Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ทางโลกกับทางธรรม (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 05 เม.ย.2006, 1:36 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ทางโลกกับทางธรรม
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๒ ผ่านไปไม่นานยังอยู่ในเขตต้นเดือนของปีใหม่ ข้าพเจ้าก็ได้รับจดหมายพร้อมด้วยบันทึกฉบับหนึ่งส่งมาทางไปรษณีย์จาก พระมหารูปหนึ่งอยู่ในวัดที่มีชื่อเสียงทาง จังหวัดธนบุรี

ความจริงเคยได้รับบันทึกจากพระภิกษุหลายรูป ซึ่งท่านได้ส่งมาให้ข้าพเจ้าทางไปรษณีย์ปีก่อนๆ หลายเรื่องด้วยกัน ยาวบ้างสั้นบ้าง ซึ่งยังไม่ได้เขียน เพราะยังขาดข้อความบางตอนขัดต่อเหตุผลยังไม่สมบูรณ์ ส่วนมากเป็นเรื่องของฆราวาส บางเรื่องก็มีข้อสงสัยได้เขียนจดหมายไปถาม ขอให้ช่วยชี้ข้อความให้แจ่มกระจ่างกว่านี้ ก็ยังไม่ได้รับตอบ จึงเป็นเรื่องที่ยังไม่สมบูรณ์พอที่จะเขียนขึ้นได้

แต่เมื่อข้าพเจ้าได้อ่านและพิจารณาบันทึกของพระมหารูปนี้แล้ว เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีสาระสำคัญสงฆ์ และเป็นเรื่องของเพื่อนสงฆ์ของท่านผู้บันทึก จึงคิดว่าเป็นเรื่องทางธรรมกับทางโลกผู้ที่อยู่ในบรรพชิต เมื่อยังมีกิเลสแม้จะบวชตั้งแต่เป็นเณรจนครบอายุบวชเป็นพระภิกษุก็ดี หากยังไม่รู้ซึ้งทางธรรม ให้รู้ว่าเราบวชเพื่ออะไร แม้ร่างกายจะอยู่ในผ้าเหลือง แต่จิตใจยังมีโลภ รัก โกรธ หลง ก็ยังอยากออกมาผจญในทางโลกีย์ดูบ้าง

เพราะมองเห็นโลกนี้เมื่ออยู่ห่างๆ มีแต่สิ่งสวยงามยียวนน่าทะนุถนอมน่าจะมีความสุข มีแต่สิ่งประเล้าประโลมบำรุงบำเรอทางจิตใจ เห็นเขามีความสุขสนุกสนาน จึงเกิดกิเลสตัณหาขึ้น ทางจิตใจคิดว่าอยากจะลองออกมาเป็นฆราวาสกินข้าวเย็นเป็นอิสระดูบ้าง คิดมากผ้าเหลืองร้อนก็ลาสิกขาบท ออกมาผจญชีวิตในทางโลก ซึ่งเห็นกงจักรเป็นดอกบัว อยากจะเปรียบเทียบธรรมชาติกับวิทยาศาสตร์ในยุคปัจจุบันนี้เป็นข่าวสำคัญของโลก

เพราะเมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๑ จรวดยานอะปอลโล ๘ ได้นำมนุษย์นักบินอวกาศสามนาย ยานอะปอลโล ๘ แล่นจากโลกมนุษย์ขึ้นสู่โคจรรอบดวงจันทร์เป็นผลสำเร็จเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของโลก เพราะเป็นทางเริ่มต้นที่จะส่งมนุษย์ขึ้นไปบุกเบิกค้นคว้าบนดวงจันทร์ในขั้นต่อไป เป็นความพยายามของมนุษย์ต้องเสี่ยงภัย และเสียทรัพย์สินมากมาย เพื่อสำรวจสิ่งลี้ลับบนดวงจันทร์

มนุษย์ที่เกิดมาในโลกทุกชาติทุกภาษาตามป่า ตามถ้ำ ตามเขา และตามเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแล้วหรือทุกแง่ทุกมุมของโลก นับแต่ครั้งโบราณตลอดมาจนถึงยุคปัจจุบันชีวิตกับดวงจันทร์บนท้องฟ้าเป็นของคู่กันตลอดมา เหมือนอาหารทางใจ อาหารทางตาที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ความแจ่มกระจ่างในคืนเพ็ญ ดวงจันทร์ส่องแสงที่นวลใยอยู่บนท้องฟ้า เป็นภาพที่เย็นตาเย็นใจเป็นที่เพลิดเพลิน สุขใจสบายตาของหมู่มนุษย์ทั่วไปในโลก ซึ่งมนุษย์ต่างก็นึกคิดใฝ่ฝันไปต่างๆ นานา

บางคนคิดว่า บนดวงจันทร์คงจะเป็นวิมานเมืองฟ้า เป็นที่อยู่ของเทพบุตร เทพธิดา เสวยสุขเป็นอมตะไม่รู้แก่ไม่รู้ตาย เป็นที่มนุษย์หวังจะขึ้นสู่บนดวงจันทร์ ตามความเพ้อฝันของมนุษย์มาแต่โบราณ ที่จะคิดเห็นตามอารมณ์ จะวาดภาพที่สวยงามตามใจชอบแต่ละบุคคลต่างก็ฝันถึงความสุขบนดวงจันทร์ จนนำมาตั้งชื่อหนุ่มสาวได้สมรสกันในเดือนแรกข้าวใหม่ปลามันเรียกว่าดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์

คงจะมีน้อยคนที่คิดว่าบนดวงจันทร์นั้นมีสิ่งตรงกันข้ามกับความรู้สึกของมนุษย์เพ้อฝัน ที่เราเห็นอยู่ห่างไกลนั้น อาจเป็นนรกของมนุษย์ก็ได้เมื่อเข้าใกล้ หรือขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์แล้วจึงจะรู้สึกว่ามีความลำบากยากแค้น ไม่เหมือนเมื่อเรามองเห็นจากโลกมนุษย์อยู่ห่างไกล ที่นึกคิดว่าเป็นแดนสวรรค์ชั้นวิมานเมืองแมน เช่นเดียวกับนักบินอวกาศชาติอเมริกันสามนาย ได้ขึ้นไปโคจรรอบดวงจันทร์มองเห็นโลกมนุษย์ เมื่อห่างออกไปประมาณสองแสนไมล์ ได้บรรยายถึงความสวยงามของโลกมนุษย์อย่างชื่นชมยินดีว่าไม่สามารถจะพรรณนาถึงความสวยงามที่เห็นด้วยตา ความรู้สึกทางใจให้ใกล้ความจริงได้ และเป็นครั้งแรกนักบินอวกาศสามนายได้เห็นโลกมนุษย์ ระยะห่างประมาณสองแสนไมล์ว่าสวยงามเพียงไร

ข้าพเจ้ายกเว้นไม่กล่าวถึงดวงจันทร์ตามที่นักบินอวกาศรายงาน ขอกล่าวเพียงโลกมนุษย์ทำให้ชาวโลกที่สนใจพากันตื่นเต้นถึงความงามของโลก แต่ข้าพเจ้าก็ไม่แปลกใจเพราะเคยคิดอยู่แล้วว่า อันโลกมนุษย์นี้เต็มไปด้วยภูเขาลำเนาไพรมีไม้ดอกไม้ใบต่างๆ สีสวยงดงามอยู่แล้ว และทั้งมีมหาสมุทรสีครามมีลำน้ำใหญ่น้อยมากมาย และมีทั้งภูเขาไฟและภูเขาหิมะเราอยู่ห่างออกไปก็จะมองเห็นจุดกลมล่องลอยอยู่บนกลางอวกาศ เมื่อต้องแสดงอาทิตย์รวมสีสันเป็นจุดเดียวย่อมสวยสดงดงามตามธรรมชาติเป็นธรรมดา

ดังที่นักบินอวกาศบรรยายยกย่องอย่างหยดย้อยถึงความงามของโลกมนุษย์ เมื่อเห็นแต่ไกลย่อมตื่นเต้นสำหรับผู้รักธรรมชาติทั่วไป แต่มีใครบ้างที่คิดว่าโลกที่สวยงามลอยอยู่กลางอวกาศนี้เป็นที่น่าอยู่น่าอาศัยน่าจะมีความสบายและเพลิดเพลินนั้น มีความสกปรกโสมมแฝงอยู่ในจิตใจมนุษย์เป็นพลโลกไม่น้อย มีทั้งความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยาพยาบาท ความมักใหญ่ใฝ่สูง คอยช่วงชิงอำนาจ ล้วนแต่หนาแน่นด้วยกิเลสตัณหา ล้วนแต่เป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ด้วยทั้งสิ้น โชคมนุษย์ยังดีที่มีหลักธรรมของพระพุทธศาสนาชี้ให้เห็นทุกข์ และชี้ให้เห็นทางกำจัดทุกข์ เพราะสอนให้รู้ว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดมีการดับอยู่ตลอดเวลา

ฉะนั้น มนุษย์ที่ยังหลงใหลใฝ่ฝันงมงายว่าในโลกนี้เป็นที่น่าอยู่น่าภิรมย์ กิเลสบดบังมองไม่เห็นทุกข์ มองไม่เห็นธรรม ต่อมาผจญกับความทุกข์จึงมองเห็นธรรมแต่บางคนก็สายเกินไปที่จะแก้ไข บางคนก็ไม่สาย แล้วแต่ความเข้มแข็งและอดทนของจิตใจ แต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เพราะบางคนแทนที่จะแก้ทุกข์ด้วยเหตุผลและธรรม กลับแก้ทุกข์ด้วยการทำลายตนเอง


(มีต่อ)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 01 ม.ค. 2007, 10:18 am, ทั้งหมด 6 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 20 ก.ค.2006, 10:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

และดังเรื่องตัวอย่างซึ่งจากข้อความบันทึกของท่าน มาเล่าโดยพระภิกษุรูปหนึ่งว่า

เรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแก่ตัวผมเอง แต่ครั้งสึกออกมาเข้าสู่ชีวิตฆราวาส เมื่ออยู่ในทางโลกจริงๆ เข้าแล้ว ก็เริ่มรู้สึกผิดหวังไม่เหมือนตามที่นึกที่คิดไว้เมื่อครั้งยังเป็นนักบวช เพราะมองเห็นชาวโลกเขาครองเรือนกันมีความสุขสนุกสบาย แต่เพียงภายนอกเผินๆ มิได้พิจารณาชีวิตการครองเรือนให้ลึกซึ้งลงไป

ฉะนั้น สิ่งใดที่มองเห็นภายนอกว่าเป็นสิ่งที่สวยสดงดงามน่าจะมีความสุขสนุกน่าสบายแล้ว ที่แท้แก่นของความจริงก็คือทุกข์เข้าไปอยู่ในกองกิเลส ตัณหา การที่เห็นเขามีความสุขสนุกสบายแต่ภายนอก ยากนักจะหาความสุขสบายทั้งภายนอกและภายใน ส่วนมากหน้าชื่นอกตรม หาความราบรื่นได้ยากได้กับตัวผมมาแล้ว แต่ก็เป็นความรู้สึกแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน เมื่อเข้าทางโลกก็ต้องใช้ชีวิตต่อสู้เพื่ออยู่ ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงปาก เลี้ยงท้อง ถ้าอยู่นิ่งๆ ก็อดตาย ผมไม่มีมรดกทรัพย์สิน แม้จะมีเงินติดตัวอยู่บ้างก็ไม่มีความหมายอะไรมากนัก เกือบจะพูดได้ว่าสึกออมาก็มีแต่ตัว เพราะต้องใช้จ่ายประจำวัน ค่าอาหารและค่าที่พักพิงอาศัย จำเป็นจะต้องหางานเป็นอาชีพ เพื่ออยู่ต่อไปเป็นเรื่องใหญ่ จะหางานชนิดนั่งโต๊ะขีดเขียนวิชาความรู้ก็ไม่พอ แม้แต่คนที่มีความรู้สูงๆ ก็ตกงาน จะหางานเบาๆ ที่ไม่ต้องใช้วิชาความรู้และไม่ต้องใช้กำลังแรงเข้าแลก เพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไปก็หาไม่ได้

การครองเรือนอยู่ในโลกก็ต้องดิ้นรนต่อสู้กับความยากจน การสึกออกมาใหม่ๆ ก็เหมือนเป็นคนใหม่ต่อโลกมืดแปดด้าน ไม่รู้จะจับงานอาชีพอะไรเพื่อหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเพื่อไม่ต้องอดตาย ด้วยอาศัยที่ชาวบ้านที่ใจดีมีเมตตาจิตช่วยแนะนำหาทางช่วย

ที่สุดผมก็มีอาชีพขับสามล้อเครื่อง มีรายได้พอสมควร จึงยึดเป็นอาชีพขับสามล้อต่อไป คิดว่าคงจะเป็นอิสระดี ไม่ต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาใคร ขยันมากได้มากขยันน้อยได้น้อย มีรายได้พอจะพาชีวิตผ่านไปโดยไม่คับแค้นนัก ไม่เดือดร้อนอะไร พอกินพอใช้ เพราะถือสันโดษมักน้อย จึงอยู่ได้อย่างสบาย คนเราย่อมมีปัญหาที่จะต้องขบคิดอยู่ตลอดเวลา แรกก็ปัญหาอาชีพพอผ่านพ้นไปในเรื่องอาชีพแล้วปัญหาต่อไปในเรื่องคู่ครอง

การมีชีวิตอยู่โดดเดี่ยวทางโลกก็รู้สึกว่าว้าเหว่ไม่สดชื่นไม่สนุกเหมือนมีคู่ครองเรือน ที่สุดก็ได้พบหญิงที่ถูกอกถูกใจคนหนึ่ง ในสายตาของผมก็เห็นว่าเธอเป็นคนดีเพราะผมรักเธอ เมื่อรักกันอะไรๆ ก็ดีทั้งนั้น ไม่ต้องเสียเวลาคอยดูกันนานๆ เราครองเรือนด้วยความเป็นอยู่อย่างสามีภรรยา ก็ราบรื่นตลอดมาจนเกิดพยานรักออกมา แต่ผมก็ต้องทำงานหนักขึ้นเป็นเงาตามตัวฐานะอย่างผมก็ตรงกับโบราณว่า มีลูกคนจนไป ๓ ปีคงไม่ผิด เมื่อก่อนผมหาเลี้ยงตัวเองคนเดียว อาหารไม่ต้องห่วงโรงครัวมีอยู่ทั่วไป หิวที่ไหนกินที่นั่น มีเงินหาอาหารได้เพียงข้าวแกงจานเดียวสองจานก็อิ่ม

แต่เมื่อมีครอบครัวแล้วทุกอย่างต้องขยาย การใช้จ่ายต้องเพิ่มขึ้น ค่าเช่าบ้าน ค่าข้าวสาร ค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าถ่าน ความเหน็ดเหนื่อยเวลาทำงานมากขึ้น เพราะต้องตื่นแต่เช้ามืด ขับสามล้อเครื่องออกจากบ้านตระเวนหารับคนโดยสาร กว่าจะกลับถึงบ้านก็มืดค่ำเวลาพักผ่อนมีน้อยเพื่อให้รายรับพอกับรายจ่าย จะทำเหมือนอยู่เป็นโสดไม่ได้ เพราะต้องเลี้ยงหลายปากหลายท้อง วันไหนได้เงินมากกว่าธรรมดาก็ซื้ออาหารพิเศษและขนมมาฝากเมีย ฝากลูก เพื่อความสุขในครอบครัว

ที่สุดเราก็เกิดพยานรักขึ้นมาอีกคนหนึ่ง การใช้จ่ายในครอบครัวมากขึ้นเพียงไร ผมก็ต้องเพิ่มเวลาหาเงินมากขึ้น บางคืนก็ต้องกลับบ้านถึง ๒ ยาม ตี ๑ สายตัวแทบจะขาด แต่ไม่เคยบ่น คิดว่าต้องกัดฟันทนเหมือนเราขี่เสือลงไปไม่ได้แล้วให้มันวิ่งต่อไป เพราะเป็นความประสงค์ของเราอยากหาความสุขในทางโลกเอง ไม่มีใครเขาใช้จะบ่นอะไรกับใคร ไม่มีใครชักจูงหลอกลวงให้เราผจญทุกข์ก็ต้องมีความอดทนต่อไป ใช้กรรมที่หลงผิดเป็นชอบจนกว่าจะถึงที่สุด เคราะห์ดีที่ครั้งเมื่อบวชเรียนผมได้ธรรมของพระพุทธเจ้ายึดถือเป็นหลักไว้คอยเตือนใจให้มีความอดทนให้ละความโกรธ และแผ่เมตตาธรรมให้อยู่ในศีล ๕

ฉะนั้น ผมจึงต้องผจญกับชีวิตต่อไป โดยไม่ย่อท้อและไม่เสียใจไม่ดีใจ มีจิตใจหนักแน่น นึกว่าคนเราอยู่ได้ด้วยทำงาน ความยากลำบาก ความผิดหวัง ความสมหวัง ความเสียใจ ความดีใจ นั้นเป็นมรดกที่มนุษย์แต่ละบุคคลเกิดมาในโลกหนีไม่พ้น จิตใจก็ปกติ เมื่อเอาธรรมเข้าช่วยความยากจนไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่าอับอาย เมื่อจิตใจเราบริสุทธิ์และไม่ได้เกียจคร้านไม่งอตีนงอมือ หากินในทางสุจริตหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวด้วยกำลังแรงงานและความอดทนพยายามได้เงินมาด้วยความบริสุทธิ์ผมต้องตื่นแต่มืดยังไม่สว่างดีก็ออกขับสมล้อเครื่อง กว่าจะกลับเข้าบ้านก็เวลาค่ำคืน ชีวิตของมนุษย์ยังมีกิเลสตัณหาอยู่เวียนว่ายตายเกิด ย่อมจะมีเหตุการณ์อย่างไม่นึกไม่ฝัน เกิดขึ้นได้เสมอทุกเวลา ผมก็ได้ประสบกับตัวเอง

ในวันหนึ่ง เมื่อขับสามล้อกลับเข้าบ้านแต่วันเพื่อจะเห็นหน้าลูกหน้าเมีย เพราะได้เงินรางวัล เนื่องจากได้นำกระเป๋าเอกสาร ที่คนโดยสารลืมไว้บนรถนำกลับไปคืนให้ผู้โดยสารที่บ้าน เจ้าของกระเป๋าเอกสารใจดีมอบเงินให้เป็นรางวัล เมื่อได้รับเงินจำนวนหนึ่ง มากสำหรับกรรมกรสามล้อเครื่องอย่างผมจะหาได้เป็นเดือนๆ วันนั้นจึงกลับเข้าบ้านเร็วกว่าธรรมดา เพราะดีใจที่ได้ลาภอย่างไม่เคยคิดมาก่อน และไม่ลืมจะหาซื้ออาหารและขนมและผลไม้ ที่ลูกและเมียชอบไปฝากเมียและลูก พร้อมกับจะไปแจ้งให้ทราบว่าได้เงินรางวัล

เมื่อผมโผล่เข้าไปในห้องบนบ้าน ได้ยินแต่เสียงลูกร้องไห้หาแม่ ทั้งสองคนต่างอยู่กันแต่ลำพังไม่พบแม่ของเด็ก ผมถามเด็กว่าแม่ไปไหนก็ไม่ได้เรื่อง ถามชาวบ้านใกล้เคียงก็ไม่มีใครรู้โชคดีที่ผมกลับบ้านแต่วัน มิฉะนั้น ลูกจะต้องถูกทิ้งไว้ให้อดข้าวอดน้ำกว่าจะถึงค่ำคืน ผมปลอบตัวเองว่าแม่เด็กคงจะไปธุระ ไม่ช้าไม่นานคงจะกลับมา แต่แล้วเวลาผ่านไปรุ่งขึ้นก็ยังไม่กลับ จึงนึกแน่ใจว่าเธอคงหนีไปกับชายชู้ นึกว่าดีเหมือนกันจะได้สุดสิ้นชีวิตผัวเมียเสียที เรามีเงินให้ความสุขเขาไม่เพียงพอ เขาจึงต้องหนีไปคงจะไม่มีวันกลับมาอีก ผมก็คิดว่าหญิงที่หนีผัวไปกับชู้เราก็ไม่ควรอาลัยอาวรณ์ เพราะหญิงที่ไม่รักผัว เมื่อจะอยู่กันต่อไปก็เป็นภัย ผมก็ตัดความอาลัยลงได้เป็นห่วงแต่ลูกยังเล็ก ไหนจะห่วงการอาชีพ ที่สุดก็ต้องฝากลูกไว้กับเพื่อนบ้านที่ใจดีรักเด็ก ช่วยดูแลเวลากลางวันเมื่อผมออกไปขับสามล้อเครื่องให้ค่าเลี้ยงดูเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่จะให้ได้เพื่อสนองน้ำใจดี

เวลาผ่านไปประมาณ ๖ เดือน แม่ของเด็กก็กลับมาหาผมที่บ้านอย่างคนโซไม่มีอะไรติดมา นอกจากมีท้องอ่อนๆ ประมาณ ๓ - ๔ เดือนติดมาด้วย แม้ผมจะได้รับความขมขื่นผะอืดผะอมเพียงไร แต่เมื่อเห็นเขาหนีร้อนมาพึ่งเย็นก็ไม่พูดอะไรให้เป็นการกระทบกระเทือนใจ เพราะคิดว่าชู้มันคงไม่เลี้ยง จึงได้บากหน้าซมซานมาหาลูกมาหาผัวเก่าที่เธอทิ้งไปอย่างไม่ใยดี คิดว่าเราให้ความสุขเขาไม่พอเขาก็หนีไป

หากไปอยู่ที่ใดเกิดรับทุกข์ไม่สบายใจยิ่งกว่าผัวเก่า ก็ต้องซมซานกลับมาเป็นธรรมดาของหญิงหลายใจ ตกลงไม่ว่าผมจะพอใจหรือไม่ผมก็ต้องรับเธอไว้ เพื่อเห็นแก่เด็กซึ่งไม่รู้เดียงสา ไม่อยากจะให้ขาดแม่ไปเมื่อยังเล็ก เมื่อเธอคลอดบุตรแล้วผมก็ต้องรับเลี้ยงเด็กไว้อีกหนึ่งคน แม้จะไม่ใช่ลูกของผมแต่ก็สงสารเด็กที่ไม่มีส่วนรับผิดชอบอะไร มันเป็นการกระทำของผู้ใหญ่ เมื่อคิดว่าเราจะต้องอยู่ร่วมกันต่อไปแล้ว ผมก็ไม่พูดอะไรให้เป็นที่แสลงสะเทือนความรู้สึก การทำผิดของเธอก็ประจานความรู้สึกอับอายชาวบ้านทรมานจิตใจเธอพอแล้ว การที่เธอกลับมาหาก็แสดงถึงความหมดหนทาง ยอมทนความอับอายบากหน้ากลับมาหาผมอีก ผมไม่ซ้ำเติมด้วยคำพูดและกิริยาให้เธอช้ำใจอีก เราจึงอยู่กันอย่างปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ชาวบ้านเขาจะว่าผมโง่เป็นควายเหมือนคนไม่มีหัวใจ ผมก็ไม่สนใจ เพราะมันเป็นเรื่องของชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนมนุษย์เรามีนิสัยแปลกๆ ไม่เหมือนกัน เช่น แม่ของเด็กคนนั้นครั้งแรกทำผิดไปแล้ว เมื่อกลับมาก็เล่าทั้งน้ำตาถึงความยากลำบากได้รับความขมขื่นทารุณจากชายชู้ จนไม่สามารถจะทนอยู่ต่อไปได้ที่สุดก็หนีกลับมาหาผม รับว่าคราวนี้เข็ดจนตายไม่ขอประพฤติชั่วเช่นนี้ และไม่ขอจากลูกจากผัวไปอีก ผมเองก็ไม่คิดอะไรมากขอเพียงให้ลูกอย่าขาดแม่ เพราะเด็กขาดแม่แล้วก็ว้าเหว่น่าสงสารและน่าเห็นใจ และเป็นปมด้อยของเด็กที่จะมีชีวิตต่อไป เพราะเป็นประวัติที่ไม่งามน่าอับอาย

มนุษย์ในโลกนี้มีหลายจำพวกที่ชั่วก็มีที่ดีก็มาก ความรู้สึกความประพฤติย่อมไม่เหมือนกันบางคนทำชั่วแล้วก็กลับตัวได้ เข็ดไม่ยอมกลับทำชั่วซ้ำสองอีก บางคนทำชั่วครั้งหนึ่งแล้วไม่รับความยากลำบาก พอสบายนานเข้าก็ลืมความยากลำบากกลับประพฤติชั่วอีก เห็นการทำชั่วเป็นธรรมดา เมื่อเคยทำมาแล้ว แต่สำหรับแม่ของเด็กเธอเข็ด แต่เพียงแรกๆ ต่อมานานๆ ก็ลืมตัว ผมเองก็หาเลี้ยงชีพด้วยการขับขี่สามล้ออาชีพตามเดิม ไม่ได้มีฐานะดีกว่าเดิม ต้องออกหากินแต่เช้ามืดกลับบ้านค่ำมืด เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น งานก็ต้องหนักขึ้น นี่เป็นชีวิตในทางโลกที่ผมมองเห็นเผินๆ ห่างๆ ว่ามีความสุขสนุกสนานตามความคิด แต่เมื่อเข้ามาผจญชีวิตจริงๆ แล้วก็เหมือนกระโจนเข้าสู่ในกองทุกข์ยากลำบากไม่สิ้นสุด

หลังจากนั้นเราอยู่กันเป็นปกติแรมปี อยู่มาคืนหนึ่งผมกลับจากขับสามล้อกลับบ้าน พอเข้าไปในบ้านทุกอย่างเงียบเชียบเหมือนป่าช้ามืดไม่มีแสงไฟ ไม่มีเสียงเด็กร้องเด็กเล่นกันสนุกสนานเหมือนทุกคืน ผมใจคอหายหมด เพราะในบ้านนั้นว่างเปล่า หัวใจผมแทบจะหยุด ผมงงหมดเห็นสภาพของบ้านก็นึกว่าคราวนี้เธอไม่ได้ไปคนเดียวขนเอาเด็กสามคนไปด้วย ทำให้ผมหมดความอดทน เลือดของความแค้นใจความเจ็บใจเกิดโทสะอันแรงพุ่งขึ้นมา ผมระงับไม่อยู่โกรธมากที่พวกมันพรากเอาเด็กไป

ผมโกรธจนตัวสั่น หญิงใจร้ายคนนี้ผมสามารถจะขยี้ให้ตายคามือผมได้เพราะความแค้น หลักธรรมที่ผมเคยปฏิบัติได้ผลอยู่นั้นต้านความรู้สึกโกรธแค้นของผมได้ไม่ไหว ได้ถูกทำลายหมดแล้ว คิดว่าคราวนี้กูจะล้างแค้นอีหญิงใจชั่วให้มันตายคามือถึงจะสมแค้น ผมลืมหลักศีลธรรมหมดแล้ว เพราะผมกำลังจะเป็นบ้า ผมเที่ยวถามชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่ามันพาเอาเด็กไปทางไหน ผมได้ขับสามล้อออกติดตามไม่เป็นอันจะหาเงิน ถ้าผมพบมันนางหญิงใจชั่ว ผมคงจะต้องเป็นผู้ต้องหาฆ่าคนตายแน่ ผมพยายามค้นหาในกรุงเทพฯ แทบจะพลิกแผ่นดิน ก็ไม่มีข่าวไม่มีวี่แววจะพบ ความคิดผมตันไปหมดมืดแปดด้าน ชีวิตผมหมดความหมาย ผมเริ่มดื่มเหล้าแก้กลุ้มแก้ความเสียใจ ผมกำลังจะเป็นคนดุร้ายจิตใจกำลังจะเหี้ยมโหดต้นเหตุเพราะหญิงชั่วมันทำลายผมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ผมพยายามตามหาทุกตรอกทุกซอกทุกมุม แต่ก็ไม่มีร่องรอยว่าจะพบ เย็นกลับมาก็ดื่มเหล้า ตามปกติผมไม่เคยดื่ม เมื่อดื่มแล้วก็เมานอนสลบไสลเช้าก็ต้องออกขับรถ ไปเที่ยวค้นหาใหม่ จนมีคุณป้าผู้ใจบุญอยู่ไม่ไกลจากบ้านของผมมากนัก ไม่สามารถจะทนดูผมที่เคยเป็นคนดีกำลังจะกลายเป็นคนชั่ว เกิดความสงสารจนทนไม่ไหวจึงแอบมากระซิบแกมสั่งสอนว่า

“พ่อทิดเคยบวชเคยเรียนมาแล้ว ทำไมไม่ทำจิตใจให้เป็นสมาธิเสียบ้าง พิจารณาถึงสิ่งดีสิ่งชั่ว ทำไมมาดื่มเหล้าเมายาย้อมใจด้วยของชั่ว กำลังจะเสียผู้เสียคนอย่างนี้ผิดหลักธรรม นึกถึงธรรมคำสั่งสอนให้ยึดไว้ปฏิบัติก็จะพ้นความชั่ว ลูกๆ เท่าที่ป้าทราบแม่เขานำเอาไปยกให้นายทหารที่เขารักเด็กหมดแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเด็กคงอยู่สุขสบายดี คงได้รับการศึกษาเล่าเรียน เพราะทราบว่าเป็นคนรักเด็กและไม่มีลูก”

เมื่อผมทราบข่าวเช่นนี้ก็ดีใจรีบถามป้าว่า นายทหารคนนั้นเขาอยู่ที่ไหน คุณป้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ป้าอยากจะขออะไรพ่อทิดสักอย่างหนึ่งได้ไหม ผมก็รีบรับปาก “ถ้าผมสามารถก็ยินดีให้คุณป้า”

คุณป้าแสดงความยินดีแล้วพูดว่า “ป้าขอให้พ่อทิดเลิกดื่มเหล้าเด็ดขาดเสียที รับปากกับป้าซิ ให้ป้าชื่นใจสักหน่อย”

ผมได้ยินเช่นนั้นก็ตัดใจเด็ดขาดแล้วตอบไปว่า “ครับผมจะเลิกดื่มเหล้าแต่วันนี้เป็นต้นไป”

คุณป้ายิ้มด้วยความดีใจแล้วพูดว่า “ป้าดีใจเหลือเกินที่พ่อทิดเลิกดื่มเหล้า ป้าก็ได้บุญกุศลด้วยที่พ่อทิดเชื่อป้า”

ผมกล่าวกับคุณป้าพร้อมทั้งพนมมือน้ำตาคลอแล้วพูดว่า “คุณป้าให้สติผม อยากให้ผมเป็นคนดี ผมหลงผิดคุณป้าจูงเข้าหาทางถูกเหมือนจูงผมออกจากที่มืดมาสู่แสงสว่าง ผมไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน ผมขอยึดคุณป้าเป็นที่เคารพนับถือ”

ผมกราบคุณป้าด้วยหัวใจจริงของผม เพราะนับถือว่าเป็นผู้ที่หวังดีต่อผม คุณป้าเองก็พูดเสียงสั่นๆ ว่า “พ่อคุณของป้า ขอให้พ่อเจริญๆ เถิด ป้าอยากจะให้ข้อคิดเพื่อเตือนให้พ่อทิดเคยศึกษาเล่าเรียนมาแล้วคงจะลืมเสียก็ได้ จงท่องจำไว้เป็นคาถาอย่าลืมว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ความดีย่อมชนะความชั่ว อโหสิกรรมย่อมจะเปลื้องความทุกข์ทางจิตใจ”

ผมกราบคุณป้าด้วยความเคารพอีกครั้งหนึ่ง แล้วพูดว่า “คุณป้าเตือนผมเหมาะกับเวลา เพราะผมหมดทางจะแก้ปัญหาตัวเอง ผมหมดสติเพราะประมาท ทั้งศีลธรรมความดีที่เคยปฏิบัติมาแล้ว ผมกำลังจะเป็นบ้าคิดว่าหากผมพบแม่ของเด็กแล้ว ผมจะฆ่ามันล้างแค้น แล้วผมจะฆ่าตัวเองให้ตายสุดสิ้นกันทีในชีวิตนี้ แต่บัดนี้ผมได้สติแล้วเพราะคำเตือนของคุณป้า หูตาของผมสว่างขึ้นเห็นความทุกข์ได้แจ่มแจ้ง ความสุขทางโลกที่เมามัวหลงใหลนั้นคือ ความทุกข์ ความสุขเกิดจากความสงบเป็นความสุขอันแท้จริง สูงกว่าความสุขใดๆ ในโลก จะหาได้ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า”

แต่ชะตาของผมต้องผจญต่อความทุกข์ทางโลกเสียก่อน จึงรู้คุณค่าของธรรมว่าเป็นสิ่งประเสริฐสุด ลาแล้วความสุขทางโลกีย์ที่มนุษย์หลงใหล

หลังจากนั้นผมก็รวบรวมของเท่าที่มีอยู่แจกจ่ายให้เพื่อนบ้านตามที่ควร กราบลาคุณป้าผู้ใจดีมีพระคุณเตือนสติและขอร้องให้คุณป้าช่วยสืบหาเด็กๆ ที่นายทหารรับไปเลี้ยงดูว่าอยู่ที่ไหน มีความสุขสบายดีหรือไม่ ใช้สติปัญญาพิจารณาดูมนุษย์เราทุกคนมีกรรมเป็นมรดกต้องชดใช้หนี้กรรมจนกว่าจะสิ้นสุด

บัดนี้ผมได้สุดสิ้นหนี้กรรมแล้ว จิตใจผ่องใสแล้วผมก็เดินทางจากพระนคร ซึ่งบัดนี้ผ่านไปเป็นอนาคตแห่งความหลังที่เคยหวานสดชื่น และขมขื่นพร้อมทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสไปสู่ต่างจังหวัด หาวัดที่เงียบสงบแล้วขอให้ท่านสมภารที่ผมเคยเคารพนับถือมาก่อน ช่วยให้ผมมีโอกาสเป็นสาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง

บัดนี้ ผมได้สละจากทางโลกกลับเข้าไปอยู่ทางธรรมแล้ว คราวนี้ผมมีจิตใจผ่องใสเพราะได้รู้ซึ้งถึงความทุกข์ทางโลก ไม่มีอะไรสงสัยอีกแล้ว ผมจึงเกิดเลื่อมใสศรัทธาด้วยใจจริง บัดนี้ผมบวชทั้งกายและทั้งใจ ผิดกับบวชครั้งแรก เพราะมองเห็นแล้วว่าความสุขใดจะเทียบเท่าความสุขทางสงบในธรรมนั้นไม่มี คำใดประเสริฐล้ำเลิศกว่าคำสอนในพระธรรมนั้นหาไม่ได้ ถ้าผู้ใดเรียนรู้แล้วปฏิบัติก็จะเกิดผลสงบสุขทางจิตใจและหลุดพ้นจากเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างไม่มีข้อสงสัย

บัดนี้ อาตมาได้กลับเข้าไปสู่ในร่มโพธิ์ของพระศาสนาแล้วอีกครั้งหนึ่ง อาตมาได้ผ่านทั้งทางโลกและทางธรรมมาแล้วและจะไม่ยอมเห็นผิดเป็นชอบอีกต่อไป



..................... เอวัง .....................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 1:30 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 21 ก.ค.2006, 4:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระพุทธองค์ทรงชี้ทางที่ประเสริฐ
ประพฤติธรรมนำจิตเลิศเกิดกุศล
มีหิริโอตตัปปะชนะตน
ผลมากล้นจิตพิสุทธิ์สู่พุทธภูมิ
สละโลกสู่ทางธรรมนำสุขให้
ในดวงใจแจ่มใสไม่ร้อนรุ่ม
ทั้งกิเลสตัณหาไม่เกาะกุม
ดั่งปทุมพ้นนทีหนีโคลนตรม

ท.เลียงพิบูลย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
ท้องฟ้า
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 4:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุโมทนาบุญค่ะ
 
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 03 ส.ค. 2006, 11:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สา.....ธุ ขอให้ท่านเจริญในธรรม ยิ่งๆ ขึ้นไปเทอญ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
ว่าที่ร.ต.ศุภเสฏฐ์ รวีภั
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 02 ก.ย. 2006, 5:37 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกสิ่งในโลกเป็นไปตามกรรม...กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาของบุคคล...มีกรรมต้องใช้กรรม...และไม่ควรเพิ่มกรรม..ในโลกใบนี้แก่ตนเองและผู้อื่น.**
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง