Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
เป็นไทยเป็นพุทธ ต้องช่วยหยุดความรุนแรง (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623
ตอบเมื่อ: 08 ม.ค. 2007, 2:18 pm
เป็นไทยเป็นพุทธ ต้องช่วยหยุดความรุนแรง
โดย พระไพศาล วิสาโล
ความรุนแรงนั้นไม่เพียงก่อความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกายและทรัพย์สินเท่านั้น หากยังดึงเอาด้านมืดออกมาจากจิตใจของมนุษย์ทุกผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำหรือผู้ถูกกระทำ ด้านมืดในจิตใจได้แก่ความโกรธเกลียด เคียดแค้น พยาบาท และการเห็นอีกฝ่ายหนึ่งเป็นวัตถุหรือผักปลา แม้แต่ผู้ที่รับรู้เหตุการณ์อยู่ภายนอกหรือผ่านสื่อต่างๆ ก็ยากที่จะหนีพ้นจากอำนาจดังกล่าวของความรุนแรง
ฝ่ายที่เห็นด้วยกับความรุนแรง ย่อมรู้สึกสะใจ และยินดีที่อีกฝ่ายถูกทำร้าย ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยย่อมรู้สึกเคียดแค้นชิงชัง และปรารถนาจะเห็นความพินาศของอีกฝ่าย แม้จะอยู่คนละฝ่าย แต่สุดท้ายก็ตกอยู่ในสภาวะเดียวกัน นั่นคือถอยห่างจากความเป็นมนุษย์ไปมากขึ้นทุกที เพราะต่างมุ่งจะทำร้ายกัน เมื่อด้านมืดดังกล่าวถูกกระชากออกมาอย่างถึงที่สุด เพื่อนก็ฆ่าเพื่อน พ่อก็ฆ่าลูก และลูกก็ฆ่าพ่อ ลูกศิษย์และครูบาอาจารย์ก็ฆ่าซึ่งกันและกัน มิพักต้องพูดถึงไทยและไทยที่ต้องฆ่ากันเอง
มนุษย์ทุกคนไม่ได้มีแต่ด้านมืดเท่านั้น หากเรายังมีด้านที่สว่างไสวและงดงาม คุณสมบัติส่วนหลังนั้นช่วยยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้นและทำให้ชีวิตเปี่ยมสุข เราจึงควรถนอมรักษาและฟูมฟักด้านที่งดงามเอาไว้ให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันควรดูแลด้านมืดเอาไว้ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง อย่าปล่อยให้มันออกมาอาละวาดจนควบคุมไม่ได้ หาไม่แล้วในที่สุดมันก็จะมาครอบงำชีวิตจิตใจของเรา และทำให้เราถอยต่ำไปสู่ความเป็นเดรัจฉาน ไม่เพียงชีวิตจะหาความสุขสงบได้ยากเท่านั้น หากยังนำไปสู่การทำลายล้างซึ่งกันและกันอย่างยากจะสิ้นสุด
สถานการณ์ทุกวันนี้กำลังน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะมีความรุนแรงต่างๆ มากมายที่พร้อมจะดึงด้านมืดของเราออกมาอย่างน่าอดสูยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในยามนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีสติ อย่าเผลอใจให้ด้านมืดของเราออกมาเชิดชูชื่นชมความรุนแรง เพราะยิ่งมันออกมาเชิดชูความรุนแรงมากเท่าไร ความรุนแรงนั่นแหละจะยิ่งหล่อเลี้ยงมันให้เติบใหญ่จนกลายเป็นนายเหนือชีวิตจิตใจของเรา สติเป็นสิ่งสำคัญเพราะสิ่งที่กำลังล่อหลอกด้านมืดของเราให้ออกมานั้น มักมาในนามของชาติหรือศาสนา ชาติหรือศาสนานั้นมีมนต์ขลังที่ยังสามารถเอามาใช้ล่อหลอกเพื่อดึงเอาด้านมืดของมนุษย์ออกมาได้อยู่เสมอ ตราบใดที่ยังมีสติ เราย่อมไม่หลงกลปล่อยใจให้ถูกล่อหลอก รักษาใจไม่ให้อยู่ในอำนาจของด้านมืด แต่หากขาดสติเสียแล้ว เราอาจเป็นส่วนหนึ่งในการเร่งให้ประเทศลุกเป็นไฟ ดังที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก
แทนที่จะปล่อยใจให้ด้านมืดออกมาเป็นใหญ่ เราควรมีศรัทธากับด้านที่ดีงามของจิตใจ อันได้แก่ความรัก ความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ และความอดทนอดกลั้น แทนที่จะปล่อยให้ความรุนแรงดึงด้านมืดออกมาตามอำเภอใจ เราควรนำเอาความรักและความเห็นอกเห็นใจเข้ามาตอบโต้กับความรุนแรง เมื่อไฟกำลังไหม้ สิ่งที่ต้องการคือน้ำ มิใช่ไม้ขีดไฟหรือน้ำมัน ในยามที่ภาคใต้กำลังลุกเป็นไฟ การช่วยกันโยนไม้ขีดไฟหรือน้ำมัน มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ในยามนี้บ้านเมืองต้องการน้ำสำหรับดับไฟ ต้องการความรักและความเห็นอกเห็นใจสำหรับระงับความรุนแรง
ประเทศนั้นดำรงอยู่ได้ มิใช่เพียงเพราะผืนแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวกันเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือสายสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกันของคนทั้งชาติ การรักษาพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้แม้สำคัญแต่ก็ยังไม่เท่ากับการรักษาสายสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมชาติในพื้นที่ดังกล่าว แม้รักษาพื้นที่เอาไว้ได้ แต่หากรักษาสายสัมพันธ์ของผู้คนเอาไว้ไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไร
กำลังทหารและความรุนแรงนั้นทำได้อย่างมากแค่รักษาพื้นที่ แต่ไม่สามารถรักษาสายสัมพันธ์ของพี่น้องในสามจังหวัดภาคใต้ได้ จะรักษาสายสัมพันธ์เอาไว้ได้ต้องอาศัยสิ่งเดียวเท่านั้น คือความรักหรือความเอื้ออาทรและความเห็นอกเห็นใจจากคนไทยอีก ๗๓ จังหวัดที่เหลือ ถ้ารักชาติก็อย่ารักแค่แผ่นดิน แต่รักผู้คนที่อาศัยอยู่ในผืนแผ่นดินด้วย ถ้าปรารถนาจะรักษาสามจังหวัดภาคใต้ให้ต่อติดกับแผ่นดินส่วนที่เหลือ ก็ต้องรักษาสายสัมพันธ์ของผู้คนในสามจังหวัดภาคใต้ให้เชื่อมโยงต่อติดกับคนไทยอีก ๗๓ จังหวัดด้วย
ความรักและความเห็นอกเห็นใจจากคนไทยอีก ๗๓ จังหวัดเท่านั้นที่จะชนะใจคนไทยอีกสาม จังหวัดที่เหลือ อย่าเหมารวมว่าคนมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้เป็นแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน อย่าสะใจในความวิบัติหรือความตายที่เกิดกับเขาเหล่านั้น ความรุนแรงและความโกรธเกลียดมีแต่จะผลักไสให้เขาเห็นด้วยกับการแยกดินแดนมากขึ้นทุกที
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ควรโหมเพลิงแห่งความโกรธเกลียดต่อเขาเหล่านั้น ตรงกันข้ามควรพยายามแสวงหาทางออกที่เป็นสันติวิธี หากมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากความรุนแรงในฝ่ายรัฐ เราควรกล้าตักเตือน เช่นเดียวกับที่มิตรที่ดีพึงกระทำต่อมิตรด้วยกัน มิใช่ยินดีหรือนิ่งเฉยเมื่อเขาทำผิดพลาด หากรัฐใช้สันติวิธีมากขึ้น ใช้ความรุนแรงแบบเหวี่ยงแหน้อยลง ผู้ก่อการร้ายจะมีแนวร่วมน้อยลง และถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น ปลาที่ขาดน้ำย่อมจับได้ง่าย การแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้จึงควรเริ่มต้นด้วยการไม่ผลักไสไล่ส่งคนบริสุทธิ์ให้ไปเป็นแนวร่วมของผู้ก่อการร้ายอย่างไม่หยุดหย่อน
ความเป็นไทยเกิดขึ้นและดำรงอยู่ได้เพราะความรัก มิใช่เพราะความเกลียด ชาติที่ไร้รัก ย่อมมีแต่ลุกเป็นไฟ ในทำนองเดียวกันความเป็นพุทธก็พิสูจน์กันด้วยความเมตตาและการให้อภัย มิใช่ด้วยความโกรธแค้นและพยาบาท หากรักและหวงแหนพระพุทธศาสนา ไม่อยากให้พระพุทธศาสนาเสื่อมถอย ก็ต้องเริ่มต้นด้วยการน้อมนำพระพุทธศาสนามาไว้ในใจและรักษาให้มั่นคง ด้วยการบ่มเพาะปัญญาและกรุณาให้งอกงาม
การมีพระรัตนตรัยเป็นสรณะหมายถึงอะไร หากมิใช่การระลึกนึกถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์เมื่อเผชิญกับปัญหา ในยามที่ความรุนแรงและความโกรธเกลียดกำลังแพร่ระบาด พุทธพจน์ต่อไปนี้ควรเป็นเครื่องเตือนใจเรา
ภิกษุทั้งหลาย หากพวกโจรผู้ประพฤติต่ำทราม จะพึงใช้เลื่อยที่จับสองข้างเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีจิตคิดร้ายแม้กับพวกโจรนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรผัน จักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่ และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่
............................................................
คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9723
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th