ทีนี้กิเลสตัวไหนอยู่ที่ไหนก็สามารถมองเห็น ๆ ประจักษ์ภายในจิตใจ

ทีแรกก็ประจักษ์กิเลสภายในหัวใจของเจ้าของเสียก่อน ด้วยสติปัญญาเหล่านี้ ฆ่าทั้งกิเลส สิ่งที่เกี่ยวข้องระโยงระยางไปกับจิตดวงนี้ จนกระทั่งถึงพวกเปรตพวกผี นรกอเวจีไม่ต้องบอก มันกระจ่างขึ้นกับจิตดวงนี้ที่สว่างไสวออกไปแล้ว ทั้งฆ่ากิเลส ทั้งเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตนเกี่ยวข้องกับใจ เพราะใจมีภูมิโดยลำดับลำดาเท่าไร สิ่งที่เคยมีมาดั้งเดิมซึ่งเราไม่เคยเห็นแต่ก่อนมันกระจ่างแจ้งขึ้นมา กิเลสก็กระจ่างแจ้งขึ้นมา ไม่ว่าขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียดของกิเลส ขาดสะบั้นลงไป ๆ ที่ว่าพวกเปรตพวกผีพวกสัตว์นรกพวกอะไรต่ออะไรนี้ ที่เป็นสิ่งที่สุดวิสัยมาแต่ดั้งเดิม ทีนี้เวลามันกระจ่างออกมาแล้วสุดวิสัยที่ไหน มันเห็นจัง ๆ อยู่กับหัวใจ

พระพุทธเจ้าเอาอะไรมาเห็น สิ่งไม่มีเห็นได้ยังไง ทีนี้เมื่อมันมีในความรู้ของเราซึ่งเป็นนักรู้ สมควรที่จะรู้จะเห็นกันแล้วปิดกันได้ยังไง มันก็รู้ขึ้นมาเห็นขึ้นมา จนกระทั่งหายสงสัย นี่เราพูดสรุปความให้พี่น้องทั้งหลาย ในผลของการปฏิบัติที่สละเป็นสละตายมา ก่อนที่จะได้มานำพี่น้องทั้งหลายนี้มาแบบนี้นะ มาแบบสละตายมา ฆ่ากิเลสนี้เอาให้ตาย กิเลสไม่ตายเราต้องตายเท่านั้น เราจะครองความเป็นพระอรหันต์อย่างเดียวอย่างอื่นเราไม่เอา เมื่อเป็นเช่นนั้นความเพียรถึงเด็ดขาดทีเดียว เป็นตายไม่ว่าทั้งนั้น อาหารนี่เป็นสำคัญ การอยู่ภาวนาในป่าในเขา ส่วนมากมักจะอดอาหารนั่นแหละ คือถ้าฉันให้มันอิ่มหนำสำราญความขี้เกียจขี้คร้านก็มาก การนอนก็มาก ทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นเรื่องพอกพูนกิเลสมันมาก ๆ เพราะฉะนั้นจึงตัดอาหารลงไป อยากฉันก็ฉัน ไม่อยากฉันก็ไม่ฉัน กี่วันก็ตามแต่การภาวนาไม่หยุด หมุนติ้ว ๆ ตลอดเวลา ยิ่งเพลินในทางด้านภาวนาฆ่ากิเลสจนไม่มีวันมีคืน มันไม่หลับไม่นอน นี่เห็นไหมธรรมเวลามีกำลังกล้าขึ้นมาแล้วมันไม่ได้ตะเกียกตะกายเหมือนแต่ก่อนนะ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ในงานบูชาคุณแผ่นดินไทย วันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๔]



2). “ศึกษาเล่าเรียนอยู่มันก็รัก ไปเห็นผู้หญิงสวย ๆ อู๊ย หญิงคนนี้สวยนะ ใครไปบอกมัน โคตรพ่อโคตรแม่เราอยู่บ้านตาดนี่เข้าใจไหม ทำไมอีตาบัวมันไปหารักสาวได้อยู่ในป่านะ อู๊ย หญิงคนนี้สวยนะ นั่นเห็นไหม ฟังซิ โคตรพ่อโคตรแม่ไปบอกรึว่าผู้หญิงคนนี้สวยนะบัวนะ ไม่เห็นว่าเข้าใจไหม มันยังเป็นบ้าของมันได้เห็นไหม เอ้า ดูหัวใจทุกคนซิ เรายกนี้เป็นตัวประธานขึ้นให้พี่น้องทั้งหลายพิจารณา ใครบอกเมื่อไรสอนเมื่อไร มันเป็นของมันเอง แล้วเมื่อเวลารักต้องเป็นอารมณ์ สร้างอารมณ์เข้ามานะ ภาวนาก็ไม่อยู่ ไปอยู่กับหญิงคนนั้นเข้าใจไหมล่ะ พุทโธก็เอาหญิงคนนั้นเป็นพุทโธเลย พุทโธที่เราบริกรรมนี้หายไปแล้ว มีแต่หญิงคนนั้นสวยหญิงคนนี้งามเท่านั้น มาแทนพุทโธแล้วนะ โถ กูพามึงมาภาวนา ทำไมมึงเป็นอย่างนี้ เวลาเรียนหนังสือมันก็รักก็ชอบ ไปที่ไหนมันก็ชอบ แต่ชอบแล้วก็ผ่านไป เราก็ไม่ได้จดจ่อกับมัน คือความมุ่งเรียนมันมากกว่า เป็นธรรมประเภทหนึ่ง ความมุ่งเรียนหนังสือมากกว่าแล้ว มันเห็นก็เป็นธรรมดาของมัน น่ารักมันก็รัก น่าชังมันก็ชัง เป็นธรรมดาไปเรื่อย ๆ ก็ไม่ค่อยเป็นอารมณ์ ตอนออกจากนี้ขึ้นเวทีล่ะซีที่มันเห็นกันชัด ขึ้นเวทีทีนี้จะฟัดกัน มีแต่ตัวนี้ทั้งนั้นมันขึ้น เอ้า ว่าให้มันชัด ๆ อย่างนี้นะ โถ มึงขนาดนี้เทียวหรือ

ตั้งแต่ก่อนกูบวชมามีกิเลสก็ไม่เห็นมันรุนแรงอย่างนี้ ไม่รวดเร็วอย่างนี้ เรียนหนังสืออยู่ก็ไม่รวดเร็ว เวลาออกปฏิบัติจะฆ่ามัน ทำไมถึงรวดเร็วเอานักหนา ยิบแย็บปั๊บ ความหมายก็คือว่าสติเราดี พอแย็บออกมันรู้ทันที ทีนี้รู้ทันทีมันก็ถือเป็นข้าศึก เลยไปเหมาเอาว่า โอ้โห มึงเก่งขนาดนี้เทียวหรือ ตั้งแต่กูอยู่เฉย ๆ มึงไม่เห็นเป็นภัย เวลากูจะออกตีมึง มึงต่อยกูก่อน นี่ละมันเก่งเข้าใจไหม ทีนี้ก็ฟัดแต่กับตัวนี้ละไม่ใช่ตัวไหนมากนะ เอา พูดให้มันชัด ๆ อย่างนี้ ตัวนี้ตัวที่รุนแรงมากที่สุด ฟัดกันกับตัวนี้ ตัวอื่นไม่เห็นมีอะไร ความโลภ ความโกรธ ก็ไม่เห็นมีอะไร แต่ตัวนี้มีประจำในใจ ยิบแย็บออกมาแล้ว ๆ ฟัดเสียจนกระทั่งลืมวันลืมคืน พอถึงขั้นที่พอมีสติปัญญาฟัดเหวี่ยงกันแล้ว ทีนี้มันก็รุนแรงของมัน ทางด้านปัญญาถึงเข้าขั้นไม่ถอย คำว่าถอยไม่มี อันนี้ตอนชุลมุน เขาเรียกว่าชุลมุน สติปัญญาฆ่ากิเลสตัวนี้ ตัวกามราคะนี่ เป็นตัวชุลมุนไม่มีวันมีคืน เพราะสติปัญญาก็เหนียวแน่นมั่นคงเข้าไปโดยลำดับ คำว่าแพ้จะไม่มีเสียแล้วนะ มีแต่ชนะถ่ายเดียว นี่ละหมุนกันตลอดเวลา ทุกข์ที่สุดคือตัวนี้เอง รุนแรงที่สุดคือตัวนี้ อ้อยอิ่งที่สุดคือตัวนี้ อยู่กับตัวนี้หมด ขึ้นเวทีพินิจพิจารณากันมันถึงชัดเจน

ทีนี้สรุปความลงเลย ฟาดกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย ใครดีใครอยู่ ใครไม่ดีตกเวที เพราะเราที่ว่าจะให้ตกเวทีนี้ความคิดมันไม่หวังอะไร มีแต่กิเลสจะตกเวทีถ่ายเดียว ถึงขนาดนั้นมันยังเอาเราหงายได้เห็นไหมล่ะ ฟาดกันลงเต็มเหนี่ยวจนกระทั่งถึงขั้นม้วนเสื่อกัน พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะมาดึงมาดูดในหัวใจเลย อยู่ที่ไหนสบาย ๆ ไปหมด ๆ โอ๊ย ตัวนี้เองตัวรุนแรงมากที่สุด เครื่องดึงดูดดึงลง ๆ มีแต่ตัวนี้ดึงลง ดึงขึ้นไม่มี ดึงลงเพื่อกองทุกข์ เพื่อความกังวลวุ่นวายสร้างกองทุกข์ขึ้นมา มันดึงลงตลอด ๆ พอตัวนี้ม้วนเสื่อลงไปแล้ว โลกธาตุนี้ประหนึ่งว่าดับหมดเลยนะ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๔]



3). “เราแทบล้มแทบตาย สละชีวิตเพื่อชาติบ้านเมืองก็คือคราวนี้เอง เราพูดให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยนะ สำหรับตัวของเราเองเรียกว่าไม่มีอะไรเหลือเลย ฟาดกันลงเลยขาดสะบั้นโดยถ่ายเดียว กิเลสไม่ขาดเราต้องขาด จะให้เป็นคู่ต่อกรกันอีกไม่ได้แล้ว นี่ก็ฟาดกันมาแล้ว ผลที่ได้ขึ้นมาก็ได้ด้วยความเฉียบขาดของอรรถของธรรม ฟาดหัวกิเลสพังลงไปด้วยความเอาจริงเอาจัง ด้วยความเฉียบขาด แล้วการมาสอนบรรดาลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายนี้เราจะสอนให้อ่อนแอ ๆ เวลาไปนี้อย่าให้มันเสียเวลานะ ไปนี้จัดสำรับก็จัดมาไว้ที่ตรงหน้านี้ หมอนให้มัดติดคอไว้ แล้วเสื่อมัดติดหลังไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นอนหมอนมุ้ง เอามากองพันตัวอย่าให้เห็น ให้เห็นตั้งแต่ปากกับอาหารใส่กันแว็บ ๆ เท่านั้นนะ จะให้เราสอนอย่างนั้นเราสอนไม่ได้เข้าใจไหมล่ะ มีแต่ฟาดมันเลย เสื่อฟาดลงทะเลหมอนฟาดลงทวีปยุโรปนู่น ให้มีตั้งแต่ความเพียร กินก็มีความเพียร นั่งก็มีความเพียร สติอยู่กับตัวจ้อ นี่เรียกนักปฏิบัติ

จำให้ดีนะเรานำมาสอนนี้ เราปฏิบัติอย่างนี้หมดแล้ว ถึงว่ามันเป็นทุกข์แสนสาหัสเราก็ได้บอกแล้ว ในชีวิตของเราไม่มีอันใดที่จะหนักมากยิ่งกว่าชีวิตของพระที่ฆ่ากิเลส รักษาศีล รักษาธรรมตั้งแต่วันบวชมาก็ถือว่าเป็นทุกข์อันหนึ่ง ไม่ได้หนักนะ ไม่ได้เป็นอารมณ์ ศีลเราก็รักษาตัวของเราแล้วแบกหามอะไร ก็รักษาอยู่ ทีนี้สมาธิปัญญาเราไม่เคยทำไม่ได้เรื่อง เวลาก้าวขึ้นสู่เวที นี้ละที่สมาธิปัญญาเราจะเอาให้ได้ สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ วิมุตติสมบัติ นิพพานสมบัติ เราจะเอาให้ได้จากความเพียรของเรา นี่ละเวลามันก้าวเข้านี้ถึงขั้นมันจะตายเอาตาย ไม่เคยสลบก็ตามมันถึงขั้นจะตายเอาตาย นั่นเห็นไหมเราทำ ทำมาอย่างนั้นเด็ดขาดทุกอย่าง การมาสอนหมู่สอนเพื่อนถึงแม้จะเป็นแกงหม้อใหญ่ก็ตาม ลวดลายแห่งความเด็ดยังมีอยู่ในนั้นแหละ ถึงจะแกงหม้อใหญ่ก็มี แต่ถ้าเอาเราแล้วหมดตัวเลย ฟาดมันขาดสะบั้น ๆ ไปเลย นี่เราทำอย่างนี้ เมื่อมาปฏิบัติอย่างนี้แล้วมรรคผลนิพพานจะไม่มีได้ยังไง”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๔]



4). “พูดถึงเรื่องอุบัติเหตุนี้ เรียกว่ามันบันดลบันดาลจริง ๆ รถมอเตอร์ไซค์มันก็มาโน้น รถทางหน้าทางหลังก็ไม่มี กว้างขวาง แล้วอยู่ ๆ ทำไมสะเปะสะปะ แล้วรถเราขับมาสักเท่าไรแล้วก็ไม่ได้พาลงคลอง มอเตอร์ไซค์เขาก็ขี่มากี่วันกี่คืนแล้วเขาก็ไม่เห็นเป็นไร ทำไมวันนั้นจึงมาเป็นอย่างนั้น เราก็เอามาคิดหมดเรื่องเหล่านี้ ตกลงว่าไม่มีใครผิดใครถูกแหละ เรื่องวัฏวนก็เป็นอย่างนี้แหละ ลงเลยไปเลย

ทีนี้พอทราบว่ารถเราลงคลอง บรรดารถทางหลวงแถวนั้นมาหมดเลย มานำเราตั้งเก้าคันสิบคัน ตั้งแต่เจริญศิลป์มากระทั่งเข้าโรงพยาบาล รถทางหลวงที่เขาไปอยู่ประจำทางหลวงเป็นแห่ง ๆ เขาวิทยุถึงกันล่ะซิก็หลั่งไหลกันมา รถเราคันเดียวรถทางหลวงนำเป็นสายยาวเหยียดตั้งเก้าคันสิบคัน ทางนี้เขาก็โทรมาบอกทางโรงพยาบาลอุดร ทางนี้ก็เตรียมพร้อมจัดห้องหับอะไรเรียบร้อยทุกอย่าง พอเราผ่านเข้าประตูโรงพยาบาล มืดแปดทิศคนเต็มอยู่นั้น เขาก็คงจะมาดูเรา มาแล้วเขาก็เอาขึ้นห้อง ไหนจะทำอะไรว่ามา( อยากจะฉายเอ็กซเรย์) เอ้า ฉายก็ฉาย เขาก็ฉายปุ๊บปั๊บ ๆ แล้วเป็นยังไง (กระดูกแตกตรงนี้) แล้วทำยังไงกระดูก เขาว่าจะเอาอะไรมาใส่นี้ เขาเลยเอาอะไรมาใส่ ใส่แล้วมันขบมันเจ็บ อู๊ย เอาออกหนีไม่เอา จับโยนหนีเลย เอาผ้ามา เราใส่ผ้านี้พอ

แล้วมีอะไรอีก เขาเตรียมห้องไว้หมดแล้วจะให้เราอยู่ที่นั่น ถ้าตามโรงพยาบาลแล้วป่านนี้เรายังไม่ได้ออกจากห้องนะ เข้าใจไหมล่ะ เขาเตรียมไว้พร้อมหมดเขาไม่ได้คิดอย่างเราคิดล่ะซิ พอเสร็จแล้ว มีอะไรอีกล่ะ (ไม่มีอะไร จะให้เข้าห้อง) ห้องอะไร (ห้องพัก) โอ๋ย ไม่เข้า เราจะกลับวัด พอว่าอย่างนั้น เอ้า ไปเดี๋ยวนี้ ตกลงขึ้นรถมาเลย นี่มันไม่มีอะไรหัวใจ เป็นก็เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันเป็น หัวใจไม่เป็น ฝึกให้ดีนะฝึกใจจะไม่เป็นอย่างอื่น เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นละ จะให้เป็นอย่างอื่นอย่างใดไปเป็นไม่ได้เลย มาก็มารักษาอยู่นี้สบาย หมอเขาจะมาฉายอะไร ไม่จำเป็น เท่านั้นพอ ฉายแล้ว เขายังจะเอาเครื่องฉายมาฉายอีก ห้ามไม่ให้มา

จนกระทั่งป่านนี้แหละ กับหมอไม่มาหากันได้เลย ถูกขู่เอา ไม่มีอะไรเลย ก็หาย เดี๋ยวนี้ให้นวดทุกวัน ๆ ค่อยดีขึ้น นวดนี้ก็ไม่ได้นวดธรรมดานะ นวดแบบแขนขาดไปเลย ไม่งั้นเส้นมันแข็งไปเลย ต้องเอาอย่างแรง เหมือนว่าแขนขาด ๆ แต่ละครั้ง ๆ จึงค่อยดีขึ้นมาเรื่อย ๆ เดี๋ยวนี้ใช้ได้มากแล้วมันจะถึง ๘๐% แล้วมั้ง มีขัดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่มากนัก เรื่องของจิตเป็นอย่างนั้น นี่เอามาเปิดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ผลของการปฏิบัติธรรม ธรรมปรากฏผลขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไรบ้างในหัวใจของผู้ปฏิบัติธรรม มันก็รู้ในตัวเอง มันเหมือนไม่มีอะไรเกิด ถึงขนาดนั้นมันก็เหมือนไม่มีอะไรเกิด ก็เป็นเรื่องสมมุติมันดิ้นมันดีดของมัน ๆ มันจะเป็นแบบไหน กระดูกแตกอะไร ๆ ก็ตามก็เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมด จิตอันนั้นไม่ได้เป็นสมมุติ เป็นอฐานะเข้ากันไม่ได้แล้ว”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๔]



5). “เราเที่ยวซอกแซก ส่วนมากมักเข้าป่านั้นป่านี้ ชอบนะ ถ้าเข้าป่ารื่นเริง พอรถเพียงเข้าป่าเข้าเขา นอนอยู่ก็ตามคึกคักลุกเลย ตาจ้องดู โหย มันรื่นเริงมันเป็นเองนะ ระหว่างขันธ์กับจิตที่ครองกันอยู่ อาศัยสิ่งนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยง รู้สึกรื่นเริงบันเทิง พอออกจากป่าจากเขาไปแล้ว ลงตามไร่ตามนาแล้ว ล้มนอนตูมเลยไม่มอง พอเข้าป่าเข้าเขาแล้วคึกคักเลย อย่างนั้นทุกแห่งไป

อย่างสกลนคร พอเริ่มจากสกลนครเริ่มเข้าเขาจนกระทั่งถึงสี่แยกสมเด็จ เพลินไปเรื่อยกับป่า ชมป่าเขา เพราะภูเขาลูกนี้เรียกว่าเราเดินเราเที่ยวเสียอย่างโชกโชน เพราะอยู่ที่นี่ ๘ ปี สกลนครนี้ ๘ ปี เที่ยวเขาเที่ยวป่าทั้งนั้น เที่ยวนครพนม ๔ ปี ๕ ปี ต่อไปถึงภูจ้อก้อท่านหล้า เพราะฉะนั้นจึงเห็นหมดตั้งแต่ภูเหล็กท่านวัน ไปจนกระทั่งถึงภูจ้อก้อ เป็นทำเลที่เราเที่ยวขึ้นลง ๆ ๑๑-๑๒ ปีเที่ยวเขาลูกนี้แหลก เพราะฉะนั้นเวลาไปมันถึงไปดูความหลังของตัวเอง เวลานี้เปลี่ยนแปลงไปมากก็ตาม เราก็ดูพื้นที่ที่เราเคยไปเคยอยู่ คือแต่ก่อนเป็นป่าล้วน ๆ ไม่มีบ้านคนเลย เดี๋ยวนี้บ้านคนมีประปรายตลอดไปตามสายทางและที่ต่าง ๆ ข้างในก็มีทั่วไปหมด เดี๋ยวนี้กลายเป็นบ้านคนไปหมดแล้ว

แต่ก่อนเป็นดงล้วน ๆ พวกสัตว์พวกเสือพวกช้างเต็มหมดละ เขายังวิตกกับเรา เขาเรียกบ้านโคกกุงอยู่ในกลางป่า เราผ่านมาจะมาทางสกลนคร เดินด้นดั้นไปอย่างนั้นละทางในป่า ไปผ่านหมู่บ้านนั้น (เมื่อคืนนี้ช้างออกมาทางนี้ ท่านให้ระวังนะ) เขาบอก (ช้างมันออกมาแถวนี้เมื่อคืนนี้ ท่านไปนี้ท่านให้ระวังนะ) แล้วมันไปทางไหนล่ะ (ก็ได้ยินเสียงมันโครมคราม ๆ แถวนี้แล้วหายไป ไม่ทราบไปทางไหน ให้ระวังก็แล้วกัน) เขาเตือนเรา แต่เราก็เฉย เราไม่เคยกลัว เราก็ลูกช้างลูกเสืออยู่ในป่าดงของเราใช่ไหมล่ะ เขาก็เตือนเราเป็นธรรมดา ไปก็เห็นรอยมันแหลกหมดเลย นั่นละแต่ก่อนช้างมีเต็มนะ เดี๋ยวนี้ไม่มี หมด

มีกระทิง วัวแดง สัตว์ใหญ่ ๆ เต็มอยู่นี้ พวกช้าง ดงอันนี้จากสกลนคร ทางติดต่อยืดยาว ภูเขาลูกนี้มันต่อกัน ๆ ไปนะ ที่เราเห็นยาว ๆ นั้นไม่ใช่เป็นภูเขาลูกเดียว คือมันมีต่อกันเป็นลูก ๆ ลูกนี้ต่อลูกนั้น ลูกนั้นต่อลูกนี้ มันเป็นชั้น ๆ ไปเลย เวลาเราขึ้นเขาแล้วถึงรู้ว่าภูเขาที่ยาวเหยียดไม่ใช่ลูกเดียว ไม่ทราบว่ากี่ร้อยกี่พันลูก มันต่อกันไปเรื่อย ๆ เรามองไปนี้มันเป็นเหมือนลูกเดียวนะ เวลาเข้าไปในเขาแล้วเขาเป็นลูกของเขา ลูกนี้ต่อลูกนั้น ลูกนั้นต่อลูกนั้น เหลื่อมล้ำกันไป สลับกันไปเรื่อย มันเลยยาวไป ไปนี่สนุกสนาน อยู่กับคนป่านะ แถวนี้เป็นป่า นาน ๆ จะเจอบ้านสัก ๓-๔ หลังคาเรือน แต่นาน ๆ จะเจอ ไม่เหมือนทุกวันนี้ซึ่งมีแต่บ้านเต็มไปหมด นั่นละไปอาศัยพวกนี้ละบิณฑบาต เพราะเราไม่ได้ฉันทุกวัน พออาศัยเขาไปวันหนึ่ง ๆ เท่านั้น มันจะตายจริง ๆ ก็ฉันให้เสีย พอทนได้ทนไปอย่างนั้น

นี่เห็นไหมเรื่องการภาวนา พี่น้องทั้งหลายจำเอา ที่พูดเหล่านี้มีแต่ฝึกจิตทั้งนั้น เมื่อมันเกี่ยวกับธาตุขันธ์ ต้องบีบธาตุขันธ์ลงไปด้วย ถ้าฉันมากธาตุขันธ์มีกำลัง การภาวนาเหมือนรถบรรทุกของหนัก มันอืดอาดของมันในจิตนั่นแหละ รู้ในจิต ครั้นเวลาผ่อนอาหารลง ตัดอาหารลงไป ทางธาตุขันธ์มันเบากำลังซึ่งเป็นความเกี่ยวโยงกับกิเลส มันก็ไม่ค่อยเสริม จิตใจก็ก้าวได้ ๆ เรื่อย ๆ ทุกข์ใครจะไม่ทุกข์ ถึงเวลากินต้องอยากต้องหิวคนเรา ก็ทน ไม่กิน ทนเอาอย่างนั้นแหละ การฝึกตัวเพื่อความเป็นคนดี นี่ฝึกจริง ๆ นะ จึงได้พูดเต็มปากเลยว่าเราไม่มีที่ต้องติของเราตั้งแต่บวชมานี้ ว่าจะตั้งหน้าตั้งตาฝ่าฝืนธรรมวินัยไม่มีเลย หิริโอตตัปปะเต็มตัว ๆ ตลอด เรียกว่าภาคภูมิใจในศีลของตัวเอง

จากนั้นก็สมาธิเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงภายในให้อบอุ่นเข้าไปเรื่อย หนักเข้า ๆ จิตใจก็มีที่พึ่ง เมื่อจิตใจมีที่พึ่งแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ได้สนใจนะ คือจิตใจมีที่พึ่งได้แก่ธรรมเป็นที่อบอุ่นของใจ อยู่ที่ไหนสง่างามอยู่ในภายใน อยู่ในป่าในเขาอยู่ที่ไหนก็ตาม อาศัยสิ่งเหล่านั้นเป็นที่สงบงบเงียบเพื่อบำเพ็ญธรรมได้สะดวก ส่วนความสะดวกของจิตมันสะดวกของมันตลอดเวลา นี่ละการฝึกจิต นี่หมายถึงพระเรามีหน้าที่อันเดียว ไปปฏิบัติตน นี่ได้ฝึกมา เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดทุกอย่างกับพี่น้องทั้งหลายไม่สะทกสะท้าน เพราะเราได้ทำมาอย่างนั้นจริง ๆ เรียกว่าเดนตายมาเลย ที่นี่ผลของการเดนตายก็ดังที่มาสอนพี่น้องทั้งหลายอยู่เวลานี้ นี่ละความดีเมื่อเราสร้างเข้ามาก ๆ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๔]



6). “เรายังเคยเอามาพูดให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ถึงขนาดที่เราคำนวณเอานะ ถ้าวันมะรืนไปนี้จะไปไม่ถึงบ้านเขา เพราะอดอาหารอดอยู่ตลอดเวลา มันจะตายจริง ๆ ค่อยไปบิณฑบาตมาฉัน ทีนี้มาคำนวณถ้าถึงวันมะรืนไปไม่ได้ วันพรุ่งนี้กะว่าจะไปถึงบ้านเขา วันพรุ่งนี้ก็ไป ไปมันไม่ถึงบ้าน เห็นไหมล่ะ เราคาดเอาไว้ พอไปถึงกลางทางไปไม่ได้แล้ว หมดกำลัง ต้องนั่ง ถ้าภาษาของโลกเขาเรียกว่านั่งจับเจ่ากอดหัวเข่าสิ้นท่านะ

ทีนี้จิตมันไม่ได้สิ้นท่าล่ะซี ธาตุขันธ์มันสิ้นท่าไปไม่รอดมันอยู่ ก็นั่งอยู่นั้น นั่งความเพียรก็อยู่ในนั้นพิจารณา นี่ละที่ว่ากิเลสเกิดธรรมเกิด พี่น้องทั้งหลายฟัง กับผู้ปฏิบัติธรรมชัดเจนมากทีเดียว กิเลสเกิด เกิดยังไง เรานั่งเจ่าอยู่นั้น มันเหนื่อยหายใจแขม่ว ๆ จะไม่ไปถึงหมู่บ้านเขา พักเสียก่อนแล้วค่อยไปอีก สักเดี๋ยวก็โผล่ขึ้นมาแล้ว นี่เรียกว่ากิเลสเกิด เงียบ ๆ นะ นี่เห็นไหมขึ้นเลย เป็นคำพูดชัด ๆ เหมือนเราพูดกันแต่เสียงอยู่ภายในหัวใจ นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตาย ท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นเห็นไหม นี่คือกิเลสเกิด กิเลสทักเราเพื่อจะตัดทอนกำลังเรา ถ้าเราเชื่อกิเลสเราก็อ่อนเปียก ต่อไปก็อดอาหารไม่ได้ มันกลัวตาย เพราะกิเลสบอกแล้วว่า นี่เห็นไหมท่านอดอาหารจะฆ่ากิเลสให้ตาย แต่เวลานี้กิเลสยังไม่ตายท่านกำลังจะตายรู้ไหม นั่นบอกชัด ๆ นะ ขึ้นกิเลสเกิด

พอทางนั้นเกิดขึ้นทางนี้ขึ้นรับกับปั๊บเลยนะ ก็การกินนี้ก็กินมาตั้งแต่วันเกิด นี่ธรรมเกิดนะ ทีแรกกิเลสเกิดเสียก่อน คราวหลังนี้ธรรมเกิดว่า การกินนี่ก็กินมาตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ไม่เห็นได้รับความวิเศษวิโสอะไรเลย แต่การอดอาหารเพื่อจะบำเพ็ญธรรมอดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ นั่นเห็นไหมล่ะ อดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอ้า ตายก็ตายซี นั่นเห็นไหม คือการกินก็กินตั้งแต่วันเกิดมาจนกระทั่งป่านนี้ไม่เห็นวิเศษวิโสอะไร เรามาอดเพียงเท่านี้จะตายเหรอ เอา ตายก็ตายซี จิตมันก็ดีดผึงเลย นี่เรียกว่าธรรมเกิด แก้กันตก ไปได้สะดวกเลย ปึ๋ง ๆ

คำว่ากิเลสเกิดธรรมเกิดนี้จะเกิดในผู้ปฏิบัติ เรียนเฉย ๆ เราก็เรียนธรรมไม่เกิด นอกจากจะเป็นคติขึ้นมาเป็นบางวรรคบางตอน สะดุดใจกึ๊กอย่างนี้มีบ้าง ก็เรียกว่าธรรมเกิดเหมือนกัน แต่จะให้เกิดแบบภาวนาติดต่อกันไปเรื่อย ๆ นี้ไม่ค่อยเกิด ต้องเป็นทางด้านภาวนา ด้านภาวนากิเลสกับธรรมจะเกิดสวนหมัดกันเรื่อย ๆ อย่างที่ว่านี่ ต่อกรกับกิเลสก็ต้องต่อสู้กัน กิเลสเกิดแบบนั้นธรรมะสวนแบบนี้ ต่อกรกันไปเรื่อย ๆ ครั้นต่อไปธรรมะเกิดขึ้นเรื่อย กิเลสอ่อนลง ๆ นี่ละธรรมะเกิดขึ้นเรื่อย ปราบกิเลสไปเรื่อย นี่ธรรมะเกิดภายในใจ เกิดภายในใจด้วย อยู่ภายในใจด้วย เป็นกำลังอยู่ภายในใจด้วย เรียกว่าธรรมเกิด แก้ไปเรื่อย เบิกทางออกไปเรื่อย ๆ นี่ธรรมเกิดภายในหัวใจของผู้ภาวนา ผู้ไม่เคยภาวนาไม่เกิด

ผู้ภาวนาอย่างเอาจริงเอาจังดังที่ว่ามานี้แล้วปิดไม่อยู่ ใครโกหกท่านไม่ได้เลย เพราะท่านรู้อยู่กับใจ เกิดอยู่กับใจของท่านตลอดเวลา แล้วใครจะมาลบล้างได้ ความรู้ความเห็นทุกอย่างเกิดขึ้นในหัวใจตัวเองจะยอมให้คนอื่นมาตัดสินเหรอ เราต้องเป็นผู้ตัดสินเราเด็ดขาด ๆ ตลอดไปไม่เชื่อใคร นี่เรียกว่าธรรมเกิด ถึงขั้นธรรมเกิด เกิดตลอด เวลากิเลสเกิด เกิดตลอด อย่างสามัญชนเราทั่ว ๆ ไป พูดหมดแดนโลกธาตุนะ มีแต่กิเลสเกิดทั้งนั้น อยู่ที่ไหนกิเลสเกิดตลอดเวลา

กิเลสจริง ๆ รังของกิเลส อย่างท่านพูดว่า อวิชฺชาปจฺจยา นั่นรวงรังอันใหญ่หลวงของกิเลสที่มันเกิดนะ มันแตกแขนงออกมานั้นก็เป็น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ เรื่อย แตกแขนงออกไปเรื่อย ๆ กิเลสแตกออกตามแขนงนี้ไปเรื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่ตื่นนอนถึงหลับมีแต่เรื่องกิเลสแตกแขนงออกไป ๆ หาผลประโยชน์ให้มัน แต่หาฟืนหาไฟเผาไหม้เรา นี่เรียกว่ากิเลสเกิดในสามัญชน เกิดเหมือนกันหมดอย่างนี้ กิเลสเกิดตลอดเวลา

เอาทีนี้ เอาธรรมจับเข้าไป บำเพ็ญศีลบำเพ็ญธรรม เริ่มต้นตั้งแต่มีทาน ทานเกิดแล้วนะ นั่นธรรมเกิดแล้ว เราไม่เคยทำบุญให้ทาน แต่เมื่อเราได้ยินได้ฟังแล้วเกิดความเชื่อความเลื่อมใส เราเริ่มทำบุญให้ทาน นี้ธรรมเกิดแล้ว ทานเกิดแล้ว จากนั้นศีลเกิดแล้ว เรารักษาศีลรักษาธรรมเรา ศีลเริ่มเกิดแล้วภายในตัวของเรา จากนั้นเราก็ภาวนา ภาวนาก็เริ่มตั้งต้นเอาอะไรมาบริกรรม ท่านก็สอนไว้แล้วว่าเอา พุทโธ หรือ ธัมโม หรือ สังโฆ เอาบริกรรมนะ นี่ธรรมเกิดแล้ว พุทโธ เกิดแล้ว ธัมโม เกิดแล้ว เริ่มเกิดแล้ว นี่ละรากฐานแห่งธรรมที่จะเกิด เกิดที่ตรงนี้ก่อนนะ เกิดมาตั้งแต่ทานแต่ศีลมาเรื่อย ๆ

ทีนี้ออกทางด้านภาวนา ทีนี้แตกกระจายนะภาวนานี่ ธรรมเกิดแล้วนี่ ทีนี้เข้าถึงองค์ภาวนา นักภาวนา ทีนี้ธรรมก็เริ่มเกิด ๆ สมาธิธรรม ความสงบร่มเย็นเริ่มเกิดแล้ว สมาธิธรรมเริ่มเกิดแล้ว จากนั้นปัญญาธรรมเริ่มเกิดแล้ว ปัญญาธรรมมีหลายประเภท แตกแขนงออกไปมีแต่แขนงของธรรมที่นี่ ไปที่ไหนมีแต่แขนงของธรรมเกิดแล้ว ๆ เหมือนกิเลสเกิดแต่ก่อนนั่นแหละ เป็นอัตโนมัติ

กิเลสมันเป็นอัตโนมัติของมัน มันเกิดตลอดเวลาไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครส่งเสริมมันด้วยเจตนามันก็เกิดของมันกิเลส เพราะมันมีกำลังมาก ทีนี้เวลาเราบำเพ็ญธรรมให้ธรรมมีกำลังมากก็แบบเดียวกัน พอถึงขั้นธรรมเกิดแล้วทีนี้เหมือนกันเลยนะ อยู่ที่ไหนเกิดตลอดธรรม แก้กิเลสตลอดเวลาไม่มีอิริยาบถ นี่อัตโนมัติ ธรรมเกิดในหัวใจเป็นอัตโนมัติ จะว่าเพียรหรือไม่เพียรมันเพียรอยู่ในหลักธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แก้กิเลสโดยหลักธรรมชาติ อิริยาบถทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอนมีแต่ธรรมแก้กิเลส ๆ เป็นอัตโนมัติของตัวเอง แล้วกิเลสตัวไหนมันจะมาจากป่าจักรวาลไหนมันจะทนได้ มันต้องถูกตปธรรม ไฟได้แก่ธรรมะเครื่องแผดเผาด้วยสติธรรมปัญญาธรรมเผาแหลก ๆ นี่เรียกว่าธรรมเกิด

ธรรมเกิดมาก ๆ แล้วเผากิเลสแหลก อวิชฺชายเตฺวว อเสสวิราคนิโรธา สงฺขารนิโรโธ อวิชชาดับ สังขารดับเรื่อย ๆ นี่เรียกว่าธรรมเกิดแล้วดับไปหมด สุดท้ายก็ นิโรโธ โหติ เลย นั่น รวมยอดแล้วเป็นนิโรธธรรมทั้งนั้นดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือ ธรรมเกิดแล้วพอสิ้นสุดจากการว่าธรรมเกิดแล้ว ธรรมพอตัวแล้ว หรือว่าธรรมอยู่แล้ว จิตไม่หมุนแล้ว เครื่องหมุนของจิตคือกิเลส เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว เครื่องหมุนของจิตไม่มีเรียกว่า ธรรมพอตัวแล้ว ธรรมอยู่แล้ว หรือธรรมบริสุทธิ์แล้ว จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้ว บริสุทธิ์พุทโธเต็มดวงแล้ว ถึงนิพพานแล้ว หรือเป็นธรรมธาตุแล้ว นี่ขั้นสุดยอดแห่งการปฏิบัติธรรม พอถึงขั้นนี้แล้วหมดเรื่องความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นมาจากกิเลสโดยประการทั้งปวง ไม่มีเหลือเลยภายในใจ นี่เรียกว่าท่านผู้เป็นบรมสุข ไม่มีอะไรกวนใจ

นี่การฝึกฝนอบรมตัวเอง ดังพระพุทธเจ้าสาวกทั้งหลายท่านเป็นสรณะของพวกเรา ท่านฝึกมาเป็นลำดับลำดา ผู้ง่ายก็มีผู้ยากก็มี แต่ต่างคนต่างบึกบึน ผู้ยากก็บืนไปตามยาก ผู้ง่ายก็บืนไปตามง่าย สุดท้ายก็เป็นผลเครื่องตอบแทนเป็นที่พึงพอใจเหมือนกันหมด นี่การฝึกทรมานตนเองไม่ได้เสียผลเสียประโยชน์อะไร แต่การปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามกิเลสนี้แหลกวันยังค่ำคืนยังรุ่ง หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ หายใจฝอด ๆ อยู่เวลานี้ เวลาตายจะไปไหนก็ไม่รู้นะ มันอยู่ด้วยความสงสัยสนเท่ห์ อยู่ด้วยฟืนด้วยไฟเผาไหม้หัวใจ แต่ธรรมมีในหัวใจแล้วไม่เป็นอย่างนั้น อยู่ที่ไหนอยู่ได้หมดเย็นหมดสบายหมด ตายที่ไหนไปเลย เพราะธรรมกับใจอยู่ด้วยกันแล้ว ให้พี่น้องทั้งหลายจำเอานะ ให้พากันฝึกทรมาน อย่าปล่อยเนื้อปล่อยตัวจนเกินไป ทุกข์ยากลำบากเพื่อความดีไม่ขาดทุน แต่ทุกข์ยากลำบากเพื่อการทำความชั่ว ด้วยการทำความชั่วนี้จมไปทั้งนั้น ๆ พากันจำเอานะ

วันนี้พูดถึงว่ากิเลสเกิดธรรมเกิด ให้พากันเข้าใจนะ กิเลสเกิดมาตลอด เวลาดับกันด้วยความเพียรแล้วธรรมเกิดตลอด กิเลสดับไปตลอด นี่ได้พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง เห็นไหมการเทศนาว่าการสอนพี่น้องทั้งหลาย นี่พูดอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความจริงก็คือว่า ธรรมเกิด ธรรมเกิดแล้วก็ธรรมอยู่ ธรรมพอแล้ว สอนได้โลกนี้ เอา ๆ ใครจะมานั่นวะ ว่างี้เลย ก็ใจทั้งดวงเป็นธรรมทั้งแท่งแล้ว อัดอั้นตันใจที่ไหน เมื่อถึงขั้นเปิดแล้วมันเปิดอย่างนั้นจะว่ายังไง

เวลามันอยู่ในความตีบตันอั้นตู้ อยู่ที่ไหนมันก็มืด จุดตะเกียงไว้กี่ดวงก็ตาม ไฟฟ้ากี่แรงเทียนก็ตาม เอาพระอาทิตย์มาร้อยดวงก็ตาม มันก็มืดอยู่ที่หัวใจ แล้วเวลาใจมันเปิดจ้าออกมาแล้วเปิดไม่เปิดก็ตาม ไฟมันจ้าอยู่นี่แล้ว นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา ความสว่างไสวไม่มีอะไรเสมอเหมือนปัญญาเลย ปัญญาหลักธรรมชาติอยู่ในจิตดวงที่ผ่องใสเต็มที่แล้ว นั่นละอำนาจแห่งการทำความดี ผลส่งให้เป็นอย่างนั้น นี่ก็ได้พูดมาพอแล้วนะ สอนบรรดาประชาชนทั้งหลายมาจนกระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่มีคำว่ายุติ แล้วแต่เหตุการณ์ที่จะควรสอนหนักเบามากน้อย มันก็จะได้สอนกันไปอยู่เรื่อย ๆ อย่างนี้

แต่ธรรมอยู่ที่ไหนเราไม่เคยคำนึง เราจะเอามาสอนพี่น้องชาวไทยเราหรือโลกไหนก็ตาม เทวบุตรเทวดาอินทร์พรหม เราก็ไม่เคยได้คิดว่าเราจะเอาอะไรมาสอน นี่พวกเปรตพวกผี นี่พวกมนุษย์มนา นี่พวกเทวดาอินทร์พรหม เราจะเอาอะไรมาสอน เราจนตรอกแล้วธรรมประเภทของสัตว์เหล่านี้ไม่มี ธรรมประเภทของเปรตของผี ประเภทของมนุษย์มนา ธรรมประเภทของเทวดาอินทร์พรหมไม่มี เราจะเอาอะไรมาสอน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านไม่ได้สนใจ เข้าใจไหม แล้วแต่อะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องท่าน พวกเหล่านี้จะได้รับประโยชน์มากน้อยเพียงไร จะออกรับกันทันที ๆ เมื่อไม่มีอะไรที่จะมารับแล้วดึงก็ไม่ออก นั่นเรียกว่าธรรม พอดีตลอดเวลา

สมควรจะออกมากน้อยออกเอง ไม่สมควรจะออกทำยังไงก็ไม่ออก สมควรจะผึงทีเดียวออกทันที นั่นละธรรมแท้เป็นอย่างนั้น อยู่ในความพอดี ๆ ในหลักปัจจุบัน ไม่มีอดีตอนาคตมาคาดมาหมาย เป็นหลักปัจจุบัน ขึ้นในหลักปัจจุบัน พอเหมาะพอดีทุกด้านทุกทางที่จะทำประโยชน์ให้โลกเป็นชั้น ๆ ไป พากันจำเอานะ นี่คือผลแห่งการปฏิบัติด้วยความตะเกียกตะกาย ผลเป็นขึ้นมาอย่างนี้เป็นที่พอใจ เข้าใจเหรอ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๔๔]



7). “เราจะให้ใคร ของเราแต่ละชิ้น ๆ พูดเรื่องความเมตตานี้ครอบโลกธาตุ ฟังซิน่ะ แต่เวลาเขามาขออะไรให้นี้มีเหตุผลทุกอย่าง ๆ จะควรให้มากให้น้อย ความเสียดายเราไม่มี ความเมตตาครอบไว้หมดแล้ว แต่เหตุผลนั้นเต็มตัว ใครมาติดต่อกับเราเรื่องอะไร ๆ เราจะพิจารณาด้วยเหตุผลเรียบร้อย ๆ ถ้าสมควรจะให้-ให้เลย ๆ ไม่สมควรให้ไม่ให้ สมควรดุด้วยไม่ให้ด้วยก็ดุ สมควรที่จะให้ ไม่ขอก็ให้ แล้วแต่เหตุผลมันบังคับยังไง เราปฏิบัติอย่างนั้นตลอดมากับโลก เราไม่ได้ทำสุ่มสี่สุ่มห้า

ดังที่พี่น้องทั้งหลายบริจาคสมบัติเงินทองนี้ เรายิ่งเข้มงวดกวดขันมากกว่าสมบัติที่เขาให้มาธรรมดาสำหรับเรานะ ให้มาธรรมดาก็ถือเป็นธรรมดา มากต่อมากเป็นเรื่องของประโยชน์ต่อโลกทั้งนั้น ประโยชน์ของเราเองไม่เห็นมี ใครถวายมามากน้อยเราไม่เคยสนใจ ไม่เคยได้สั่งให้ไปซื้อนั้นซื้อนี้มาให้หลวงตา ไม่เห็นมี ได้มาเท่าไรก็ออกช่วยโลก อย่างนี้เป็นประจำสำหรับนิสัยของเรา แต่ไม่ได้เข้มงวดกวดขันยิ่งกว่าสมบัติที่พี่น้องทั้งหลายผ่านเข้ามา เช่น บริจาคทองคำ ดอลลาร์ เงินสด เหล่านี้เราเข้มงวดกวดขันมากตลอดนะ อันนี้เป็นพิเศษตลอดเลยในหัวใจของเรา เพราะฉะนั้นเราถึงแน่ใจในการดำเนินงานว่า ไม่มีอะไรเป็นมลทินในหัวใจนี้เลย ตลอดมาจนกระทั่งป่านนี้และยังจะตลอดไป เพราะเราแน่ในหัวใจดวงนี้ เป็นธรรมล้วน ๆ แล้ว ไม่มีเรื่องกิเลสความสกปรกโสมมจะแทรกเข้ามาทำลายได้ มีแต่ธรรมความสะอาดราบรื่นเท่านั้นดำเนินเดินก้าวไปเรื่อย ๆ อย่างนี้

เรารักเราสงวนสมบัติเหล่านี้เพื่อหัวใจแห่งชาติไทยของเรา ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ เราถือหัวใจมาอยู่ในจุดนี้หมด เราจึงรักจึงสงวน จะตีตะล่อมเข้าไป ๆ เพื่อความแน่นหนามั่นคงแห่งชาติไทยของเรา ดังยกตัวอย่างขึ้นที่ว่าทองคำนี้ เวลานี้ทองคำเน้นหนักมาก อะไร ๆ มาตีเข้าทองคำ ๆ เดี๋ยวนี้ เพราะเราตั้งใจจะให้เป็นรากเป็นฐานสำคัญในเมืองไทยของเราก็คือทองคำ เป็นลมหายใจของคนไทยทั้งชาติอยู่ในนี้หมด ประกันชาติก็คืออันนี้ไม่ใช่อะไร เราถึงหมุนเข้าจุดนี้ ๆ อย่างอื่นก็สำคัญเป็นลำดับลำดาไป แต่อันนี้เป็นอันดับหนึ่งเลย จึงต้องตีเข้ามา ๆ

ดังที่ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า แต่ก่อนเงินสดนี้เราจะช่วยชาติหมดเลย ไม่ได้บอกว่าจะเข้าคลังหลวงนะ เราจะเข้าคลังหลวงเฉพาะทองคำกับดอลลาร์ นี่เราประกาศไว้ตั้งแต่เบื้องต้นแล้ว ครั้นเมื่อเวลาไปเจอทองคำในคลังหลวงของเราเข้าเป็นยังไง นี่ละจึงได้มาพลิกใหม่ เงินที่ว่าจะช่วยพี่น้องชาวไทยเรา ที่เราพูดในระยะนั้นตามบัญชีนั้นว่า ๘๕๐ ล้าน แล้วตีเข้ามาทองคำตั้ง ๘๐๐ ล้านฟังซิ ๕๐ ล้านเอาไว้เพื่อช่วยชาติบ้านเมืองของเรา นั่นมันเป็นของมันอย่างง่าย ๆ เมื่อเหตุผลพร้อมแล้วจะอยู่ไม่ได้เลย เงินเหล่านี้เราคิดเมื่อไรว่าจะเอาเข้ามาหาทองคำ แต่ก็ฟาดเข้ามาถึง ๘๐๐ ล้าน ยังเหลืออยู่แค่ ๕๐ ล้านเท่านั้นก็คิดดูซิ นี่ละเหตุผล พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๑๙ สิงหาคม]



8). “เราเทศน์มาแล้วตามธรรมดาเราไม่เคยไปฟังซ้ำเทปอีกแหละ แต่วันนั้นโอกาสยังไงไม่ทราบ มาสบเหมาะพอดี เราก็เอาเทปมาเปิดฟัง ฟังแต่ต้นเลยจนกระทั่งจบ ฟังทุกกิทุกกี เรียกว่าฟังประเภททบทวนว่างั้นเถอะ ฟังทุกกิทุกกี หาที่ต้องติไม่ได้ว่างั้นเลย เราพอใจในธรรมเทศนากัณฑ์นี้เราบอกงั้นเลย เรียกว่าได้ประโยชน์ทั่วถึงกันหมดในธรรมทุกขั้น ๆ จนกระทั่งวิมุตติหลุดพ้นแสดงตอนสุดท้ายให้พระฟัง ธรรมะประเภทนี้ถอดออกมาจากหัวใจทั้งนั้นนะ เรียนในคัมภีร์เราก็เรียนมาแล้วว่าไง นั่นคัมภีร์ความจำ อันนี้คัมภีร์ความจริง ถอดออกมาจากนี้จึงไม่มีสะทกสะท้าน ใครจะเชื่อไม่เชื่อมันเรื่องของเขา เรื่องของเราตามหลักความเป็นจริงยังไงว่าไปตามเรื่อง

ด้วยเหตุนี้เองจึงเทศน์สอนพี่น้องทั้งหลายว่า นี้ชีวิตไม่ได้นานนะ บอก จวนแล้วนะ เร่งซิ การแนะนำสั่งสอนออกทุกประเภทนะ จะออกเรื่อย ๆ ฟังซิ จะออกเรื่อย ๆ ตามแต่เหตุการณ์สมควรจะออกหนักเบามากน้อยเพียงไรไม่ต้องบอก จะออกเอง ๆ พูดแล้วสาธุเลย ไปหาจากที่ไหนธรรมว่างั้นเลย ลงหัวใจกับธรรมเป็นธรรมธาตุอันเดียวกันแล้วหาที่ไหน ก็เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าท่านหาที่ไหน ท่านเทศน์สอนโลกมาสามแดนโลกธาตุ เราเทศน์เพียงคนศาลาหลังเดียวเท่านี้กับพระพุทธเจ้าเทศน์สอนคนสามแดนโลกธาตุ สอนสัตวโลก มันต่างกันยังไง มันจะไม่มีบ้างเหรอธรรมะที่จะมาเทศน์คนในศาลานี่ อย่าว่าแต่เทศน์เลย ไม้เรียวก็มี มีดอีโต้ใหญ่ก็มี จับฟาดทางนั้นฟาดทางนี้ก็ยังได้จะจนตรอกหรือ ถ้าอย่างนี้ไม่จนนะ อย่างอื่นอาจจน แต่ไม้เรียวบ้างอะไรบ้างฟัดนี้เอาได้ มีทั้งข้างนั้นข้างนี้ว่าไง

จึงได้อัศจรรย์ธรรมพระพุทธเจ้าล่ะซี พระพุทธเจ้าท้อพระทัย ไม่ท้อยังไง นี้เป็นแล้วนี่ พอมันผางขึ้นมาเท่านั้น จ้าขึ้นมาแล้วขึ้นอุทานเลยทันที โถ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ เคยคิดเมื่อไรฟังซิน่ะ ใครจะไปอาจไปเอื้อมไปวัดรอยพระพุทธเจ้าได้ แต่นี้ไม่ใช่อาจเอื้อมไม่ใช่วัดรอย มันเอาความจริงออกมาด้วยความอาจหาญ ประหนึ่งว่าเป็นพยานพระพุทธเจ้าทันทีเลย ไม่ต้องไปถามใคร พอผางขึ้นมาเท่านั้นขึ้นอุทานเลยเทียว โถ ๆ ขึ้นเลย เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ ย้ำอยู่นั่นนะ ธรรมแท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ พระสงฆ์แท้เป็นอย่างนี้ละเหรอ ๆ

ทีนี้ก็รวมเลย พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่นเข้าใจไหมล่ะ เราเคยรู้เคยเห็นเมื่อไร เมื่อมันรวมเข้าเป็นธรรมธาตุเป็นอันเดียวกัน เหมือนน้ำมหาสมุทรไหลมาจากสายไหนรวมลงมหาสมุทร เรียกคำเดียวมหาสมุทรเท่านั้นพอ จำเป็นอะไรจะต้องเรียกน้ำสายนั้นสายนี้เหมือนแต่ก่อนที่ยังกำลังไหลลงมาสู่มหาสมุทรอยู่ ยังไม่ถึง เมื่อถึงมหาสมุทรแล้วพูดได้คำเดียว มหาสมุทร พอ อันนี้เรื่องธรรมทั้งหลายของผู้บำเพ็ญ สัตวโลกบำเพ็ญเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ ที่ไหลเข้ามา ไหลเข้ามาสู่ธรรมธาตุที่เทียบกันว่ามหาสมุทร ใครมีวาสนาบารมีแก่กล้าสามารถขนาดไหน ไหลใกล้เข้ามา ๆ พอถึงปึ๋งเรียกว่าบารมีเต็มส่วนแล้ว บรรลุธรรมปึ๋ง นั่นเข้ามหาสมุทรแล้ว เรียกว่าเข้าธรรมธาตุเต็มส่วนแล้ว ถามหามหาสมุทรหาอะไร ถามธรรมพระพุทธเจ้าหาอะไร ธรรมธาตุเท่านั้นพอหมด

เมื่อเป็นอย่างนั้นมันก็ขึ้นอย่างจัง ๆ ล่ะซี เราไม่ลืม สด ๆ ร้อน ๆ ตัวสะดุ้งเลยเทียวนะ ประหนึ่งว่าโลกธาตุนี้สะเทือนสะท้านไปหมดเลย โถ ๆ ขึ้นเลย มันเป็นในจิตนะ เหอ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ละเหรอ ๆ แล้วธรรมแท้เป็นอย่างนี้เหรอ อย่างที่รู้อยู่นี้น่ะจะอย่างไหน แต่ก่อนมันไม่เคยรู้ กิเลสปิดไว้ไม่ให้เห็น เห็นไหมกิเลสเก่งไหม กองมูตรกองคูถปิดทองคำทั้งแท่งไว้ไม่ให้เห็นเลย พอเปิดนี้มันจ้าขึ้นมาแล้ว แล้วจะให้ว่ายังไง เวลาปิดก็รู้ว่าปิด เวลาเปิดก็รู้ว่าเปิด จิตเป็นนักรู้อันเดียวกัน มันก็ประมวลลงมาถึงว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ยังไง มันเป็นแล้วนั่น

เมื่อมันเป็นอย่างนั้น กับความเป็นมาของเจ้าของ พิจารณานี้มันจ้าไปหมดเลย โหย มีแต่เรื่องนรกอเวจีเผาไหม้ตลอดมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป์ มาถึงขั้นที่ผ่านพ้นไปได้แล้ว มองลงไปข้างหลังที่เราเคยผ่านมา ทุกประเภทอยู่นี้หมดในตัวของเราเองนะ เราอย่าไปเข้าใจว่าอยู่กับคนนั้นคนนี้ พวกบาปบุญนรกสวรรค์พรหมโลก เว้นนิพพาน พวกเปรตพวกผีประเภทต่าง ๆ เราเป็นตัวบรรจุไว้ด้วยกันทั้งหมด อย่าไปคิดนะว่าคนนั้นมากคนนี้น้อย เพราะมันเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้กี่กัปกี่กัลป์แล้ว กี่ภพกี่ชาติ เต็มในหัวใจของเรา เต็มในตัวของเราด้วยกัน มองปั๊บนี่มันจ้าไปหมดจะว่าไง แล้วทีนี้มันจะไม่กลัวยังไง ทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วมันกลัวย้อนหลัง ขยะ โห อย่างนี้มันก็บึกบึนมาได้เรื่องความทุกข์ความทรมาน การบึกบึนมาได้นี้ก็เพราะว่ามันไม่รู้

ตกนรกพอผ่านขึ้นมาปั๊บนี้ กิเลสปิดแล้วไม่ได้ตกนรก ไม่เห็นนรกไม่รู้นรก ว่านรกไม่มี เอาอีกละนะ สิ่งที่มีคืออะไร คือความเปิดโล่งไว้นี้ ความทะเยอทะยานอยากทำ ความอยากทำมีแต่เรื่องอยากทำความชั่วช้าลามกที่จะโดดลงไปอีกนะ นี้ปิด ๆ นี้ละที่พระพุทธเจ้าทรงท้อพระทัย พอขึ้นมาแล้วปิดหมด ๆ ไม่ให้รู้โทษภัยของตัวทั้งดีทั้งชั่วไม่ให้เห็น ขึ้นสวรรค์ชั้นพรหมไม่ทราบกี่ครั้งกี่หน สัตว์แต่ละราย ๆ นะ เว้นนิพพานหรือสุทธาวาส ๕ ชั้น สุทธาวาส ๕ ชั้นเป็นชั้นของท่านผู้ไปแล้วไม่กลับ คือชั้นพระอนาคามี ๕ ชั้นนี้ไม่กลับ พรหมโลกนอกนั้นกลับทั้งนั้น อายุ ๘ หมื่นปี ๙ หมื่นปีอะไร บอกไว้หมดในพรหมโลกแต่ละชั้น ๆ ปีทิพย์นะ ถึงอย่างนั้นก็อยู่ในโลกอนิจจัง มันก็เปลี่ยนไปตามความเป็นของมันนั่นแหละ เชื่องช้าแต่ก็เปลี่ยน แล้วก็ลง บางทีมาทำความชั่วลงนรกอีกกี่กัปกี่กัลป์ ขึ้นมา เราคนเดียวนี้นะ

เราอย่าอวดเก่งกว่าพระพุทธเจ้า แล้วก็มาเป็นอีก ๆ ทีนี้เวลามันประมวลเข้ามาแล้วตัวนี้เปิดจ้านี้มันเห็นหมดจะให้ว่าไง ไม่สะทกสะท้านยังไง ไม่กลัวยังไง เรื่องของเจ้าของทั้ง ๆ ที่ผ่านมาแล้วมันยังกลัวย้อนหลัง โถ ๆ ขึ้นเลย นั่นเห็นไหม แล้วธรรมชาติอัศจรรย์เลิศเลอก็ทรงไว้แล้วที่เลิศเลอ ที่เลวที่สุดมันก็เห็นอยู่แล้ว ที่เลิศที่สุดก็เห็นอยู่แล้วในหัวใจดวงนี้ นั้นละพระพุทธเจ้ามาสอนโลกท่านสอนอย่างนั้นนะ ไม่ได้สอนเล่น ๆ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วมันท้อจริง ๆ ท้อใจ พระพุทธเจ้าท้อพระทัย วิ่งถึงกันเลยนะไม่ต้องมีใครบอก เพราะมันจ้าทั้งสอง ทุกสิ่งทุกอย่างจ้าไปหมด ทั้งดี ดีจนถึงขั้นดีเลิศก็ทรงไว้แล้ว เลวที่สุดก็ผ่านมาแล้ว ๆ มันก็ยังต้องกลัว ขยะ ๆ กลัว โถ มันเป็นมาอย่างนี้ ๆ

เพราะความไม่รู้ มันปิด ๆ ให้ไปตกอยู่ตลอดเวลา แล้วท้อใจ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะสอนใครให้รู้ได้ นั่นฟังซิ สอนใครเขาก็จะหาว่าบ้าไปหมด พูดไปที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อ อยู่ไปกินไปพอถึงวันสิ้นลมหายใจแล้วไปเสียเท่านั้น จะไปสอนหาอะไร นั่นขึ้นแล้วนะท้อใจ เราไม่ได้วัดรอย เราไม่ได้แข่งพระพุทธเจ้า หลักความจริงมียังไง พระพุทธเจ้าสอนธรรมเป็นความจริง เราพูดตามหลักความจริง จึงไม่สะทกสะท้านว่าจะกระทบกระเทือนถึงพระพุทธเจ้าเลยว่าผิดไป เมื่อมันเป็น มันเป็นจริง ๆ เป็นในเจ้าของเองนี่นะ ท้อใจ น้ำตานี่พัง ฟังซิน่ะ เป็นยังไงน้ำตาถึงพัง ทุกอย่าง อัศจรรย์ธรรมที่เลิศที่เลอนี้ก็อัศจรรย์เต็มเหนี่ยว ที่ขยะแขยงต่อความทุกข์ความทรมานทั้งหลายแห่งความเป็นมาของตัวและสัตว์ทั้งหลายมันก็แบบเดียวกัน

น้ำตานี้ออกได้หลายด้านหลายทางนะ ความอัศจรรย์ ความสลดสังเวชต่อโลกทั้งหลายที่จะจมกันอยู่ในนรกหมกไหม้ ในวัฏวนนี้ก็ไม่มีวันที่จะข้ามไปได้ถ้าไม่มีความดีเสียอย่างเดียว นั่นฟังซิน่ะ ความดีคือทาน ศีล ภาวนา นี้ละเป็นเครื่องประกัน เป็นเครื่องฉุดลากที่จะออกได้ นอกนั้นไม่มี ใครอย่าไปหวังพึ่งอะไรนะในโลกอันนี้ สามแดนโลกธาตุอย่าไปหวังพึ่งอะไรว่าจะฉุดลากเราได้ นอกจากบุญทานการกุศลนี้เท่านั้น อันนี้เท่านั้น ฟังแต่ว่าเท่านั้น อันนี้ละที่จะลากขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจึงบอกให้สร้าง ๆ

ฝืนความชั่วช้าลามกทั้งหลาย ต้องฝืนไม่ฝืนไม่ได้ มันเหนียวแน่นแก่นที่สุดเลยไม่มีอะไรเกิน เหมือนสายยางดึงไปนี้เหนี่ยวไว้นะ พอปล่อยมือปั๊บดีดปุ๊บเข้าที่เดิม กิเลสดึงสัตว์ก็แบบเดียวกัน ไปไหน ๆ มันดึงไว้ ๆ เวลาถึงขั้นท้อใจมันท้ออย่างนั้นจริง ๆ ท้อจนเหมือนว่าปิดตันอั้นตู้ จะสอนไปได้ยังไง มองดูแล้วมันดูไม่ได้เลย เราก็ผ่านมาโลกอันนี้โลกดูไม่ได้นี่ ทีนี้เวลามันมาเห็นเรื่องความผ่านมา โลกทั้งหลายเป็นอย่างนี้จะทำยังไง มันก็ปิดตันอั้นตู้ไม่อยากสอน อยู่ไปวันหนึ่ง ๆ พอยังชีวิตให้เป็นไปเท่านี้ ถึงวันตายแล้วก็ไปเสียเท่านั้น ไม่รู้จะสอนไปหาอะไร

เรื่องความคิดความรู้มันก็รู้อย่างนี้ ทีนี้จิตอันหนึ่งมันไม่ได้อยู่นะ มันหมุนของมันติ้ว ๆ สักเดี๋ยวก็ได้ข้อต้านทานกันขึ้นมา หรือข้อกระตุกกันก็ถูก เอ้า ถ้าว่าธรรมชาติเหล่านี้สุดวิสัยที่ใคร ๆ จะรู้จะเห็นได้ ธรรมพระพุทธเจ้าสุดวิสัยที่ใคร ๆ จะรู้จะเห็นได้ แล้วเราเป็นเทวดามาจากไหนทำไมรู้ได้ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกันกับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป เราทำไมรู้ได้ เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เราเป็นเทวดาพิเศษมาจากไหนถึงรู้ได้แต่เราคนเดียว ทำไมเขาจะรู้ไม่ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด คำว่าเพราะเหตุใดก็มีสายทางมา มาวัดป่าบ้านตาด มาจากอะไร ก็มาจากสายทาง มีทางเข้ามา นี่รู้ได้เพราะเหตุใด เราปฏิบัติอย่างไร ที่นี่มันก็ดึงกันย้อนหลังไปซี เราเดินมาด้วยปฏิปทาพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วด้วยสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้ว นี้คือทางอันชอบธรรม ทางสายที่ปลอดภัย เราดำเนินมานั้นจนกระทั่งถึงนี้

พอว่าทำไมถึงรู้ได้ รู้ได้เพราะเหตุใด เพราะเหตุใดคือว่าสายทาง อ๋อ แน่ะยอมรับนะ อ๋อ รู้ได้ แม้ไม่มากก็รู้ได้เพราะมีทางเดินเข้ามา ธรรมที่สอนไว้เรียบร้อยแล้วนี้เป็นทางที่ราบรื่นทั้งหมด สวากขาตธรรม เมื่อมีผู้ดำเนินมาอยู่แล้วได้ ไม่มากก็ได้ ทีนี้ปฏิเสธไม่ได้นะ อ๋อ ทีนี้ลงละนะ ลงใจ ถ้าอย่างนั้นก็สอนไป มันหากเป็นของมันเองนั่นละ พออันนี้ลงใจแล้วมันก็มีแก่ใจที่จะพูดจะจาจะอะไรต่อใคร ๆ เฉพาะอย่างยิ่งวงพระก่อนอื่น สุดท้ายก็มาถึงอีตาเพ็ง วัดถ้ำกลองเพล นั่นเป็นคำพูดคำแรกที่เราเปิดออกนะ ในคืนวันแรม ๑๔ ค่ำเดือน ๖ มันขึ้นตอน ๕ ทุ่ม เหมือนหนึ่งฟ้าดินถล่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ลงอุโบสถ ที่วัดดอยธรรมเจดีย์

พอลงอุโบสถปาฏิโมกข์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็มาวัดสุทธาวาส หลังอุโบสถแล้วก็มาค้างวัดสุทธาวาส พอดีท่านเพ็งขึ้นไปหา นั่นผ่านมาได้คืนหนึ่งแล้วนะ คืนที่สองท่านเพ็งขึ้นไปหาเราไม่ลืม นี่เปิดปากทีแรกเลย มีสองต่อสอง จังหวะพอดีเลย เพราะท่านเพ็งไปกับเรา เราลงมาจากวัดดอยจะไปทางอำเภอวาริชภูมิ จะไปจำพรรษาวาริชภูมิ ท่านเพ็งก็มาด้วย มาก็ได้จังหวะพอดี อยู่ ๆ ก็ว่า เพ็ง ก็ว่าอย่างนั้นละนะ ตาจ้องขึ้นมา เราว่า เพ็ง นี่จะพูดอันหนึ่งให้ฟังนะ เราก็เลยพูดให้ฟังตามเรื่องราวที่หลังวัดดอยธรรมเจดีย์เมื่อคืนนี้ ว่างั้นเลย เพราะคืนที่สองกำลังคุยกัน คืนแรกผ่านมาแล้ว เมื่อคืนนี้เป็นอย่างนั้น ๆ เล่าให้ฟัง

สรุปเอาเลยว่า ท่านเคยติดสอยห้อยตามผมมาเป็นเวลานาน ท่านนี่องค์หนึ่งที่เคยติดสอยห้อยตามผมมานานกว่าเพื่อน คือท่านองค์หนึ่ง ท่านสิงห์ทององค์หนึ่ง เราบอก แล้วคำพูดที่ผมพูดเมื่อสักครู่จนกระทั่งจบลงนี้ ท่านเคยได้ยินผมพูดไหม ท่านเคยติดสอยห้อยตามผมมานานแสนนาน ท่านเคยได้ยินคำพูดประเภทนี้ไหม ที่ผมพูดให้ฟังนี้ ทางนั้นคึกคักขึ้นเลย ไม่เคยได้ยิน อู๋ย ตื่นเต้น ไม่เคยได้ยินนะ เอา ให้ตั้งใจให้ดีนะ ธรรมพระพุทธเจ้าสด ๆ ร้อน ๆ อย่างนี้แหละ สายทางก็สด ๆ ร้อน ๆ ให้ก้าวเดินมาจะมาถึงธรรมชาติที่สด ๆ ร้อน ๆ เหมือนกัน ธรรมะเป็น อกาลิโก ไม่มีต้นมีปลาย เสมอต้นเสมอปลายทั้งบาปทั้งบุญ ให้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ละความชั่ว บำเพ็ญความดี จะได้ความดีสด ๆ ร้อน ๆ ไปนะ

นี่ละเปิดปากคนแรกให้ท่านเพ็งฟัง จนตื่นเต้นท่านเพ็งก็ดี ก็ไม่เคยได้ยินนี่ ตั้งแต่เรายังน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขาคนเดียวว่าไง มาจากไหนก็ไม่รู้นะน้ำตาพังเลย มันอัศจรรย์ นี่ละธรรมเหล่านี้ตั้งแต่บัดนั้นมาจนกระทั่งบัดนี้ ท่านเรียกว่านิพพานเที่ยง เราไม่ได้สงสัยเลย ผางขึ้นเท่านั้นพอแล้ว ไม่มีคำว่าอดีต อนาคต จะมากวนใจ ธรรมชาตินี้คือธรรมธาตุเท่านั้นพอแล้ว นั่นละตั้งแต่นั้นมาก็สอนโลกเรื่อยมา วาระสุดท้ายก็มาเกี่ยวกับโยมแม่ อันนี้มันก็รู้ แน่ะ ถึงวาระจะพูดก็พูดบ้างซิ เราก็ได้บอกกับหมู่เพื่อน นี่ผมยังไปไหนไม่ได้นะ เกี่ยวข้องกับโยมแม่แล้วนี่ บอกนะ เพราะมันบอกอยู่ในนี้เสร็จหมดเลย ออกพรรษาแล้วนี้จะต้องไปหาโยมแม่ ตอนนั้นอยู่ห้วยทราย ออกพรรษานี้จะต้องไปหาโยมแม่ เพราะเรื่องมันเกี่ยวโยงกับโยมแม่ ผมตั้งใจเอาโยมแม่บวชเสียก่อน

ก็มาจริง ๆ ส่งจดหมายมาล่วงหน้าบอก พอมาทางนี้ก็เตรียมพร้อม มาก็จับบวชเลย ตั้งแต่นั้นมาก็พันอยู่อย่างนี้ เป็นมูตรเป็นคูถเป็นส้วมเป็นถานเรื่อยมาอย่างนี้ เข้าใจไหม ให้พี่น้องทั้งหลายฟังนะ นี่ละเราเทศน์สอนโลกเราไม่ได้เทศน์เล่น ๆ ว่าอะไรจริงอันนั้นทุกอย่าง ได้พิจารณาเต็มหัวใจแล้วออกตรงไหน เอา ว่างั้นพุ่งเลย พุ่งเลยเทียวละ ถ้าได้พิจารณาเต็มสัดเต็มส่วนแล้วมันออกช่องไหน อะไร ๆ ควรจะออกมากน้อย บอกให้พุ่งเลย เอ้า พุ่งเลย ๆ นั่นความจริงของธรรมเป็นอย่างนั้น สะทกสะท้านหวั่นไหวที่ไหน นี่ก็ได้สอนพี่น้องทั้งหลายมามากต่อมาก นานแสนนาน เป็นเวลาดูเหมือนจะ ๕๒ ปีแล้วมั้ง พฤษภา มิถุนา กรกฎา สิงหา น่าจะ ๕๒ ปีก้าวเข้า ๓ เดือนแล้ว วันที่ ๑๕ พฤษภา ๒๔๙๓ นี่ละใครจะเอาก็เอา”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๔๔]



9). “เราเจตนาเพื่อโลกเพื่อสงสาร จนกระทั่งหัวใจเราขาดดิ้นเราก็ยังยอมเราบอกแล้วนี่นะเป็นของเล่นเมื่อไร นี้เป็นครั้งที่สองเราบอกแล้วเรื่องช่วยโลก ช่วยตัวของเราพี่น้องทั้งหลายก็ฟังแล้วเป็นยังไง ไว้หน้ากันที่ไหนระหว่างหลวงตาบัวกับกิเลสซัดกัน จะตายก็ตายฟังซิน่ะ มันไม่ได้ถอย เพราะฉะนั้นอำนาจแห่งความเอาจริงเอาจัง เด็ดเดี่ยวในทางอรรถทางธรรม จึงปราบกิเลสเหล่านี้ได้ลงเรียบวุธไปเลย จึงได้นำปฏิปทาเด็ดเดี่ยวอาจหาญชาญชัยด้วยความดีทั้งหลายนี้มาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ เพื่อให้เป็นคติตัวอย่าง

อย่าอ่อนแอท้อแท้กับความชั่วช้าลามก มันเหยียบจริง ๆ นะ เราสอนอย่างนั้นต่างหาก นี่เป็นครั้งที่หนึ่งก็บอกแล้ว ครั้งที่สองก็เหมือนกัน เราช่วยบ้านช่วยเมือง ช่วยหัวขาดเลย เราพูดจริง ๆ อย่างนี้ ถ้าลงมันได้เด็ดมันเด็ดจริง ๆ ไม่ได้เหมือนใคร เราพูดจริง ๆ เหมือนเราคนเดียวเท่านั้นใครอย่ามาแย่งตำแหน่งเราไป ศอกถองเอาหลงทิศไปนะ เวลาเอาจริงจริงจริง ๆ เวลาเล่นกับหมานี้ใครมายุ่งไม่ได้นะ ซัดกับหมาจนมันร้องแง็ก ๆ วิ่งเข้าป่า สู้เราไม่ได้ เวลาเล่นกับหมาก็เอาจริงเอาจังมาก จนหมาวิ่งเข้าป่า คือเขาเมื่อยเขาเพลีย จับขาดึงออกมา เล่นไปเล่นมาหลายครั้งหลายหนมันเหนื่อยซิหมา พอหลุดมือนี้วิ่งเข้าป่า เอาจนกระทั่งหมาเข็ดหมากลัว อย่าว่าแต่มนุษย์กลัวเลย หมาก็กลัว เล่นกับหมา หมาก็กลัว เราพูดอย่างนี้ยังไม่ลืมโยมแม่ดุใหญ่โตเหมือนกันนะ ตั้งแต่เป็นหนุ่ม มันเป็นตั้งแต่เด็กกับหมานี่พูดจริง ๆ นะ จนกระทั่งเป็นพระเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ถอยกับหมา เดินจงกรมอยู่บางทีไอ้หมีมันบุกเข้ามา มึงมาจากไหนไอ้หมี มันก็บึ่ง ๆ มา ตบหลังปุ๊บเฉยเลยนะไอ้บ้าตัวนี้ไม่ได้สนใจกับเรา โหย ท่าใหญ่มาก ตีปั๊วะหลังมันเฉย โถ มึงยังท่าใหญ่อยู่หรือไอ้หมี มันก็ไปเฉย มันไม่กลัวเรานะ

เราเดินจงกรมนี้มันมา บึ่ง ๆ เข้ามา มึงมาจากไหนไอ้หมี เตรียมท่าแล้วนะ พอมาก็ฝ่ามือใส่กลางหลัง เขาเดินเฉยเลย โธ้ มึงยังท่าใหญ่อยู่หรือไอ้หมี แน่ะเล่นกับหมาก็เป็นอย่างนั้นละ เวลาจริงก็จริงจริง ๆ อย่างที่ว่าช่วยชาติคราวนี้เราช่วยอย่างจริงจัง ตัดคอลงไปเลยเทียว เอา ถ้าลงหลวงตาบัวยังไม่ตาย ยังเหลือหลวงตาบัวคนเดียวใครอย่าเข้ามานะถ้าไม่อยากเป็นศพว่างั้นเลย เข้าใจไหม คนไทยตายทั้งชาติแล้วก็ตาม หลวงตาบัวยังอยู่อย่าเข้ามานะ อันใดที่เรารักเราสงวนอย่าเข้ามาจุดนี้นะ ถ้าไม่อยากตายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ถ้าจะหวังตายหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ จดทะเบียนบัญชีมา จดมาแล้วมาอ่านให้หลวงตาบัวฟัง มาครบกันแล้วโคตรแซ่ของเราว่าจะมาจมด้วยกันหมด เอ้า เข้ามาเราจะบอกอย่างนั้นเลย ใส่เปรี้ยงเดียวหงายหมาหมดเลย นี่เรียกว่าจริงไม่ได้เล่นยังบอกแล้วเราช่วยชาติไทย เพราะฉะนั้นจึงกล้าพูดทุกอย่างต่อพี่น้องชาวไทยเราด้วยความเมตตาล้วน ๆ ไม่มีกิเลสตัวใดแม้เม็ดหินเม็ดทรายที่จะมาแฝงในกิริยาอาการที่พูดนี้เลย มีแต่ธรรมล้วน ๆ ออก ธรรมล้วน ๆ คือเมตตาธรรม จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจทุกคน”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๔]



10). “เราเป็นปัจจุบันที่มาสอนพี่น้องทั้งหลาย ก็บอกว่าเราก็เดนตายมาแล้วมาพูดให้ฟัง พูดเล่นอะไร นี่ละเรื่องอำนาจของกิเลสเวลามันหนามันแน่นนี้ โถ นั่งน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ลืมเมื่อไร สด ๆ ร้อน ๆ โถ ๆ อยู่อย่างนั้นนะ โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวนะ ๆ คือไม่มีกำลังวังชาสติปัญญาสู้กับมันได้เลย เวลากระแสของกิเลสนี้เหมือนคลื่นในมหาสมุทร แล้วเอาฝ่ามือไปกั้นคลื่นมหาสมุทรมีอย่างเหรอ ฝ่ามือขาดสะบั้นเลย อันนี้กระแสของกิเลสที่มันหนาแน่นนี้ ความเพียรประเภทเราเกาหมัดมันได้เรื่องได้ราวอะไร มันไม่ได้เรื่องได้ราว

นั่งน้ำตาร่วงเราไม่ลืม นี้เอามาสอนพี่น้องทั้งหลาย คำว่าน้ำตาร่วงมันเป็นบาทฐานอันสำคัญที่ปลุกใจเราให้ตื่นให้ไม่ถอย ถึงขนาดว่า หือ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพัง นี่เห็นไหมเคียดแค้นแล้วนะ ยังไงมึงต้องพัง ให้กูถอยกูไม่ถอย ทั้ง ๆ ที่สู้มันไม่ได้ก็ไม่ถอย น้ำตาร่วงต่อหน้าต่อตา กลับไปก็ไปหาพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรานี่จะไปหาใครวะ พอไปศึกษากับท่าน พูดถึงเรื่องราวภาวนาเป็นยังไง ท่านก็ใส่เปรี้ยง ๆ

ได้อุบายวิธีการฝึกฝนอบรมตนพอสมควรแล้วกลับมาอีก ๆ เอาอีก แต่คราวหลังมานี้น้ำตาไม่ร่วงนะ ร่วงหนเดียว นอกนั้นก็ยอมรับว่าสู้มันไม่ได้ ๆ หลายครั้งหลายหนผูกโกรธผูกแค้นภายในใจ ไปเอามาอีก เอา มาอีกหลายครั้งหลายหนก็ซัดกัน ก็ได้เรื่อย ๆ จากนั้นมาก็ขึ้นตะพองเหมือนช้าง ขอกระหน่ำลงไปเลยเทียว มันจะร้องโอ้ก ๆ ขนาดไหนก็ตาม มึงเรากูนี้ เอาพิลึกพิลั่นนะ นี่เป็นทีกู ๆ เอาบ้างละ ทีนี้ก็ซัดเลย นี่อุบายวิธีการที่นำมาสอนพี่น้องทั้งหลายไม่ใช่ได้ด้วยความอ่อนแอนะ ได้ด้วยความมุมานะ มุมานะอันนี้เป็นธรรม ความโกรธแค้นให้กิเลสอย่างนี้เป็นธรรมไม่ใช่เป็นกิเลส เราโกรธแค้นมากเท่าไร ความเพียรยิ่งหนักยิ่งแน่น ซัดกันลงไม่คำนึงถึงเป็นถึงตาย แล้วก็ค่อยโผล่ขึ้นมา

นี่ละเห็นไหม ตีเข้าไปไม่หยุดไม่ถอย กระแสของกิเลสที่มันเอาจนกระทั่งถึงน้ำตาร่วง ทีนี้มันก็ค่อยจางไป ๆ ทางนี้ก็หนักขึ้น ๆ พอได้ที่ก็ซัดกันเลย จากนั้นมาก็เรื่อย ๆ ดังที่พูดให้ฟัง นี่อำนาจแห่งความเอาจริงเอาจัง เอาเด็ดเอาขาด สู้เป็นสู้ตายจริง ๆ กับข้าศึกศัตรูอันใหญ่หลวงนี้ถึงขนาดน้ำตาร่วง เอาขนาดนั้นจึงพอกัน จากนั้นมาแล้วก็เบิกกว้าง นี่ก็ผลแห่งการเอาจริงเอาจัง เห็นไหมเบิกกว้างออกมา ให้พอมีลมหายใจได้ อยู่ที่ไหนค่อยสบาย จิตสงบเข้ามา ๆ เย็นสบาย อยู่ไหนสบาย จากนั้นสบายไปตลอด เพียงขั้นสมาธิเท่านี้ก็พอตัว ถ้าไม่มีธรรมะที่สูงกว่านี้แล้วติดได้สมาธิ เพราะฉะนั้นผู้บำเพ็ญภาวนาจิตที่เป็นสมาธิแล้ว เราพูดว่ามักจะติดนี้พูดย่อม ๆ นะ ติดว่างั้นถูกต้อง คือมันเพลิน เพลินอยู่ทั้งวันทั้งคืน อยู่ที่ไหนมันไม่ได้สนใจนะ การอยู่การกินการหลับการนอนอะไร คือความรื่นเริงบันเทิง ธรรมกับใจนี้หล่อเลี้ยงกันตลอดเวลา อยู่ไหนมันอิ่มอยู่นี้นะ มันไม่ได้ไปสนใจกับภายนอก อดอิ่มอะไรมันไม่สนใจ ใจกับธรรมอิ่มตลอดเวลา นี่เพียงขั้นสมาธิเท่านี้พอ เราเป็นมาแล้ว เราเอามาพูดเล่นเหรอ จนพ่อแม่ครูจารย์ลากออก มันติดสมาธิถึง ๕ ปี ติดอยู่แบบนี้ละ นี่ที่ว่าความเพียรเราไม่เร่งนัก หรือว่าไม่สมบุกสมบันจนถึงขั้นจะเป็นจะตาย ก็มาอยู่ในธรรมะขั้นนี้ พอสงบตัวสบาย ๆ มันก็เร่งความเพียรของมันอยู่ในขั้นนี้เหมือนกัน จะให้มันนอนใจมันไม่นอน มันก็เร่งในความสงบของมัน เพลินในความสงบอยู่นี้เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่าต่างกัน ความทุกข์ไม่ค่อยมายุ่ง มีแต่ความเพลินในความสงบสุขเย็นใจ สว่างไสวภายในสมาธิของตัวเองนี้ก็พอ ไม่สนใจจะออกไปไหน

แม้ที่สุดที่จะคิดถึงเรื่องรูปเรื่องเสียง ที่เคยกระทบตาหูจมูกลิ้นกายใจของเรานี้ เอามาครุ่นมาคิดทั้งวันไม่มีเวลาจืดจางนี้มันก็ไม่อยากคิด มันถือว่าเป็นความรำคาญ คิดปรุงแย็บออกมาเท่านี้รำคาญแล้ว จิตที่ดิ่งอยู่อันเดียวมีแต่ความรู้ล้วน ๆ เอกจิตเอกธรรมเท่านี้พอ ในขั้นนี้ว่าพอนะ เพราะไม่รู้ธรรมที่เหนือนี้ไป อยู่นั่นละที่นี่ ถ้าลงได้อยู่นี่แล้วอยู่ไหนอยู่ได้สบายหมด ขอให้จิตสบายเสียอย่างเดียวพี่น้องทั้งหลายจะทราบชัดเจน ว่าโลกอันนี้ความสุขความทุกข์ที่แท้จริงอยู่ที่ไหน อยู่ที่จิตว่าอย่างนั้นเลย พอจิตได้เบิกกว้างจากฟืนจากไฟที่เป็นกิเลสทั้งหลายนี้ออกไปแล้วนั้น ความเย็นฉ่ำจะขึ้นมาเรื่อย แทนกัน ๆ สงบร่มเย็น ๆ

สุดท้ายสิ่งภายนอกไม่มีความหมายนะ อาศัยเขาไปอย่างนั้นแหละ อิฐปูนหินทราย ตึกรามบ้านช่อง เงินทองข้าวของ อาหารการบริโภค อาศัยเพียงเยียวยาธาตุขันธ์ แต่อาหารของใจได้แก่ธรรมอิ่มอยู่ตลอดเวลา เป็นอย่างนั้นละ นี่ขั้นนี้ก็เพลินแล้วนะ จากที่เราตะเกียกตะกายแทบเป็นแทบตายน้ำตาร่วง มาถึงขั้นนี้แล้วรื่นเริงบันเทิง นี่ผลแห่งการปฏิบัติเอาจริงเอาจัง จากนั้นก็ออกทางด้านปัญญา ปัญญาเราก็เคยพูดแล้ว โอ๊ย พิลึกนะ ปัญญาจึงไม่อยากจะพูดอะไร คือว่ามันเข้ากันไม่ได้เลย ที่จะมาพูดนี้เรียกว่าหยาบมากที่สุด กับปัญญาที่เกิดขึ้นจากหัวใจ พร้อมทั้งใจนี้เป็นสติปัญญาอัตโนมัติของตัวเองแล้วเป็นธรรมไปหมดเลย เป็นธรรมจักรหมุนติ้วตลอด ฆ่ากิเลสตลอดเวลา ไม่ว่ายืนเดินนั่งนอน

เรื่องธรรมภายในใจจะไม่มีอิริยาบถ ฆ่ากิเลสเช่นเดียวกันกับกิเลสที่มันบีบหัวใจสัตวโลกนี่ละ ไม่มีอิริยาบถ เป็นอัตโนมัติของมัน พอคิดปั๊บเป็นกิเลสแล้ว ๆ นั่งอยู่ก็ตามนอนก็ตาม เดินก็ตาม เว้นแต่หลับสนิทเท่านั้น ถ้าหลับไม่สนิทก็ละเมอเพ้อฝันเป็นบ้าไปอีก นี่สังขารกวนใจ สังขารของสมุทัย เมื่อไม่มีอันนี้แล้วหลับสนิทนั่นละมีเท่านั้น หยุด พอตื่นขึ้นมาปั๊บนี้กิเลสจะทำงานแล้วนะ ความคิดความปรุงเกี่ยวกับเรื่องรูปเรื่องเสียงเรื่องกลิ่นเรื่องรส เรื่องหน้าที่การงาน ความดีความชั่ว จับเข้ามาเผาอยู่ในหัวใจ บ่มอยู่ในหัวใจ ไม่ได้คำนึงนะว่าอันนี้คิดแล้ว เคยรู้เคยเห็นเคยเป็นมาแล้ว เท่านั้นวันเท่านี้ปีเท่านี้เดือนอย่างนี้ไม่เคยสนใจ เป็นสิ่งที่สด ๆ ร้อน ๆ ตลอดเวลา เผาได้ตลอดเวลาเลย นี่เรียกว่ากิเลสทำงาน โดยอัตโนมัติของมันบนหัวใจสัตว์ เป็นอย่างนี้ด้วยกันทุกคน นี่เป็นอัตโนมัติให้พิจารณาเสียนะ

ถ้ายังไม่ทราบว่ากิเลสทำงานบนหัวใจเราเอาไฟเผาเราตลอดเวลา เป็นอัตโนมัติของมัน ทีนี้เวลาธรรมอันนี้เป็นธรรมจักรแล้ว ทีนี้แก้กันละนะ พอธรรมเป็นอัตโนมัติแล้ว กิเลสเป็นอัตโนมัติผูกหัวใจของสัตวโลกฉันใด ธรรมะก็เป็นอัตโนมัติแก้กิเลสบนหัวใจตัวเองโดยไม่มีอิริยาบถเหมือนกัน ไม่ว่าจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอน ไม่มี เว้นแต่หลับสนิท พอตื่นขึ้นพับจับแล้ว จับฆ่ากิเลสนะ จับศาตราวุธคือสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรฟาดกิเลสตลอดเวลา ไม่มีอิริยาบถ นี่เห็นไหม เอาให้เห็นจัง ๆ อย่างนี้ซิ ดึงเอามาจากเวทีมาพูดจะผิดไปไหนวะ เมื่อเวลาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องเพลินนี้เพลินจนกระทั่งได้ยับยั้งเอาไว้ เรื่องว่าเพียร ๆ ไม่ทราบว่าเพียรหาอะไร ก็มันจะตายอยู่แล้วด้วยความพยายามจะแหวกว่ายให้หลุดพ้นจากทุกข์ ถ้าว่าความเพียรกล้านั้นพอฟังได้นะ คือคำว่าความเพียรกล้านี้เพียรเพื่อให้พ้นจากทุกข์ นี่เพียรกล้าไป ถ้าจะให้ความเพียรปัจจุบันนี้ มันเพียรของมันอยู่แล้ว จนกระทั่งรั้งไว้ให้ได้หลับได้นอนได้พักอยู่ในสมาธิพอสะดวกสบาย ไม่งั้นมันจะหมุนของมันแก้กิเลสเป็นอัตโนมัติ เข้าใจไหมล่ะ เราจึงทราบว่า อ๋อ กิเลสเป็นอัตโนมัติฉันใด เมื่อธรรมได้ถึงขั้นเป็นอัตโนมัติที่จะแก้กิเลสแล้วเป็นอย่างเดียวกัน ไม่อย่างนั้นไม่ทันกัน

ถึงธรรมเป็นขั้นอัตโนมัติแล้วกิเลสมีเท่าไร มีมาเท่าไรขาดสะบั้น ๆ เป็นอัตโนมัติเหมือนกันหมด จนกระทั่งขาดสะบั้นลงไปโดยสิ้นเชิง กิเลสตัวไหนมาข้องมีไหม นั่นมันเห็นประจักษ์อยู่นั้นนะ ขาดสะบั้นลงไปหมดแล้ว เรียกว่าหมดภัย ไม่มีกิเลสตัวใดจะมาผ่านแม้เม็ดหินเม็ดทราย จึงเรียกว่าท่านบริสุทธิ์พุทโธเต็มดวง ตรัสรู้ธรรมเต็มสัดเต็มส่วน เป็นธรรมธาตุเต็มสัดเต็มส่วนในหัวใจท่าน แล้วท่านจะไปมีอดีตอนาคตที่ไหนว่า วันนั้นเสื่อมวันนี้เจริญอย่างนั้นอย่างนี้ ท่านจะมีที่ไหน ประจักษ์อยู่ในนั้น ภัยขาดสะบั้นลงไปใจมีแต่ธรรมธาตุล้วน ๆ กระจ่างแจ้งอยู่นั้น นี่การปฏิบัติธรรม

ธรรมมีหรือไม่มีที่พูดเวลานี้ ท่านทั้งหลายทราบหรือยังว่าธรรมมีหรือไม่มี หรือแม้กิเลสเผาหัวอยู่ก็ว่ากิเลสไม่มี เอามันมาเผาอีก โหย พูดแล้วมันโมโหนะ กิเลสเผาหัวจนจะไม่ได้หลับได้นอนจะเป็นบ้าอยู่นั้น กิเลสมีหรือไม่มี ไม่มี แล้วธรรมมีหรือไม่มี ธรรมก็ไม่มี มีอะไรเวลานี้ มีแต่คนเป็นบ้านั่นละเต็มบ้านเต็มเมือง นี่จะพอพูดได้นะ อะไรมี คนและสัตว์เป็นบ้าว่างั้นได้ เข้าใจ ให้พากันตะเกียกตะกาย ธรรมมีอยู่กิเลสมีอยู่เสมอกัน เสมอต้นเสมอปลาย แต่เวลานี้ถูกกิเลสมันเป็นเหมือนกับจอกกับแหนปกคลุมน้ำคือธรรมไว้ไม่ให้เรามองเห็นน้ำ สระใหญ่บึงใหญ่ขนาดไหนก็ตาม น้ำจะมีเต็มบึงเต็มสระก็ตาม ถ้าลงจอกแหนได้ปกคลุมไว้แล้วยังไงก็มองน้ำไม่เห็น เต็มสระก็เต็มอยู่อย่างนั้น มองน้ำไม่เห็น เห็นแต่จอกแต่แหน

อันนี้กิเลสตัณหาเต็มหัวใจเรา จะมีอุปนิสัยปัจจัยมากน้อยเพียงไรก็เป็นเหมือนน้ำในบึง ก็มองไม่เห็น มีแต่กิเลสมันออกหน้าออกตายุ่งตลอดเวลา เพราะฉะนั้นให้เปิดออกด้วยความพากความเพียรความอุตส่าห์พยายาม แล้วจอกแหนจะค่อยเปิดออก ๆ ต่อไปก็จะค่อยเห็นน้ำ ๆ เมื่อเห็นน้ำแล้วก็เห็นพยาน ก็เปิดจอกเปิดแหนด้วยความมีแก่ใจ สุดท้ายก็เปิดไม่หยุดไม่ถอย ฟาดมันขึ้นบนสระเสียหมด ทีนี้เป็นยังไงน้ำมีหรือไม่มี แล้วเป็นยังไงธรรมมีหรือไม่มีในหัวใจ แต่ก่อนมีแต่กิเลสครอบอยู่ในหัวใจ เหมือนจอกเหมือนแหนครอบอยู่ตลอดเวลา ความโลภก็ครอบ ความโกรธราคะตัณหาเป็นไฟทั้งนั้นครอบตลอดเวลา ถึงวาระที่จิตใจมีกำลังแล้วเลิกออก ๆ ถอนออก ๆ รื้อออกจนหมดแล้วจ้าขึ้นมา ธรรมมีหรือไม่มีจะไปถามใคร มีหรือไม่มี ฟังเอาซิ”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๔]



11). “ใครมาก็ต้องเอากิริยามารยาทมาแสดงต่อกัน ก็ติดกันไปเรื่อย ๆ ทีนี้กิริยาของศีลของธรรมอันดีงามนี้ไม่ค่อยมี มันอดคิดไม่ได้นะ อดคิดไม่ได้ยังไง ก็นี่บวชมาได้ ๖๗ ปี ตั้งแต่บัดนั้นละมา แต่ก่อนก็แบบคึกคะนองเป็นธรรมดาที่เคย เขาก็เป็นเราก็เป็น ไม่ได้คิดนะว่าผิดว่าถูกประการใด มีแต่ความคึกความคะนอง ความอยากได้อยากทำอยากไปอยากมาแล้วก็ไปตามเรื่อง เขาก็ตามเรื่องเราก็ตามเรื่อง จึงมีแต่เรื่องเลอะ ๆ เทอะ ๆ ล่ะซี

คำว่าเลอะ ๆ เทอะ ๆ มันก็เป็นตามขั้นของคน ไม่ได้เลอะไปหมดนะ มันเป็นตามขั้นตามตอน แต่ส่วนมากก็อยู่ในเกณฑ์ที่ว่าเคยชินต่อนิสัย ทั้งเขาทั้งเราคละเคล้ากันไปด้วยนิสัยอันนี้ มันก็เลยกลายเป็นเลอะ ๆ เทอะ ๆ ไป ทีนี้เวลาเข้าบวชปั๊บ หลักธรรมวินัยเข้ามาแล้วตั้งแต่วันบวช รักษาศีล นั่นละชีวิตของพระเริ่มมาตั้งแต่วันนั้น จากนั้นมาก็เข้มงวดกวดขัน บวชทีแรกยิ่งระมัดระวังมากก็เรียกว่าเป็นทุกข์ เพราะเราไม่เคยระมัดระวัง เขาก็เหมือนกัน ฆราวาสเขาระมัดระวังอะไร เป็นตามประสีประสา พอเข้าไปบวชแล้วมีหลักธรรมหลักวินัยเข้ามาติดตัวแล้ว ทีนี้ก็อยู่ในกรอบ เหมือนติดคุกนะ บวชเบื้องต้นเหมือนติดคุกติดตะราง แต่ด้วยความสมัครใจก็ไม่ถือเป็นทุกข์ พอใจรักษาเรื่อยมา ๆ ทีนี้ก็เลยเป็นชีวิตของพระของศีลของธรรมไปตั้งแต่บัดนั้นมาเลยเทียว

เราไม่เคยตำหนิถึงเรื่องที่บวชแล้วโกโรโกโส เราไม่เคยมี ตั้งแต่เพื่อนฝูงมาแสดงอากัปกิริยาไม่งามตา ถ้าพอว่าได้ว่าเอาบ้าง อย่างหนึ่งไม่คบ ไม่มากนะ ถ้ามากกว่านั้นคบกันไม่ได้ แตกกระจาย ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นไม่อยากคบก็ไม่คบ มันเป็นขั้นตอนของความผิดพลาดของพระ มีนิด ๆ หน่อย ๆ ที่ขัดธรรมวินัยแล้วจะเลอะเทอะให้เห็น สะเทือนตาสะเทือนใจ แล้วไม่อยากคบค้าสมาคม เป็นอย่างนั้นนะ มากกว่านั้นดุเอาว่าเอาก็มี เพราะผู้รักษา-รักษา ผู้มาทำอย่างนี้ให้เห็นมันขวางเอาจริง ๆ มันเป็นอย่างนั้น

ทีนี้การรักษาก็พยายามรักษามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ เรียกว่าชีวิตจิตใจนี้เป็นศีลเป็นธรรมหมดทั้งตัวเลยก็ได้ มันเป็นของมันเอง นี่พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟังในการระมัดระวังรักษาทีแรก เข้มงวดกวดขันเหมือนติดคุกติดตะราง ไม่อย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราเคยปล่อยตัวตามนิสัยของฆราวาส ไม่ได้รู้จักว่าอะไรผิดอะไรถูก โกโรโกโสไปตามประสีประสาทั้งเขาทั้งเรา ไม่เสียหายก็อยู่ในขั้นโกโรโกโสตามประเภทของเด็กของเพื่อนของฝูงธรรมดา

เวลาเข้ามาบวชแล้วเหมือนกับมีอะไรมัดเข้ามาเลย บวชก็บวชด้วยความตั้งใจด้วย เมื่อตั้งใจแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องตั้งใจระมัดระวังรักษา ต่อมาเรื่องที่คอยระมัดระวังรักษามันชินเข้ามา ๆ จนกระทั่งเป็นเลือดเนื้ออันเดียวกันเลย รักษาหรือไม่รักษาก็เป็นธรรมดา แต่อะไรจะผิดรู้ทันที ตัดปั๊บเลย มันเป็นเองของมันนะ คือไปธรรมดา ๆ นี่ อะไรจะขัดข้องกับศีลกับธรรมนี้ตัดปั๊บ ยกตัวอย่างเช่น เดินไปนี้กำลังก้าวลงจะเหยียบ มีมดตัวหนึ่งมันไต่มานี่ พอดีจะเหยียบมัน โดดผึงเลย แน่ะก็อย่างนั้น คือเราไม่ตั้งใจมันเป็นของมันเองกำลังจะเหยียบลง มดตัวหนึ่งไต่มา หรือสัตว์ตัวหนึ่งอยู่ตรงที่เราจะเหยียบลง พอจะเหยียบ โดดผึงเลย นี่เรียกว่าความเคยชิน ไม่ได้ตั้งใจรักษาก็ตาม มันหากเป็นของมันเมื่อความเคยชินมีแล้ว

ทีนี้ไอ้เรื่องความร่มเย็นเป็นสุขมันก็ติดตามกันมา ๆ ด้วยการเข้มงวดกวดขัน การระมัดระวังรักษาของเรานั่นแหละ ความร่มเย็นเป็นสุขภายในจิตในใจเรื่องศีลเรื่องธรรมไม่ต้องพูด ว่าจะด่างพร้อยที่ตรงไหนให้เกิดความเดือดร้อนไม่มี เพราะความรักษา ทีนี้มันก็อบอุ่นเข้ามาตามขั้นตามภูมิของศีลของธรรมเรื่อยเข้ามา นี่เรียกว่าฝึกหัดเจ้าของ ตั้งแต่ขั้นหยาบ ๆ กาย วาจา ความประพฤติ นี่หยาบ ๆ ส่วนภายในคือใจนี่ละเอียดมาก จากนั้นก็ตีเข้าไปหาเรื่องใจ ยิ่งเข้าเกี่ยวกับเรื่องภาวนาแล้ว อยากจะว่าใจล้วน ๆ ไปเลยก็ได้ ระมัดระวังมันคิดแง่ไหน ๆ อันไหนคิดไม่ดีตัด ห้าม ไม่ห้ามก็สู้กัน คือห้ามมันไม่หยุดไม่อยู่ก็สู้กัน มันยังฝืนก็ซัดกัน นั่นเรียกว่าต่อสู้กัน ทีนี้ผลที่ได้มาคือเราเป็นฝ่ายชนะ คือได้อย่างใจเราแล้วเราผาสุกเย็นใจ ๆ ถ้าไปแพ้ความชั่วแล้วมันเป็นไฟนะ ร้อน แพ้ อยู่ที่ไหน ๆ คนเราแพ้นี้ดูไม่ได้เลย อันนี้เราแก้กับกิเลสตอนใดที่ควรจะชนะได้แต่กลับแพ้นี้ เราก็รู้สึกเสียใจ มันก็ต้องขยับของมันไปเรื่อย ๆ นี่การฝึกฝนอบรมตน

ทีนี้ผลแห่งการฝึกฝนอบรมมีแต่ความเย็นอกเย็นใจสบายใจเรื่อยนะ ผลเป็นความเดือดร้อนไม่มี นี่ละให้เห็นชัด ๆ อย่างนี้ การเข้มงวดกวดขันรักษาตัวเพื่อความดีนี้ มันส่งเสริมความสุขความเย็นใจความอบอุ่นเข้ามา ๆ สุดท้ายในตัวของเราก็อบอุ่นไปหมด หาที่ต้องติที่ไหนว่าเราไปทำผิดไม่มี ไม่มีมันจะเอาพิษมาจากไหน มันก็เย็นละซี มีแต่ธรรมล้อมรักษาอยู่ตลอดเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าถึงด้านจิตใจจิตตภาวนา โอ๊ย อันนี้หนักมากนะ เรื่องจิตตภาวนานี้ในงานแก้ความชั่วภายในจิตใจ ออกมาถึงกายวาจาของเรานี้ งานจิตตภาวนาเป็นงานที่หนักมากทีเดียว เพราะกิริยาของจิตมันอยู่ภายใน ภายนอกนั่งสงบเสงี่ยมภายในมันเหมือนลิง มันดีดมันดิ้นอยู่ภายใน ทีนี้ธรรมจ่อกันอยู่นั้น มันดิ้นไปไหน ๆ บังคับมัน มันคิดทางชั่วยิ่งปัดปั๊วะ ๆ คิดไปทางธรรมดา ๆ ไม่ถึงกับว่าเป็นความชั่วแต่เป็นความไม่ดีงามมันก็ปัดของมัน ยิ่งเป็นความชั่วแล้วปัดปึ๋งเลย ๆ

การระมัดระวังทางด้านจิตใจนี้เป็นชั้นเอกละการฝึกทรมาน เพราะฉะนั้นใครยังไม่ได้เอาศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องกับตัวเอง อย่าเข้าใจว่าตัวเองนี้เลิศเลอมาจากโลกไหนนะ มันก็เลิศเลอด้วยมูตรด้วยคูถแห่งความประพฤติสกปรกโสมม ทั้งกายวาจาใจ ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย เรียนมากเรียนน้อย เป็นแบบเดียวกันหมด เพราะกิเลสเข้าเป็นเจ้าของ เป็นเจ้าอำนาจอยู่ในความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนมา เจ้าอำนาจของกิเลสมันจะทำให้พองตัว ลืมเนื้อลืมตัวไปเรื่อย ๆ ความประพฤติของคนลืมเนื้อลืมตัวจะเอาความดีมาจากไหน ก็มีแต่ความเสียหายไปเรื่อย ๆ นี่ถ้าไม่มีธรรมเข้าแทรก ถ้ามีธรรมเข้าแทรก รู้ตัว ๆ ได้มามากน้อยธรรมนี้เข้าไปเป็นเครื่องประดับ ความรู้เป็นเครื่องประดับแล้วที่นี่ ธรรมแทรกอยู่ภายใน ไปที่ไหนสวยงามไปหมด ดีไปหมด เย็นฉ่ำไปหมด นี่ละการฝึกฝนอบรมตัวให้เป็นคนดีเห็นประจักษ์”

[คัดจากกัณฑ์เทศน์ ณ วัดป่าบ้านตาด วันที่ ๒๔ สิงหาคม]



12). “อย่าเชื่อนะกิเลส มันเอาคนให้จมมามากต่อมาก เราจมมาตั้งกัปตั้งกัลป์ใครพาให้จม ถ้าไม่ใช่กิเลสอะไรพาให้จม ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ได้พาให้จมนะ มีแต่ฉุดแต่ลากขึ้นตลอดเวลา มีมากเท่าไรยิ่งขึ้นเร็ว ๆ เต็มที่แล้วก็ผึงถึงนิพพานเลย หมด เรื่องกองทุกข์ทั้งหลายที่เคยตายกองกันมากี่กัปกี่กัลป์ นี้หมดปัญหาทันทีที่จิตหลุดพ้นแล้วจากกิเลส จะได้เผาได้ฝังแต่ซากศพอันนี้เท่านั้น เพราะจิตนี้พ้นแล้ว นั่นละธรรมพระพุทธเจ้าสอนโลก มีแต่ดึงขึ้นนะไม่ได้ลากลง อย่าฝืนลากลงนะมันจะจมไปหมด

เราสั่งสอนโลกนี้เราสั่งสอนจริง ๆ แต่ก่อนมันไม่เป็นก็บอกแล้วนี่ว่าไง เวลามันมืดหนาสาโหดก็เคยพูดให้ฟัง มืดเสียจนกระทั่งถึงน้ำตาร่วงบนภูเขา นี่ออกมาเข้าสู่สนามรบแล้วยังน้ำตาร่วงบนภูเขาให้กิเลสหัวเราะเยาะเย้ยมันมีอย่างเหรอ แต่เรามันมีแล้วมันเป็นแล้วจะว่าไง ถึงขนาดกูมึงของเล่นเมื่อไร จึงว่าไม่ได้ลืม อันนี้สด ๆ ร้อน ๆ เป็นอยู่กับหัวใจเรา น้ำตาร่วงอยู่บนภูเขา ต่อสู้กับกิเลสสู้มันไม่ได้ กิเลสมันเหมือนกับเสือโคร่งตัวหนึ่ง ไอ้เรามันก็เหมือนกับหนูตัวหนึ่ง ต่อยทีไรมันฟาดเอาเลือดสาด ๆ มันฐานปรานีนะ เพียงเลือดสาด มันไม่ขยำกินกลืนไปพร้อม

มึงเอามาทั้งโคตรทั้งแซ่มึง เท่านี้กูไม่พอกินไอ้หนูตัวเดียวนี้ มันไม่ว่าอย่างนั้นยังดีนะ มันฟาดเลือดสาด ๆ เรียกว่ามันผ่อนผันอนุโลม ยังฐานเมตตา พอเลือดสาด สู้มันไม่ได้ก็มีแต่น้ำตาร่วง เคียดแค้นให้มัน ซัดทีไรหงายทุกที หงายไม่ได้หงายธรรมดา หงายหมาเสียด้วย หงายหมาไม่มีท่า มีแต่ร้องแหง็ก ๆ หงายหมา ถ้าหงายแมวมันตบได้ สู้มันไม่ได้เราลืมเมื่อไร เอามาสอนพี่น้องทั้งหลายนี่ นี่ละกิเลสเป็นของแก้ได้อย่างนี้ด้วยอำนาจของธรรม แก้ไม่ได้พระพุทธเจ้าไม่มีในโลก พระอรหันต์ไม่มีในโลก ผู้สิ้นทุกข์ไม่มีในโลก ก็คือแก้ได้นั่นเอง ท่านจึงสอนให้พวกเราแก้

เวลามันหนัก-หนักจริง ๆ นะกระแสของกิเลส เหมือนคลื่นในมหาสมุทร เราจะเอาฝ่ามือไปกั้นคลื่นมหาสมุทร ฝ่ามือขาดสะบั้นเลย เวลากิเลสมันมีกระแสรุนแรงก็เป็นแบบเดียวกันนั้น มีแต่น้ำตาร่วง ๆ แต่มันก็เป็นมงคลอันหนึ่งจึงได้นำมาสอนพี่น้องทั้งหลาย คือน้ำตาร่วงมันไม่ได้อ่อนใจที่จะท้อถอยความเพียร ถึงขนาดกูมึงอยู่ในใจ ไม่ได้ออกมาคำพูดแหละ ก็คนเดียวนั่งอยู่บนภูเขา น้ำตาร่วงสู้กิเลสไม่ได้ มันตบทีไรหงายหมา ๆ เลือดสาด ๆ หันมาสู้ทีไร ปั๊บหงายหมาแล้ว ๆ มันก็ออกอุทานซิ โถ มึงเอากูขนาดนี้เทียวเหรอ เอาละยังไงมึงต้องพังวันหนึ่ง ให้กูถอยกูไม่ถอย เคียดแค้น เคียดแค้นที่จะฟัดกับกิเลสมันเป็นธรรม ถ้าเคียดแค้นให้บุคคลและสัตว์ตัวใดนี้เป็นกิเลสทั้งนั้น เคียดแค้นให้กิเลสในหัวใจเจ้าของที่จะสังหารมันนี้เป็นธรรม ความเคียดแค้นมากเท่าไรความเพียรยิ่งหนักเข้า ๆ กลับไปกลับมากับพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนี่ละ เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ไม่ได้ลืม

ไปหาท่านไปเล่าเรื่องอุบายให้ฟัง ท่านก็แก้ให้ปุ๊บปั๊บ ๆ กลับมาอีกหงายอีก ๆ อยู่อย่างนั้น หูย สด ๆ ร้อน ๆ นะ นี่ละวิธีแก้กิเลส ให้พี่น้องทั้งหลายฟังเอานะ นี่เป็นคติ แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้ แต่เป็นคติอันดีที่แก้กัน แก้ลำกันจนได้ว่างั้นเถอะ มาถึง ๓ ครั้ง ๔ ครั้งเข้าไปแล้ว ทีนี้คำว่าหงายเริ่มเป็นหงายแมวไปบ้าง มีท่าต่อสู้บ้างแล้ว ไม่ได้หงายหมาร้องแหง็ก ๆ อย่างเดียว ต่อมาทางนี้ก็ได้กำลังขึ้นแล้วหนุนกันใหญ่ เอากันใหญ่เลย ทางนั้นก็ล้มได้ละที่นี่ อ้าว มึงก็ล้มเหมือนกันกับกูเหรอ แต่ก่อนกูล้มหงายหมาให้มึงดูท้องกู นี่มึงก็มีท้องเหมือนกันหรือกิเลสนี่ ซัดกันใหญ่เลย พอได้ท่าก็เอากันใหญ่ นี่ละแก้กิเลสฟังซิพี่น้องทั้งหลาย คือไม่หยุดไม่ถอยเอาจนได้ แก้ได้อย่างนี้จะว่าไง

ตอนที่มันเอาจนน้ำตาร่วง ทีนี้ไม่ร่วงน้ำตามีแต่ฟัดใหญ่เลย ถึงขนาดที่ว่าเวลามันยอมเรามี เราเอาเต็มเหนี่ยวนี้ เหมือนอย่างช้างที่เราโดดขึ้นบนตะพองมันได้แล้วขอกระหน่ำลงไปเลยเทียว ช้างร้องโก้ก ๆ มึงร้องก็ร้องไปเถอะมึงเอากูนี้ขนาดไหน ก็ซัดลงเลย ทางนั้นก็มีแต่หมอบราบ ๆ ทางนี้ก็ขึ้นเรื่อย ๆ นี่ละการแก้กิเลสต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าอ่อนแอไปเลยนี้เหลวไปเลย ใช้ไม่ได้นะ หนักเข้า ๆ เวลากระแสของกิเลสมันหนักมากขนาดไหนอยู่ในหัวใจนี้หมด ทีนี้เวลากระแสของธรรมมีกำลังมากขึ้น ๆ ฟัดกิเลสนี้หงาย ๆ เหมือนกันนะ เวลามันได้หงาย ถึงขั้นสติปัญญาอัตโนมัติถึงขั้นความเพียรเป็นอัตโนมัติ คือไม่ต้องบังคับบัญชามีแต่รั้งเอาไว้ คือมันรุนแรงมันผาดโผนโจนทะยาน มันก็เห็นในใจแล้ว

ทีนี้กิเลสตัวไหนมา นู่นน่ะฟังซิ ถ้าลงสติปัญญาขั้นนี้ได้ขึ้นแล้ว คำว่าถอยไม่มี มีแต่ตายเท่านั้น ไม่ตายก็ต้องชนะ ไม่ชนะมันจะตายก็แบบไม่คาดไม่ฝัน คือจะเอาชนะท่าเดียวไม่ได้คิดถึงเรื่องจะตายนะ นี่เวลามันมีกำลัง สติปัญญาของเรานี้ เรื่องหัวใจนี้อย่าไปคาดนะ ความรู้เวลานี้กิเลสครอบหัวใจอยู่นี้ ใครก็คาดเหมือนเราเหมือนท่านนั่นแหละ คาดไปตามประสาของคนมีกิเลสอยู่ในเรือนจำของวัฏจักร มันก็คาดไปตามประสีประสาของนักโทษในเรือนจำ ทีนี้พอจิตมันผ่านอันนี้ออกไปแล้วคาดไม่ได้เลย ฟังซิน่ะ จิตถึงขั้นฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดา ถึงขนาดที่ว่าได้รั้งเอาไว้ ๆ คือความเพียรมันกล้าเกินไป จนกระทั่งจะไม่หลับไม่นอน มันหมุนติ้ว ๆ เป็นอัตโนมัติ

คือแต่ก่อนกิเลสมันหมุนหัวใจเราเป็นอัตโนมัติ หัวใจของเรานี่แหละ จะคิดออกแง่ใดมุมใดพบเห็นสิ่งใด ๆ เป็นกิเลส ๆ ทั้งนั้น ๆ มันสร้างกิเลสในตัวของมัน ด้วยการรู้การเห็นการได้ยินได้ฟัง ทุกอย่างเป็นกิเลสหมด เป็นอัตโนมัติของมัน ทีนี้เวลาธรรมของเราได้สร้างขึ้น ๆ ไม่หยุดไม่ถอย ธรรมก็เริ่มเป็นอัตโนมัติขึ้นมา ต่อไปแล้วก็เป็นอัตโนมัติ ได้เห็นได้ยินอะไรเป็นเรื่องการสร้างกิเลสแต่ก่อนนั้น มันกลายเป็นฆ่ากิเลสเป็นลำดับลำดาจากการได้เห็นได้ยินได้ฟัง นั่นเห็นไหมล่ะ ไม่มีอะไรก็ตามมันก็ฆ่าอยู่ภายในของมันตลอด ไม่ว่ากินอยู่หลับนอนเว้นแต่ในขณะที่หลับ หลับนั้นธรรมก็ไม่ทำงาน กิเลสก็ไม่ทำงาน พอตื่นพับจับกันแล้ว ซัดกันแล้ว ต้องรั้งเอาไว้นะ ความเพียรขั้นนี้ ที่เราเคยขี้เกียจขี้คร้านอ่อนแอแต่ก่อนไม่มีเลยนะ มีแต่ต้องได้รั้งเอาไว้คือมันรุนแรง นี่ละความเพียรหรือธรรมที่ประเภทจะฆ่ากิเลสโดยถ่ายเดียว จะไม่มีคำว่าถอยเลย หมุนติ้ว ๆ เลย

จิตดวงนี้ จิตดวงน้ำตาร่วงอยู่บนภูเขานี่ละ พอเวลาถึงขั้นมันเป็นอัตโนมัติ กิเลสเป็นอัตโนมัติผูกหัวใจสัตวโลกฉันใด ธรรมก็เป็นอัตโนมัติแก้กิเลสออกจากหัวใจของตัวเองหรือสัตวโลกผู้มีธรรมประเภทนั้นเหมือนกันหมด นี่เป็นอย่างนั้นหมุนออก คลี่ออก ๆ จะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนไม่มีนะ เป็นแต่ความเพียรฆ่ากิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเราเดินจงกรมถึงจะเป็นความเพียร นั่งสมาธิเป็นความเพียร ไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะ เป็นตลอดเวลาเช่นเดียวกับกิเลสอยู่บนหัวใจเรา มันสร้างตัวของมันเป็นอัตโนมัติฉันใด เราสร้างตัวของเราเป็นธรรมเพื่อสังหารกิเลสเป็นอัตโนมัติก็แบบเดียวกันเลย จนกระทั่งกิเลสได้ม้วนเสื่อเสียเมื่อไรแล้วหมดละที่นี่ หมดไม่มีอะไรเหลือเลย หมดลงไป ทางนี้เกรียงไกร ๆ พอกิเลสแพล็บขาดสะบั้นพร้อม ๆ เป็นยังไงเร็วไหมธรรม

ถึงขั้นธรรมเร็วเป็นอย่างนั้นนะ พอแย็บเท่านี้ขาดสะบั้น ๆ นั่นละเรียกว่าธรรมอัตโนมัติ เริ่มไปตั้งแต่ขั้นถูไถกัน ขั้นตะลุมบอนกัน จากนั้นไปก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติความเพียรเป็นอัตโนมัติ ฆ่ากิเลสเป็นอัตโนมัติไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็เชื่อมโยงเข้าถึงขั้นมหาสติมหาปัญญา มหาสติมหาปัญญานี่เป็นสติปัญญาที่ซึมซาบไปเลย ไม่มีวรรคมีตอน ซึมซาบเหมือนน้ำซับน้ำซึม นี่เรียกว่าปัญญาที่ละเอียดแหลมคมสุดยอด จะฆ่ากิเลสตัวสุดยอดของวัฏจักรให้ขาดสะบั้นลงไปด้วยมหาสติมหาปัญญานี้ มันก็พอเหมาะพอดีกัน เมื่อประกอบเข้าถึงกันแล้วมันพอดีกันตลอดไปเลย เอาจนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นลงไปไม่มีเหลือ พึบเดียวเท่านั้นเห็นไหมล่ะ

เราเคยคาดที่ไหนแต่ก่อน เราเคยรู้ที่ไหน เรื่องกิเลสพันหัวใจเรานี้มันพันมาตั้งแต่เกิด ไม่ทราบพันมาแต่เมื่อไร เราก็รู้มาเป็นลำดับ เวลากิเลสขาดสะบั้นลงจากหัวใจก็รู้ในขณะนั้น แล้วจะไปสงสัยที่ไหนถามหาพระพุทธเจ้าทำไม ถามพระพุทธเจ้าทำไมว่าข้าพระองค์สิ้นกิเลสแล้วยัง ถามหาอะไร ธรรมนี้ธรรมเพื่อถอนกิเลสแก้กิเลส สนฺทิฏฐิโก ผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้รู้เองเห็นเอง ก็พระพุทธเจ้าสอนไว้แล้ว เมื่อเจอเข้าไปอย่างจัง ๆ ทูลถามพระพุทธเจ้าทำไมอันเดียวกันแล้ว ๆ นี่ละการปฏิบัติตัวเอง อย่าพากันท้อถอยอ่อนแอนะ ให้อุตส่าห์พยายามทุกคน ๆ นี้ถอดจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลาย ยังคิดอยู่เหรอว่าหลวงตาบัวนี้มาหลอกโลกลวงโลกเวลานี้ กำลังหลอกลวงโลกทั่วประเทศไทย นอกจากนั้นยังออกอินเตอร์เน็ตหลอกไปถึงเมืองนอกนั้นเหรอ ให้พากันพิจารณา

นี้ถอดจากหัวใจด้วยความเมตตาเต็มสัดเต็มส่วนต่อพี่น้องชาวไทยเรา ซึ่งเวลานี้กำลังช่วยชาติบ้านอยู่ด้วย แล้วเต็มเหนี่ยว ๆ มีแต่เมตตาธรรมล้วน ๆ กิริยาท่าทางจะขึงขังตึงตังขนาดไหน นั้นเป็นกิริยาท่าทางแห่งพลังของธรรม ไม่ได้มีกิเลสตัวใดที่เข้าไปแทรกเลย ว่าเราสอนโลกด้วยความสกปรก เพราะกิเลสแทรกหัวใจเราที่กำลังแสดงการสอนนี้ ไม่มี นั่นฟังซิน่ะ นี่จึงเรียกว่ามันหมด กิเลสหมดต้องหมดอย่างนั้นซิ จะหาที่ไหนก็จะเจออะไร แล้วจะไปหาอะไรก็รู้อยู่ว่ามันหมดแล้ว แน่ะ มันก็ซ้ำเข้าไปอีก มันก็จ้าอยู่งั้นตลอดเวลา

เหมือนอย่างเราดูน้ำมหาสมุทรนี่ มองไปทีไรก็มหาสมุทรจะไปถามอะไร ก็เห็นอยู่มหาสมุทรจ้าอยู่นี่ น้ำแม่น้ำลำคลองไหลมาที่ไหนรวมกันลงเป็นแม่น้ำมหาสมุทร แล้วไปถามหาแม่น้ำลำคลองที่ไหนอีก ก็จ้าอยู่นี้คือมหาสมุทร ทีนี้จิตใจที่รวมตัวลงไปตามการบำเพ็ญของผู้บำเพ็ญทั้งหลายซึ่งเทียบกับแม่น้ำสายต่าง ๆ นี่ละแต่ละคน ๆ เป็นเหมือนกับแม่น้ำสายต่าง ๆ กำลังไหลลงด้วยบารมีธรรมของตน ๆ ไหลใกล้เข้ามา ๆ ก็ยังเรียกแม่น้ำสายนั้น ๆ เรียกเขาเรียกเราอยู่นะ พอเข้าไปถึงนั้นปึ๋งเท่านั้นแหละ ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพ้นด้วยกันแล้วเป็นอันเดียวกัน เหมือนแม่น้ำมหาสมุทรจะมาจากคลองไหนก็คือ มหาสมุทรคำเดียวพอ

อันนี้จะบำเพ็ญมาจากบุคคลผู้ใดรายใดก็ตาม พอเข้าถึงนั้นปั๊บเป็นธรรมธาตุ เรียกว่าแม่น้ำมหาสมุทร ผึงเข้าไปนั้นถามกันหาอะไร เหมือนเราไปดูแม่น้ำมหาสมุทรถามหาอะไร ก็เห็นกันอยู่ต่อหน้าต่อตา ธรรมธาตุจ้าขึ้นในหัวใจแล้วถามพระพุทธเจ้าหาอะไรก็อันเดียวกันนี้ นี่ละถ้ารู้ ๆ อย่างนี้ ไม่ต้องคาดไม่ต้องถาม ไม่ต้องไปถามใครแหละ พระพุทธเจ้าสอนแล้วลง สนฺทิฏฺฐิโก ให้รู้เองนั่นแหละผู้ปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็รู้เอง สาวกทั้งหลายต้องรู้เองจากภาคปฏิบัติของตัวเอง เราต้องทำอย่างนั้นซิ แล้วมันก็รู้ขึ้นมาแล้วถามทำไม

พอพูดอย่างนี้แล้วเรายังไม่ลืม ที่พ่อแม่ครูจารย์มั่นพูดอยู่หนองผือเราไม่ลืมนะ ท่านพูดตอนนั้นธรรมะอะไรไม่รู้นะเราลืมเสีย ไปกระเทือนใจท่าน ท่านขึ้นใหญ่อย่างรุนแรงทีเดียวนะ ตอน ๕ โมงเย็น ปัดกวาดเรียบร้อยแล้วท่านก็สรงน้ำ สรงน้ำเสร็จแล้วขึ้นไปแล้วคุยธรรมะกันรื่นเริงบันเทิง ทีนี้จะเป็นธรรมะประเภทไหนเราชักลืม ๆ เสีย อ๋อ คือหลวงปู่เสาร์ที่เป็นอาจารย์ของท่านนั้น พระท่านก็มาเล่าให้ฟังว่า เวลานี้อัฐิของหลวงปู่เสาร์กลายเป็นพระธาตุเรียบร้อยแล้ว ท่านก็นิ่งไม่ว่าอะไร เพราะท่านเชื่อพอแล้วจะให้ท่านตื่นหาอะไร แล้วก็มีอีกอันหนึ่งแย็บขึ้นมาอีกว่า แต่อัฐิของท่านที่กลายเป็นพระธาตุแล้วก็มี ที่เป็นอัฐิอยู่เขาก็ไปบดทำเป็นพระขลัง ๆ เขาเรียกอะไร พระผงอะไรนั่นนะ นี่ตอนกระเทือนท่านมาก ไปตำเป็นผงละเอียดแล้วก็ไปทำเป็นพระพุทธรูปเล็ก ๆ เป็นพระพุทธรูปผง พอว่าอย่างนั้นผางขึ้นเลย เหอ ขึ้นเลยทันทีเลย นั่นเห็นไหมกระเทือนใจท่าน สะเทือนธรรมท่านนะ พอว่าอย่างนั้นก็เหอ พวกนี้ ขึ้นเลยนะ นี่มันจะมาปฏิบัติแบบไหน ปฏิบัติแบบหมาก็หาแทะอย่างนั้นซิ ปฏิบัติแบบพระก็ต้องหามรรคหาผลด้วยข้อปฏิบัติ พวกนี้มันจะไปหาแบบไหน หาแบบหมาหรือหาแบบคนแบบพระ หาแบบหมาก็คือไปแทะกระดูกท่าน เอาผงอัฐิของท่านมาตำแล้วบรรจุกับพระพุทธรูปเล็ก ๆ แจกกันเป็นของขลังแล้วซื้อขายกันไปตลอดนะ นั่นละกระเทือนท่านแรงนะ

อันนี้เราก็สรุปมาเลย พอมาถึงที่นี้แล้ว ก็มาถึงบทธรรมอันสำคัญของท่าน ท่านพูดขึ้น เราได้เห็นต่อหน้านี่นะจะลืมได้ยังไง พูดแล้วสาธุว่างี้เลยนะ ยกมือขึ้นเลย พูดถึงเรื่องความรู้จริงเห็นจริง เราจะไปถามใคร ความถนัดชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่กับ สนฺทิฏฺฐิโก ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะรู้เองเห็นเองนี้หมดแล้ว พอท่านว่าอย่างนั้นท่านก็ยกมือขึ้นสาธุ พูดแล้วไม่ได้ประมาท แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้านี้ก็ไม่ทูลถาม ขึ้นอย่างหนักเสียด้วยนะไม่ใช่ธรรมดา ถามอะไรของอันเดียวกันขึ้นเลย ใครรู้มันก็รู้อย่างเดียวกัน จะไปถามกันหาอะไร ท่านว่าอย่างนั้น เราก็ไม่ลืม ฟังอยู่แต่ตอนนั้นเราก็เที่ยวกัดนั้นเที่ยวแทะนี้อยู่นั้นละ คือไปฟังโอวาทท่านหากัดหาแทะอันนั้นอันนี้ไป แต่จำไม่ลืมนะ เพราะท่านพูดอย่างถึงใจผึงขึ้นมาเลย ทีนี้เวลาพูดนี้ก็สาธุเหมือนกัน

พอไปเจอเข้าอย่างนั้นแล้วก็สาธุเหมือนกัน โอ้โหเป็นอย่างนี้เอง ที่ท่านก็สาธุ แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ข้างหน้าก็ไม่ทูลถาม จะทูลถามหาอะไรมันก็ขึ้นอีก ทางนี้ก็ดี ถ้าไม่ใช่บ้า แน่ะเป็นยังไง มันคัดค้านกันที่ไหนกับพ่อแม่ครูอาจารย์ท่านพูด พอเวลามันเจอขึ้นไปอย่างนี้แล้ว โอ้โห ขึ้นทันทีเลย ก็น้ำมหาสมุทรอันเดียวกัน ธรรมธาตุอันเดียวกันถามกันหาอะไร เท่านั้นก็พอ นี่เราไม่ลืม ตอนนั้นเรากำลังอบรมศึกษาเต็มกำลังความสามารถ แต่ยังไม่รู้ธรรมประเภทที่ท่านว่านี่ ก็ฟังแต่จำไม่ลืมนะ เวลามันไปโดนเข้าอย่างจัง ๆ นี้ก็สาธุขึ้นอีกเหมือนกัน นี่ละธรรมอันเดียวกันค้านกันได้ยังไง ใครมาตรัสรู้มากี่ล้าน ๆ ก็ตาม แบบเดียวกันนี้หมดไม่เป็นอย่างอื่น จึงว่าธรรมของจริง แล้วพวกเราจะไปลบล้างได้ยังไง ว่าบาปบุญนรกสวรรค์ไม่มี ไปลบล้างได้ยังไง นี่ที่มันจะจมนะให้ระวังให้ดี

กิเลสนี้ แหม มันกล่อมได้สนิทมากนะ ว่าอะไรก็ตามกิเลสจะซึมซาบเข้าไปเป็นรสเป็นชาติ กล่อมให้เป็นบ้าไปตาม ๆ กัน เดี๋ยวก็บาปไม่มีบุญไม่มีนรกสวรรค์ไม่มี สิ่งที่มีก็มีแต่ส้วมแต่ถานสร้างทั้งวันทั้งคืน มีแต่ส้วมแต่ถานเต็มตัวเข้าใจไหมล่ะ มันไม่ได้เรื่องนะอย่างนั้น วันนี้ก็ได้พูดถึงเรื่องถอดจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายนะ นี้จวนจะตายแล้วบอกแล้ว คำพูดอย่างนี้เราก็ไม่เคยพูดที่ไหน ตั้งแต่รู้มาก็สอนพระสอนเณรเป็นลำดับลำดา ตามขั้นตามภูมิของพระเณรที่จะรับได้ขนาดไหนก็สอนไปตามลำดับ ตอนที่ออกอย่างใหญ่หลวงก็คือออกเพื่อช่วยชาตินี้เอง ทีนี้มีเท่าไรออกหมดเลยคราวนี้นะ ฟาดตั้งแต่แกงหม้อใหญ่แกงหม้อเล็กแกงหม้อจิ๋วออกตลอดหมด จนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวเวลานี้ ท่านทั
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.พ.2007, 8:54 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาด้วยครับ สาธุ... สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง