Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
การคลายอารมณ์ (พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
๛ Nirvana ๛
บัวบาน
เข้าร่วม: 09 เม.ย. 2006
ตอบ: 403
ตอบเมื่อ: 26 ก.ย. 2006, 11:46 pm
การคลายอารมณ์
การฝึกสมาธิเพื่อสุขภาพ
โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ
หลักการ
ธรรมชาติมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม ต้องหายใจเข้าและหายใจออกอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ ไม่เคยสนใจและสังเกตความเป็นไปของลมหายใจเข้าและหายใจออก สำหรับผู้ศึกษาและสนใจปฏิบัติเท่านั้นจึงจะรู้ว่าลมหายใจเข้านำไปสู่ ความนึก คือสิ่งที่เป็นอนาคต และลมหายใจออกนำไปสู่ ความคิด คือสิ่งที่เป็นอดีต ความนึกและความคิดคือความฟุ้งซ่าน เป็นขยะหรือตะกอนของจิต ฉะนั้นเราต้องหาวิธีกำจัดขยะเหล่านี้เพื่อให้สามารถนำจิตไปใช้งานให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากจิตทำงานหลายหน้าที่ไม่ได้
วิธีปฏิบัติ
ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก หรือตามความสะดวก จะนั่งในท่าใดได้ทั้งนั้น (ผู้ป่วยสามารถนอนฝึกได้) ถ้านั่งขัดสมาธิซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลมากที่สุด (หรือจะนั่งพับเพียบ) ตัวตั้งตรงมือขวาทับมือซ้ายวางบนตัก หลับตาลงเบาๆ ไม่ต้องบีบกล้ามเนื้อตา ทำตัวเบาๆ ไม่ต้องเกร็ง หรืออาจจะทำความรู้สึกเหมือนกับไม่มีตัวเราอยู่เลยปล่อยวางความรู้สึกนึกคิดที่ตนเองเข้าไปยึดติด ไม่ว่าจะเป็นความกังวล ความทุกข์ ความรัก ความชัง ความเจ็บปวด บาป บุญ คุณ โทษ ความดี ความชั่ว อดีต ปัจจุบัน อนาคต ปล่อยวางทุกสิ่งเหมือนไม่มีตัวตน ปล่อยความรู้สึกที่นึกและคิดทั้งหมดให้ไหลออกไปพร้อมกับการนึกลมหายใจออก เพื่อไปสู่ความว่างของธรรมชาติภายนอกโดยไม่ต้องสนใจลมหายใจเข้าค่อยๆ คลายสิ่งที่ยึดติดออกไปเป็นจังหวะๆ พร้อมกับการนึกลมหายใจออก เหมือนดั่งสายน้ำที่ไหลไปแล้วไม่หวนกลับคืนมาฉันนั้น
ส่วนผู้ที่คลายอารมณ์ไม่เป็น ให้ทำความรู้สึกเหมือนคนใกล้จะหลับ ก่อนที่จะนอนหลับเราต้องปล่อยความรู้สึกยึดติดทั้งหมดให้คลายออกไป ไม่เช่นนั้นจะนอนไม่หลับ ให้คลายอารมณ์ออกเป็นความว่างไปเรื่อยๆ เพื่อไม่ใช้จิตมีอาหาร เพราะอาหารของจิตคือ อารมณ์หรือความฟุ้งซ่าน ถ้ามีอารมณ์มาก ความฟุ้งซ่านจะมีมากเป็นการเพิ่มความทุกข์ให้กับตนเอง
ผู้ที่ติดความคิดมากๆ นึกลมหายใจเข้าแล้วนึกไปที่สมองซึ่งเป็นฐานความคิด ปล่อยความคิดในสมองที่ติดค้างอยู่ให้ไหลออกไปพร้อมกับการนึกลมหายใจออก ทำเป็นจังหวะๆ ไม่สนใจว่าความคิดไหลออกไปได้บ้างแล้วหรือยัง เปรียบเหมือนขณะนี้ตัวเรากำลังตักน้ำในตุ่มทิ้งทีละขันๆ หน้าที่ของเราคือตักน้ำเททิ้ง ไม่ต้องหันกลับไปดูน้ำในตุ่มว่าเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด นี่คือการไม่ใส่เจตนา ความต้องการ เพราะถ้าใส่ความเจตนา ความอยาก ความต้องการที่จะทำให้น้ำในตุ่มหมดเร็วๆ เท่ากับเป็นการเพิ่มภาระให้กับจิต ทำให้เรา ว่าง ได้ยากยิ่งขึ้น
ในทำนองเดียวกัน ถ้าติดความนึกคือติดอนาคต ซึ่งมีฐานอยู่ที่หัวใจ ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วยนึกลมหายใจเข้าแล้วนึกไปที่หัวใจ ปล่อยความนึกทั้งหมดที่มีให้ไหลออกมาเป็นความว่าง พร้อมกับการนึกลมหายใจออก
ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย มีความเจ็บความปวดในร่างกายมาก ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วยนึกลมหายใจเข้าแล้วนึกไปที่ส่วนของร่างกายที่มีความบกพร่องแล้วปล่อยความรู้สึกเจ็บปวดให้ไหลออกไปพร้อมกับการนึกลมหายใจออก ขั้นตอนของการปฏิบัติเหมือนกับการปล่อย ความคิด ออกไป
ผู้ฝึกผู้ป่วยบางท่านมีความฟุ้งซ่าน คือความนึก ความคิด ความวิตกกังวล หรือความเจ็บปวดมาก ไม่สามาคลายออกไปเป็นความว่างได้ตามวิธีได้กล่าวมาแล้ว ควรใช้วิธีสุดท้าย คือ การกลั้นลมหายใจ
ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกไปยังตำแหน่งต่างๆ ที่ตนเองติดอยู่ เช่น ความคิด (อดีต) ในสมอง ความนึก (อนาคต) ในหัวใจ หรือความทรมานเจ็บปวดของร่างกาย เมื่อนึกไปถึงแล้วให้กลั้นลมหายใจนิ่งอยู่ที่ตำแหน่งนั้นสักระยะหนึ่ง นานพอสมควรเท่าที่ผู้ฝึก ผู้ป่ายสามารถทนได้ จี้ลงไปในสิ่งที่ตนเองคิด นึกให้สิ่งติดค้างคือความคิด ความนึก ความทรมานเจ็บปวดร่างกายที่ตำแหน่งนั้นๆ ไหลออกมาพร้อมกับลมหายใจออกทำเป็นจังหวะๆ สม่ำเสมอ จนกระทั่งอารมณ์เหล่านั้นค่อยๆ คลายหายไป (นึกไปที่ตำแหน่งนั้นๆ และกำหนดคลายไปทีละจุดๆ)
ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย มีความเจ็บปวด ทรมานร่างกายมากเกินไปให้ทิ้งขั้นตอนของการคลายอารมณ์ไปก่อน ให้เริ่มต้นวิธีการบำบัดรักษาได้เลย เมื่อความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลงจึงค่อยมาเริ่มเรียนรู้วิธีการคลายอารมณ์อีกครั้ง เพราะถ้าผู้ฝึกผู้ป่วยรู้วิธีของการคลายอารมณ์ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอารมณ์ จะช่วยให้ผู้ฝึกผู้ป่าย รู้วิธีกำจัดขยะของอารมณ์ไม่ให้มารบกวน คอยดึงความรู้สึก (จิต) ให้ฟุ้งซ่านไปหาเรื่องอื่นๆ ในขณะที่กำลังทำสมาธิบำบัดรักษาตนเอง
คุณประโยชน์
ธรรมชาติของจิตนั้นจะรับอารมณ์ต่างๆ ที่มากระทบเสมอ การคลายอารมณ์จึงเป็นการปล่อยความทุกข์ ความรู้สึกในใจ คลายความคิดที่ติดค้างในสมองออกไปให้หมด เพื่อไม่ให้จิตเสียพลังไปในการยึดติดสิ่งต่างๆ ทำให้จิตอ่อนตัว และสงบเร็วขึ้น การคลายอารมณ์จึงเป็นวิธีการเร่งให้จิตสงบ กลับไปส่ธรรมชาติเดิมของจิตก่อนที่จะใช้จิตไปทำงานต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของ
ผลพลอยได้ที่สำคัญคือ ผู้ที่เป็นโรคนอนไม่หลับจะสามารถหลับได้ง่ายขึ้น และหลับสนิทมากขึ้น โดยก่อนนอนให้นำความรู้สึกมาตั้งไว้ที่จมูก แล้วปล่อยคลายความนึกและความคิดออกไปเรื่อยๆ พร้อมกับการนึกลมหายใจออก เมื่อคลายความนึก ความคิดออกไปหมดแล้วจะสามารถหลับได้ในที่สุด
สำหรับผู้ที่ต้องการให้สมองมีความจำดี เพื่อเพิ่มสมรรถนะของการทำงาน หรือจำบทเรียนได้เร็ว วิธีการคลายอารมณ์เปรียบเสมือนการลบหน่วยความจำที่ไม่ต้องการทิ้งไป
อุปสรรค
บางท่านคลายอารมณ์ไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจคำว่า นึกลมหายใจเข้า, นึกลมหายใจออก และปล่อย คือทำอย่างไรขออธิบาย ดังนี้
ลมหายใจเข้าเพื่อการนำก๊าซออกซิเจนเข้าสู่หัวใจ และลมหายใจออกเพื่อการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซค์ออกจากร่างกายต้องมีลมผ่านเข้า-ออกทางจมูก แต่การ นึกลมเข้า-ลมออก คือการนึกเอาหรือสร้างจินตนาการ เมื่อเป็นการ นึก ความรู้สึกของการนึกลมเข้าและลมออก จึงไม่จำเป็นต้องมีลมเข้า-ออกทางจมูกจริง เป็นแต่เพียงการปลดปล่อยความรู้สึกบางอย่างออกไปจากร่างกาย ในขณะที่ผู้ฝึก ผู้ป่วยกำลังคลายอารมณ์อยู่ ความรู้สึกหรือจิตในขณะนั้นกำลังจดจ่ออยู่กับการปล่อยความนึก และความคิดรวมทั้งความเจ็บปวดที่ออกไปพร้อมกับการนึกลมหายใจออกเป็นจังหวะๆ สม่ำเสมอ ปล่อย คือการนำความรู้สึกที่มีอยู่ในขณะนั้นทิ้งออกไปจากสมองและหัวใจ หรืออวัยวะที่เจ็บปวด
ทั้งหมดนั้นเป็นวิธีการคลายอารมณ์โดยละเอียด ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย มีความเจ็บปวดมากให้ทิ้งขั้นตอนของการคลายอารมณ์ ควรฝึกสมาธิเพื่อการบำบัดรักษาก่อน เมื่อร่างกายทุเลาความเจ็บปวดลงแล้วจึงค่อยศึกษา การคลายอารมณ์ ในภายหลัง
ทิศตะวันออกเป็นทิศที่มีประโยชน์เพื่อปลดปล่อยหรือคลายพลังงานทุกชนิดออกไปได้เร็ว จึงแนะนำ ผู้ฝึก ผู้ป่วย ว่าถ้าเลือกได้ขอให้นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเสมอ เมื่อต้องการ ฝึกจิต
http://www.geocities.com/healthmeditation/healthmeditation/health.html
_________________
ขอความสวัสดีจงมีแด่ท่าน
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
นานาสาระ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th