Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ชีวิตจะพ้นภัยอาศัยธรรมของหลวงปู่ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2006, 3:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ชีวิตจะพ้นภัยอาศัยธรรมของหลวงปู่
โดย หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



ก็พึ่งพากันตั้งใจเกิดมาในโลกนี้มันหาความสะดวกสะบายได้ยากเต็มที ถ้าจะพิจารณาให้เกิดลิขิตทา ความเบื่อหน่าย อย่าไปเห็นแก่อามิตสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมาเป็นเครื่องติเครื่องผูกพันอยู่ในโลกอันนี้ พระพุทธเจ้าทรงสั่สอนพุทธบริษัททั้งหลายก็เพื่อที่จะให้พุทธบริษัททั้งหลายตื่นตัวเห็นว่าภัยมันมีอยู่รอบด้าน เช่น อุทกภัย ภัยคือน้ำท่วมก็ปรากฏอยู่แล้ว มันก็นำความเสียหายมาให้แก่ประชาชน เอ้า ! ทำนาไว้นาไว้น้ำท่วมข้าวก็ตาย เลี้ยงปลาไว้ในบ่อ น้ำท่วมนาน้ำท่วมมาปลาก็หนี ปลูกพืชต่างไว้ที่ลุ่ม น้ำท่วมก็ตาย

ในบ้านเรือนที่ปลูกอยู่ในที่ต่ำน้ำท่วมก็อยู่ไม่ได้ เดือดร้อนกันต้องอพยพหนีน้ำ นี่เรียกว่า "อุทกภัย" บางรายก็ปลูกบ้านอยู่ริมแม่น้ำ น้ำล้นฝังมาอย่างรุนแรง พัดเอาบ้านที่ไม่แข็งแรงให้พังไปเลย ข้าวของมวลใดก็ไม่มีเหลือ...หมู่นี้นะ...ควรเอามาเป็นอารมณ์พิจารณาให้เห็นว่า ภัยดังกล่าวมานี้ มันมีประจำโลก พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงยกเอามาเปรียบเทียบทางธรรมว่า คนเรานี่หลับใหลไม่รู้ตื่น ไม่ตื่นกลัวต่อภัยทั้งหลาย เหมือนคนนอนหลับนอนใหลกลางคืนแล้ว น้ำหลากมาพัดพาเอาบ้านเอาช่องเสียหายไป ตัวเองก็จมน้ำตาย

อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ...ผู้ใดปล่อยให้ความโลภ โกรธ หลง กิเลสต่างๆ ท่วมท้นจิตใจแล้วใจก็มืดมนอนธการ ทำคุณงามความดีอะไรก็ไม่ได้ กิเลสมันบังคับไม่ให้ทำความดี ไม่ให้ฝึกตน กิเลสมันบังคับจิตให้ยึดให้คล่องอยู่ในขันธ์ทั้ง ๕ อันนี้ หรืออยู่ในโลกสงสารอันนี้ ก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลสนั้น เช่นนี้ ผู้ก็ไม่พ้นจากทุกข์ได้เลย ตายแล้วจิตวิญญาณก็เร่ร่อนอยู่ในโลกอันนี้ ไม่ได้ทำบุญกุศลก็ไม่มีสิ่งอำนวยความสุขความสบาย ให้ละโลกนี้ไปแล้วก็ตกทุกข์ได้ยากลำบาก จะไปเกิดกับคนก็ไปเกิดไม่ได้เพราะบุญน้อย

ดังนั้นพระบรมศาสดาจึงได้ทรงตักเตือนให้พุทธบริษัทมีสตสัมปัชชัญญะตื่นตัวว่า ภัยทั้งหลายมันมีอยู่ทั้งภายนอกภายในนอกจากอุทกภัยแล้วก็อัคคีภัย เดี๋ยวไปๆ มาหน่อยได้ข่าวว่าไฟไหม้...มันไม่ใช่ ไหม้กระต๊อบกระแต๊บธรรมดานะไหม้ตึกไหม้ลามสิบชั้นยี่สิบชั้นโน้น พังพินาศลงมาอย่างนี้...คนก็ทำงานอยู่ก็ตาย ตึกมันพังลงทับเอา โจรภัย เอ้า...วันดีคืนดีโจรได้จ้องมองเห็นบ้านไหนพอได้ปล้นมันก็ปล้นเอาขัดขืนก็ฆ่าเจ้าของซะ ตายแล้วค้นเอาทรัพย์สมบัติของผู้นั้นไป สงครามภัย เอ้า...วันดีคืนดีก็นอนก็เกิดสงครามขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน

ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยก็พลอยมาตาย ตายด้วยลูกระเบิดบ้าง ตายด้วยการอพยพหนีลูกกระสุน ตายนอนกลางดินกินกลางหญ้า โรคภัยเบียดเบียนเอา ตายอยู่กลางดินกลางหญ้า...หมู่นี้น่ะ...นี่แหละเรียกว่า โจรภัย สงครามภัย มันมีแต่ภัยโลกสันนิวาทอันนี้ มันมีภัยภายในได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันนี้ก็เป็นภัยประจำอยู่กับชีวิตหลีกเลี่ยงไม่พ้นจริงๆ แต่ภัยภายนอกนั้น บางคนอาจจะไม่ได้พบตลอดชีวิตก็ได้ ได้พบก็ไม่ได้พบมากก็มี ส่วนภัยภายในนี่ ไม่มีใครพ้นได้สักคนเดียวเลย จะเป็นคนชั้นสูง ชั้นกลาง ชั้นต่ำ อะไรก็เว้นไม่ได้เลย จำเป็นอยู่นานปีนานเดือนไป

ร่างกายนี้มันก็ทรุดโทรมลงเรื่อยๆ ไป เมื่อร่างกายทรุดโทรมลง หมายความว่า ธาตุทั้ง ๔ มันอ่อนกำลังลง แล้วมันก็เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัยไข้เจ็บนี้แหละ เช่น เมื่อความชราครอบงำเข้ามาแล้ว รับประทานอาหารเข้าไปไฟธาตุก็ย่อยไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก มันไฟธาตุมันอ่อนก็เกิดท้องอืดท้องเฟ้อขึ้นบ้าง บางคนก็ท้องผูกไม่ขับถ่ายสะดวก บัดนี้ก็ปล่อยให้มันท้องผูกอยู่นั้น อาหารเก่าก็ทำพิษ ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ขึ้นมา...หมู่นี้น่ะ...ก็ลองพิจารณาดูว่า ความชราภาพนี่นะ มันเป็นอย่างนั้นแหละ...เวลายังหนุ่มยังแน่นน่ะ มันก็แข็งแรงดี เพราะธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลมอะไรมันก็สมบูรณ์อยู่เต็มที่

เนื่องจากบุญกุศลที่ทำมาแต่ก่อนนั้นมันยังไม่หมด มันยังอุปถัมภ์บำรุงธาตุทั้ง ๔ อันนี้ให้มีกำลังเรียวแรงดีอยู่ ครั้นพอบุญเก่านั้นมันหร่อย หรอลงไป ธาตุทั้ง ๔ ก็อ่อนแอลงเหมือนกันแหละ อะไรก็อ่อนแอลงหมด แต่ถ้าผู้ใดรู้จักบำรุงธาตุอันนี้ไว้ก็ยังชั่วหน่อย พอได้อยู่ยืดไปได้สักหน่อยเท่านั้นแหละ แต่ถึงจะบำรุงให้ดีอย่างไรมันก็ไม่ฟังหรอก แต่ว่ามันให้โอกาสได้บำเพ็ญกุศลคุณงามความดีไปได้อยู่นานพอสมควร ผู้ใดรู้จักรักษาร่างกายสังขารอันนี้ไห้เป็นปกติอยู่ได้ ดังนั้นแหละทุกคนอย่าไปท้องผูก ต้องพยายามหายาระบายมาไว้รับประทาน

ตอนรับประทานยาระบายนี้ต้องรับประทานหัวรุ่งตั้งแต่ตี ๔ ไป ไฟธาตุมันย่อยอาหารหมดไปแล้ว ยานี้มันเพียงแต่ไปขับอาหารเก่าออกไปเท่านั้นเอง เมื่อลำไส้กระเพาะมันสะอาดแล้ว มันก็ไม่เป็นที่เกิดแห่งเชื่อโรคต่างๆ อย่างนี้น่ะ...โรคภัยทั้งหลาย สังเกตดูแล้วมันเกิดกับอาหารนี่แหละเป็นส่วนมากเลย บางคนก็ดื่มเหล้ามากๆ เข้าไป หรือว่าสูบบุหรี่มากๆ เข้า หรือสูบกัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน อะไรหมู่นี้...มันล้วนแต่เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัยทั้งนั้นเลย ไม่ใช่เป็นของดี



>>>>> มีต่อ หน้า ๒
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2006, 3:31 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดังนั้น เมื่อผู้ใดรู้ว่าร่างกายอันนี้มีคุณค่ามหาศาลต่อตัวเองมากมาย เพราะการได้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่ละชาตินี้ยากนักยากหนา หรือเกิดมาแล้วจะมีอวัยวะร่างกายสมบูรณ์อย่างนี้มันก็หายากเหมือนกัน เมื่อผู้ใดได้ร่างกายนี้สมบูรณ์อย่างว่านี้ละก็ ก็อย่าไปทำให้ร่างกายอันนี้วิบัติลงด้วยการบริโภคสิ่งที่ก่อให้เกิดโรคภัยอันร้ายแรงต่างๆ ดังกล่าวมานั้น ในอาหารบ้างอย่างก็เหมือนกันนะต้องเลือก อาหารอะไรมันแสลงกับโรคในกายตัวเองนะก็อย่าไปรับประทาน แม้จะอยากอย่างไรก็ไม่เอา เพราะมันให้แต่โทษไม่ได้ให้คุณต่อร่างกาย เช่นนี้

ผู้ใดตื่นตัวได้อย่างนี้ ปฏิบัติร่างกายให้ถูกต้องตามสุขอนามัยอย่างว่านี้แล้วก็จะมีอายุยืนไปพอสมควร ถ้าผู้ใดประมาทอย่างว่านั้นแหละ บริโภคอาหารก็ไม่ระมัดระวัง และก็หาของเสพย์ติดชอบบริโภคของเสพย์ติด ดังกล่าวมานั้น จนติดงอมแงมแล้วก็ชีวิตของผู้นั้นไม่มีความหมายอะไรเลย แม้จะหาเงินหาทองสร้างเนื้อสร้างตัวอะไรก็ไม่ได้เลย เพราะว่าคนเสพของเสพย์ติดดังกล่าวมานั้นแล้ว มันกำลังกายก็ลดน้อยถอยลง กำลังใจก็ไม่เข็มแข็ง เพราะว่าร่างกายมันชำรุดลงไป นี่แหละจิตใจก็ชำรุดลงไปด้วยกัน ธรรมดาปุถุชนมันเป็นอย่างนั้น ก็ของเสพย์ติดเหล่านั้น

พระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นโทษในทางจิตใจ ใจขุ่นมัว ใจเศร้าหมอง เป็นอย่างนี้นะ พระองค์เจ้ารู้แจ้งแทงตลอดแล้วจึงได้ทรงบัญญัติห้ามไว้ เราผู้เป็นบริษัทของพระองค์นะ ก็ควรที่จะทำตามนะ ควรถ้ามีใจเด็ดเดี่ยวไม่รู้อำนาจแก่ตัณหา ดังกล่าวมานั้น แล้วก็จะพ้นทุกข์ตามพระศาสดาไปได้ ในที่สุดก็จะเป็นการปฏิบัติใกล้ต่อพระนิพพาน ผู้ใดเว้นจากความชั่วต่างๆ ดังว่านั้น เว้นจากโทษอื่นๆ มาแล้ว ก็มาเว้นจากของเสพย์ติดให้โทษ ดังกล่าวมานี้ ชีวิตก็บริสุทธิ์สดใส ร่างกายก็ปราศจากโรคภัยอันร้ายแรง ก็มีกำลังวังชาได้ประกอบความเพียร

สำหรับผู้ที่ทำความเพียรทางจิตใจ ก็สามารถทำความเพียรได้ นั่งภาวนาได้นาน ทำการงานการกุศลอะไรก็ทำได้แข็งแรง เช่นอย่างว่า ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นแม่ครัวทำงานอยู่ในวัดวาอารามอย่างนี้น่ะ ถ้าร่างกายแข็งแรงดีมันก็มีกำลังทำได้ มันก็เป็นบุญกุศลอันมากมาย ถ้าผู้ใดไม่รู้จักรักษาสุขภาพอนามัยของตัวเองแล้ว แม้อายุยังอยู่ในวัยหนุ่มวัยกลางคน เช่นนี้ก็อ่อนแอท้อแท้ ไม่สามารถจะทำการทำงานอันเป็นบุญเป็นกุศลได้ก็มี อันหมู่นี้แหละ..มันต้องให้เข้าใจ ให้ฉลาด

พระพุทธเจ้าสอนให้มีความฉลาด อย่างว่านี้แหละ ฉลาดรู้จักรักษากาย รักษาวาจา รักษาจิตใจ ให้บริสุทธิ์จากบาปจากโทษต่างๆ แล้วก็ให้มีสุขภาพอนามัยดี เว้นเสียแต่กรรมเวรหนหลังมี มันตามสนองเอา อันนั้นแท้มันแก้ไม่ตก ก็ตามเรื่องมัน ถ้าผู้ใดมีกรรมมีเวรมาแต่ก่อน รู้ตัวแล้วก็อดก็ทนเอา อธิษฐานใจละเว้นไม่ทำชั่ว ๕ อย่างนั้นต่อไปอีก แล้วชาติต่อไปก็จะเป็นผู้มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี ผู้ใดไม่มีบาปติดตัวนะ..นั้นแหละ แต่สำหรับชาตินี้แล้วบาปกรรมตามสนองเอาแล้วไป ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ ฝึกใจของตนให้ตั้งมั่นอยู่ในบุญในคุณให้ได้

พิจารณาให้เห็นว่า ภัยทั้งหลายมันเกิดจากมันมีเหตุมีปัจจัยมา ไม่ใช่ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัย เออ...อัคคีภัย อุทกภัย โจรภัยต่างๆ หมู่นี้น่ะ...ถ้าบุคคลใดมีกรรมมีเวรมาแต่ชาติก่อนแล้ว มันก็ประสบภัยเหล่านี้ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ผู้ใดไม่มีเวรไม่มีมาแต่ก่อน บางทีก็พ้นจากภัยต่างๆ เหล่านั้นไปได้ มันต้องเรียนรู้ไปหมดเลยเป็นอย่างนั้น ภัยภายนอกนั้นแหละก็ไม่มีปัจจัย กรรมมีเวร กรรมชั่วเวรชั่วแต่ชาติก่อนที่ตนได้ทำมาบ้าง และบางทีก็อาจจะเกิดจากเหตุปัจจุบันนี้ก็ได้ ไม่ต้องอาศัยกรรมเวรแต่หนหลัง อันภัยธรรมชาตินี้มันไม่ว่าหละ

คนมีกรรมมีเวรหรือไม่มีกรรมไม่มีเวรมันอาจได้ประสบเหมือนกันหมดเลย แต่ว่าภัยมันเกิดจากกรรมเวรจริงๆ ก็คือทำให้ร่างกายชำรุดทรุดโทรมโรคภัยอันร้ายแรงเบียดเบียนรักษาอย่างไรก็ไม่หาย อันนี้แท้มันเว้นไม่ได้แน่นอนเลย ดังนั้น พระศาสดาจึงได้ทรงสอนให้เว้นจากกรรมเวร ดังกล่าวมาแล้วนั้น มันถึงจะมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ถ้าหากว่าได้ท่องเที่ยวไปในสงสาร ก็ไปดี เกิดดี ตายดี เกิดมาแล้วก็ได้ทำบุญกุศลได้ทำความดีต่างๆ บุญกุศลมันพาไปสู่สถานที่พาไปเกิดในสถานที่มีโอกาสจะได้ทำบุญกุศลต่างๆ

ขึ้นชื่อว่าบุญแล้วนะ...เป็นอย่างนี้แหละ..มันย่อมอำนวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้สั่งสมบุญกุศลนั้นๆ ไม่ใช่ว่าจะไปหาเกิดเอาได้ตามประสงค์เมื่อไรคนเราน่ะ...เมื่อเราทำบุญกุศลความดีชำระกาย วาจา ใจ ให้สะอาดในชีวิตนี้ ในโลกนี้แล้ว ก็ไม่ต้องปรารถนาให้ไปเกิดที่ดีถึงสุขอะไรต่ออะไรหรอก เมื่อจิตใจมันสะอาดปราศจากบาปอกุศลแล้ว เมื่อตายลงไปจิตออกจากร่างนี้ไปแล้วบุญกุศลมันก็นำไปเองแหละ นำไปบังเกิดที่มีความสุขความสบายตามกำลังของบุญที่ตนกระทำแต่ในโลกนี้...มันเป็นอย่างนั้น...เรื่องมันน่ะ...

ดังนั้นทุกคนควรพากันตื่นตัว เมื่อบุคคลตื่นตัวได้ละชั่วออกไปจาก กาย วาจา ใจ ให้หมดทำคุณงามความดีเข้าไปแล้ว ทีนี้เมื่อหมดอายุสังขารลงไปแล้ว ก็บุญใหม่ที่ทำนี่มันก็นำไปเกิดที่มีความสุขยิ่งกว่านี้ ที่ไม่มีโจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย สงครามภัย อะไรนะมันไม่มี อย่างเช่น สวรรค์ อย่างนี้ไม่มีน่ะ ไม่มีภัยเหล่านี้เลย...นั้นแหละ มีแต่มรณะภัย เมื่อบุญกุศลหมดลงหรือว่าอายุในสวรรค์ชั้นนั้นหมดลง ดังนั้นมันก็ต้องได้เคลื่อนไปจากที่นั่น ดังนั้นมันหลีกไม่พ้นอีกเหมือนกัน แต่ว่าก็ยังดีกว่าผู้มีกรรมมีเวรอยู่ในโลกอันนี้ เสวยแห่งกรรมเวรที่ตนทำมานี้มันแสนทุกข์แสนยากลำบากจริงๆ น่ะ

ควรพากันตื่นตัว มันก็ไม่ใช่อื่นไกลแหละโทษ ๕ ประการน่ะ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างนั้นแหละที่บุคคลล่วงเกินมาแต่ชาติก่อนโน้น เช่น ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ให้เจ็บให้ปวด ให้อดน้ำ อดอาหารอะไรต่ออะไร ทุบตีแข้งหัก ขาหัก เสียองคอะไรหมู่นี้...กรรมที่ทรมานสัตว์นั่นแหละ เท่าที่พระพุทธเจ้าทรงนำแสดงมานะนำามาให้ตกแต่งให้คนเราเกิดมาในโลกอันนี้มีอวัยวะร่างกายไม่สมบรูณ์อย่างนี้ เอ้า...กรรมที่ไปลักไปล่อช่อโกงเอาสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตน มันก็ดลบันดาลให้เป็นคนมีทรัพย์สมบัติมาแล้วก็ถูกโจรเขามาจี้มาปล้นเอา

หรือไม่เช่นนั้นก็ถูกนักเลงดีมาหลอกลวงให้หลงกลเขา เสียเงินเสียทองเป็นล้านๆ หมู่นี้...มีผัวมีเมียมาอย่างนี้ ถ้าไปแต่ชาติก่อนได้ไปทำชู้จากผัวจากเมียแล้วก็ นั่นแหละกรรมนั่นแหละตามมา สนองเอา บางทีก็เมียก็วิ่งไปตามชายชู้ บางทีผัวก็ไปติดหญิงอื่น ทิ้งให้เมียกับลูกน้อยอยู่บ้านโดยลำพัง อยู่ด้วยความอดอยากทุกข์ยาก นี่แหละโทษแห่งกาเมสุมิจฉาจาร อันนี้มันก็แน่นอนแล้ว บางคนเกิดมามีลิ้นไก่สั้น พูดรัวๆ พูดไม่รู้เรื่อง อันนี้ก็เพราโทษมุสาวาท บุคคลบางคนชอบพูดเท็จ คือ พูดไม่จริงนั้นแหละเพื่อที่จะให้คนผู้ฟังนั้นเข้าใจผิดจากความเป็นจริงไป

บางที่ก็พูดหลอกลวงเอาเงินเอาทองเขาอะไรหมู่นี้แหละ...หรือว่าตนได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วตนได้ทำผิดทำไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาเขาจับได้ มาถามปฏิเสธไม่ได้เอา ไม่ได้ลัก หรือเจ้าของบ้านตามทันก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เอา แล้วก็โกหกเอาดื้อๆ ไปอย่างนั้น บางคนก็ไปเล่นชู้จากผัว เมื่อผัวจับได้ ผัวไต่ถามก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เล่น สาบดสาบานให้ผัวว่าอย่างโน้นอย่างนี้...หมู่นี้ กรรมหมู่นี้แหละมันตามคนเรานะอย่างว่า บางคนก็ดื่มเหล้า เมาสุรา กัญชา ยาฝิ่น เฮโรอีน เข้าไปแล้ว อันกรรมเวรดังกล่าวมานี้ต้องไปตกนรกก่อนนะ

เมื่อพ้นจากนรกแล้วบาปกรรมยังไม่หมดมันก็ตามสนองเอาอีกอย่างนี้นะ ไม่ใช่ว่าทำบาปกรรมในชาตินี้ตายไปแล้วมาเกิดเป็นคนอีกมาเสวยบาปกรรมอันเป็นคนนี้ทีเดียวเลยไม่ใช่นะ เออ ต้องไปนรกก่อน พ้นจากนรกมาแล้ว ก็จึงมาเกิดเป็นคนบาป กรรมไม่หมดมันก็มาติดตามมาให้ผลต่ออย่างนี้นะ จนได้รับทุกข์ทรมาน แต่ตอนไปตกนรกนั่นเมื่อมาเกิดเป็นคนแล้วระลึกชาติหนหลังไม่ได้เหมือนกับว่าตนไม่ได้ไปสู่นรกเลย เหตุนั้นคนเราจึงไม่เข็ดไม่หลาบนั้นเองแหละ เรื่องมันน่ะ ถ้าผู้ใดระลึกชาติหนหลังได้ก็คงจะเข็ดหลาบไป

มันรู้เรื่อของตนว่าไปทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกอยู่ในเปรตอะไรหมู่นี้นะ..นานแสนนานอะไรหมู่นี้ก็เบื่อหน่าย มันอาจจะเว้นความชั่วเหล่านี้ได้ แต่คนส่วนมากมันระลึกชาติหนหลังไม่ได้ เหตุดังนั้นมันจึงไม่เบื่อหน่าย หากบางคนก็กรรมเวรมันหมดแล้วแต่ชาติก่อนๆ โน้น บุญนำมาตกแต่งให้เกิดเป็นคน มามีอวัยวะร่างกายสมบูรณ์ดี ก็เลยนึกว่าตนนั้นไม่มีบาปมีกรรมอะไร นึกว่าตนนั้นมีความสุขมาก โรคภัยไข้เจ็บก็ไม่เบียดเบียน เงินทองข้าวของอะไรก็มีมาก เกียรติยศชื่อเสียงก็โด่งดัง มีคนนับหน้าถือตาได้เป็นใหญ่ในเศรษฐกิจบ้าง ได้เป็นใหญ่ในการเมืองบ้าง

อะไรต่างๆ หมู่นี้ ก็ลืมตัวเลยนึกว่าตนไม่ได้ไปตกนรกมาแต่ก่อนระลึกไม่ได้ มันจึงไม่เบื่อหน่ายต่อความชั่ว บางคนมีเงินมีทองเท่าไหร่ แทนที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ไม่เลย...ไม่รู้นี่มันเมา เมาในลาภในยศนะ มีเงินมีทอง เอ้า...ซื้อน้ำดื่มอันชั้นเยี่ยมมาดื่มกันเช่น เบียร์ เนาะ...อะไรต่ออะไร เหล้าราคาแพงๆ เอามาดื่มกันสนุกสนาน นี่แหละความไม่เชื่อในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ความหลง ความเมา ความไม่ได้นึกถึงคำสอนของพระพุทธศาสนา แล้วมันก็เป็นไปตามอำนาจของกิเลส

เลยไม่กลัวบาปกลัวกรรมอะไรเลย นี่เป็นอย่างนั้นแหละ คนเรานะ ผู้ใดตื่นตัวได้รู้สึกตัวได้เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าว่า เมื่อทำความชั่ว ดังกล่าวมานั้นแล้วหากไม่ละไม่วางทำเรื่อยไปจนตลอดชีวิตลงไปแล้วอย่างนี้ ก็มีหวังได้ไปตกนรกแน่นอนเลย แต่ถ้าผู้ใดทำมาครึ่งๆ กลางๆ แล้วรู้สึกตัวได้ไม่ได้ทำไปตลอดชีวิตไป อย่างนี้แล้วอธิษฐานใจละเว้นเสียแล้วทำความดีให้ยิ่งๆ ขึ้นไปอย่างนี้เมื่อทำบุญกุศลอบรมจิตให้สูงขึ้นไป



>>>>> มีต่อ หน้า ๓
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2006, 3:38 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นอย่างว่านี้พระศาสดาก็ไม่ทรงสอนให้ละบาปเลย พระองค์พิจารณาเห็นแล้วบาปที่เป็นลหุกรรมเป็นกรรมเบา บุคคลสามารถละได้ เหตุนั้นพระองค์ได้จึงสอนให้ละ คำว่าสอนให้ละ หมายความว่า มันได้ทำมาแล้ว ได้ทำบาปมาแล้วแต่ก่อนไม่ตื่นตัวไม่รู้ตัว เมื่อได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วตื่นตัวได้กลัวบาป บัดนี้แล้วก็เพียรพยายามละได้อยู่ พระองค์ก็ได้ตรัสไว้ เว้นเสียแต่อนันตริยกรรม กรรม ๕ อย่างนั้น เช่น ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังโปโลหิตให้ห้อขึ้นไป ทำสงฆ์ให้แตกจากกัน เช่นนี้นะ

กรรม ๕ อย่างนี้หลีกไม่พ้นเลยผู้นั้น รู้ตัวแล้วทำความดีอย่างไรในชาตินี้เท่าใดก็พ้นไม่ได้เลย ตายแล้วก็ไปสู่อเวจีมหานรก เมื่อพ้นจากอเวจีมหานรกมาโน้นแหละ ถึงจะมาเสวยผลบุญที่ตนทำ ให้เข้าใจมันเป็นอย่างนี้ ดังนั้นน่ะทุกคนก็ให้พิจารณาดูให้มันเห็น เมื่อผู้ใดได้พิจารณาถึง พระพุทธเจ้าถึงพระคุณของพระองค์ความดีของพระองค์ที่กระทำมา พระองค์จะได้เป็นผู้วิเศษได้อย่างนั้นเพราะพระองค์ละบาปไม่ทำบาป ๕ ประการนี้ แล้วแถมก็ยังรักษาอุโบสถศีลตอนเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็รักษาศีลอุโบสถ แม้แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานพระองค์ก็รักษาศีลอุโบสถ

ก็มีบางชาตินะเช่นชาติที่เป็นพญานาคชื่อว่าภูริทัตตะ ชาตินั้นก็ได้เสด็จจากเมืองนาคขึ้นมาได้รักษาศีล ๘ อยู่พื้นชมพูทวีปที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์นี้แหละเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นบุญบารมีของพระองค์จึงได้แก่กล้ามาโดยลำดับในที่สุดก็เต็มได้ ถ้าหากว่าพระองค์ได้ทำแต่บาป ๕ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างมาในทุกชาติทุกภพมาอย่างนี้ไม่ไหว ก็ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้าหรอก มีแต่จะไปเสวยวิบากกรรมอยู่ในนรกอบายภูมิอย่างว่านั้นแหละ จะเอาโอกาสที่ไหนมาสร้างบารมี เหตุที่นี้ก็เพราะพระองค์พระองค์ละกรรมชั่ว ๕ ประการนั้นเสียแล้ว

ดับขันธ์บรรลัยไปก็ต้องไปเกิดบนสวรรค์ บางชาติก็ไปเกิดนรกไปเกิดพรหมโลกชาติใดที่ออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญกสินฌานอยู่ในป่า ได้บรรลุกสินฌานหมดอายุสังขารก็ไปเกิดพรหมโลก แต่ดูเหมือนจะมีน้อยหรอกที่ไปเกิดพรหมโลกเพราะว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนั้น ถ้าไปเกิดในพรหมโลกแล้วอายุยืนยาวนานไม่ได้สร้างบารมี จึงให้ไปเกิดสวรรค์เป็นส่วนมากเลย ฉะนั้นหมดอายุบนสวรรค์แล้วก็ลงมาเกิดในโลกนี้ ก็มาสร้างบุญบารมีเพิ่มเติมลงไปเรื่อยๆ มันเป็นอย่างนั้นแหละ และต้องนึกถึงพระพุทธเจ้าบ่อยๆ ผู้ใดมันไม่นึกถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าแล้วนี่แหละ

เป็นเหตุที่ไม่ให้เชื่อคำสอนของพระองค์ แม้ปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธนับถือพระพุทธศาสนามาแต่อ้อนแต่ออกโน้นก็ตามน่ะ อันนับถือศาสนาก็อีกเรื่องหนึ่ง อันปฏิบัติตามคำสอนก็อีกเรื่องหนึ่ง นับถือเฉยๆ เพียงแค่กราบไหว้เท่านี้ อันนี้ก็ได้ชื่อว่านับถือพระพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่ว่าป้องกันบาปกรรมไม่ได้นับถือแค่นั้นน่ะ ต่อเมื่อได้ลงมือประพฤติปฏิบัติตามเชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าพระองค์ตรัสว่าสิ่งนี้เป็นบาป เราต้องเชื่อว่าเป็นบาปจริงๆ เลย แล้วก็พิจารณาให้เห็นด้วยปัญญาของตัวเองด้วย ไม่ใช่เพียงแต่เชื่อตามที่พระองค์เจ้าได้แสดงตามที่บัญญัติไว้เท่านั้น

พิจารณาเห็นด้วยปัญญาของตนแล้วก็ อ่อ...ยกตัวอย่างเช่นว่า ทรงบัญญัติห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิตอย่างนี้น่ะ เมื่อพิจารณาโดยเหตุผลแล้วก็ว่าสัตว์ทั้งหลายเกิดมาก็ย่อมรักชีวิตของตนไม่อยากให้ใครมาเบียดเบียนทำลายให้มันตายไปเองหมด หมดอายุก็ตายไปเอง ก็เป็นอย่างนี้หมดทุกประเภทเลย สัตว์ที่เกิดมาในโลกนี้ ทั้งมนุษย์ก็ดี ทั้งสัตว์เดรัจฉานก็ดี เป็นอย่างนี้ รักชีวิตของตัวเองหมดเลย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากว่ามนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งไปจับสัตว์มาจะฆ่ามัน มันก็กลัวตาย แต่มันพูดไม่ได้ สัตว์ทั้งหลายน่ะ มีแต่มันดิ้น การที่มันดิ้นนั่นแหละเรียกว่ามันกลัวตายน่ะ มันไม่อยากตาย

แต่มนุษย์มันไม่มีความเมตตากรุณาเลย นึกอยากจะกินเนื้อของมันเท่านั้นเอง..เช่นนี้แหละ แล้วบัดนี้เมื่อเวลาหากว่าคนอื่นจะมาทุบมาตีตนล่ะ ตนก็ยังกลัวตายเหมือนกันนี้ ตนก็ยังป้องกันตนเต็มที่เลย ถ้าหลีกหนีไม่พ้นแล้วแล้วจึงยอมตาย ถ้าหากว่าบุคคลนั้นมานึกถึงสัตว์อื่นแล้วก็มาเทียบกับตัวเองได้อย่างนี้แล้ว เป็นอันไม่ฆ่าสัตว์แน่นอนเลย มันเป็นอย่างนั้น โดยเหตุผลแล้วเป็นอย่างนี้แหละ แต่คนเรามันไม่ได้พิจารณาเทียบเขากับเราใส่กัน มีแต่อาศัยแต่ความอยาก อาศัยแต่อวิชชา ความไม่รู้เหตุรู้ผลในพุทธบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้สนใจเลย เหตุดังนั้นมันจึงล่วงศีลนั้นไปได้

เมื่อล่วงศีลไปได้แล้วบาปกรรมที่ทำนั้นไม่ใช่มันให้ผลปุ๊บปั๊ปทันทีเลย มันไม่ให้ผลมาก่อน มันให้สบายสบายไปอย่างนั้นแหละ เพราะว่าบุญเก่าที่ทำมาแต่ก่อนนั้นยังให้ผลอยู่ บาปกรรมที่ทำมันจึงให้ผลไม่ได้ แต่เมื่อเวลาบุญเก่าที่ทำมาแต่ก่อนนั้นมันหมดลงเมื่อใดแล้ว ก็บาปที่ทำนี้มันก็ได้โอกาสแล้ว พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าบาปกรรมอันนี้นะมันจะไปให้ผลเวลาจวนจะตาย เมื่อบุญเก่ามันหมดลงไป บาปกรรมอันนี้มันก็ฉุดฆ่าดวงจิตนี้ไปเกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ตามบาปตามที่ทำนั้นมากหรือน้อย หนักหรือเบา ก็เป็นอย่างนี้แหละที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แจ้งแทงตลอดมา

ดังนั้น เราผู้เป็นชาวพุทธนี่ ควรที่จะเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ไม่ควรจะไปเชื่อตัณหาความอยากอันมีอวิชชาเป็นเพื่อน ชักจูงให้ไปทำบาปทำกรรมทำเวรใส่ตัวเอง แล้วตายแล้วไปได้รับทุกข์ทนทรมานอยู่ในโลกหน้าต่อไป ไอ้อย่างนี้นี่มันก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทำร้ายตัวเอง ไม่ปรารถนาดีต่อตัวเอง ไม่รักตัวเอง ไม่ต้องการอยากจะยกยอตัวเองให้พ้นจากทุกข์ต่างๆ เหล่านี้ น่าเสียดายจริงๆ นะการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วนะ ควรพากันพิจารณาตริตรองให้ดี มันบุญกุศลมีมันจึงได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ขอให้คิดอย่างนี้

เมื่อบุญมาตกแต่งร่างกายนี้ให้แล้วเราต้องใช้กายวาจาอันนี้บำเพ็ญบุญกุศลคุณงามความดีให้เป็นประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น เช่นนี้มันจึงค่อยเรียกว่าถูกต้อง จึงค่อยเหมาะสมความเกิดมาเป็นมนุษย์สมกับว่าผู้มีบุญ ถ้าเราอาศัยบุญเก่าแล้วสร้างบุญใหม่เพิ่มเติมเข้าอย่างนี้นะ เหมือนอย่างบุคคลผู้มีทุนมีรอนก้อนหนึ่งแล้ว นี้ก็ลงทุนค้าทำการค้าขายนำกำไรมาเพิ่มของเก่าให้มากขึ้นโดยลำดับ ผู้มีปัญญาทำการค้าไป ไปแล้วก็ได้กำไรเพิ่มเติมมาเรื่อยๆ ในที่สุดก็ได้เป็นเศรษฐีได้ อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ

ผู้มีบุญมีกุศลเป็นทุนรอนมาแต่ชาติก่อนแล้วมาตกแต่งอัตภาพร่างกายนี้ให้แล้ว หากรู้จักใช้กายวาจาทำกุศลคุณงามความดี รู้จักละเว้นจากกรรมอันชั่วดังกล่าวมานั้นได้ ชีวิตของผู้นั้นก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นหมัน เกิดมาแต่ละชาติก็ได้โอกาสสั่งสมบุญบารมีให้เต็มความสามารถเลยทีเดียวน่ะ เพราะมันไม่มีบาปมาสกัดกั้นทางเดินแห่งชีวิต ผู้นั้นก็ดำเนินไปตามทางที่ไม่เป็นบาปเป็นโทษ เดินตามทางแห่งความสุขความเจริญ อาศัยบุญเก่านั้นน่ะหนุนส่งขอให้เข้าใจ อันบุญนี้จึงชื่อว่าเป็นมิตรเป็นสหายอันสนิทสนมใกล้ชิดจริงๆ เลย ใกล้ชิดกว่ามิตร กว่าญาติ กว่าสหายภายนอกเป็นไหนๆ

เพราะว่ามิตรสหายภายนอกนั้นน่ะไม่ใช่ว่าจะได้คบกันอยู่ตลอดเวลา นานๆ จึงได้พบกันครั้งหนึ่ง นานๆ จึงได้ช่วยเหลือกันครั้งหนึ่ง บุญกุศลที่บุคคลกระทำให้เกิดให้มีในจิตใจของตัวเองชาติก่อนแล้ว พอเกิดมาชาตินี้ บุญกุศลนั้นก็มาเตือนจิตให้ถึงนึกตัวเองได้ เช่นว่าแต่ชาติก่อนบุคคลได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจ

ผู้ใดทำกรรมอันใดก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้น จำแล้วเอาไปคิดไปกรองจนละความชั่วได้ทำความดีให้เกิดมีในตน เมื่อตายจากชาตินั้นแล้วหากว่าได้โอกาสมาเป็นคนอีก นี้แหละบุญกุศลอันนั้นนะเป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตามมาตักเตือนจิตใจให้ระลึกถึงความแก่ ความเจ็บ ความตายได้ ระลึกถึงความพลัดพรากจากกันได้ ระลึกถึงบุญและบาป ผู้ใดทำบุญย่อมอำนวยผลให้เป็นสุขจริง ผู้ใดทำบาปย่อมอำนวยผลให้เป็นทุกข์จริง บุญเก่านั้นมาเตือนใจให้เกิดความเชื่ออย่างนี้ เรื่องมันน่ะ



>>>>> มีต่อ หน้า ๔
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2006, 3:45 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บุคคลที่ไม่ได้สดับตรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ามาแต่ก่อน ไม่สนใจในบาปบุญคุณโทษตามคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ แม้ได้สนใจทำบุญทำทานมาตามประเพณีเท่านั้นเองนะ ที่จะน้อมเข้าคำสอนพระองค์พิจารณาให้เห็นบาปเห็นบุญจริงๆ ไม่มีอย่างนี้น่ะ ผู้เช่นนั้นเกิดมาในชาตินี้มันก็ไม่สนใจในเรื่องบาปบุญคุณโทษอะไร ไม่สนใจที่จะฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อันสมกับที่ว่าผู้ใดทำกรรมอันใดก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้นน่ะ มันเป็นความจริงแท้ๆ แล้ว ผู้ได้สนใจในศีลธรรมมาแต่ชาติก่อน มันเป็นอุปนิสัยปัจจัยติดตามมา

พอมาชาตินี้เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ตื่นตัวได้บุญเก่ามาสมทบด้วย ทั้งบุญใหม่ที่ทำในปัจจุบันมาสมทบเข้าไปอีก ก็ทำให้มีศรัทธาแรงกล้าขึ้นในอันที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไป นี้มันมีเหตุปัจจัยอย่างนี้...คนเราน่ะ...ฉะนั้นทุกคนอย่าไปลืมบุญเก่าของตัวเอง อย่างผู้ที่ได้บวชในพุทธศาสนาอย่างนี้ก็เหมือนกันน่ะ แต่ชาติก่อนตนเองคงได้ยินดีในการบวช ถ้าไม่ได้บวชก็ดี ก็ได้เป็นเจ้าภาพบวชลูก บวชหลาน บวชญาติมิตรผู้มีศรัทธาทั้งหลาย นั่นความยินดีในการบวชอย่างนี้มันก็เป็นนิสัยปัจจัยติดตามมา

เมื่อมาพบพระพุทธศาสนาในชาตินี้ก็ยินดีในการบวช ผู้ไม่ได้ยินดีในการบวชเรียนในพระพุทธศาสนามาแต่ก่อน ไม่ได้เป็นเจ้าภาพในการบวชนาค บวชอะไรเลยอย่างนี้ ตัวเองก็ไม่ได้บวช เพียงแต่ยินดีในการทำบุญทำทานไปกับเพื่อนธรรมดาเฉยๆ พูดเช่นนั้นแล้วถึงเกิดมาในชาตินี้ก็ไม่มีจิตยินดีจะบวชเรียนนี้เลย ไม่มีความสามารถแล้ว เป็นอย่างนี้แหละ เหตุปัจจัยของชีวิต พิจารณาให้เข้าใจ เมื่อผู้ใดได้พิจารณาให้เข้าใจอย่างนี้แล้ว มันก็สามารถละบาปบำเพ็ญบุญได้ดังกล่าวมานั้นแหละ ชำระกายวาจาใจของตนให้สะอาดปราศจากบาปอกุศลต่างๆ

เมื่อกายวาจาใจปราศจากบาปอกุศลต่างๆ แล้ว บุญกุศลอันนี้ยิ่งดลบันดาลให้ชอบบุญชอบกุศลยิ่งๆ ขึ้นไป ไม่มีถอยหลัง บุญกุศลอันนี้มันก็ดลบันดาลให้เบื่อหน่ายในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายอันนี้ ให้เบื่อหน่ายในบาปกรรมความชั่วทั้งหลาย เห็นเขาทำความชั่วทั้งหลายก็ไม่พอใจ ไม่ชอบเลย นี่บุญกุศลมันดลบันดาลมันเป็นอย่างนั้น เห็นเขาทำกุศลคุณงามความดีชอบใจปรารถนาที่จะทำบัดนี้ นั่นแหละ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าบุคคลคบคนเช่นใดก็เป็นเช่นคนนั้น

ตั้งแต่ก่อนเคยคบนักปราชญ์บัณฑิตมา เคยได้ทำบุญกุศลคุณงามความดีกับนักปราชญ์ นักปราชญ์ท่านก็ชักจูงแนะนำอย่างนี้ มันก็เป็นอุปนิสัยปัจจัยติดมา บุญกุศลก็ส่งให้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาแล้วก็ให้ไปบันดาลให้ไปพบนักปราชญ์บัณฑิต ให้ยินดีเหลื่อมใสในนักปราชญ์บัณฑิตนั้น เบื่อหน่ายต่อคนพาล บัดนี้ นี่แหละอนุภาพของบุญกุศลขอให้เข้าใจกัน ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลนะการทำบุญทำกุศลมีเหตุผลดังกล่าวมานี้ ถ้าจะพรรณนาไปมันก็มากมายคุณค่าแห่งบุญแห่งกุศลความดีนี้แหละ

ดังนั้น ก็ขอให้พาเข้าใจไว้ว่า บุคคลจะพันทุกข์ไปได้ในขั้นใดๆ ก็อาศัยบุญกุศลนี้ทั้งนั้นเลย จะถึงปรินิพานก็เพราะทำบุญกุศลให้เต็มบริบูรณ์ เมื่อสั่งสมบุญกุศลให้เต็มบริบูรณ์แล้ว ส่วนมากก็บุญกุศลดลบันดาลให้ออกบวชในตำราท่านกล่าวไว้ ดังพระสาวกของพระพุทธเจ้า ในครั้งพุทธกาลท่านผู้มีบารมีอันแก่กล้าเต็มมาแล้ว พอได้ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์จบลงเท่านั้นแหละ บางท่านก็สำเร็จอรหันต์เลยแต่ยังไม่ได้บวช แต่บางท่านบางเหล่าก็ยังไม่สำเร็จแต่มีศรัทธาบวชอย่างแรงกล้าอย่างนี้แหละ ก็ขอบวชกับพระศาสดาเลย

เหมือนอย่างพระรัฐบาลชื่อรัฐบาลน่ะเป็นลูกเศรษฐีพอได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าการที่บุคคลจะพ้นทุกข์ไปได้นั้นก็ต้องอาศัยการบวชจะพ้นทุกข์ไปโดยจริงจังแล้ว อย่างนี้ ผู้ครองเรือนนี้ย่อมมีจิตห่วงใยอาลัย กิจการงานต่างๆ ไม่มีโอกาสที่จะชำระจิตใจให้บริสุทธิ์จากกิเลสได้ ท่านได้ฟังอย่างนี้แล้วท่านก็ โอ้...เป็นความจริงเลยมีทรัพย์สมบัติมากเท่าไดก็ยิ่งเป็นทุกข์หลายเท่านั้น ตายแล้วก็เอาติดตัวไปไม่ได้เลย อย่างนี้ เอ้า...อย่าเลยเราจะขอบวชกับพระศาสดาซะเลย ขอบวชกับพระองค์ พระองค์ก็รับสั่งให้ไปลาบิดามารดาซะก่อน

ท่านก็ไปลาบิดามารดา บิดามารดาไม่อนุญาติทีแรก เมื่อไม่อนุญาติท่านก็อดข้าวไม่ยอมทานข้าวเลย ถ้าไม่อนุญาติก็ให้ตายไปเลย โน้นเลยท่านผู้มีบุญบารมีแก่กล้าก็ใจเด็ดใจเดี่ยว พ่อแม่กลัวลูกจะตายก็เลยต้องอนุญาติให้ไปบวชได้ ท่านก็รับประทานอาหารมีกำลังดีแล้วก็หาเครื่องบริขาร เสร็จแล้วก็ไปบวชกับพระศาสดา พระองค์ก็บวชให้ บวชให้แล้ว ท่านก็บำเพ็ญเพียรไปไม่นานก็ได้สำเร็จอรหันต์ และก็ได้สำเร็จอรหันต์ก็ได้มาโปรดมารดาบิดาให้มีศรัทธาเหลื่อมใสในพุทธศาสนาทั้งอดีตภรรยาด้วยหมู่นี้

อันนี้ประวัติของพระรัฐบาลก็พอเอาเป็นตัวอย่างได้สำหรับคนมั่งมีศรีสุขมีเงินมีทองมากๆ ผู้มีบุญบารมีแก่กล้ามันก็สมควรจะพิจารณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างที่ว่านี้แหละ แล้วก็ควรจะถอนตัวออกไปแสวงหา นิรามิตรสุข สุขที่ไม่ต้องอิงอาศัยอามิสคือสิ่งของ อันนี้เป็นสุขอันบริสุทธิ์สดใสจริงๆ ไม่อิงไม่อาศัยรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสต่างๆ และอาศัยความบริสุทธิ์เท่านั้นเอง การชำระอาสวะกิเลสให้หมดสิ้นไปจากจิตดวงนี้ จิตดวงนี้ก็พึงตนเองได้ หมายความว่าอย่างนั้น ไม่ไปพึงรูป

ร่างกายที่เคยเกิด เคยแก่เจ็บตายมาแต่ก่อนไม่เอาแล้ว มันไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนอะไรเลยรูปกายธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เงินทองข้าวของอะไรต่ออะไร ล้วนแต่เป็นของให้มีความสุขชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้อำนวยความสุขให้ยั่งยืนอะไรเลย ให้พิจารณาเห็นอันนี้คนมีบุญมากแล้วต้องการความสุขอันเป็นแก่นสาร เหจุนั้นจึงได้ลามารดาบิดาออกบวช พวกเราได้ชื่อว่ามีบุญที่ได้มาบวชในพุทธศาสนานี้ ดังนั้น บุญอันนี้มันก็ยังเป็นโลกีย์อยู่ หากว่าเราไม่พยายามสั่งสมบุญนั้นให้มากขึ้นไปกว่านี้มันจะสู้อำนาจกิเลสไม่ได้ ผู้บวชเข้ามาแล้วสึกออกไปก็เพราะมันสู้อำนาจกิเลสไม่ได้นั้นเอง เรื่องมันน่ะ

ดังนั้นควรพากันบำเพ็ญสมาธิปัญญาให้เจริญแก่กล้าขึ้น สำรวมในศีลให้บริสุทธิ์เข้าไป ไม่ท้อไม่ถอยแล้วบุญกุศลมากขึ้นโดยลำดับ เมื่อบุญกุศลมากขึ้นแล้วมันก็สู้อำนาจกิเลสได้บัดนี้ กิเลสก็ครอบงำจิตไม่ได้มันเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นคฤหัสถ์ บำเพ็ญบุญกุศลมากๆ เข้าไปแล้ว มันก็เป็นเหตุให้เบื่อหน่ายในบาปในโทษไม่ทำบาปแล้ว ไม่ทำบาปเพราะปากเพราะท้องไม่ทำบาปเพราะลาภยศสรรเสริญเยินยอต่างๆ ไม่เอา จะพยายามชำระตนให้บริสุทธิ์จากบาปจากโทษให้ได้ แล้วตนจะได้ประสบความสุขอันเป็นแก่นสารที่ท่านเรียกว่านิรามิตรสุขคือสุขปราศจากเหยื่อล่อให้ติดอยู่ในทุกข์ดังแสดงมา



.................................................................

คัดลอกมาจาก
http://www.relicsofbuddha.com/worralapo/wdramma.htm
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
I am
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 10 ต.ค.2006, 8:07 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

โมทนาครับ คุณปุ๋ย ขอให้เจริญในธรรมนะครับ สาธุ.. สาธุ
 
ลูกโป่ง
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089

ตอบตอบเมื่อ: 11 ต.ค.2006, 3:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อนุโมทนาบุญค่ะ...คุณปุ๋ย
ในทุกสิ่งที่ดีดี ที่คุณปุ๋ยหมั่นสร้างสมมา

เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ

ธรรมะสวัสดีค่ะ

ดอกไม้ ดอกไม้ ดอกไม้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง