Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชัยชนะที่แท้จริง (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 09 ม.ค. 2007, 11:29 am
ชัยชนะที่แท้จริง
โดย พระไพศาล วิสาโล
เมื่อศัตรูหรือปรปักษ์ของเรามีอันต้องเป็นไป ธรรมดาของปุถุชนย่อมอดไม่ได้ที่จะดีใจ เรามีเหตุผลมากมายที่สะใจในความวิบัติของเขา พฤติกรรมอันมิชอบหรือนิสัยที่น่ารังเกียจของเขา เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วที่เราจะยินดีในเคราะห์กรรมของเขา ยิ่งเขามีจิตมุ่งร้ายหมายทำลายเราหรือพวกของเราโดยตรงด้วยแล้ว เรากลับจะรู้สึกด้วยซ้ำว่า ความวิบัติที่เกิดกับเขานั้นยังน้อยเกินไปเสียอีก
ความตายที่เกิดกับผู้ก่อความไม่สงบ ๑๐๘ คนนั้น สำหรับคนจำนวนไม่น้อย นับเป็นสิ่งที่น่ายินดี หลังจากที่คนบริสุทธิ์ถูกสังหาร พระเณรถูกฆ่าฟัน ตำรวจทหารถูกทำร้าย โรงเรียนถูกเผา ทรัพย์สินสาธารณะถูกทำลายตลอดสี่เดือนที่ผ่านมาโดยที่แทบจะทำอะไรคนร้ายไม่ได้ เมื่อถึงคราวที่คนร้ายเหล่านั้นถูกตอบโต้อย่างรุนแรงจนล้มตายเป็นเบือ ย่อมเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่ปฏิกิริยาอย่างแรกของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยคือความรู้สึกสาสมใจ
อย่างไรก็ตามเราไม่ควรดีใจหรือสะใจไปจนลืมใคร่ครวญว่า เหตุการณ์นองเลือดดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบอะไรตามมา ชัยชนะด้วยวิธีรุนแรงนั้นไม่เคยยุติที่การเก็บซากศพผู้ปราชัย ร้อยกว่าคนที่ล้มตายย่อมหมายถึงญาติมิตรนับพันคนที่ลุกขึ้นมาเป็นศัตรูกับรัฐบาล การสังหารหมู่คนที่จนตรอกและไม่มีกำลังอาวุธจะต่อกรอย่างสมน้ำสมเนื้อ หมายถึงการเร่งให้ฝ่ายที่สูญเสียหันมาใช้วิธีที่รุนแรงมากขึ้น หรือติดต่อขอรับความช่วยเหลือจากนักก่อการร้ายข้ามชาติที่ร่วมอุดมการณ์หรือศาสนาเดียวกัน
วันนี้เขาใช้มีดพร้า วันหน้าเขาอาจใช้ระเบิดพลีชีพหรือคาร์บอมบ์ วันนี้สมรภูมิอยู่ที่สามจังหวัด วันหน้าสมรภูมิคือทุกหนแห่งในประเทศไทย นั่นหมายความว่าคนไทยทั้งประเทศตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น พ่อแม่พี่น้องของเรามีโอกาสเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากขึ้น นี้หรือคือชัยชนะที่เราควรโห่ร้องยินดี
แม้ไม่ต้องมีจิตเมตตาการุณย์มาก ก็เห็นได้ไม่ยากว่าเหตุการณ์วันที่ ๒๘ เมษายน ไม่ใช่เรื่องที่ควรยินดีปรีดา มองอย่างเห็นแก่ตัวที่สุดก็จะพบว่าความตายของคน ๑๐๘ คนนั้นกำลังทำให้ชีวิตของเราทุกคนตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น บ้านเมืองจะวุ่นวายมากขึ้น ความรุนแรงนั้นไม่เคยยุติด้วยความรุนแรง ยิ่งใช้ความรุนแรงมากเท่าไร ก็ถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรงมากเท่านั้น
มองในฐานะคนไทย ๒๘ เมษายน คือวันวิปโยคของชาติ เพราะคนที่ตายก็ล้วนเป็นคนไทย และคนที่สูญเสียก็คือคนไทยทั้งประเทศ มองอย่างชาวพุทธ ๒๘ เมษายนคือวันที่มืดมนของมนุษย์ เพราะโทสะและโมหะได้ครอบงำจิตใจผู้คนจนพอใจในการห้ำหั่นบีฑากัน
ความโกรธเกลียดและความพอใจในความพินาศของผู้อื่นนั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อใครเลย มันมีแต่จะบั่นทอนและทำร้ายตัวเราเอง เมื่อความโกรธเกลียดเกิดขึ้น เราย่อมเป็นทุกข์ และเมื่อเรายินดีในความวิบัติของผู้อื่น จิตใจของเราย่อมตกต่ำ เพราะบาปกรรมได้เกิดขึ้นกับเราแล้ว ไม่เพียงแต่ ความเป็นมนุษย์ของเราจะลดน้อยถอยลงเท่านั้น หากเรายังมีความสุขได้ยากขึ้นอีกด้วย เพราะความกระหายใคร่เห็นความพินาศของคนอื่นนั้นจะตามรังควานเราตลอดเวลา ด้วยเหตุนี้เองพระพุทธองค์จึงตรัสว่า คนที่โกรธตอบผู้อื่นนั้น โง่และเลวกว่าฝ่ายหลังเสียอีก เพราะทำลายทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
พึงระลึกว่ายิ่งเราโกรธเกลียดใครมากเท่าไร พยายามกำจัดเขาด้วยวิธีรุนแรงมากเท่าไร เราก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นอย่างเขามากเท่านั้น ตำรวจที่ต่อสู้กับโจรผู้ร้าย ง่ายที่จะมีใจคอเหี้ยมเกรียมอย่างผู้ร้าย (ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มีข่าวตำรวจรีดไถหรือทรมานผู้ต้องหาอยู่บ่อยๆ) ในทำนองเดียวกันทหารที่สู้รบกับผู้ก่อการร้าย นับวันจะทำตัวละม้ายคล้ายคลึงกับฝ่ายหลัง (กรณีทหารอเมริกันใช้วิธีป่าเถื่อนกับนักโทษอิรักในเรือนจำ เป็นตัวอย่างล่าสุด)
ยิ่งพยายามกำจัดยักษ์มารมากเท่าไร่ พึงระวังว่าเราเองจะกลายเป็นยักษ์มารไปกับเขาด้วย เพราะความโกรธเกลียดนั้นเป็นอาหารบำรุงเลี้ยงความชั่วร้ายในตัวเราที่ไม่มีอะไรเทียบได้ บ่อยครั้งชัยชนะในการสังหารคนชั่วร้ายนั้นจึงมักลงเอยด้วยการที่ผู้ชนะนั้นกลายเป็นคนชั่วร้ายเสียอีก ถึงตรงนี้เราควรถามว่าใครกันแน่ที่ชนะ มองอย่างพุทธ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ ความชั่วร้ายต่างหากที่ชนะ
ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีมนุษย์คนใดที่เป็นศัตรูของเรา ศัตรูของเราคือความอำมหิตและความเขลาที่เห็นมนุษย์เป็นผักปลา พูดรวมๆ ก็คือความชั่วร้ายต่างหากที่เป็นศัตรูของเรา ความชั่วร้ายนี้ไม่อาจทำลายได้ด้วยการฆ่า ตรงกันข้ามยิ่งฆ่าก็ยิ่งทำให้ความชั่วร้ายแพร่ระบาด ไม่ใช่ระบาดไปยังพรรคพวกของคนที่ถูกฆ่าเท่านั้น หากยังลุกลามเข้ามาในใจของเราด้วย
จะต่อสู้กับความชั่วร้ายได้มีวิธีเดียว คือต้องใช้เมตตาที่ประกอบด้วยปัญญา คุณธรรมสองประการนี้ช่วยให้เราสามารถชนะใจอีกฝ่ายหนึ่ง และช่วยขจัดความอาฆาตพยาบาทไปจากจิตใจของทุกฝ่าย เมตตาและปัญญามิได้มีอานุภาพแต่เฉพาะความขัดแย้งระหว่างบุคคลเท่านั้น หากยังสามารถใช้ในการแก้ความขัดแย้งที่กว้างกว่านั้น การเอาชนะคอมมิวนิสต์เมื่อ ๒๐ กว่าปีก่อน ด้วยการเปิดโอกาสให้นักรบจรยุทธกลับเข้ามาพัฒนาชาติไทยร่วมกับคนส่วนใหญ่ และการสร้างเงื่อนไขทางการเมืองที่เอื้อต่อการแก้ไขความขัดแย้งโดยสันติวิธี เป็นตัวอย่างของการใช้เมตตาและปัญญายิ่งกว่าศาสตราวุธ
ถ้าหากคนไทยในครั้งนั้นยังหนำใจกับการนับศพคอมมิวนิสต์ สงครามครั้งนั้นย่อมยืดเยื้อและมีคนตายอีกนับพันนับหมื่น คำถามก็คือวันนี้คนไทยยังเห็นคุณค่าของเมตตากับปัญญาหรือไม่ หรือว่ายอมให้ความโกรธเกลียดชักนำไปหาความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที
คนไทยส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา จึงควรสดับฟังเรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าพิมพิสารซึ่งเป็นกษัตริย์องค์หนึ่งในสมัยพุทธกาล พระโอรสคือเจ้าชายอชาตศัตรูนั้นหมายปองราชสมบัติ จึงวางแผนฆ่าพระราชบิดาตามการยุยงของพระเทวทัต แต่ถูกจับได้ อำมาตย์มีความเห็นแตกเป็นสามพวก พวกหนึ่งเห็นว่า ต้องฆ่าเจ้าชายอชาตศัตรู พระเทวทัต และภิกษุที่เป็นบริวารของพระเทวทัตทั้งหมด อีกพวกหนึ่งเห็นว่าฆ่าเจ้าชายอชาตศัตรูและพระเทวทัตก็พอ
พวกสุดท้ายเห็นว่าไม่ควรฆ่า เมื่อเสนอความเห็นดังกล่าวต่อพระเจ้าพิมพิสาร ปรากฏว่าพระองค์สั่งให้ถอดยศพวกที่หนึ่ง กับลดตำแหน่งพวกที่สอง ส่วนพวกที่เสนอว่าไม่ควรฆ่าใครเลยนั้น ได้เลื่อนยศ
แม้พวกเราเป็นแค่ปุถุชน มิได้เป็นอริยบุคคลอย่างพระเจ้าพิมพิสาร แต่ก็ควรระลึกไว้เสมอว่า ความเป็นผู้เจริญนั้นมิได้อยู่ที่ว่าเราปฏิบัติอย่างไรต่อผู้ที่ทำดีกับเรา แต่วัดจากการกระทำของเราต่อศัตรูหรือผู้เป็นปรปักษ์ต่างหาก
............................................................
คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9576
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th