Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 แสงส่องใจ ปีใหม่ ส.ค.ส. ๒๕๕๐ (สมเด็จพระญาณสังวรฯ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2007, 8:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

แสงส่องใจ

สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก


ขอเจริญพร ทุกท่านผู้เป็นคนไทยในทุกจังหวัดภาคใต้

อาตมภาพรับฟังเหตุการณ์ในภาคใต้ทุกวันนี้ ด้วยมุ่งหวังอย่างที่สุด ที่จะได้เห็นทุกท่านผู้เป็นคนไทย รวมจิตรวมใจกัน สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระบรมพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนามเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ สองพระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ

ทุกวันนี้ต้องทรงเป็นทุกข์พระราชหฤทัยเป็นล้นพ้น ด้วยต้องทรงรับไว้ซึ่งความทุกข์ความเดือดร้อนวุ่นวาย ของบ้านเมือง และของพวกเราผู้เป็นพสกนิกรคนไทยของพระองค์ ที่ทรงรักทรงห่วงใยอย่างยิ่ง

ดังนั้นเพื่อได้มีส่วนน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมทะนุถนอมพระราชหฤทัย จึงแม้จะพากันขัดข้องหมองใจในเรื่องนั้นบ้างเรื่องนี้บ้าง อันเกิดจากการกระทำหรือคำพูดของผู้นั้นบ้างของผู้นี้บ้าง ก็ขอให้พร้อมกันเพิ่มกำลังแห่งความจงรักภักดีและความมีกตัญญูตกเวที

อันเป็นเครื่องประกาศความเป็นคนดีของทุกท่าน ให้เต็มที่ ตอบสนองน้ำพระราชหฤทัย ที่ทั้งสองพระองค์ท่านทรงมีต่อพสกนิกรคนไทยทุกคนทุกแห่งหน สม่ำเสมอตลอดมา

ขอให้กำลังใจอันเป็นมหามงคลชีวิตสามารถลบล้างความต้องการตอบโต้ร้ายแรงให้หมดสิ้นได้ ซึ่งจะนำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข สองพระราชหฤทัยใสสะอาดจะพ้นทุกข์แห่งความทรงพระวิตกกังวลห่วงใย เป็นปาฏิหารย์ยิ่งใหญ่มหัศจรรย์ ที่พสกนิกรไทยทั้งนั้นจะโสมนัสยินดี

ขอพระราชทานน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวาย เป็นส่วนแห่งพระราชกุศลบารมี ในมหามงคลวโรกาสที่ทรงเจริญพระชนมายุพรรษา ๘๐ ปี ส่วนใหญ่แห่งกาลเวลานี้ทรงสละแล้วเพื่อพสกนิกรทุกถ้วนหน้า

ขออนุโมทนาสาธุการความปรารถนาในทุกจิตใจที่งดงามด้วยความกตัญญูกตเวที ของทุกท่านผู้เป็นพสกนิกรไทย ขอความคิดที่ดีงามทั้งปวงจงสัมฤทธิ์ จงสัมฤทธิ์ จงสัมฤทธิ์ เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของชีวิตทุกท่าน.

ขออำนวยพร
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๙



มหาเทพสามพระองค์

พระพุทธสถาน “วัดญาณสังวราราม”
ควรแก่ความเป็นสถานที่สถิต
ที่ประกาศความดีงามแห่งความคิด
ท่วมท้นจิตกตัญญูกตเวที

เทวาลัย “ท่านท้าววิรุฬหกะ”
พุทธบัณฑิต” สูงศักดิ์ศรี
จัดสร้างขึ้นเทิดทูนพระบารมี
ประกาศกตเวทีต่อท่านท้าว

พระรูปที่ “จตุรังสีอุทยาน”
งามปานเปรียบองค์จริงดังคำกล่าว
สถิตในเทวลัยแห่งท่านท้าว
เป็นที่กล่าวกันนักหนาว่าศักดิ์สิทธิ์

ทรงมีองค์ยมราชอำนาจเยี่ยม
ไม่มีผู้ทัดเทียมอิทธิฤทธิ์
ทรงเป็นองค์วิรุฬหกกัลยาณมิตร
เช่นองค์เทวบัณฑิต “พระสยามเทวาธิราช”


(มีต่อ ๑)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2007, 8:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก


ผลนมิว ปกฺกานํ ปาโต ปตนโต ภยํ
เอวํ ชาตาน มจฺจานํ นิจฺจํ มรณโต ภยํ


ภัยของสัตว์ผู้เกิดมาแล้ว ย่อมมี เพราะต้องตายแน่นอน เหมือนภัยของผลไม้สุก ย่อมมีเพราะต้องหล่นในเวลาเช้าฉะนั้น

O สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาโปรดประทานพระพุทธสุภาษิตข้างต้นไว้ ผู้มีบุญได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบพระสุภาษิตนี้ และเป็นผู้มีสติปัญญา แม้เพียงพอจะทำให้คิดได้ว่า พระภาษิตทั้งปวงในสมเด็จพระบรมศาสดามีคุณแก่ชีวิตทั้งปวง ที่นอบน้อมยอมรับ อย่างมั่นใจในพระสติปัญญา ที่สูงส่งบริสุทธิ์

เหนือสติปัญญาของเทพของมนุษย์ แม้จะรู้ตัวว่าไม่เข้าใจในพระพุทธสุภาษิต แต่ต้องมิใช่โต้แย้งคัดค้านพระพุทธภาษิตทั้งหลาย แม้เพียงบทใดบทหนึ่งเท่านั้นก็ตาม เพระาการคัดค้านโต้แย้งพระพุทธภาษิตคือการประกาศความมีปัญญาน้อยมาก ย่อมยากมากที่จะนำชีวิตให้สวัสดีได้


O หนังสือ “แสงส่องใจ” เล่มนี้เป็นฉบับ “ส่งความสุขปีใหม่” นอมน้อมอัญเชิญพระพุทธภาษิตบทข้างต้นมา น่าจะไม่มีผู้คิดผิด ว่าเรื่องความตายเป็นเรื่องไม่เป็นมงคล ไม่เหมาะที่จะพูดถึงในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ที่มีการให้ศีลให้พรให้ความสุขความเจริญกัน

ที่จริงก็มีแนวโน้มน่าให้คิดได้ ว่าไม่สมควรพูดถึงความตายในโอกาสเช่นนี้ เพราะทั่วไปยึดมั่นอยู่ว่าความตายเป็นความไม่มีมงคล เพราะเป็นความพลัดพราก ที่ไม่มีผู้ใดอยากให้เกิด

แต่ขอเตือนให้คิดถึงความจริงที่สำคัญอย่างยิ่ง คือพระธรรมคำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูผู้ประเสริฐสุดของเรา และของพรหมเทพทั้งหลาย เป็นคำสอนที่มีความลึกซึ้งอย่างที่สุด พึงใช้สติปัญญาพินิจพิจารณาคำทรงสอนให้ดี ให้รอบคอบ ให้เห็นความหมายที่แท้จริงของคำทรงสอนทั้งปวง.

O พระพุทธภาษิตว่าเกิดมาแล้วต้องตายเปรียบได้กับผลไม้ที่เกิดติดอยู่กับกิ่งไม้ต้นไม้ ย่อมต้องร่วงหล่น นัยหนึ่งของพระพุทธภาษิตนี้ก็คือให้เตือนตนเองไว้เสมอ ว่าวันหนึ่งเราทุกคนจะต้องตาย ไม่มีผู้ใดอาจพ้นความตายได้ จะสูงส่งเพียงไหนก็ต้องมีวันหนึ่ง ซึ่งต้องตาย ต้องพ้นจากความสูงส่งไป หรือจะต่ำต้อยเพียงไหนก็ต้องมีวันหนึ่ง ซึ่งต้องตาย ต้องพ้นจากความต่ำต้อยไป รู้เช่นนี้เป็นความรู้ความเข้าใจพระพุทธภาษิตระดับหนึ่ง ซึ่งแน่นอนไม่ผิด เป็นความรู้ความเข้าใจพระพุทธภาษิต ที่ถูกต้องแน่นอน

O ความเข้าใจพระพุทธภาษิตที่ทรงมีพระกรุณาโปรดประทานเตือนสติเราทุกคน ให้รู้ว่าเราทุกคนต้องตายแน่ในวันหนึ่ง ความเข้าใจนี้ก็เหมือนเรื่องทั้งหลาย สิ่งทั้งหลาย มีทั้งคุณและมีทั้งโทษอยู่ในตัว

สติและปัญญาของผู้สนใจความจริงนี้ ที่เป็นพระพุทธธรรมสำคัญ จึงมีความสำคัญมาก พึงใช้สติใช้ปัญญาให้ดีที่สุดในการทำความเข้าใจ เราเกิดมาแล้วต้องตายแน่ เช่นเดียวกับผู้เกิดแล้วทั้งปวง ที่ต้องตายแน่

แม้เพียงเข้าใจความจริงนี้ เพียงว่าเราเกิดแล้วต้องตาย สำหรับเป็นผู้สักแต่เข้าใจ โดยไม่ถือเป็นจริงเป็นจัง ว่าเกิดแล้วต้องตาย เช่นนี้ก็ไม่มีผลอะไรแก่จิตใจผู้มีความเข้าใจธรรมดาในความหมายของพระพุทธภาษิต ที่ว่าเราทุกคนต้องตาย สัตว์ทั้งปวงต้องตาย รู้เพียงเท่านี้เข้าใจเพียงเท่านี้ ผลที่จะเกิดแก่จิตใจอาจจะเกิดได้ทั้งดี และทั้งร้าย

O ไม่ใช่ทุกคน ที่ยอมรับรู้ ว่าเกิดมาแล้วต้องตายแน่ วันหนึ่งเราจะต้องตาย วันหนึ่งความตายต้องมาถึงตัวเราแน่ ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับความจริงนี้ ปากอาจจะพูดได้ เดี๋ยวพูด เดี๋ยวพูด ก็ได้ แต่คำพูดที่ออกจากปากมิได้ออกจากใจ

จะกล่าวว่าพูดส่งเดชไปก็ได้ ทั้งที่ที่พูดนั้นเป็นความจริงที่สุด แต่ผู้พูดก็ไม่ได้ให้ความสนใจจริงในความหมายของเรื่องที่พูดออกไปนั้น พูดแล้วก็แล้วไป ไม่ได้ให้ความสำคัญแก่เรื่องที่พูด

ทุกวันนี้คนส่วนมากเป็นเช่นนี้พูดถึงความตายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำหรับทุกคนทุกชีวิต ไม่ผิดมากนักที่จะกล่าว ว่าแทบทุกคนกลัวตาย อายุมากก็กลัวตาย อายุน้อยก็กลัวตาย ความกลัวนี้จะมีคุณอย่างยิ่ง แม้ผู้กลัวรู้จักกลัวให้เป็น กลัวให้ถูก


O กลัวตายไม่เป็นนั้นหมายถึงกลัวตายไม่ใช่ไม่กลัวตาย แต่กลัวอย่างไม่เป็น อย่างไม่ถูก กลัวตายอย่างไม่เป็น อย่างไม่ถูก ก็มีปรากฎให้รู้ให้เห็นอยู่ไม่น้อยตลอดมา

คนที่กลัวตายอย่างไม่เป็น ก็คือเมื่อกลัวตาย จะกลัวว่าถ้าตัวตายแล้ว ลูกหลานจะลำบาก เงินทองที่จะมอบให้ยังน้อยนัก ต้องรีบหามาสะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยวิธีใดก็ได้ทั้งนั้น

การรู้มากเอาเปรียบกอบโกยลักขโมยก็เกิดตามมาได้ทุกอย่าง ด้วยกลัวตายอย่างไม่ถูกต้องนี้เป็นเหตุหนึ่งด้วย จึงกล่าวได้ว่าความกลัวตายอย่างไม่เป็น อย่างไม่ถูก มีโทษมากได้เมือนกัน ไม่เพียงเป็นความกลัวธรรมดาเท่านั้น

O ท่านผู้มีปัญญาท่านจะสอนเกี่ยวกับความตายไม่เหมือนกับที่ทั่วๆ ไปเข้าใจ คือท่านจะบอกให้คิดถึงความเกิด ไม่คิดถึงความตาย แต่ก็มีความตายเกี่ยวข้องอยู่แน่นอน เพราะถ้าไม่ตายเสียก่อนก็จะเกิดไม่ได้ ต้องมีความตายเกิดขึ้นก่อน ความเกิดจึงจะมีได้

ผู้มีปัญญาที่มองไปอีกรูปแบบหนึ่ง จะสอนให้ข้ามความตายไปถึงความเกิดเลยทีเดียว ตายนั้นต้องตายแน่ทุกคน รวมทั้งเราทุกคนด้วยนั่นเอง แต่อย่างว่าความกลัวตายจะก่อกรรมไม่ดีได้มากมาย ถ้าไม่มีการนึกถึงความเกิดควบคู่ไปพร้อมกัน

ซึ่งปกติทั่วไปมีแต่การนึกถึงความตาย คือนึกว่าเกิดแล้วต้องตาย ไม่นึกให้ยาวเลยไป ว่าตายแล้วก็ต้องเกิดอีก เกิดแล้วต้องตายแน่ แต่ตายแล้วก็ต้องเกิดอีกแน่ ตรงนี้สำคัญนัก อย่าลืมรู้ไว้ให้พร้อมกันกับรู้ ว่าเกิดแล้วต้องตาย เพราะตายแล้วต้องเกิดแน่นอน เหมือนกับเกิดแล้วต้องตายนั่นเอง.


O การคิดว่าเกิดแล้วต้องตาย เป็นเรื่องรู้กันทั่วไป ใครๆ ก็รู้ ใครๆ ก็มักพูดถึงอย่างเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ที่รู้ความจริงนี้ รู้จนเป็นเรื่องธรรมดา อาจจะไม่เกิดโทษนักหนา เมื่อความตายยังมาไม่ถึง

แต่ถ้าความตายมาถึงโทษนักหนาก็ย่อมเกิดได้แน่นอน ตามอำนาจของแรงกรรมที่ต้องได้ทำไว้ จะในเวลากี่ชาติก็ได้ เป็นร้อยเป็นพันชาติก็ได้ เพราะทุกคนต้องเกิดมาแล้วมากมายหลายภพชาติ ไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิดชาตินี้ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเพิ่งได้ทำกรรมชาติเดียวเท่านั้น

แต่น่าจะมีหลายคนที่เคยตัดพ้อต่อโชคชะตา ว่าโหดร้ายกับตน ทั้งที่ชีวิตนี้ก็ไม่ได้ทำผิดคิดร้ายเลย ตั้งแต่เกิดมาทีเดียว นี่แสดงว่าผู้พูดไม่รู้เลย ว่าได้เกิดมาแล้วหลายภพหลายชาติ ทำทั้งบุญทั้งบาปมาแล้วในแต่ละภพแต่ละชาติ ที่ตนเองก็หาอาจรู้ไม่


(มีต่อ ๒)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2007, 8:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ทุกชีวิตมีทั้งบุญทั้งบาปติดตามอยู่ เพื่อให้เกิดผลแก่ชีวิตในปัจจุบัน เมื่อใดบุญนำหน้า และมาถึงชีวิตแล้ว เมื่อนั้นชีวิตก็จะงดงามด้วยแสงแห่งบุญ แสงแห่งบุญนั้นงดงาม

คงเคยได้พบเห็นผู้มีแสงแห่งบุญประดับงดงามกระทบตากระทบใจ จนให้ความรู้สึกเกิดขึ้นชัดเจน ถึงกับเคยได้เอ่ยปากชื่นชม ว่าบุญส่งแน่จึงงดงามนัก มในทางตรงกันข้ามเมื่อใดหน้าตาผิวพรรณวรรณะเศร้าหมองมากมาย เมื่อนั้นนั่นแหละคือเครื่องหมายแห่งความห่างไกลบุญปรากฏอยู่


O ทุกคนแน่นอนที่ต้องการมีบุญ และยิ่งมีบุญมากเพียงใด ยิ่งดีเพียงนั้น แต่บุญหรือบาปไม่ได้อยู่ในอำนาจความปรารถนาต้องการของผู้ใดทั้งสิ้น เพียงอยากมีบุญมากๆ แล้วก็พยายามอยาก พยายามอยากสักเพียงใด ก็หาอาจมีบุญได้ดังปรารถนาไม่ บุญ หรือกุศล หรือความดี ต้องทำเอาเท่านั้น

ต้องทำบุญคือทำสิ่งที่เป็นบุญ ทำเหตุแห่งบุญ บุญจึงจะเกิด และเมื่อเกิดแล้ว คือเมื่อทำแล้ว บุญจะส่งแสงแห่งบุญแน่นอน เราท่านทั้งหลายผู้ไม่มีตาสำหรับเห็นบุญก็ย่อมไม่เห็น

แต่สำหรับผู้ทำบุญด้วยตนเอง สามารถสัมผัสแสงแห่งบุญที่เกิดแล้วได้ เหมือนผู้มีเทียนสว่างอยู่ในมือ เข้าไปสู่ที่มืดย่อมสามารถเห็นแสงสว่างส่องจากมือตนได้ บุญที่ทำแล้วก็เช่นกัน เมื่อทำพอสมควรแล้ว ก็แน่นอนที่ผู้ทำแล้วจะสามารถสัมผัสได้ด้วยใจตนเอง

O พูดถึงบุญ ก็ต้องตรงกันข้ามกับบาป ผลของบาปตรงกันข้ามกับผลของบุญ จะเปรียบดังสีดำแตกต่างกับสีขาวก็พอได้ แต่ด้วยใจจริงแล้ว มีความรู้สึกว่าความแตกต่างของบุญปับบาปหาที่เปรียบได้ยากนัก เปรียบดังดินกับฟ้า หรือนรกกับสวรรค์ อาจจะพอเป็นไปได้ตามความเข้าใจของตนเอง

บาปสกปรกนัก ส่วนบุญสะอาดนัก อยากให้พากันวาดภาพบุญกับบาปให้เห็นความแตกต่างกันให้มากที่สุด เพื่อจะได้เข้าใจัดเจนขึ้น เชื่อจริงจังขึ้น ว่าบาปน่ากลัวมาก ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา ที่พากันพูดถึงอย่างติดปาก โดยมิได้มั่นใจแต่สักน้อย ว่าบาปน่ากลัวมาก มีโทษมาก หนักหนาถึงตกนรกอเวจีได้ง่ายๆ

หรือแม้เป็นบาปที่ไม่หนักหนานัก ก็มีโทษที่ให้ความทุกข์ร้อนได้นานาประการ ให้ควาทุกข์ทรมานที่พ้นความสามารถแก้ไขหรือหยุดยั้งได้ บุญและบาปผลทั้งสองประการของกรรมที่เราพากันทำอยู่มิได้ว่างเว้นนี้แหลที่เราจะต้องพบ ต้องได้รับ อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

แต่มีข้อสำคัญที่พึงให้ความเชื่อ ให้ความสนใจอย่างยิ่ง คือทำกรรมใดแรง กรรมนั้นจะมีพลังส่งผลแรง ทำกรรมใดก่อน กรรมนั้นจะมีผลก่อน เมื่อกรรมแรงส่งผลอยู่ ก็ยากที่กรรมอ่อนจะเข้าถึงชีวิตจิตใจได้

ตัวอย่างก็คือคนทำกรรมไม่ดี หรือทำบาปมาหนักหนา เมื่อผลของบาปกรรมกำลังอยู่ ให้ชีวิตต้องเป็นไปตามอำนาจของบาปกรรมอยู่ นั่นก็คือเป็นชีวิตที่มีความทุกข์ความเดือดร้อนนานาประการจนถึงกับกล่าวได้ตามพระพุทธภาษิตว่า “ความเกิดเป็นทุกข์”


O “ความเกิดเป็นทุกข์” นี้เป็นความจริง แต่เป็นความจริงที่หาผู้เข้าใจและยอมเชื่อได้ยากนัก มีจำนวนไม่น้อยคนที่เห็นว่าความเกิดเป็นสุขก็มีอยู่ จะเป็นทุกข์บ้างก็เพียงไม่มาก

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทุกคนควรเตรียมสำหรับให้ชีวิตมีความสุขในทุกภพทุกชาติ ก็คือความมีชีวิตที่เป็นสุขงดงามในการเกิดในภพชาติใหม่ ซึ่งเมื่อชีวิตพ้นจากชาติภพนี้ไปแล้วก็จะต้องถึงภพชาติใหม่ของการเกิด

การเกิดต้องมีต่อจากการตาย จะเรียกว่าพร้อมกันก็พอจะได้ไม่ผิด ทุกชีวิตไม่มียกเว้น ตายเมื่อใด เกิดทันทีเมื่อนั้น เรียกว่าตายปุบเกิดปับนั่นเอง ดังนั้นจึงควรที่จะนึกถึงความจริงนี้ ที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกชีวิต

O ชีวิตออกจากร่างที่กำลังครองอยู่ไม่ยากนัก เพียงหายใจออกไม่หายใจเข้า เท่านั้นก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ชีวิตออกจากร่างได้แล้ว ละร่างที่ชีวิตเคยครองอยู่ เคยเคลื่อนไหว เคยทำนั่นทำนี่ ให้ทอดนิ่ง เคลื่อนไหวไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ชีวิตหรือวิญญาณละไปแล้ว ร่างก็หมดความหมาย หมดความสำคัญ กลายเป็นศพ

ทั้งบางทียังถูกเรียกว่ากลายเป็นผีที่น่ากลัวเสียอีกด้วย นึกถึงความจริงนี้แล้ว ทำให้ควรคิดได้ ว่าชีวิตหรือวิญญาณที่ครองร่างทุกร่างมีความสำคัญ คิดให้รอบคอบลึกซึ้งอีกระดับหนึ่งก็น่าจะเห็นได้ ว่าชีวิตหรือวิญญาณก่อนออกจากร่างทุกร่าง เป็นเหตุให้หัวใจในทุกร่างปฏิบัติงานได้ ทำให้ร่างชีวิตได้นั่นเอง

จึงไม่ผิดแล้วที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระมหากรุณารับสั่งให้เข้าใจความจริง ที่สำคัญยิ่ง ว่า “ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”


O เมื่อใดหัวใจหยุดทำงาน เมื่อนั้นร่างกายก็หยุดทำงานด้วย และหัวใจจะหยุดทำงานก็ต่อเมื่อวิญญาณออกจากร่าง ลักษณะเหล่านี้เห็นได้ง่าย เห็นได้ชัด คือเมื่อการตายเกิดขึ้นกับผู้ใด ก็สามารถจะรู้เห็นกันได้ไม่ยาก

ความสำคัญของการตายเป็นเรื่องเล็กน้อย การที่วิญญาณออกจากร่างเป็นเรื่องไม่สำคัญมากมาย นั่นก็คือเรื่องตายนั้น สำคัญน้อยมากเมื่อเทียบกับเรื่องเกิด เกิดสำคัญกว่าตาย

แต่ตลอดมาดูเหมือนจะพากันเห็นความยิ่งใหญ่ของการตายว่าเหนือสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ คือความเกิดกลับไม่มีความหมาย

O ความเกิดสำคัญที่สุดจริง เพราะเมื่อทุกคนตาย ก็จะเกิด เกิดเป็นอะไร คิดถึงเรื่องนี้แล้ว น่าจะเห็นความสำคัญของการเกิด ว่ายิ่งใหญ่กว่าการตายมากมายนัก

ทำไมหรือจึงกล่าวเช่นนี้ ก็ที่เราเป็นมนุษย์ หรือเป็นคนนั่นเองอยู่ขณะนี้ ก็เกิดจากการที่วิญญาณของเราได้ออกจากร่างมาเมื่อชาติก่อน และที่เราได้มาเป็นมนุษย์ ไม่เป็นหมูเป็นหมา เช่นที่เห็นอยู่มากมายในโลกเดียวกับเรานี้

ก็ต้องเพราะเราได้ทำกรรมดีไว้เพียงพอที่จะนำให้ได้เกิดเป็นมนุษย์ เพียงถ้าเราทำกรรมดีไม่เพียงพอจะได้เกิดเป็นมนุษย์ ทังทีที่วิญญาณออกจากร่างก็จะไม่นำเรามาเป็นมนุษย์

เราอาจจะไปเดินสี่ตีน (ท่านสอนกันมา ว่าคนเราเท่านั้นมีเท้า สัตว์ไม่มีเท้า) เห่าหอนโหยหวนอยู่ในหมู่สัตว์ประเภทเดียวกัน เช่นที่เราได้พบได้เห็นอยู่ทุกวันนี้ ที่เรามีกุศลกรรมนำให้เกิดเป็นมนุษย์ มีศักดิ์ศรีของการเกิด พ้นการเป็นสัตว์


O แม้ใช้ความคิดให้มีเหตุผลพอสมควร ก็ย่อมจะเห็นความสำคัญยิ่งใหญ่ของการเกิด ที่ทุกวันนี้ไม่ใคร่เห็นความสำคัญของการเกิด ก็เพราะไม่ได้ให้เวลาคิดถึง ไปมุ่งอยู่ที่ความตาย กลัวตายเสียหนักหนา ใจไปยึดมั่นอยู่ที่ความตาย คิดถึงแต่ว่าจะต้องพลัดพรากจากคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง

พลัดพรากจากบ้านเรือนที่เคยอยู่เคยคุ้น คิดห่วใยแต่สมบัติพัสถาน ยามอยู่ดีไม่มีเจ็บไข้หนักหนาก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะต้องตาย ปฏิบัติต่อชีวิตเหมือนจะอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีเวลาที่จะต้องตกอยู่ในมือของความตาย เป็นความประมาทที่มีอันตรายน่ากลัวมากมาย

ความประมาทไม่นึกถึงความตายเช่นนี้ ย่อมเหตุให้สร้างมือมารมาฉุดกระชากลากไปสู่ภพที่ไม่งดงามเมื่อความตายมาถึง ลงสู่ภพภูมินรกก็ได้ ภพภูมิของสิงสาราสัตว์ก็ได้ ภพภูมิของมนุษย์ที่พิกลพิการ แขนขาด ขาขาด หูหนวก ตาบอด น่าเกลียดน่ากลัวเพียงใดก็ได้

ทั้งหมดนี้เกิดได้แก่ผู้ที่ไม่เคยนึกถึงความเกิด ไม่เคยเตรียมการเกิดในภพภูมิข้างหน้าเลย จึงไม่ได้เตรียมเลยว่าทำอย่างไรจึงจะได้เกิดดีเป็นเทวดา หรือเป็นมนุษย์ที่พรั่งพร้อมด้วยคุณสมบัตินานาประการ ไม่ขาดตกบกพร่องจนถึงพิกลพิการ ลำบากยากแค้นแสนเข็ญ เช่นที่เกิดอยู่แล้วกับผู้ประมาททั้งหลาย ที่ไม่เคยได้เตรียมตัวให้เกิดให้พร้อม.

O เราทุกคนเตรียมตัวเกิดได้แล้ว อายุเท่าไรก็เตรียมได้ ไม่ต้องคิดว่าคนแก่คนเฒ่าเท่านั้นที่ถึงเวลาต้องนึกถึงความเกิด เพราะใกล้เวลาต้องตายจากชาติภพนี้แล้ว คนหนุ่มคนสาวคนเด็กยังไม่ต้องคิดถึงความเกิด

เพราะเมื่อยังไม่ตาย ก็ต้องยังไม่เกิด คิดเช่นนี้แม้จะมีส่วนดีอยู่บ้าง ตรงที่มีเรื่องการเกิดเข้าไปเกี่ยวข้อง ดีกว่าไม่มีการนึกถึงการเกิดเสียเลย ดังที่หลายๆ คนเป็นกันอยู่ นึกถึงแต่เรื่องตาย กลัวตาย ไม่อยากตาย หาได้นึกถึงความเกิดไม่ เช่นนี้กล่าวได้ว่าเกิดมาขาดทุนมาก


O ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายแน่นอน จะคิดถึงเรื่องความตายหรือไม่ก็ต้องตาย แต่ตายไปเป็นอะไรนั้นเป็นเรื่องของการเกิด จำความจริงที่สำคัญนี้ไว้ได้ อย่าลืมเป็นอันขาด การเกิดใหม่ของเราทุกคนอยู่ในอำนาจจิตของเราเท่านั้น ไม่อยู่ในอำนาจผู้อื่นใดหรือสิ่งอื่นใด

เรียกว่าจิตของเราเท่านั้นที่จะสร้างภพชาติใหม่ให้เรา ภพชาติใหม่จะเป็นอย่างไร อยู่ที่ความปรารถนาต้องการของเรา แต่ไม่ใช่เพียงปรารถนาต้องการอย่างเดียวแล้วจะเกิดผลดังความปรารถนาต้องการ ไม่ใช่เช่นนั้น ปรารถนาต้องการแล้วต้องปฏิบัติให้เป็นการส่งเสริมให้สำเร็จเป็นรูปร่างขึ้นมาด้วยตนเอง

ตนเองเท่านั้นที่จะสร้างภพชาติใหม่ได้ ให้งดงาม หรือให้น่ารังเกียจเดียดฉันท์ ก็แล้วแต่ตนเองทั้งสิ้น แล้วแต่ตนเองเท่านั้น ไม่มีใครอื่นมาสร้างแทนใครได้

O การกลัวตายจึงไม่ใช่เป็นการถูกต้อง แม้ไม่ตามมาด้วยการกลัวเกิดที่ไม่งดงาม กลัวตายแล้วต้องกลัวเกิดด้วย เพื่อจะได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อสร้างชาติใหม่ให้งดงามที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ชาติใหม่จะงดงามไม่ได้แม้เจ้าตัวไม่ทำบุญทำกุศลทำความดี ให้เกิดเป็นการสร้างชาติหน้าของตนให้งดงาม นี้เป็นความจริง ความจริงที่ทุกคนควรใส่ใจ และปฏิบัติให้เกิดเป็นผลชาติใหม่ หรือชาติหน้านั่นเอง ที่ดีงาม ที่ให้ความสุขความเจริญนานาประการ


O ถ้ากลัวตาย ต้องกลัวเกิด ความกลัวสองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรแยกจากกัน ต้องให้ควบคู่กันไปเสมอ เพื่อให้การกลัวตายไม่ก่อผลร้ายแก่ชีวิต เพราะการกลัวเกิดที่รู้สึกควบคู่กันจะก่อให้เกิดผลดี เพราะแม้จะห้ามความรู้สึกกลัวตายไม่ได้เมื่อแน่ใจว่าต้องตายแน่ๆ

แต่เมื่อมั่นใจว่าทันทีที่ขาดใจ ตายไปแน่แล้ว จะมีผลแห่งกุศลกรรมคุณงามความดีที่ทำไว้คอยต้อนรับอยู่ ดีไม่ดีอาจจะเกิดดีมีความสุขความเจริญรุ่งเรืองกว่าชีวิตในภพภูมิปัจจุบัน เพราะได้พยายามทำความดีมามาก ไม่ได้ทำความไม่ดีที่เป็นบาปกรรมมากมายนัก

ความคิดอย่างมั่นใจเช่นนี้ แม้เกิดจากความรู้สึกมั่นใจอย่างจริงใจ จะเป็นเครื่องปลอบใจให้สงบสบายได้ไม่มากก็น้อย ดีกว่าไม่มีความมั่นใจเลย ว่าได้ประกอบกระทำความดีที่เป็นบุญไว้ ใจจะเร้าร้อนวุ่นวาย และสมเด็จพระบรมศาสดาทรงมีพระพุทธภาษิตเตือน ว่า “ผู้ที่ละโลกนี้ไป ขณะมีจิตเศร้าหมอง ทุคติเป็นอันหวังได้”

O จิตที่เศร้าหมอง ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกล่าวถึง มีความหมายรวมถึงจิตที่มีกิเลส กิเลสมีความหมายว่าเครื่องเศร้าหมอง ซึ่งมีลักษณะมากมายหลายอย่าง เป็นอาการที่เกิดแต่อำนาจของกิเลส ความรัก ความโลภ ความโกรธ ความเกลียด ความอิจฉาริษยา ฯลฯ ล้วนเป็นเครื่องทำจิตให้เศร้าหมอง

ดังที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงกล่าวถึง ความเศร้าหมอง หรือกิเลส ที่มีอยู่ในทุกจิตใจผู้ยังเป็นปุถุชน ไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ทุกคนที่เป็นปุถุชนก็มีกิเลสหรือมีความเศร้าหมองไม่เท่ากัน

บางคนแม้ยังมีกิเลส แต่ก็มีจิตใจที่ไม่เร่าร้อนรุนแรงมากนัก แต่บางคนเร่าร้อนมาก ที่กล่าวกันว่าเป็นคนอารมณ์แรง คิดว่าพวกที่พระพุทธองค์ทรงกล่าวถึง ว่าผู้ที่ละโลกนี้ไปเมื่อจิตเศร้าหทอง ทุคติเป็นอันหวังได้ น่าจะเป็นผู้ที่จิตใจเศร้าหมองด้วยกิเลสแรง

โดยเฉพาะขณะใกล้เวลาที่คิดจะละร่าง ละโลกนี้ไปสู่โลกหน้า ที่ทรงมีพระพุทธภาษิตเตือน ว่าจะต้องไปสู่โลกหน้าที่เป็นทุคติ ขณะนั้นจิตจะกำลังตกอยู่ในความโลภ หรือความโกรธ หรือความหลงที่รุนแรง มิใช่เป็นไปในลักษณะปกติของปุถุชนคนมีกิเลสทั่วไปธรรมดา



(มีต่อ ๓)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2007, 8:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ปุถุชนทั้งปวงล้วนยังมีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปุถุชนทั้งปวงนั้นต้องมิใช่ผู้ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงเตือน ว่าจะต้องไปสู่ทุคติ ถ้าผู้มีกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหมดต้องไปสู่ทุคติ เมื่อละโลกนี้ไปแล้ว

พวกเราทั้งหลายก็คงต้องไปอยู่ในทุคติด้วยทั้งหมด เพราะเราทุกคนยังมีเครื่องเศร้าหมองอยู่ จิตยังเศร้าหมองอยู่ทุกทั่วหน้า ทุคติคือที่อยู่ลำบากยากแค้น ไม่มีความสุขสะดวกสบาย จะหมายถึงนรกก็ได้ แต่ก็มิได้หมายถึงนรกเสมอไป

เมื่อใช้คำว่าทุคติหมายได้ทั้งนรก และทั้งที่มีความลำบากยากไร้ทั้งหลาย นั่นก็คือพระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาเตือน ให้กลัวการต้องไปอยู่ในนรก หรือในที่ที่มีความทุกข์ยากนานาประการ ให้พากันหนีสภาพน่ากลัวเหล่านั้น ด้วยการเห็นค่าของใจให้อย่างยิ่ง ดูแลรักษาให้สุดความสามารถ ให้พ้นจากอำนาจร้ายแรงของกิเลสเครื่องเศร้าหมองนานาประการ

O ทุกวันเราทุกคนคงยากจะหนีพ้นภาพที่น่าสลดสังเวชนานาประการ หลายคนคงได้รับความสลดสังเวชในภาพเด็ก ที่เกิดมาขาด้วน แขนด้วน เติบโตขึ้นในสภาพที่ทำให้ผู้ได้พบเห็นยากจะไม่กระเทือนใจ ด้วยความเวทนา

หรือไม่พ้นภาพคนที่มีแต่หนังหุ้มกระดูก ยากจะพยุงกายเดินเหิน ยากจะมีอยู่มีกินด้วยเงินทองของตน ต้องถัดแกรกอยู่ข้างถนน ขอทานเขากิน

เมื่อพบเห็นภาพดังกล่าว ควรแล้วที่จะเมตตา ควรแล้วที่จะสงสาร แต่สำคัญยิ่งกว่านั้น ควรนึกยิ่งกว่านั้น ก็คือควรนึกถึงตนเอง ต้องไม่มีชาติหน้าที่น่าสงสารเช่นเขาทั้งหลายเหล่านั้น

ที่พิกลพิการลำบากยากไร้ถึงต้องไปทนขอทานข้างถนน ไม่มีใครรู้ ว่าตนมีชาติหน้าเป็นอย่างไร อาจจะน่าสังเวชสลดใจยิ่งกว่าที่ได้พบเห็นกันอยู่ ข้อสำคัญเราอาจจะรู้ เมื่อไปมีภพภูมิใหม่ หรือไปเกิดชาติหน้าแล้วนั่นเอง

ว่าชาติก่อนเราคือใคร เราเคยเป็นใคร มีใครเป็นลูกหลาน ความจำได้เช่นนี้ย่อมจะทรมานใจเราไม่มากก็น้อย เพราะเมื่อเราระลึกได้ จำได้ว่าเคยเป็นญาติเป็นเพื่อน กับใครมา แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้จำเราได้ด้วย ตรงนี้คือความลำบากยุ่งยากใจแน่นอน


O ชาติหน้าสำหรับเราทุกคนอยู่ในอำนาจใจของเราแน่นอน ไม่ได้อยู่ในอำนาจของผู้ใดแน่นอน มั่นใจในความจริงนี้และใช้ใจของเราสร้างชาติหน้าของเราให้งดงามที่สุด พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธภาษิตว่า “ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ”

เชื่อไว้ให้มั่น และสร้างชาติหน้าของเราให้ดีที่สุดด้วยอำนาจใจของเราเอง ใจไปผูกพันอยู่กับใคร กับอะไร ใจย่อมพาไปสู่จุดที่ใจมุ่งไปสู่แน่นอน เพียงแต่เราไม่อาจรู้ได้

ในสมัยพุทธกาล คือสมัยที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงดำรงพระชนมายุสังขารอยู่ ด้วยพระญาณทรงหยั่งรู้ ว่าชายผู้หนึ่งสิ้นชีวิตไปเกิดเป็นหมาในบ้านของตนเอง ที่มีลูกชายอยู่

หมาที่เกิดแต่วิญญาณของมนุษย์หนึ่งที่เมื่อยังเป็นคนอยู่หวงสมบัติที่มีอยู่มาก ไม่ยกให้ลูก ไม่บอกลูกชายเพียงคนเดียว ว่าซ่อนสมบัติไว้ที่ไหน จนเมื่อใกล้ตาย ใจที่ผูกพันกับสมบัติสิ้นความหวง ตายเป็นหมาแล้วจะบอกลูกให้รู้ที่ซ่อน โดยวิ่งติดตามลูกไปทุกแห่ง ตะกุยตะกายร้องบอกด้วยภาษาหมา แต่ลูกชายก็ไม่เข้าใจ รำคาญที่หมาตะกุยตะกายวิ่งแซงหน้าแซงหลังอยู่ ก็เตะบ้างถีบบ้าง

จนพระพุทธองค์ไม่อาจทรงทนเห็นได้ จึงเสด็จไปทรงบอกผู้เป็นลูกชายของหมา ว่าหมานั้นเป็นพ่อของเขามาเกิด ให้อาบน้ำอาบท่าให้ เมื่อเขาสบาย ลงนอน ก็ให้เขาไปเรียกเขาว่าพ่อและถามหาสมบัติเขาจะบอก

ชายผู้นั้นทำตามพระพุทธ์องค์ทรงแนะนำ เรียกหมาว่าพ่อ แล้วถามหาที่ซ่อนสมบัติ หมาก็พาไปที่โคนไม้หนึ่ง แล้วตะกุยดินใต้ต้นไม้นั้น ที่มีสมบัติฝังไว้จริงๆ

O ใจที่ห่วงสมบัติของมนุษย์ผู้ชายคนหนึ่งว่าลูกจะไม่รู้ที่ซ่อนของสมบัตินั้น ทำให้ทันทีที่วิญญาณออกจากร่างมนุษย์ ก็เข้าร่างสัตว์คือหมา คงด้วยต้องการจะหาวิธีตามติดลูกชายเพื่อบอกกล่าวให้รู้ว่าสมบัติอยู่ที่ไหน

ด้วยใจที่มุ่งมั่นจริงจังทำให้มนุษย์คนหนึ่งต้องกลายเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง โดยที่เขาอาจจะไม่ได้ทำบาปกรรมใดที่ควรแก่การต้องได้รับผลแห่งกรรมคือเป็นสัตว์ แต่ต้องด้วยอำนาจที่มุ่งมั่นรุนแรงแห่งจิตก่อนจะออกจากร่างนั่นเอง ทำให้เกิดผล เขาได้สมปรารถนา คือสามารถทำสิ่งที่ต้องการได้สำเร็จ

แต่เมื่อความต้องการของเขาเป็นไปในทางเป็นอะไรก็เป็นกัน เขาต้องเป็นเพื่อให้ลูกชายได้พบสมบัติที่เขาหวงแหนนักเท่านั้น อำนาจของจิตยิ่งใหญ่เพียงนี้ จึงทรงเตือนไว้ให้ระวังรักษาจิตให้ดี อย่าให้มีความคิดที่จะนำไปสู่ทุคติ

ดังเช่นชายผู้นั้น ถ้าไม่ด้วยพระมหากรุณาของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ใครเล่าจะช่วยเขาได้ ลูกชายที่รักของเขาจะเตะถีบเขาหนักหนาไปอีกสักเท่าไรถ้าเขายังนัวเนียเคล้าแข้งพันขาอยู่อย่างสุดจะน่ารำคาญ ทุคติของชายผู้นั้นจะไม่ยุติลงได้ง่ายนัก

แต่ถึงแม้ลูกชายจะยอมรับรู้แล้วว่าผู้เป็นพ่อได้กลายมาเป็นหมา เขาจะดูแลพ่อหมาของเขาดังเป็นพ่อมนุษย์ได้อย่างไร หมาก็ต้องเป็นหมาต่อไปจนกว่าชีวิตหมาจะจบสิ้น ต้องนับว่าเป็นเหตุให้ต้องเกิดผลแก่ชีวิตของเขาอย่างเหลือเชื่อ

ที่สำคัญคือเมื่ออยู่ในร่างของหมา แม้ชายผู้นั้นจะสำเร็จผลที่ปรารถนาคือทำให้ลูกชายได้รับสมบัติไป แต่ใจของเขาความรู้สึกของเขาในร่างของหมาจะให้ความทรมานแก่เขาเพียงไร ไม่มีผู้อาจรู้ได้

ถึงลูกชายจะกตัญญูรู้คุณ เมื่อรู้ว่าหมานั้นเป็นพ่อบังเกิดเกล้า ก็เลี้ยงดูหมานั้นอย่างดีที่สุด แต่ก็แน่นอนต้องเป็นการเลี้ยงดูแบบเลี้ยงหมา จะให้เป็นเช่นปฏิบัติต่อผู้เป็นมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้

แล้วใจของพ่อที่อยู่ในร่างของหมาเล่าจะเป็นเช่นไร จะทนทุกข์ทรมานเพียงไหน ใจเป็นเหตุอย่างเห็นได้จริง ฉะนั้นพึงเร่งรู้ค่าของใจ เร่งรักษาให้คิดให้นึกไปในทางดีงามที่สุขเถิด เพื่อตนเองจะได้รับผลอันไม่เป็นทุคติให้ความเดือดร้อนต่อไป


O อำนาจหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมใจได้ให้อยู่อำนาจได้ คือความอยาก สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระพทุธภาษิตแสดงความยิ่งใหญ่ของความอยากไว้ดังนี้ “ความอยากย่อมชักลากนรชนไป ความอยากละได้ยากในโลก, สัตว์เป็นอันมากถูกความอยากผูกมัดไว้ ดุจนางนกถูกบ่วงรัดไว้ฉะนั้น”

O ความอยากคือความปรารถนาต้องการ ความใคร่ ความประสงค์ ทั้งหมดดังกล่าวมีอำนาจเหนือจิตใจยิ่งกว่าอำนาจอื่น เพราะขึ้นชื่อว่าความอยากมีความหมายลึกล้ำยากจะเข้าใจ และมีได้นานาประการ

ทั้งความอยากในความใคร่ ทั้งความปรารถนาต้องการ คืออยากมี อยากเป็น และอยากไม่มี อยากไม่เป็น อะไรทั้งนั้นที่เป็นกิเลสวุ่นวายหนักหนาอยู่ในใจเราทุกคน มีความอยากเป็นจุดเริ่มที่สำคัญที่สุด เป็นเครื่องเศร้าหมองที่มีมากมายเต็มชีวิตจิตใจของทุกผู้ทุกคน

ความอยากที่มีอยู่ในทุกจิตใจมีโทษมหันต์ แม้บางเวลา หรือบางผู้คน จะเหมือนใจว่างจากความอยาก ความจริงเป็นเพียงความอยากสงบอยู่ ความอยากมิได้หมดไปจริง และความสงบก็มิใช่ว่าจะสงบจริงทั้งหมด

เป็นเพียงสงบในเรื่องหนึ่ง หรือความอยากตัวหนึ่งสงบ อีกหลายตัวยังพรั่งพร้อมอยู่ จึงเป็นไปได้ยาก หรือเป็นไปไม่ได้เลย ที่ใจของปุถุชนคือคนมีกิเลส จะสงบจากความอยากอันเป็นกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง


O พระพุทธสุภาษิตที่ว่า “ความอยากย่อมชักลากนรชนไป” มีความจริง ที่แม้ไม่คิดก็จะไม่เห็น จะปล่อยใจให้ถูกความอยากชักลากไป เห็นภาพใจแต่ละดวง ของแต่ละคน ถูกความอยากฉุดกระชากลากถูไปอย่างไม่น่าดูแม้แต่น้อย

เป็นคนถูกลากถูกดึงไปด้วยอำนาจป่าเถื่อน อย่างไมปรานีปราศรัย ผ่านแต่ละสิ่งแต่ละอย่างที่แข็งคมดังก้อนอิฐก้อนหินหลาวเหล็ก ร่างจะแหลกเหลวรุ่งริ่งสักเพียงไหน

จิตใจก็เช่นกัน ไม่ได้รับความทะนุถนอมให้ดี ก็เหมือนร่างกายที่กล่าวแล้ว ย่อมแหลกหาชิ้นดีไม่ได้ หาค่าไม่มี แรงฉุดกระชากของความอยากได้ใคร่ดีที่หาขอบเขตไม่ได้ จะผูกมัดแต่ละชีวิตคนไว้กับความทุกข์ ไม่อาจหลุดจากความทุกข์ได้เลย

O คนทุกคนที่ยังมีชีวตต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร ยังเป็นผู้มีกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ยังอยู่ในอำนาจของกิเลส แต่ถ้ามีเหตุผลเพียงพอ มีความเข้มแข็งที่จะนำชีวิตให้พ้นมือของกิเลส ก็ย่อมสามารถทำได้ ก่อนอื่นต้องมีสติรู้ คือรู้ว่าความอยากเป็นกิเลสตัวใหญ่มาก

O กิเลสเครื่องเศร้าหมองมีอำนาจมีกำลังยิ่งใหญ่มาก พึงระลึกอยู่ให้เสมอ ว่ากิเลสเป็นตัวร้ายที่มีกำลังแรงมาก เปรียบกับงูใหญ่ที่รัดรอบกายอยู่ แต่ยังไม่อาจทำให้กระดูกในร่างกายเราแหลกเหลวได้

เรายังมีโอกาสที่จะพาตนให้พ้นแรงพันรัดได้ถ้าคิดสู้จริง ไม่ยอมแพ้ด้วยการยอมถูกรัดกระดูกแตก โดยไม่คิดต่อสู้ดิ้นรนให้พ้นภัย จงสู้ สู้กับกิเลส กิเลสที่มีปกติกดหัวเรามา บีบบังคับจะให้ทำทุกอย่างตามอำนาจของกิเลส เป็นคนอย่ายอมแพ้กิเลสง่ายๆ ต้องสู้ ต้องชนะ

กิเลสต้องเป็นฝ่ายแพ้เรา ให้เราขับไล่หนีจนเตลิดไปจากชีวิตจิตใจเราให้ได้ ทำกำลังใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ รู้ตัวไว้ให้เสมอว่าเราจะชนะกิเลส กิเลสจะแพ้เรา

O กิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งปวงจะแพ้สติแพ้ปัญญาของผู้มุ่งมั่นจะเอาชนะ มุ่งมั่นจะขับไล่กิเลสให้พ้นไปจากชีวิตจิตใจ ถ้าเราไม่อาจพ้นมือกิเลสได้ กิเลสไม่อาจถูกเราถอดถอนให้พ้นจากชีวิตจิตใจได้

พระพุทธองค์ก็ย่อมจะไม่ทรงแสดงไว้ ว่าพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด คือพระอรหันต์ ท่านเป็นผู้ไกลกิเลสทั้งปวงแล้ว พระอรหันต์ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงท่านจะไม่กลับมามีการเวียนว่ายตายเกิดอีก ท่านเป็นผู้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดแล้วอย่างสิ้นเชิง ไม่วนเวียนอยู่ในทะเลแห่งความทุกข์ เช่นพวกเราผู้เป็นปุถุชนทั้งปวง


O ความอยากสามารถฉุดกระชากลากแต่ละคนให้คิด ให้พูด ให้ทำ อะไรต่อมิอะไรที่ร้ายแสนร้ายเพียงใดก็ได้ ลักขโมยเล็กๆ น้อยๆ ก็เกิดจากความอยากได้เพียงเล็กๆ น้อยๆ

การปล้นสดมภ์ถึงเข่นฆ่าแทบจะล้างผลาญกันให้หมดบ้านหมดเรือนหมดประเทศก็เกิดจากความอยากได้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จนถึงต้องสังหารผลาญชีวิตเพื่อให้สมอยาก

การอยากได้ทรัพย์สินเงินทองที่ฉุดลากให้ไปเป็นผู้ร้ายลักขโมย แม้ถึงทำลายชีวิตกัน ก็ไม่เสมอด้วยความอยากมีอำนาจยิ่งใหญ่ ความอยากนี้มีโทษเกินกว่าจะคาดคิดได้

ความอยากมีวาสนาเป็นใหญ่เป็นโตในบ้านในเมืองนั้น ต้องทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย ผิดร้ายแรงเพียงใดก็ทำกัน บ้านเมืองจะดีขึ้นหรือเลวลงเพียงใด เป็นเรื่องไม่สำคัญเท่าความอยากของคน

ความอยากยิ่งใหญ่เพียงใด ก็ยิ่งทำความเร่าร้อนรุนแรงเพียงนั้นให้เกิดขึ้นในหัวใจผู้อยาก ขณะเดียวกันก็อาจทำความเดือดร้อนให้เกิดแก่สังคมเกิดแก่ประเทศชาติศาสนามากมาย แต่ก็น้อยนักที่จะเห็นโทษของความอยาก

ความอยากจึงเต็มไปทุกชีวิตจิตใจชักลากนรชนไปดังพระพุทธภาษิต โดยที่ผู้ถูกความอยากชักลากอยู่นั้นหาได้เป็นสุขไม่ แต่ก็หาได้รู้ไม่ว่าความไม่เป็นสุขที่ต้องได้รับอยู่นั้นเกิดแต่ความอยาก ความอยากที่ไม่เคยหยุด ไม่เคยเพียงพอ


(มีต่อ ๔)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
I am
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 25 ต.ค. 2006
ตอบ: 972

ตอบตอบเมื่อ: 22 ม.ค. 2007, 8:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

O ความอยากที่สำคัญประการหนึ่ง และมีอยู่แทบทุกหนทุกแห่ง คือความอยากทำลายผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของความอิจฉาริษยา โกรธใคร เกลียดใคร อิจฉาริษยาใคร ก็อยากจะทำลายให้ย่อยยับ

ความอยากนี้จะฉุดลากให้ผู้มีความอยากอันเกิดแต่ความโกรธ เกลียด ความอิจฉาริษยาโลดแล่นไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อย่างไม่กลัวที่จะต้องเผชิญกับอะไรทั้งนั้น มุ่งมั่นไปตามอำนาจของความมุ่งร้าย ที่มีความโกรธเกลียดความอิจฉาริษยาเป็นกำลังของความอยาก

ผลักดันและฉุดกระชากลากถูลู่ถูกังไปทุกวิถีทาง อย่างไม่รู้จักท้อแท้เหน็ดเหนื่อย ไม่คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษใดๆ ทั้งสิ้น ความอยากเท่านั้นมีกำลังเหนือความรู้คิดที่ถูกที่ควรทั้งหลายทั้งปวง ความอยากเท่านั้นที่ผูกมัดไว้ และลากถูไป ไม่ปล่อยให้มีอะไรอื่นมาปลดปล่อยให้เป็นอิสระ


O สมเด็จพระบรมศาสดาทรงชี้ชัดให้พากันคิด ว่า “สัตว์เป็นอันมากถูกความอยากผูกมัดไว้ ดุจนางนกถูกบ่วงรัดไว้ฉะนั้น”

นกที่ติดบ่วงย่อมไร้อิสรภาพ ย่อมรอเวลาที่จะถูกจับไปเป็นอาหาร สัตว์ทั้งหลาย คือเราท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกับนางนกที่ทรงมีพระพุทธภาษิตว่าถูกบ่วงรัด นางนกนั้นเป็นเช่นไร สัตว์ทั้งหลายที่ถูกความอยากผูกมัดไว้ก็เป็นเช่นเดียวกัน นั่นเอง

O ฟังพระพุทธภาษิตใดก็ตาม อย่าสักแต่ว่าฟัง อย่าสักแต่ว่าอ่าน อย่าสักแต่คิดว่ารู้แล้วเข้าใจแล้ว แต่หาได้รู้ หาได้เข้าใจลึกซึ้งแม้เพียงพอประมาณไม่ พระพุทธภาษิตมิใช่ภาษิตของท่านผู้รู้ทั้งหลายอื่น ที่มีคุณมีประโยชน์ก็จริง แต่หาได้มีความลึกซึ้งด้วยคุณสูงส่งประเสริฐเป็นสัจธรรม เสมอด้วยพระพุทธภาษิตในสมเด็จพระบรมครูของเราไม่

ดังนั้นการได้รับฟังพระพุทธภาษิตใด จึงต้องไม่ประมาทในการฟัง ในการคิดพิจารณาให้เข้าใจความหมายแห่งพระพุทธภาษิตนั้น เพื่อให้ได้รับพระพุทธเมตตาที่โปรดประทานในพระพุทธภาษิตแต่ละบท แต่ละข้อคำ

ต้องอ่านให้ดี ฟังให้ดี คิดให้ดี ให้ได้ความเข้าใจ ที่แจ่มใสชัดแจ้ง อย่างน้อยก็พอใกล้เคียงกับความหมายที่แท้จริงของพระพุทธภาษิตแต่ละบท ที่เป็นผู้มีบุญสูงส่งนัก จึงได้มาพบมาเห็น มานอบน้อมเทิดทูนไว้เป็นมหามงคลของชีวิต


O โลกทุกวันนี้ รวมทั้งประเทศชาติไทยของเรานี้ด้วย ร้อนแรงอย่างไม่เคยมีไม่เคยเป็นมาแต่ก่อน โดยเฉพาะในบ้านเมืองไทยเรา มีทั้งเผา มีทั้งฆ่า มีทั้งข่มขืน มีทั้งทรยศคดโกงหลอกหลวง

ขาดทั้งความมีกตัญญูกดเวทิตาธรรม คือไม่รู้พระคุณที่ท่านทำแล้วและไม่ตอบแทนพระคุณท่าน ขาดทั้งเมตตาปรารถนาให้ใครๆ ทั้งนั้นเป็นสุข ขาดทั้งกรุณาช่วยผู้มีทุกข์ให้พ้นทุกข์

มีทั้งความไม่รู้จักอาย คิดพูดทำที่น่าเกลียดน่ากลัวน่ารังเกียจและน่าอับอาย ได้อย่างเป็นเรื่องธรรมดา รวมทั้งการแต่งกายที่ไม่ใช่ความงดงามเรียบร้อยของไทยแท้จริง

เพียงเท่าที่สามารถนำมากล่าวได้ในที่นี้ ก็น่าคิด ว่าเกิดเพราะกิเลสตัวสำคัญคือความอยาก หรือมิใช่ที่สามารถผูกรัดมนุษย์เราไว้ได้ เหมือนนางนกที่ถูกบ่วงคล้อง

O โลกทุกวันนี้ ไทยทุกวันนี้ ต่างก็ร้อนแรงด้วยอำนาจของความอยาก จริงหรือไม่ลองยกขึ้นพิจารณา ก็ย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ว่าไม่จริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกไม่ได้กำลังร้อนแรงเพราะความอยากของผู้คนในโลก

แน่นอนในประเทศไทยเราด้วย อยากได้เงิน นี้น่าจะเป็นข้อที่เห็นได้ง่ายกว่าข้ออื่น ฆ่ากัน เหตุส่วนมากก็เพื่อลักขโมยทรัพย์สินเงินทองของผู้ต้องถูกฆ่า หรือถูกยิงถูกฟัน ไม่ตายก็อาการสาหัสต้องทนทุกขเวทนา เป็นภาพที่สร้างความสลดสังเวชให้แก่ผู้พบเห็นไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่เฉพาะผู้คนในบ้านเรือนผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บแทบล้มตายเท่านั้น ที่เดือดร้อนตระหนกตกใจขวัญหนีดีฝ่อ แต่แทบทุกอาคารบ้านเรือนที่ผู้คนรับรู้รับเห็น ร่วมมีความรู้สึกไม่แตกต่างกันโลกจึงร้อนเพราะมีความอยากได้เงินได้ทองของคนจำพวกหนึ่งเป็นเหตุ

แม้คิดดู ก็คงเห็นพ้องต้องกันในเรื่องนี้ ว่าความอยากมีอยากเป็นของคนพวกหนึ่ง ที่มีจำนวนไม่น้อยนักแล้วในปัจจุบัน เขาเหล่านั้นมีความอยากที่รุนแรง ทั้งอยากมีเงิน อยากเป็นผู้มีเงิน

ถ้ายังไม่มีความอยากเกิดขึ้น ความเดือดร้อนเพราะการฆ่าการลักขโมยก็ย่อมไม่เกิด ต้องความอยากมีอยากเป็นเกิดขึ้นเสียขึ้น ฉุดกระชากลากตัวไปก่อกรรมร้ายแรงได้ ทั้งปล้นทั้งจี้ทั้งฆ่า

ความอยากสามารถก่อให้เกิดกรรมได้อย่างโหดเหี้ยมอำมหิต ไม่กลัวบาปไม่กลัวกรรม อำนาจของความอยากเห็นได้ไม่ยากนัก แต่เราไม่ได้พากันนึก จึงไม่เห็นความสำคัญนี้ ไม่ได้คิดถึงโทษของความอยาก ว่ามีรุนแรง และสำคัญมาก

ถ้าความอยากไม่มี โลกต้องไม่ร้อนจนน่าตกใจเช่นทุกวันนี้ ความอยากจึงต้องไม่ดีแน่แล้ว ต้องเป็นสิ่งที่ควรลดละให้ลดน้อยลง ลดน้อยลง จนถึงให้หมดสิ้นไปให้ได้ในวันหนึ่ง


O ทุกวันนี้มีการฆ่ากันมากกว่าเคยมีมาในอดีต เรียกว่ามีผู้ถูกฆ่าทั้งเดี่ยวทั้งหมู่เป็นร้อยทีเดียว แน่นอน กรณีเช่นนี้ต้องไม่เกี่ยวกับความอยากมีอยากเป็น แล้วฆ่าเพื่อได้มีได้ เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง

ซึ่งก็เป็นได้แน่ในบางกรณี แต่ไม่ใช่กรณีที่กำลังยกมาพูดถึงอยู่นี้ ที่เป็นการฆ่าเพื่อได้ฆ่าจริงๆ น่าจะเกิดจากความอยากเหมือนกัน แต่กรณีนี้ไม่ใช่อยากมีเงิน ไม่ใช่อยากเป็นผู้มีเงิน แต่น่าจะอยากไม่ให้พวกที่ถูกฆ่ามีชีวิตอยู่ดูโลกต่อไป

จะด้วยเหตุผลใดก็ยากจะกำหนดรู้ เพราะน่าจะมีเหตุมากมาย ที่ทำให้ผู้ฆ่า หรือผู้ได้รับคำสั่งให้ฆ่า อยากเป็นผู้ที่ฆ่าผู้คนพวกหนึ่งเสีย ไม่ให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ความอยากนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และไม่ใช่เรื่องธรรมดา

เพราะเป็นความอยากที่ฉุดลากให้ไปก่อกรรมทำเข็ญร้ายแรง ถึงทำลายชีวิตผู้คนได้รับน้อยนับพัน กล่าวได้ว่าคนเหล่านั้นต้องเสียสละชีวิตสนองความอยาก ที่มีอำนจใหญ่ยิ่งนัก

ถ้าไม่มีความอยากให้คนพวกหนึ่งพ้นไปจากโลกนี้ ความตายมากมายก็จะไม่เกิดขึ้นความร้อนแรงของเหตุการณ์ในประเทศชาติไทยก็จะไม่มีในกรณีนี้ ความอยากจึงมีอำนาจนักในการทำโลกให้ร้อน

O แม้จะเคยรู้เคยเชื่อ ว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาปหนัก จะทำให้ต้องพบความบีบคั้นของชีวิตถึงต้องฆ่าตัวตายอีกเป็น ๕๐๐ ชาติ เมื่อความอยากพ้นไปจากชีวิตนี้เพื่อหนีทุกข์ การฆ่าตัวตายก็เกิดได้ด้วยวิธีที่น่ากลัวต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นให้เป็นข่าวสลดสังเวชใจอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน

รู้เห็นสภาพการจากไปของแต่ละชีวิต เช่นนี้ ควรไม่ลืมนึกถึงอำนาจแรงร้ายของความอยาก ว่ามีอำนาจร้ายกาจเหนืออำนาจของความรักตัวกลัวตาย ชีวิตในโลกนี้จบสิ้นโดยที่ไม่มีใครรู้ ว่าก่อนจากโลกนี้ไปจริง เจ้าของชีวิตจะวุ่นวายใจเพียงไร ที่จะล้มเลิกความอยากไม่มีชีวิตต่อไปในโลกนี้ ซึ่งสายไปเสียแล้ว


O ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับผู้ละโลกนี้ไปแล้วก็คือชีวิตในโลกหน้า ในโลกใหม่ของแต่ละคน หัดนึกถึงความจริงที่จะต้องหนีไม่ได้ คือการเกิดใหม่ในทันทีที่การเกิดเก่าจบสิ้นลง ที่ว่าชีวิตในภาพชาติใหม่น่ากลัวที่สุด ก็เพราะไม่มีใครรู้ ว่าชาติหน้าของเราแต่ละคนจะเป็นเช่นไร ดีหรือร้ายเพียงไหน

จะขึ้นสวรรค์หรือจะลงนรก ต่างก็น่าจะไม่รู้กัน และเพราะน่าจะพากันไม่เคยสนใจแม้เพียงจะคิด ว่าทันทีที่ขาดใจตาย เราจะเป็นอย่างไร เราจะไปไหน ไปเป็นอะไร เราพากันไม่สนใจ ไม่นึกถึง

สิ่งที่ควรสนใจ ควรนึกถึง อย่างที่สุดนี้ เพื่อจะได้ให้เวลาตัวเองในการจัดที่ใหม่ให้ชีวิตตนชาติหน้า ที่ทุกคนต้องไปถึงแน่ ทันทีที่ออกจากร่างในชาตินี้ จะเป็นการช่วยตนเอง ให้มีโอกาสหาที่ทางเตรียม ไว้สำหรับชีวิตใหม่ ที่ต้องพบแน่ในวันหนึ่งข้างหน้า เพียงแต่อาจจะช้า หรืออาจจะเร็วเท่านั้น

ใครจะไม่มีภพชาติใหม่ไม่มี นอกจากพระอรหันต์ ผู้ไกลกิเลสแล้วสิ้นเชิงเท่านั้น ที่ท่านจะไม่เกิดอีกต่อไปแล้ว

O เราทุกคนแม้ยังไม่สามารถหนีไกลกิเลสได้ที่ยังจะต้องเกิดอีกแน่นอน น่าจะไม่ประมาทในการเตรียมชีวิตในภพภูมิใหม่ หรือในชาติหน้า แม้ไม่เคยเตรียมมาก่อนเลย มาเริ่มต้นเตรียมในบัดนี้ก็ยังดี การเตรียมชีวิตชาติหน้า ก็คือการเตรียมจัดบ้านเรือนหลังใหม่ที่จะไปอยู่

จัดเตรียมซื้อหาบ้านใหม่สำหรับจะย้ายไปอยู่ใหม่ เมื่อบ้านปัจจุบันอยู่ไม่ได้แล้ว ถูกก่อกวนขับไล่หนักบ้างเบาบ้าง จนต้องยอมออกแล้ว ถ้าไม่เตรียมบ้านใหม่ไว้ให้ดี ให้พร้อมด้วยความสุขสะดวกสบายสวยงาม ปุบปับต้องออกจากบ้านเก่าจะไปอยู่ที่ไหน ที่มีความสะดวกสบายทั้งกายทั้งใจได้

เรียกว่าแม้ไม่เตรียมที่ให้ดี ก็ต้องไปที่ที่เลว คือแม้ไม่เตรียมทำความดีทำบุญกุศลให้มากที่สุดไว้เสมอ ชาติหน้าจะพร้อมด้วยความสะดวกสบายไม่ได้ จะไม่ไปเป็นเทวดา ไม่ไปเป็นมนุษย์ก็ได้ ไปเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ก็ได้คนเรานั้นแม้ไม่ทำดี ก็จะทำชั่ว มักจะไม่อยู่เฉย

ดังนั้นทุกคนควรทำความดี คิดดี พูดดี ทำดี ไว้ให้เสมอ อย่าคิดหาข้ออ้างมาทำไม่ดี นึกไว้ให้เสมอ ว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากบ้านที่อยู่นี้เมื่อไรก็ได้ วันนี้พรุ่งนี้ก็ได้ ใครเล่าจะรู้ อย่าให้ต้องถูกจับไปเข้ารที่คุมขัง รวมอยู่กับหมากับแมวฐานไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งก็แล้วกัน


O ปีใหม่ พระพุทธศักราช ๒๕๕๐ แล้ว กำลังส่งความสุขให้กันและกันแล้ว อย่าลืมส่งให้ตนเอง ด้วยของขวัญและด้วยพรมีค่าสูงสุดคือนอบน้อมใจส่งไปเบื้องพระพุทธบาท

กราบทูลตั้งสัจจะถวายสัญญากับสมเด็จพระบรมศาสดาด้วยความจริงใจและอย่างจริงจัง ว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จะเตรียมชาติหน้าของตนอย่างดีที่สุด ให้สามารถมีชาติหน้าที่งดงาม พรั่งพร้อม ด้วยความสูงส่งของความดีงาม ทั้งทางโลกและทางธรรมสามารถกราบพระพุทธองค์ได้ทุกเมื่อ

จะไม่ไปเกิดในภพภูมิที่ต่ำต้อยไร้ความสุขความเจริญ ตั้งแต่วินาทีนี้จะคิดจะพูดจะทำอย่างมีสติ มีความงดงามในจิตใจ ที่เข้าใกล้ผู้ใด ผู้นั้นก็จะสามารถได้สัมผัสความงดงามแห่งจิตใจที่มีความดี มีพระพุทธพร เป็นเครื่องปรัะดับ

ขอจงสมปรารถนาในความคิดที่งดงามนี้ คือขอจงคิดได้ ทำได้เป็นผู้กำลังเตรียมภพชาติที่สูงส่ง สำหรับชีวิตในภพนี้และภพหน้า ภพต่อๆ ไป จนกว่าจะไกลกิเลสได้สิ้นเชิง ในวันหนึ่ง

ขออำนวยพร.

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์
มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐

สาธุ

เจริญธรรมครับทุกท่าน
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง