Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ส.ค.ส. ๒๕๔๙ จากพระพรหมมังคลาจารย์ (ปัญญานันทภิกขุ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ก้าวพ้นภัยด้วยใจมีธรรม
ปาฐกถาธรรม โดย หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ


คัดลอกจาก...
http://www.watpanya.org

สาธุ สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....ปีไก่ที่ผ่านไปนั้นเป็นปีที่ค่อนข้างจะทารุณเล็กน้อย
เพราะว่าไก่ตายมาก เห็นไก่ตายแล้วก็อดสงสารไม่ได้
เขาจับใส่ถุง ใส่ลงไปทั้งเป็น
แล้วเอาไปฝังดินเพื่อไม่ให้เกิดโรคต่อไป
โรคอะไรก็ไม่รู้มาเป็นกับไก่ เรียกว่า โรค “ไข้หวัดนก”
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นไก่ตายมากอย่างนี้
เคยเห็นแต่ควายตายวัวตาย
เมื่อสมัยเป็นเด็กควายตายมาก มันเกิดระบาดขึ้น
เป็นโรคขึ้นที่ตำบลตะเครียะ จังหวัดสงขลา
แล้วคนทะเลน้อยซึ่งติดเขตจังหวัดพัทลุงไปเอาเนื้อมากิน
การไปเอาเนื้อมากินน่ะเหมือนไปเอาโรคมา
แล้วก็ระบาด ตายกันเป็นการใหญ่
คุณพ่อมีควายอยู่ ๒๐ ตัว ต้อนหนี
หนีจากอำเภอเมืองไปอำเภออื่น
ต้อนไปๆ แล้วมันก็ตายวันละตัวสองตัว
เดินๆ ไปล้มตาย ตายแล้วก็ พ่อบอก...ควายเราตาย
ตายแล้ว...ตายเรื่อยมา ตายจนหมดทั้งฝูง
น่าอนาถ โยมกลับบ้านมานอนเงียบ ไม่พูดไม่จากับใคร
เสียใจ เพราะว่าควายตายหมด
นี่เรื่องเก่า เอามาเล่าให้ฟังว่า
สมัยนั้นควายมันตายด้วยโรคระบาด ไม่มียา
ไม่มีสัตวแพทย์ที่จะไปดูอะไรเลย

....แล้วปีเก่าที่ผ่านไปนั้นภัยธรรมชาติรุนแรงมากโดยเฉพาะสึนามิ
พายุใหญ่คลื่นใตน้ำขึ้นมา ๑๒ ประเทศเสียหาย
ประเทศไทยเสียหายมาก คนตายมาก
.....นี่ภัยต่างๆ เกิดขึ้น..เสียหาย เดี๋ยวนี้ซ่อมยังไม่เรียบร้อย
วัดวาอารามยังซ่อมกันอยู่ โบสถ์พังอะไรพังไปบ้างแต่ยังพอซ่อมได้
ไม่หนักเท่ากับภัยคน
ภัยคนสามจังหวัดภาคใต้ เข้าไปฆ่าพระ เผาโบสถ์ เผากุฏิ
นี่ร้ายมาก ร้ายกว่าสึนามิ
เพราะว่ามันเป็นคน แต่ว่าใจเป็นสัตว์เดรัจฉาน
ไม่มีเมตตาปรานีใคร เข้าไปปิดประตูวัด แล้วก็ยิงปืนขู่
จับพระลงมาฆ่า เผาศาลา เผากุฏิ เผาหมด ไม่มีเหลือ
เด็กวัดก็พลอยตายไปด้วย ที่อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี

...บางครอบครัว พ่อตาย แม่ตาย ลูกก็ลำบาก
บางครอบครัวตายแต่พ่อ เหลือแม่ก็ลำบากเหมือนกัน
รัฐบาลต้องเข้าไปเลี้ยง แล้วมีรายหนึ่ง ไม่ใช่ไทยพุทธ
ไทยอิสลาม มันเข้าไปปิดหมู่บ้าน ฆ่าคนตายไปตั้งเยอะแยะ
ไม่รู้จะทำอย่างไร ทำไมมันถึงโหดร้ายอย่างนั้น
อ้างตัวว่าเป็นผู้ถือศาสนา แต่ไม่มีธรรมะเป็นหลักครองใจ
ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนา
เป็นคนนอกรีตนอกรอยนอกคอกก็ว่าได้
จึงทารุณโหดร้ายอย่างนั้น
นี่ก็เป็นภัยใหญ่ ที่เกิดขึ้นแก่ประเทศไทย แต่ก็ปราบกันอยู่
แล้วภัยเล็กภัยน้อย ฉกชิงวิ่งราว
พวกฉุดคร่าอนาจารทำร้ายผู้หญิง มีเป็นข่าวเกือบทุกวัน
ข่าวทารุณ พ่อฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อฆ่าแม่
ไปฆ่าคุณยาย จิตใจคนมันต่ำเหลือเกิน
ศีลธรรมมันหายไปหมด ไม่ได้กลับมา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ท่านพุทธทาส จึงพูดว่า
“ศีลธรรมไม่กลับมา โลกาวินาศ”
“ศีลธรรมกลับมา โลกาสว่างไสว”

ศีลธรรมมันไปไหน ไม่ได้ไปไหน ก็อยู่ในโลกนั่นแหละ
แต่คนไม่ศึกษา ไม่เอามาปฏิบัติ
ไม่เห็นประโยชน์ของศีลธรรม ละทิ้งธรรมะ
ละทิ้งข้อปฏิบัติที่ถูกต้อง กลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน

ปีนี้จึงเป็นปีที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อย แล้วเรื่องน้ำท่วม
เมืองไทยนี่ก็น้ำท่วมมาก แล้วพอแห้ง ไม่มีน้ำจะกิน
รัฐบาลต้องแก้ปัญหาสองอย่าง
คือ แก้ปัญหาเรื่องน้ำมาก แล้วแก้ปัญหาเรื่องน้ำน้อย
อันนี้เป็นภัยธรรมขาติที่เกิดขึ้นในบ้านในเมืองของเราก็ต้องคิดแก้
ในหลวงท่านเอาพระทัยใส่มาก ที่ไหนน้ำท่วมต้องแก้
ที่ไหนน้ำไม่มีก็ต้องแก้ เสด็จไปตรวจไปดูว่ามันท่วมอย่างไร
มีเหมืองกี่แห่ง มีน้ำกี่แห่ง
ทำไมจึงได้ท่วม แล้วมาวางแผนเขียนแผนที่
สั่งเจ้าหน้าที่กรมชลประทานให้ทำอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา
พระองค์นี้ไม่ได้อยู่นิ่งๆ เฉยๆ
แต่ทรงปฏิบัติงานเหน็ดเหนื่อยมากกว่าข้าราชการ
มีคนถ่ายรูปเหงื่อไหลที่ปลายจมูก
เรียกว่า พระเสโทไหลที่ปลายจมูก
รูปนี้เห็นแล้วหลวงพ่อชอบใจมาก
บอกว่านี่แหละเป็นรูปของในหลวงที่ทรงงานหนัก
หนักจนเหงื่อไหลที่ปลายจมูก
คนถ่ายนี่เขาถ่ายเก่ง ไปถ่ายติดรูปนั้น เป็นรูปน่าดู
ควรจะเอามาไว้ที่บ้านใส่กรอบวางไว้
ถ้าหากว่าเราเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า
ไปยืนดูรูป..ในหลวงเหนื่อยกว่าเรา ลำบากกว่าเรา
เรานึกว่าเป็นราชามหากษัตริย์
ครองราชสมบัติจะสบาย ไม่สบาย
โดยเฉพาะในหลวงของเราท่านไม่สบาย
ทุกข์ของประชาชน คือ ทุกข์ของพระองค์ท่าน
สุขของประชาชน คือ ความสุขของพระองค์
ที่ไหนมีทุกข์ เสด็จไปเยี่ยมไปเยียน
แจกเสื้อแจกผ้าแจกหยูกแจกยา
แล้วแก้ปัญหา ตัดเหตุไม่ให้เป็นอย่างนั้นต่อไป
ทรงทำงานหนัก ไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าใด
แต่ว่าตอนนี้หมอห้ามไม่ให้ในหลวงเสด็จ
เพราะเป็นโรคพระหทัย..หัวใจไม่ดี ให้พักผ่อน
ท่านไปอย่างมากเพียงหัวหิน แต่พระราชินีไปแทนบ้าง
เจ้าฟ้าพระเทพฯ ไปบ้าง เจ้าฟ้าชายไปบ้าง

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

...หลวงพ่อไปเทศน์ในคุก บอกเจ้าหน้าที่ว่า
ไอ้โจรร้ายๆ เอามานั่งแถวหน้า
เวลาเทศน์แล้วจะได้ถามง่าย
เขาก็เอามาเรียงเป็นแถว
ถามว่า เราต้องโทษเพราะอะไร
เขาบอกว่า ต้องโทษเพราะเขาหาว่าปล้นหาว่าฆ่า
ถามว่าแล้วจริงไหม “จริงครับ”
ไอ้คำว่าจริงครับ มันพูดเบาๆ มันไม่กล้าพูดดังๆ
พวกนี้มันจริงทั้งนั้น ที่จับมาได้..ร้ายแรง
แต่นักโทษคนหนึ่งฟังเทศน์แล้วร้องไห้
เข้าไปถามว่า..ร้องทำไม
“เสียใจครับ...ผมเกิดมารกบ้านรกเมือง
ทำให้พ่อแม่เดือดร้อน ทำให้พระเจ้าแผ่นดินเดือดร้อน
ผมเสียใจ แต่มันไม่รู้ พอมาฟังเทศน์ หลวงพ่อพูด
ผมเสียใจมาก ผมจะไม่ทำชั่วต่อไปตลอดชีวิต
ผมจะเข้าวัด ถือศีลถือธรรม บวชเป็นพระ...ทำความดีต่อไป”
เรียกว่า“เสือร้องไห้” ...มันร้อง..น้ำตาไหล
เป็นทุกข์เพราะความชั่ว

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
“กรรมใดทำแล้วเป็นทุกข์ในภายหลัง กรรมนั้นไม่ดี”
“กรรมใดทำแล้วสบายใจ กรรมนั้นดี”


นี่เป็นภัย มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยเรา
ทำให้เกิดปัญหาด้วยประการต่างๆ เป็นสิ่งน่ากลัว
ต้องระมัดระวัง กลางคืนบ้านช่องต้องปิดใส่กลอนเรียบร้อย
แล้วไม่ควรไปเที่ยว ทุกคนไม่ควรไปเที่ยวกลางคืน
เขาสนุกสนานอย่าไป อยู่บ้านดีกว่า
เพราะพระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้เที่ยวกลางคืน
การออกนอกบ้านกลางคืน...ชื่อว่า ไม่รักษาตัว
ไม่รักษาทรัพย์ ไม่รักษาครอบครัว
มักถูกใส่ความ มักถูกทำร้าย เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย
เห็นเที่ยวเดินอยู่ในตรอกในซอย
เขาระแวงว่าไอ้นี่จะมาปล้นใคร
เขาระแวง แจ้งตำรวจจับเอาไปนอนในโรงพัก
อยู่ในกรงเหมือนสัตว์เดรัจฉาน เป็นของต้องห้าม
...แล้วไม่ควรจะไปคบหาสมาคม กับคนชั่วๆ

พระพุทธเจ้าสอนไว้ ในมงคลสูตร ว่า
“อะเสวะนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา
อย่าคบคนพาล ให้คบบัณฑิต”


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

...กำจัดความชั่วในตัวเรา
ต้องหมั่นเอาธรรมะมาเป็นกระจกส่องดูตัวเอง
พิจารณาตัวเองให้รู้ว่าเราอยู่อย่างดีหรืออยู่อย่างชั่ว
เราอยู่อย่างคนสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ
เราคิดเรื่องชั่วหรือคิดเรื่องร้าย
เราโกรธคนนั้นเราเกลียดคนนี้
เราริษยาคนนั้นริษยาคนนี้
คิดแต่จะทำร้ายเขา ไม่ช่วยให้เขาดีขึ้น
ถ้าจิตเป็นอย่างนั้นเรียกว่าจิตมันชั่ว
มันคบกับสิ่งชั่ว ต้องกำจัดไม่ให้มันเกิดขึ้นในใจของเราต่อไป
ให้มีความคิดดีเกิดขึ้นในใจ คิดถูกตามหลักธรรม
เชื่อหลักกรรมของพระพุทธเจ้า
เชื่อว่าดี-ชั่ว สุข-ทุกข์ เสื่อม-เจริญ
เกิดเพราะเราทำ ไม่มีใครทำให้ เราทำของเราเอง


เวลาจะคิดอะไรก็ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างรอบคอบ
เวลาจะพูดอะไรก็คิดก่อนจึงพูด
เวลาจะไปไหนก็คิดก่อนจึงไป
ถ้าเห็นว่าไปแล้วไม่ดีไม่ถูก เดือดร้อน..เราไม่ไป
คบคนก็เหมือนกัน ไม่ใช่คบกันเรื่อยๆ
คบคนต้องดูหน้า ซื้อผ้าต้องดูเนื้อ
ถ้าเราไม่ดูหน้าคน คือ ไม่ดูว่านิสัยเป็นยักษ์เป็นมาร
เป็นผีเป็นสางเราก็เดือดร้อน
เพราะไปคบคนชั่ว มันก็ทำชั่วให้เราเดือดร้อน
จึงไม่ควรคบ


หลีกให้ห่างไกล หลีกช้างหลีกม้าหลีกพอสมควร
แต่หลีกคนชั่วมันต้องย้ายบ้านเลยทีเดียว
ไม่อยู่ในหมู่บ้านนั้นต่อไป ไปอยู่ที่อื่นที่ปลอดภัยกว่า
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ

ถ้าเราทำได้ก็สบายใจ พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
ทำกับตัวเองก่อน แล้วค่อยสอนคนอื่นให้ทำต่อไป
ให้เราตั้งใจว่า เราเป็นไทย...เราเป็นมนุษย์...เราเป็นพุทธบริษัท
“ความเป็นไทย” นั้นหมายความว่า
มีจิตใจเป็นไท คือ ใจเป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของกิเลส
ไม่เป็นทาสของความโลภ ความโกรธ ความหลง
ความริษยาพยาบาท ไม่เป็นทาสความเห็นแก่ตัว
ความเห็นแก่ตัวน่ะเป็นต้นตอของภัยร้ายที่เกิดขึ้นแล้วมันทำลายเรา
ทำให้เราเสียหาย จะคิดอะไร จะพูดอะไร
จะทำอะไร จะไปไหน จะคบกับใคร
ต้องไม่ไปอย่างทาส ต้องไปอย่างไท
ไปอย่างใจเป็นอิสระ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “เป็นตัวเอง”

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่ว่าคำว่า “เป็นตัวเอง” นี่เรามาใช้ในทางผิด
เออ..มึงไม่รู้จัก “กู” เรอะ แล้ว “กู” ตัวนั้นร้ายทุกที
เช่น โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทุบเขาตีเขา
แล้วว่า “มึงไม่รู้จักกูเรอะ” ไอ้ “กู” ตัวนั้นใช้ไม่ได้
ไม่ใช่ความเป็นไท เป็นทาสกิเลส
“กู” ต้องใจสงบ ใจสะอาด ใจสว่าง ไม่เป็นทาสของอะไรๆ

ทีนี้เราต้องรู้ว่าเราเป็นทาสหรือเป็นไท
ถ้าเราเป็นทาสต้องดิ้นรนต่อสู้ปลดแอก
ไม่ตกเป็นทาสมันต่อไป
พิจารณาเห็นความทุกข์ว่า
ถ้าความโลภครอบงำใจเราเป็นอย่างไร
ถ้าความโกรธครอบงำใจเราเป็นอย่างไร
ความหลงครอบงำใจเราเป็นอย่างไร
ความริษยาพยาบาทอาฆาตจองเวรครอบงำใจเราเป็นอย่างไร
เราร้อนหรือเราเย็น เราเป็นทุกข์หรือเราเป็นสุข
เราขาดทุนหรือเราได้กำไร
กิจการต่างๆ ก้าวหน้าหรือว่าล้าหลัง
พิจารณาให้มันละเอียด ทบทวนไปมาด้วยสติด้วยปัญญา


“สติ” นี่ต้องใช้ทุกเมื่อ “ปัญญา” ก็ต้องใช้ มาคู่กัน
สติมาก่อน พอสติมา ปัญญาตามมาช่วยพิจารณาช่วยแก้ปัญหา
เราพ้นจากปัญหา เป็นไทแก่ตัว
อยู่อย่างไท...ใจสบาย-ใจสอาด-ใจสงบ มีความสุขทุกเมื่อ
แต่ถ้าอยู่อย่างทาสก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า
“สัพพัง ปะระวะสัง ทุกขัง-ความเป็นทาสสิ่งทั้งปวงเป็นความทุกข์”
“สัพพัง อิสสะริยัง สุขัง- ความเป็นไทอยู่เหนือสิ่งทั้งปวงเป็นความสุข”

เราจึงต้องบอกตัวเองว่าฉันเป็นไทย
ฉันไม่เป็นทาสของความชั่ว ไม่เป็นทาสฝ่ายต่ำ
แต่ใจฉันจะสูงพ้นระดับความชั่วความร้าย
ไปไหนไปอย่างไท ทำอย่างไท พูดอย่างไท
ใช้ทรัพย์สมบัติใช้อย่างไท ใช้อย่างทาสก็ฉิบหาย
มีเงินมีทองใช้ฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย
ไม่รู้จักประหยัดแล้วเงิน หมด เงินหมดก็เป็นทาสเงิน
คนโบราณพูดว่า “ใช้น้ำไม่เป็น-เป็นทาสน้ำ
ใช้ไฟไม่เป็น-เป็นทาสไฟ”
เป็นทาสของสิ่งนั้น คือ ต้องหามาเพิ่มเติม แล้วมีความทุกข์
เพราะฉะนั้นต้องใช้อย่างประหยัดอดออมในเรื่องทรัพย์สมบัติ
เพราะหายาก ได้มาแล้วต้องรู้จักเก็บ...รู้จักใช้
...รู้จักทำให้มันเกิดดอกออกผลต่อไป


ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:19 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

...นี่ต้องแก้ปัญหา โดยเฉพาะเวลาสิ้นปี สิ้นเดือน
ไอ้สิ้นปีนี่มันยาวเกินไป มันตั้ง ๓๖๕ วัน
สิ้นวันดีกว่า มันเร็วหน่อย สิ้นวันนี้รุ่งขึ้นวันใหม่
พอถึงเวลาก็นอน นอนด้วยความเป็นไท
จิตใจสงบ ไหว้พระสวดมนต์
นึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย มองเห็นความกรุณา
ความบริสุทธิ์ ปัญญาของพระพุทธเจ้า
เห็นว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
เป็นหลักปฏิบัติที่ทำผู้ปฏิบัติตาม
ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนได้จริง
เห็นว่าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นนาบุญของโลก
เป็นตัวอย่างทางศีลธรรม เราควรเข้าใกล้พระสงฆ์
ฟังคำสอน เอามาปฏิบัติ พิจารณา
แล้วก็นอนไหว้พระสวดมนต์เสียบ้าง
นอนภาวนา อย่างน้อยก็ว่า “พุทโธ..พุทโธ”
“อะระหัง..พุทโธ” ก็ได้ ภาวนาจนหลับไป
ตื่นด้วยความสุข ไม่มีฝันร้าย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพราะเรานอนกับพระ
ถ้าเรานอนด้วยความโกรธ ความเกลียด
ความพยาบาทอาฆาตจองเวร จะไปทำร้ายคนนั้นคนนี้
เรียกว่า นอนกับผี มันก็เดือดร้อน
อย่าไปนอนกับผี นอนกับพระ นอนอย่างไท จึงจะใช้ได้

แล้วเราเป็นมนุษย์ “มนุษย์” แปลว่า ผู้มีใจสูง
เหมือนกับที่สูง ฝนตกเปียกเล็กน้อย น้ำไม่ท่วม
แต่ถ้าที่ลุ่มที่ต่ำน้ำท่วม ท่วมขัง
เกิดยุงเกิดน้ำเน่าเกิดมลพิษ เป็นสิ่งสกปรกภายในบ้าน
ทำให้เกิดโรคภัยต่อไป เราต้องทำใจให้สูงไว้
ใจจะสูงเพราะอะไร..เพราะมีศีลธรรมค้ำจุนจิตใจ
มีศีลเป็นเครื่องค้ำใจ ค้ำให้สูงไว้
เช่น เรารับศีล ๕ ตั้งใจว่า จะไม่ฆ่าใคร ไม่เบียดเบียนใคร
ไม่เอาของใครมาเป็นของตัว
หาเอาเองทำด้วยความสุจริต ไม่ประพฤติผิดในกามารมณ์
พอใจในคู่ครองของตน ไม่เที่ยวไปหาความสุขนอกบ้าน
สร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในครอบครัว เป็นความทุกข์
จะพูดจากับใคร พูดแต่คำจริง คำอ่อนหวาน
คำสมานสามัคคี คำที่มีประโยชน์
ถ้าเห็นว่าใครเขาแตกแยกกัน ไปประสาน
พูดให้เขารักกัน สามัคคีกัน
อย่าไปยุให้รำ ตำให้รั่ว ทำให้เขาแตกกัน

..หลวงพ่อเมื่อเด็กๆ อยู่กับหลวงลุง แล้วหลวงลุงดุ ตีมาก
หนี ไม่มาเลย วันหนึ่งมาเพราะบังเอิญ
พอเห็นหลวงลุง ตกใจตัวสั่น
หลวงลุงบอก..มานี่ๆ..ตัวสั่น..มึงกลัวอะไรล่ะ
..กลัวหลวงลุง..กูไม่ใช่เสือ จะกลัวอะไร
..จับมือจับไม้..มันไม่เข้าใกล้กูมานานแล้ว
..พาไปห้องน้ำ ตักน้ำให้อาบ ถูสบู่
ถูไปพลางพูดไปพลาง..กูไม่ได้อาบน้ำให้มึงตั้งหลายปีแล้ว
.. ถูสบู่ให้ เช็ดตัวให้ เรียบร้อยแล้วก็ให้ไปนอนกับท่าน
ตื่นเช้า จะไปบ้าน หลวงลุงถามว่าไปบ้าน..ไปทำไม
ไปเอาสตางค์ บอกว่าไม่ต้องไป โน่น..ที่เก็บสตางค์
เอามานิดหน่อย ๓ บาทเท่านั้นเอง
เพื่อนถามว่ามึงเอามาเท่าไร..๓ บาทเท่านั้น
.. เพื่อนว่าทำไมโง่อย่างนั้น
สตางค์เยอะแยะทำไมเอามา ๓ บาท ไม่เอามาสัก ๒๐ บาท
..กูเกรงใจ เลยเอามา ๓ บาท
..วันนั้นอารมณ์ดี หลวงลุงอาบน้ำให้
แต่งเนื้อแต่งตัวให้ เราก็สบายใจ
ถ้ามาถึง..หวดเลย ก็ไม่มาอีก
ดุมันก็ไม่มา ด่ามันก็ไม่มา

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้

(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 27 ธ.ค.2006, 5:22 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อย่าใช้คำดุคำด่ากับเด็ก..ไม่ดี
อ่อนหวานกับเด็ก สร้างเด็กให้เป็นมนุษย์
อย่าให้เป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วมันก็มีความเป็นมนุษย์
รู้จักบุญคุณพ่อแม่ รักพ่อแม่
ไม่ต้องเสียอกเสียใจเมื่อโตขึ้นว่าลูกไม่รัก ก็เราไม่รักเขา
เขาจะรักเราได้อย่างไร ถ้าเรารักลูก
ลูกก็รักเรา เอาใจใส่ดูแล
แล้วพ่อแม่ต้องทำตนเป็นตัวอย่าง
อย่าเหลวไหล พ่ออย่าไปดื่มเหล้า อย่าไปบ่อนการพนัน
อย่าไปเที่ยวกลางคืน อย่าไปคบเพื่อนชั่ว
แม่ก็อย่าไปเล่นไพ่ อยู่ในบ้านเฉยๆ
ทำงานบ้านดูแลบ้านให้เรียบร้อย
เด็กกลับมาบ้านก็สบายใจ
นี่แม่ไปแพ้ไพ่มา อารมณ์เสีย ใครเข้าหน้าไม่ได้ดุแหว..เหมือนเสือ
อย่างนี้บ้านนั้นไม่เป็นความสุข ไม่มีใครอยากมาบ้าน
เพราะมันมีแต่ความทุกข์ความเดือดร้อน ไม่มีความเป็นไท
ไม่มีความเป็นมนุษย์ แล้วก็ไม่ได้เป็นพุทธบริษัท
เพราะไม่ได้นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้
ไม่มีความละอายบาป ไม่มีความกลัวบาป ไม่มีความอดทน
ไม่มีความสงบเสงี่ยม ไม่รู้จักตัวเองว่า เราเกิดมาทำไม
เรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไร สิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรทำคืออะไรก็ไม่รู้
แล้วจะเป็นผู้เป็นคนได้อย่างไร อันนี้ต้องพิจารณา


ขออวยพรให้ญาติโยมทั้งหลายมีจิตใจเป็นไท เป็นมนุษย์
เป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้อง ดำรงชีวิตชอบ
อยู่เพื่อชาติเพื่อประเทศ ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง
ตัวเราเองมันไม่มี อย่าเห็นแก่ตัว อย่าเห็นแก่ได้
จะคิดอะไร จะทำอะไร จะไปไหน ให้คิดถึงคนอื่น
ให้คิดถึงแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย
ว่าแผ่นดินนี้ให้ความสะดวกสบายแก่เรา
เราต้องตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน
ด้วยการทำตนเป็นคนดี เป็นพลเมืองดีของชาติ
เป็นศาสนิกที่ดีของพุทธศาสนา
แล้วท่านจะมีความสุขเอง
แม้ไม่มีใครให้พรว่า “เป็นสุข” ท่านก็เป็นสุข
เพราะท่านทำตัวท่านให้เป็นสุข
จึงขอเตือนท่านทั้งหลายว่า
“จงอยู่ให้เป็นสุข อย่าอยู่ให้เป็นทุกข์”
จงทั่วกันทุกท่านทุกคน เทอญ

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้


จบบริบูรณ์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง