Home
•
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทาน
•
หนังสือ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
•
แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้
ค้นหา
สมัครสมาชิก
รายชื่อสมาชิก
กลุ่มผู้ใช้
ข้อมูลส่วนตัว
เช็คข้อความส่วนตัว
เข้าสู่ระบบ(Log in)
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
ชุมชนทางศีลธรรมสำหรับสังคมสมัยใหม่ (พระไพศาล วิสาโล)
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ผู้ตั้ง
ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065
ตอบเมื่อ: 17 ก.ย. 2006, 5:13 am
ชุมชนทางศีลธรรมสำหรับสังคมสมัยใหม่
โดย พระไพศาล วิสาโล
ครอบครัว ชุมชน และวัด
เป็นสถาบันทางศีลธรรมที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อจิตสำนึกและพฤติกรรมของคนไทยในอดีต แต่สำหรับคนสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่อยู่ในเมือง สถาบันเหล่านี้มีอิทธิพลค่อนข้างน้อย หากไม่เป็นเพราะความอ่อนแอของสถาบันเหล่านี้ ก็มักเป็นเพราะสายสัมพันธ์ที่เหินห่างระหว่างคนเมืองกับสถาบันดังกล่าว นอกจากนั้น วิถีชีวิตในเมืองนั้นยังทำให้ผู้คนมีความเป็นปัจเจกมากขึ้น สามารถมีชีวิตอย่างเป็นอิสระ โดยไร้ความผูกพันหรือข้องเกี่ยวกับใครก็ยังได้ ความเป็นอิสระนี้ทำให้สามารถมีพฤติกรรมอย่างเสรีตามใจปรารถนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อย่างไรก็ตาม การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและระบบความสัมพันธ์ที่กำลังถูกครอบงำอย่างหนักด้วยวัฒนธรรมบริโภคนิยมและอำนาจนิยมนั้น ปัจเจกชนย่อมยากที่จะประคองรักษาตนให้อยู่ในกรอบของศีลธรรมได้ แม้จะมีพื้นฐานที่ดีจากการกล่อมเกลาในครอบครัวและโรงเรียนก็ตาม เสรีภาพของปัจเจกชนในสภาพดังกล่าวมักถูกใช้ไปเพื่อคล้อยตามบริโภคนิยมและอำนาจนิยมไม่มากก็น้อย ในสภาพเช่นนี้นอกจากปัจเจกชนจะต้องมีภูมิคุ้มกันทางใจที่เข้มแข็งแล้ว ยังควรมี "ชุมชนทางศีลธรรม" ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันภายใน ควบคู่กับการปกป้องจากแรงกดดันจากภายนอกที่เป็นในทางบริโภคนิยมและอำนาจนิยม
ชุมชนทางศีลธรรมในสังคมเมืองนั้น อาจเป็นชุมชนโดยพื้นที่ ซึ่งหมายถึงการมาอยู่ร่วมกันในสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง แต่ชุมชนแบบนี้ คนส่วนใหญ่มักจะทำได้ยาก อีกทั้งยังไม่ชอบที่จะต้องมาใช้ชีวิตร่วมกันตลอดเวลา เพราะต้องการรักษาปัจเจกภาพของตนไว้ในระดับหนึ่ง ชุมชนทางศีลธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของคนเมืองจึงได้แก่ ชุมชนโดยกิจกรรม ชุมชนทางศีลธรรมชนิดนี้ รูปแบบหนึ่งที่น่าจะเหมาะก็คือ องค์กรอาสาสมัคร หรือองค์กรประชาสังคม (civic group)
องค์กรประชาสังคม มีหลายลักษณะ อาจเป็นกลุ่มเล็กๆ ที่มีสมาชิกไม่ถึงสิบคน ไปจนถึงองค์กรประเภทเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกนับพันนับหมื่น อาจเป็นองค์กรที่ผู้คนมาร่วมกิจกรรมกันเป็นครั้งคราว หรือทำงานอย่างเป็นกิจจะลักษณะจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นองค์กรประเภทนี้ยังสามารถพัฒนาจนเป็นเครือข่ายเชื่อมโยงครอบครัว ชุมชน วัด โรงเรียน รวมทั้งสื่อมวลชน ให้กลายเป็นขบวนการหรือชุมชนทางศีลธรรมขนาดใหญ่ที่สามารถมีอิทธิพลต่อสังคมบริโภคนิยมและอำนาจนิยมได้
ตัวอย่างที่น่าสนใจได้แก่เครือข่ายขององค์กรฉือจี้ในไต้หวัน ฉือจี้เป็นมูลนิธิทางด้านมนุษยธรรมที่มีศูนย์ย่อยกระจายทั่วเกาะไต้หวัน มีอาสาสมัครที่ทำงานอย่างแข็งขันกว่า 20,000 คน กิจกรรมของเครือข่ายซึ่งครอบคลุมทั้งด้านสังคมสงเคราะห์ การแพทย์ การศึกษา รวมทั้งการผลิตสื่อ ได้เข้าถึงผู้คนนับล้านๆ ในไต้หวัน อีกทั้งยังขยายสาขาและสำนักงานไปกว่า 30 ประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
แกนกลางหรือชั้นในสุดของเครือข่ายนี้คือคณะภิกษุณีจำนวน 60 รูป ซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันที่วัดแห่งหนึ่งในไต้หวัน มีบทบาทในทางเป็นแบบอย่างแห่งการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและการอุทิศชีวิตเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นเยี่ยงพระโพธิสัตว์ ส่วนที่อยู่ถัดออกมา ก็คือสมาชิกของมูลนิธิฉือจี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
ระดับแรก ได้แก่ สมาชิกเต็มขั้นที่ผ่านการอบรมและเป็นที่ประจักษ์ถึงความเสียสละและความมุ่งมั่นในการทำสาธารณประโยชน์
ระดับที่สอง ได้แก่ สมาชิกขั้นอบรม ซึ่งต้องทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า 2 ปี จึงจะเลื่อนไปเป็นสมาชิกเต็มขั้นได้
ระดับที่สาม ได้แก่ สมาชิกขั้นฝึกงาน ซึ่งต้องทำงานช่วยเหลือสังคมไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงจะเลื่อนไปเป็นสมาชิกขั้นอบรมได้ งานอาสาสมัครที่สมาชิกทำเป็นประจำได้แก่ เยี่ยมบ้านคนป่วยอนาถา เป็นอาสาสมัครในโรงพยาบาลของมูลนิธิ ช่วยเก็บแยกขยะในชุมชน รวมทั้งการสงเคราะห์ผู้ประสบภัยในยามฉุกเฉิน
สมาชิกเหล่านี้ซึ่งมีอยู่ 20,000 คน จะอยู่ประจำตามศูนย์ต่างๆ ของมูลนิธิที่กระจายอยู่ทั่วเกาะไต้หวัน
ถัดจากชั้นของสมาชิกมูลนิธิ ก็คือผู้สนับสนุนมูลนิธิ รวมทั้งผู้บริจาคเงินให้แก่มูลนิธิเป็นประจำ บุคคลเหล่านี้จะสัมพันธ์กับมูลนิธิโดยผ่านสมาชิกมูลนิธิ กล่าวคือสมาชิกหรืออาสาสมัครมูลนิธิจะเป็นผู้ไปรับเงินบริจาคหรือบอกบุญจากผู้สนับสนุนด้วยตนเอง นอกจากจะเป็นการฝึกสมาชิกให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตนแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เผยแพร่แนวความคิดและกิจกรรมของมูลนิธิให้ผู้บริจาครับทราบ เป็นการตอกย้ำสำนึกแห่งการเสียสละเพื่อผู้อื่น การไปบอกบุญและรับบริจาคด้วยตนเองถึงบ้าน ยังมีส่วนช่วยให้ครอบครัวของผู้บริจาคกลายเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย ทำให้แนวร่วมขยายไปยังคนทุกเพศทุกวัย
ชั้นนอกสุดของเครือข่ายก็คือประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นผู้รับประโยชน์จากกิจกรรมด้านต่างๆ ของมูลนิธิ เช่น ผู้ที่ไปรับการเยียวยารักษาจากโรงพยาบาลของมูลนิธิ ผู้ที่ได้รับการศึกษาจากโรงเรียนของมูลนิธิ รวมทั้งผู้ได้รับการช่วยเหลือจากงานสังคมสงเคราะห์ของมูลนิธิ ปัจจุบันมูลนิธิมีโรงพยาบาล 5 แห่ง มีสถาบันการศึกษาทุกระดับ ตั้งแต่ประถม มัธยม จนถึงอุดมศึกษา รวมทั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ โดยเน้นคุณธรรมควบคู่กับความรู้ นอกจากนั้นมูลนิธิยังมีสถานีโทรทัศน์ของตนเอง ที่ถ่ายทอดรายการเพื่อความรู้และคุณธรรมตลอด 24 ชั่วโมง สถานีโทรทัศน์และสื่ออีกหลายชนิดทำให้เครือข่ายของมูลนิธิขยายไปถึงคนทั่วไปแม้จะไม่ใช่สมาชิกหรือผู้บริจาค
จะเห็นได้ว่าเครือข่ายขององค์กรฉือจี้ สามารถผสานสถาบันต่างๆ ที่มีบทบาททางศีลธรรมในทุกระดับ ให้เข้ามาเป็นพลังทางศีลธรรมของสังคม เริ่มตั้งแต่
1) วัดหรือองค์กรสงฆ์ ซึ่งสามารถปรับตัวจากการเป็นศูนย์กลางของชุมชน (ชนบท) มาเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย (ในเมือง)
2) ครอบครัว ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านสมาชิกมูลนิธิที่ไปขอรับบริจาค และจากสถาบันการศึกษาของมูลนิธิ
3) ชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งเชื่อมโยงกับเครือข่ายผ่านศูนย์อาสาสมัครที่กระจายทั่วประเทศ
4) โรงเรียนและมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นกลไกส่วนหนึ่งของเครือข่ายโดยตรง เช่นเดียวกับ
5) สื่อมวลชน การผสานทั้ง 5 ส่วนเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดพลังทางศีลธรรมในสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พลังดังกล่าวจะลดลงไปมากหากปราศจากกิจกรรมด้านสาธารณประโยชน์ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญประการหนึ่งขององค์กรฉือจี้
ควรย้ำในที่นี้ว่าองค์กรฉือจี้ แม้จะเป็นองค์กรศาสนา แต่ไม่ได้จำกัดบทบาทเพียงแค่การเทศนาสั่งสอนศีลธรรมผ่านวัด โรงเรียน และสื่อมวลชนเท่านั้น หากยังลงไปทำงานช่วยเหลือสังคมด้วยการสงเคราะห์ทางมนุษยธรรม เช่น การช่วยเหลือผู้ป่วยและผู้ประสบภัย รวมทั้งการเก็บและแยกขยะ
ทั้งหมดนี้แม้จะเป็นงาน "ทางโลก" แต่ก็แยกไม่ออกจากงาน "ทางธรรม" เพราะนอกจากจะเกิดจากแรงบันดาลใจในทางศีลธรรม โดยมีภิกษุณีเป็นแบบอย่างแล้ว กิจกรรมดังกล่าวยังเป็น "สื่อ" สอนธรรมให้แก่สังคมวงกว้าง ในเรื่องความเสียสละ เมตตากรุณา และความไม่เห็นแก่ตัว ชนิดที่ประจักษ์ได้ด้วยตาและใจ มิใช่ด้วยหูหรือด้วยความคิดเท่านั้น
(โดยเฉพาะโรงพยาบาลของฉือจี้ซึ่งสร้างขึ้นด้วยเงินบริจาคล้วนๆ ได้รับการยกย่องมากในเรื่องการแพทย์ที่เปี่ยมด้วยหัวใจแห่งความเป็นมนุษย์) ใช่หรือไม่ว่าคุณธรรมเหล่านี้เป็นพลังทางศีลธรรมที่สังคมสมัยใหม่ต้องการเป็นอย่างยิ่ง
สังคมไทยอาจไม่จำเป็นต้องมี (หรือไม่สามารถมี) เครือข่ายแบบฉือจี้ แต่ก็ควรสนับสนุนให้มีองค์กรประชาสังคมให้มากๆ เพื่อเป็นชุมชนศีลธรรมห้อมล้อมปัจเจกชนในเมือง อันจะช่วยให้แต่ละคนมีพลังทางใจที่จะทวนกระแสบริโภคนิยมและอำนาจนิยมอันเชี่ยวกราก อีกทั้งมีปัจจัยแวดล้อมที่ช่วยต้านทานหรือลดความเชี่ยวแรงของกระแสดังกล่าวได้
............................................................
คัดลอกมาจาก ::
หนังสือพิมพ์มติชน รายวัน หน้า 6
คอลัมน์ มองอย่างพุทธ
วันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10417
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:
แสดงทั้งหมด
1 วัน
7 วัน
2 สัปดาห์
1 เดือน
3 เดือน
6 เดือน
1 ปี
เรียงจากเก่า-ใหม่
เรียงจากใหม่-เก่า
:: ลานธรรมจักร ::
»
บทความธรรมะ
ไปที่:
เลือกกลุ่ม บอร์ด
กลุ่มสนทนา
----------------
สนทนาธรรมทั่วไป
แนะนำตัว
กฎแห่งกรรม
สมาธิ
ฝึกสติ
การสวดมนต์
การรักษาศีล-การบวช
ความรัก-ผูกพัน-พลัดพลาก
กลุ่มข่าวสาร-ติดต่อ
----------------
ข่าวประชาสัมพันธ์
ธรรมทาน
รูปภาพ-ประมวลภาพกิจกรรมต่างๆ
สำหรับนักเรียน นักศึกษา ขอความรู้ทำรายงาน
แจ้งปัญหา
รูปภาพในบอร์ด
กลุ่มสาระธรรม
----------------
หนังสือธรรมะ
บทความธรรมะ
นิทาน-การ์ตูน
กวีธรรม
นานาสาระ
ต้นไม้ในพุทธประวัติ
วิทยุธรรมะ
ศาสนสถานและศาสนพิธี
----------------
สถานที่ปฏิบัติธรรม
วัดและศาสนสถาน
พิธีกรรมทางศาสนา
พุทธศาสนบุคคล
----------------
พระพุทธเจ้า
ประวัติพระอสีติมหาสาวก
ประวัติเอตทัคคะ (ภิกษุณี, อุบาสก, อุบาสิกา)
สมเด็จพระสังฆราชไทย
ประวัติและปฏิปทาของครูบาอาจารย์
ในหลวงกับพระสุปฏิปันโน
อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณ
ไม่สามารถ
สร้างหัวข้อใหม่
คุณ
ไม่สามารถ
พิมพ์ตอบ
คุณ
ไม่สามารถ
แก้ไขข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลบข้อความของคุณ
คุณ
ไม่สามารถ
ลงคะแนน
คุณ
สามารถ
แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ
สามารถ
ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้
เลือกบอร์ด •
กระดานสนทนา
•
สมาธิ
•
สติปัฏฐาน
•
กฎแห่งกรรม
•
นิทานธรรมะ
•
หนังสือธรรมะ
•
บทความ
•
กวีธรรม
•
สถานที่ปฏิบัติธรรม
•
ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ
•
วิทยุธรรมะ
•
เสียงธรรม
•
เสียงสวดมนต์
•
ประวัติพระพุทธเจ้า
•
ประวัติมหาสาวก
•
ประวัติเอตทัคคะ
•
ประวัติพระสงฆ์
•
ธรรมทาน
•
แจ้งปัญหา
จัดทำโดย กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ
webmaster@dhammajak.net
Powered by
phpBB
© 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
www.Stats.in.th