Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปรารภกับแขก (ก.เขาสวนหลวง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 30 ส.ค. 2006, 7:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ปรารภกับแขก
โดย ท่าน ก.เขาสวนหลวง

สำนักปฏิบัติธรรมเขาสวนหลวง จ.ราชบุรี
๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕



วันนี้เป็นวันที่เจ้าภาพได้มาบริจาคทาน การบริจาคทานเป็นการเสียสละ ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติธรรม สำหรับท่านเองก็มีจิตใจเป็นธรรมะอยู่แล้ว แล้วการเสียสละเพื่อธรรมะก็อย่างเดียวกันอีก ฉะนั้นเรื่องธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งของทุกรูปทุกนาม ถ้าไม่มีธรรมะเป็นเครื่องปกครองจิตใจแล้ว จะหาความสุขไม่ได้แน่นอนทีเดียว จึงต้องสนใจที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมะกัน ให้เป็นเครื่องรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมะนี่เป็นเครื่องดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน และทำให้เกิดพลังทางกาย หรือทางจิต สามารถที่จะดับทุกข์ ดับกิเลส ได้ตามลำดับ เพราะความรู้สึกของสติปัญญา มันมีอำนาจมาก สำหรับที่จะพิจารณาตัวเอง ทุกแง่ ทุกมุม ไม่ว่าจะเผชิญหน้าอยู่กับสิ่งอะไรจะต้องพิจารณาปลงตกปล่อยวาง ไม่มีการยึดมั่นถือมั่นจนเกินไปแล้ว ความสงบของจิตก็มีได้เอง แต่ถ้าเราไม่พิจารณา หรือปล่อยวาง จิตใจนี่จะวุ่นมากกว่าว่าง

โดยเฉพาะผู้ที่มีสติปัญญาเป็นเครื่องคุ้มครองจิตใจแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกิจการงานอะไรทั้งหมด ก็ทำเพื่อธรรมะเท่านั้นเอง เพราะว่าเรื่องของธรรมะนี่กระจายทั่วไป ในบรรดาเพื่อนร่วมทุกข์ทั้งหลาย ก็จะต้องรู้คุณค่าของธรรมะด้วยใจจริง เพราะเป็นเครื่องรู้ได้ว่า จิตใจของเรามีความสงบ มีความว่าง ไม่ว่าขณะไหน เรียกว่ามีธรรมะทุกขณะไปหมด ถ้าเรารู้จักรักษาจิตใจของเรา ให้ดำรงอยู่ในความสงบหรือความว่างตามสมควรแล้ว การได้อะไรก็ไม่ประเสริฐเท่า เพราะสิ่งที่ได้มาจากภายนอกนั้น ก็เป็นแต่เพียงอุปกรณ์ของการปฏิบัติเท่านั้นเอง ส่วนเนื้อแท้ของการปฏิบัติต้องอยู่ที่จิตใจทั้งหมด

ฉะนั้นจิตที่มีสติปัญญา พิจารณาให้เห็นโลกตามความเป็นจริงแล้ว ก็เรียกว่าอยู่ในโลก โดยความสงบไม่หลงโลก ไม่ติดโลก แต่เป็นการใช้ชีวิตจิตใจให้เป็นประโยชน์ ทั้งตนเองและทั้งคนอื่นได้ แล้วความเจริญของอายุ คือผู้ที่มีธรรมะต้องเจริญอายุบรรลุธรรมเรื่อยไป ทุกวัน ทุกเวลา จะเดินตามรอยของพระอรหันต์ ชนิดที่เราจะต้องคุ้มครองจิตใจของเรา ให้อยู่ในความสงบ วันหนึ่งคือหนึ่งเรื่อยไป เป็นการตามรอยของพระอรหันต์ได้ โดยเฉพาะ กาย วาจา จิต ก็จะมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องได้จริงๆ แล้วผลอันประเสริฐมันอยู่ที่นี่แท้ๆ ทีเดียว เพราะว่าเราไม่ได้มุ่งเอาผลภายนอก แต่มุ่งที่จะดับทุกข์ ดับกิเลสภายในจิตใจของเราเอง ให้ได้ผลดีขึ้นทุกวี่ทุกวันทุกเวลาไป และผลอย่างนี้เรามีเงินก็ซื้อใครไม่ได้ มันเป็นผลประเสริฐสุดอยู่ที่จิตใจ

เรื่องทุกข์ เรื่องกิเลสนี่เราก็รู้ฤทธิ์ รู้เดชด้วยกันทุกคน เราจึงต้องปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ ดับกิเลส ให้รวมจุดหมายอย่างเดียวกันทั้งหมด เพราะเป็นความรู้สึกด้วยใจจริงที่ได้มองเห็นคุณค่าของธรรมะในด้านจิตใจ มันมีรัศมีที่จะแผ่ออกไปได้ หรืออาจจะเรียกร้องให้คนอื่นมาดูได้ ว่าธรรมวินัยของพระศาสดามีความรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีปจริงๆ เพราะความสว่างด้วยสติปัญญาภายในจิตใจของเราเองเป็นเครื่องรู้ได้ และได้เห็นข้อเท็จจริงของอารมณ์ทั้งหลาย ที่เป็นเหยื่อโลกทุกๆ ชนิด จะรู้ได้ว่านี่มันไม่น่าหลงไม่น่าเพลิดเพลินเลย เรามีสติปัญญาจึงได้มองเห็นสิ่งที่มีค่าสูงสุดกว่าสิ่งใดๆ ในโลก สิ่งนั้นก็คือสภาวะจิตที่ว่างจากกิเลสนั่นเอง หรือว่าเป็นความสะอาด ความสงบ ก็อย่างเดียวกัน

ฉะนั้นเราจึงกำลังเผชิญหน้าอยู่กับธรรมะ แม้ว่าจะเป็นขั้นธรรมดาที่ยังทำกิจการงานประจำวัน ส่วนการปฏิบัติธรรมะในด้านจิตใจจะต้องมีได้ถึงกันหมด จึงจะทำให้ชีวิตประจำวันมีคามเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้ ก็เพราะธรรมะทั้งนั้น นอกจากนั้นก็ถือว่าเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้น แต่สิ่งที่เราต้องการก็คือ ต้องการเนื้อแท้ของธรรมะอย่างเดียว เพราะสิ่งที่เป็นของหลอก ของลวง ของปลอม เรารู้แล้ว เราก็ไม่หลง แม้เรากำลังใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ เราก็ใช้ในฐานะเป็นเครื่องอาศัย เพราะว่าสติปัญญาของเรามีพอที่จะคุ้มครองจิตใจให้เป็นอิสระได้ ให้มันว่างจากกิเลสให้ได้ เพราะยิ่งพิจารณามองดูโลก ที่กำลังลุกโพลงๆ อยู่ด้วยความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือว่าลุกโพลงๆ อยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ที่กำลังร้อนระอุอยู่ทั้งหมดก็ตาม แต่เราอยู่ในท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะว่าเรามีธรรมะนั่นเอง

ถ้าเราอยู่ในความว่างเปล่าหรือความสงบได้ ก็เรียกว่าเป็นการอยู่ในโลกด้วยความเป็นอิสระ แล้วก็เจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ เสร็จอยู่ในตัวเอง แม้จะไม่มีการอยากได้ อยากปรารถนา แต่สิ่งเหล่านี้มีขึ้นมาตามธรรมชาติของมัน เพราะสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย มันไม่มีฤทธิ์อำนาจอะไร ที่จะจูงใจให้ไปหลง ไปติด มันก็เลยเป็นทาสสำหรับให้เราใช้ จิตใจก็เป็นอิสระได้ด้วยเหตุนี้ ฉะนั้นการมีชีวิตอยู่ในโลก จะต้องอยู่อย่างมีอิสรเสรีให้มากที่สุดที่จะมากได้ โดยไม่ต้องไปหลงเหยื่อโลกทุกๆ ชนิด สำหรับผู้มีสติปัญญาแล้วจะต้องอ่านโลกออก เมื่ออ่านโลกออกแล้วก็ไม่ถูกหลอกนั่นเอง ไม่ว่าใคร ถ้ายังอ่านโลกไม่ออก ยังเห็นว่าเที่ยง สุขตัวตนแล้ว ก็จะถูกดึงไปสู่ความทุกข์นั่นเอง ถ้าอยู่ในโลก โดยไม่ติดโลก ไม่หลงโลก จะเป็นชีวิตที่มีอิสระได้ด้วยอาการอย่างนี้

ฉะนั้น ตามบรรดาท่านผู้รู้ทั้งหลายไม่ว่าใคร จะต้องอยู่ในโลกโดยความเป็นอิสระด้วยกันทั้งหมด ไม่เลือกว่าเป็นเพศไหน หรือแต่งเครื่องแบบอะไร เพราะสัมมาทิฏฐิมีความเห็นชอบตามทำนองครองธรรมแล้ว พวกมิจฉาทิฏฐิมันจะลบเลือนหายไปมีแต่ความเห็นชอบประกอบไปด้วยเหตุผล แล้วอะไรมันจะมาจูงไปได้ ที่จูงไปนี่ก็เพราะมิจฉาทิฏฐิคือความเห็นผิด เราก็สอบตัวเองได้ว่า ในขณะไหนที่มีความเห็นผิดไปยึดมั่น ถือมั่น อะไรขึ้นมา มันเป็นการรู้สึกได้ทันที แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิ มองเห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ไม่ยึดมั่น ถือมั่น อย่างนี้จะกลับตรงกันข้ามอยู่เรื่อยไป ถ้าเรามองดูโลกด้วยสติปัญญาแล้ว มีแต่ความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปเรื่อยทีเดียว ไม่ไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องวัตถุ ที่มันมีอย่างวิจิตรพิสดารอะไร มันล้วนแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้นเลย ไม่ต้องการอะไรมาก แล้วจิตใจของเรานั้นว่างมากกว่าวุ่น มันเย็นมันไม่ร้อนเร่าเศร้าหมอง เพราะธรรมะที่มีในจิตใจของท่านผู้ใดแล้วเป็นยาหอมชูกำลังขนาดเอกทีเดียว ที่ได้พิจารณาปล่อยไปวางไป จิตก็ว่าง ก็สงบได้ตามสมควร

ฉะนั้นการพบปะและได้ปรารภธรรมะกันนี้ นับว่ามีคุณค่าของการสนทนากันเพราะเราไม่ต้องการอย่างอื่น มีแต่จิตใจตรงกันในเรื่องของธรรมะ แล้วเห็นคุณเห็นประโยชน์ของธรรมะด้วยใจจริง เราจึงปรารภธรรมะสู่กันฟัง ถ้าแม้จะอยู่ไกล แต่ว่าใจที่มีธรรมะ ก็เหมือนอยู่ใกล้ๆ กัน โดยเฉพาะมีจิตใจร่วมกันในการกุศล ถึงจะมีความทุกข์อะไรเกิดขึ้น เราก็รู้จักพิจารณาปล่อยวางทุกข์ แล้วเราก็พ้นทุกข์ได้ มันพ้นทุกข์ได้ทันตาเห็น เพราะสติปัญญาของผู้มีธรรมะนี่ช่วยเหลือได้รอบข้าง ไม่เลือกกาลเลือกเวลาทั้งหมด ความอัศจรรย์จริงของธรรมจึงเป็นยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรจะเทียมเท่าเลย เป็นการทำให้จิตใจเปลี่ยนสภาพไป จากความเร่าร้อนมาเป็นเยือกเย็น จากความวุ่นมามีความว่าง แล้วก็มีความสงบ มีความสะอาด เป็นความบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ภายใน เหมือนกับเรามีพระขัดเงาอยู่องค์หนึ่ง เราหมั่นขัดอยู่เสมอ ทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน รอบรู้จิตใจของเราอยู่เป็นประจำ ทำให้เรามีพระขัดเงาที่น่าไหว้น่ากราบ ก็คือจิตใจของเราเอง

ฉะนั้นเรื่องพระนี่ต้องอยู่ข้างใน อยู่ภายในจิตใจแล้วจะคุ้มครองได้ทุกขณะไปหมด ไม่ว่าจะมีความทุกข์มา ในลักษณะอย่างไร พระในใจก็จะสงบได้ ว่างได้ เย็นได้ ถ้าเรามีพระในใจได้ทุกคนแล้ว ชีวิตของเราเกิดมาในเที่ยวนี้จะต้องประสบเข้ากับความพ้นทุกข์ และกว่ามันจะเด็ดขาดไปได้ เพราะเวลานี้เราจะต้องอดทนต่อสู้ไปก่อน ปล่อยวางเรื่อยๆ ไป แล้วหนทางที่จะข้ามฟากไปฝั่งข้างโน้น มันก็ใกล้จุดหมายปลายทางไปเอง เพราะมันต้องอดทนต่อสู้ทั้งนั้น ไม่ว่าอารมณ์ภายนอกภายในอะไรทั้งหมด เราต้องพยายามแล้วพยายามอีก ที่จะพิจารณาปล่อยวางมันให้ได้ เพื่อความเป็นอิสระภายในจิตใจของตนเอง

เพราะว่าเราไม่ต้องการสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เราเชื่อแน่แก่ใจของเราเองโดยที่ไม่ต้องเชื่อตามใครเลย เพราะสติปัญญาที่ได้พิจารณาเห็นความจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน นี่มองทะลุไปหมด มองทะลุโลกโดยความเป็นของว่างไปเลย แม้จะต้องเผชิญหน้าอยู่กับอารมณ์ ที่เป็นเครื่องยั่วยวนกวนใจสักเท่าไรก็ต้องพยายามมองทะลุมันให้ได้ ปล่อยวางมันให้ได้ มันไม่มีอะไร ทุกๆ ขณะที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง มันก็สักแต่ฟัง แต่ในที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร มันดับไปหมดจริงๆ ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ก็คือจิตว่าง จิตสงบ ที่เผชิญหน้าอยู่นี่ ถ้าเรารู้จักจิตใจของเราเอง ในลักษณะมีความว่าง ความสงบ อยู่ในตัวเองแล้ว เราจะเดินตามรอยของพระอรหันต์ถูกต้องอยู่ในตัวของเราทั้งหมดเลย

ฉะนั้นเราพยายามกันอย่างนี้ดีกว่าว่าเราจะไปเดินตามใครไม่ได้ เพราะคนก็ยังมีกิเลสอยู่ทั้งนั้น ควรเดินตามพระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลสดีกว่า เราก็จะมีการดับทุกข์ดับกิเลสได้ เดินตามรอยของพระอรหันต์อย่างเดียวกัน มีธรรมะเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอย่างเดียวกัน แล้วก็ไม่ใช่เรื่องข้างนอกเลย มันเรื่องข้างในแท้ๆ ทีเดียว เพราะฉะนั้นบรรดาพี่น้องในธรรม ที่ได้มีความรู้ความเห็นตรงกันในเรื่องของธรรมะ มีการปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระศาสดาร่วมกัน การมีชีวิตอยู่ในโลกต้องรู้สึกได้ด้วยตนเองว่า จิตใจที่มันเหนือทุกข์ได้นั้นมันไม่หมกมุ่นวุ่นวายไปกับทุกข์ ก็จะต้องรู้แล้วว่า นี่เป็นการถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยตนเองจริงๆ เพราะว่าไม่ต้องการเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย มีที่พึ่ง มีเกาะ มีฝั่งอยู่ ภายในจิตใจเสร็จไปเลย

ฉะนั้น เรื่องเปลือกๆ นี่เราก็อาศัยมันไปชั่วคราวเท่านั้นเอง แล้วในที่สุดก็ทิ้งหมดไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์กับมันอีกแล้ว ข้อสำคัญก็คือต้องซักฟอกจิตให้มันขาวให้ได้ ถึงแม้มันจะสกปรกอยู่กับสิ่งอะไร เราหมั่นซักฟอกมันก็สะอาด แล้วมันก็บริสุทธิ์ไปเรื่อยๆ เพราะไม่ใช่เรื่องจะไปต้องการอะไรที่ไหน การที่จะมองย้อนเข้ามาหาจิตใจของเราเองทุกๆ ขณะนั้น ให้มองรู้จักลักษณะของจิต ที่มันมีความว่าง ความสงบภายในตัวเองได้ แล้วก็ต้องรู้ได้ด้วยตนเองว่า การมองสิ่งอื่นๆ มันไม่มีประโยชน์อะไร สมมุติว่าเขาจะสร้างโลกภายนอกให้วิจิตรพิสดารไปเท่าไรๆ มันไม่มีคุณค่าอะไรที่จะไปมองวัตถุภายนอก

ทีนี้ถ้าเรามองทะลุเข้ามาภัยในจิตใจของเรา ว่ามีลักษณะว่างอย่างนี้เอง สงบอยู่อย่างนี้เอง ถ้ารู้ด้วยสติปัญญาของเราแล้ว ก็ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ภายในจิตใจของเราเองทั้งหมด แล้วก็มีการคุ้มครองตัวเองให้เป็นอิสระได้แล้วอย่างนี่จะไปหาที่พึ่งที่ไหน เพราะผู้ถึงที่พึ่งข้างในแล้ว มันหมดที่พึ่งภายนอกไปเอง ถายังไม่ถึงที่พึ่งภายใน ก็ต้องแสวงหาที่พึ่งภายนอก ฉะนั้นมันจึงเป็นของหลอกๆ อยู่ แต่ถ้าเรารู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีสาระอะไร ต้องทิ้งหมด ต้องปล่อยหมด ต้องวางหมด เราก็มีที่พึ่งขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องไปยึดถือ มันเป็นปัจจัตตังอย่างนี้ เพราะพระธรรมนี้ต้องรู้ได้ด้วยตนเองไม่ว่าใคร แต่มันต้องรู้ได้ด้วยสติปัญญาเท่านั้น

การรู้จักการศึกษาตามตำรานั้นอย่างหนึ่ง แล้วก็นำมาประพฤติปฏิบัติ จนเห็นผลประจักษ์ด้วยใจจริงนี้เป็นขั้นที่ทำให้ดับทุกข์ดับโทษได้ แล้วมีแต่จะก้าวหน้าไปฝั่งโน้นเรื่อยไป เพราะว่าฝั่งนี้มันทุกข์นักทุกข์หนา ร้อนแล้วร้อนอีกวุ่นวายกันมากนัก ฉะนั้นเราจึงต้องพากเพียรพยายามที่จะว่ายข้างฟากไป แม้มันจะต้องทวนกระแสคลื่นลมอะไรบ้าง ก็ต้องใช้กำลังทั้งหมดว่ายข้ามกระแส เพื่อตามรอยของพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านต้องฝ่าคลื่นลมไปเพื่อให้ทะลุถึงฝั่งโน้น ทีนี้เราก็ต้องตามรอยของท่าน เพราะถ้าเราไม่ได้ตามรอยของพระอรหันต์แล้ว เราจะต้องจมอยู่ในฝั่งนี้ และต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏสงสารไม่มีที่สิ้นสุดได้

ฉะนั้นในชาติปัจจุบันนี้ เราต้องพยายามพิจารณาปล่อยวางเรื่อยไป โดยที่ไม่ต้องไปรอเอาข้างหน้า ข้างโน้น เอาแต่เรื่องปล่อยวาง มันจะได้เป็นการใกล้ฝั่งโน้นเข้าไปจะได้ออกห่างจากโลกีย์ข้ามไปสู่โลกุตตระ แม้ว่าเราจะไม่เอาชื่อมาเรียก แต่ว่าจิตใจของเรานี้ เบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปเรื่อยๆ แล้วนั่นแหละเป็นรัศมีของการมองเห็นฝั่งข้างโน้นขึ้นมาแล้ว เพราะทุกครั้งทุกคราวที่เบื่อหน่ายคลายกำหนัดออกไปนั้น นี่มันได้ฟอกออกไปแล้ว มันคลายจากเครื่องย้อมไปแล้ว แม้ว่ายังไม่หมดจดสิ้นเชิง แต่ว่ามันคลายออกๆ เรื่อยไปทีเดียว ซักฟอกจิตใจให้บริสุทธิ์ผุดผ่องเรื่อยไป

แล้วนี่มันเป็นทางๆ เดียวจริงๆ ไม่มีทางอื่นใดที่จะพ้นไปได้เลยจากสังสารวัฏนี้ จะต้องซักฟอกตัวเอง ใช้สติปัญญาของตัวเอง น้อมนำเอาธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า มาพินิจพิจารณาเรื่อยไป ทำตั้งแต่ขึ้นต้นจนถึงขึ้นสุด ก็ล้วนแต่พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็ปล่อยวางไป ปล่อยวางไปเรื่อยๆ ทีนี้เมื่อเราเดินถูกทางมันเป็นไปเอง เราจะไม่ตั้งใจไป มันก็ไปได้เอง เพราะว่าที่ปล่อยวางเรื่อยๆ นี่เอง มันจึงก้าวหน้าไปเองได้ เป็นความอัศจรรย์ของธรรมะอย่างนี้เสียด้วย เพราะว่าเรื่องการพิจารณาให้รู้ความจริงแล้วปล่อยวางได้ เราจะสืบทราบได้ว่าจิตใจนี่มันไม่มีความโลภ คือ มันไม่ได้คับอกคับใจอะไรเลย มันเปิดโล่ง มันโล่ง มันโล่งอกโล่งใจ ถ้าเราพบเข้ากับภาวะของจิตที่มันว่าง มันโปร่ง มันโล่ง แล้วก็นั่นแหละจะต้องก้าวไปเอง เพราะความชุลมุนวุ่นวายนี่มันทนไม่ไหวเสียแล้ว

ฉะนั้นต้องปล่อยวางให้มันโล่ง ให้มันว่างไปให้ได้ แล้วก็เป็นทางๆ เดียวด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าใคร ถ้ามีการสอบเข้ามาด้านในแล้ว จะต้องรู้จักจิตใจด้วยกันทุกคน เพราะจิตใจที่มีกิเลส ตัณหา อุปาทาน แผดเผา หรือหุ้มห่อนี่ มันทุกข์นัก มันร้อนนัก ทีนี้จะต้องดับ ต้องพิจารณาดับมัน ปล่อยมัน วางมัน แล้วข้อปฏิบัติอย่างนี้ ก็ไม่ใช่ของเหลือวิสัยอะไรเลย แต่ว่าเราต้องสนใจพิจารณาปล่อยวางให้ยิ่งอยู่เสมอ แล้วไม่ต้องเอาอะไรมาก ให้อยู่ในขบวนนี้ทั้งหมด เป็นยาอายุวัฒนะอยู่ในตัวเสร็จ เพราะว่าการคุ้มครองจิตใจให้เป็นอิสรเสรีนั้น มันมีอยู่ได้อย่างนี้จริงๆ แต่ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้แล้ว มันก็มีแต่พ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา พญามาร ทุกอารมณ์ทุกชนิดหมด ที่มันจะมาล่อมาหลอก ทีนี้มันหลอกได้แต่คนโง่ๆ หลงๆ ส่วนคนที่ฉลาดมีสติปัญญานั้น มารมันมาหลอกไม่ได้ ถึงมันจะมาหลอกก็รู้ เพราะรู้นี่เองจึงได้ทำการสละปล่อยวางออกไป แล้วทำให้จิตมีความสะอาดสว่างไสว หรือแจ่มใสขึ้นมาได้ทุกขณะหมด

ถ้าเราหมั่นพิจารณา หมั่นสอดส่องมองเข้าในให้อยู่ในภาวะที่สงบนิ่ง อยู่นิ่งๆ เมื่ออารมณ์อะไรที่มันเกิดดับผ่านไป ผ่านมานั้น เป็นไปตามเรื่องของเขา จิตนี้อยู่ในลักษณะนิ่งๆ อย่าให้มันวิ่ง อย่าให้มันวุ่นไป อย่างนี้แล้ว จะพบพระได้ในตัวของตัวเองอยู่ที่นิ่งๆ ที่สงบๆ ที่ว่างๆ เป็นการหยุดหมด หยุดอยู่ในตัวเอง รู้ตัวเอง จนกระทั่งมีการแทงตลอดอยู่ในตัวของตัวเอง ว่าตัวเองนี้ไม่มี มีแต่ธรรมเท่านั้น นี่ยิ่งมองเข้าไปดูในภาวะ ความหยุด ความสงบ ความนิ่งแล้ว มันไม่มีเป็นตัวเป็นตนเลย เป็นแต่ธรรมชาติ ทีนี้ข้อสำคัญว่าเรายังมองเข้าไปไม่ถึง หรือมองเข้าไปไม่ชัดเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นต้องหัดมอง มองมันอยู่เรื่อยๆ ถ้าเผลอสติออกไปมองข้างนอก พอมีสติก็กลับมามองที่จิต อยู่ในลักษณะอย่างนี้ เราจะสืบทราบได้ที่จิตของเราเอง ทั้งที่เราจะต้องรอบรู้กิเลส ตัณหา ทั้งปวงที่จะเข้ามาปรุงแต่งจิตอยู่ในลักษณะอย่างไร ต้องพิจารณามัน ดับมันให้ได้ ปล่อยมันให้ได้ วางมันให้ได้ แล้วนี่เราจะมีชัยชนะประจำวันเรื่อยไป เป็นการสร้างบารมีประจำวัน เพราะมันไม่ต้องไปสร้างบารมีเพื่อตายแล้วเกิดอีก แล้วใครจะไปจำได้

ทีนี้การสร้างบารมีอยู่ทุกอิริยาบถทุกขณะนี้ ถ้าเผลอสติไปก็กลับมารู้ใหม่ เผลอไปกลับมารู้ใหม่ เผลอไปยึดถืออะไรขึ้นมา พอรู้ก็ปล่อยวาง ทำกันอยู่อย่างนี้ ย้ำกันอยู่อย่างนี้ แล้วบารมีจะเป็นไปเอง จะมีสติปัญญาพอที่จะทำลายกิเลส ตัณหา อุปาทานให้อ่อนกำลังไปทุกวี่ทุกวัน ทุกขณะไปทีเดียว แล้วเราก็อบรมอยู่อย่างนี้ไม่ใช่เป็นการเหลือวิสัยเลย ไม่ว่ากายนี้จะทำการงานหรืออะไรก็ทำไปตามหน้าที่ แล้วจิตก็รู้จิตอยู่เรื่อย อยู่ในลักษณะเป็นอิสระอยู่ในตัว ไม่ให้อารมณ์มันมาดึงดูดเอาไปเป็นการรู้เท่าทันต่ออารมณ์ทุกๆ ขณะ แล้วนี่ธรรมะก็คุ้มครองอยู่ในใจ หรือว่าใจก็เป็นธรรมะเสียเอง มันว่างเอง มันสงบเองก็ได้

แต่ว่าต้องกวาดพวกนี้ทิ้ง อย่าให้มันไปยึดถือเอามา อย่าให้มันไปเก็บเอามา คอยกวาดทิ้งเอาไว้ แล้วใจมันก็โล่ง มันก็ว่างเรื่อยไป อย่างนี้เราจะไม่น่ารู้จักจิตใจของเราเองอย่างไรได้ เพราะว่ามันรู้ได้จริงๆ ไม่ว่าใคร สืบทราบได้เดี๋ยวนี้ และเดี๋ยวนี้ยังไม่มีกิเลส ใจยังว่าง ยังสงบอยู่ เพราะว่าธรรมะนี้ไม่ใช่ของเหลือวิสัยที่จะรู้ไม่ได้ ถ้ารู้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ไม่ทรงประกาศสัจธรรม เพราะเป็นความจริงที่เราจะรู้กันได้ ถ้ามองเข้าข้างในแล้วก็ต้องเห็นได้ ทั้งรู้ทั้งเห็น ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อย่างไรดูมัน ปล่อยมัน วางมัน แล้วจิตมันจะว่าง จะสงบได้ มันจะเป็นอิสระได้อย่างแท้จริงทีเดียว

ที่สุดนี้ฉันโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่งทีเดียว ถึงแม้จะไม่มีข้าวมีของมาเลย ก็ยินดีมากที่พวกท่านสนใจธรรมะกัน ขอให้ใจนี้มีธรรมะ และขอให้ธรรมะนี้จงคุ้มครองจิตใจของคุณให้ได้ตลอดไป

ฉะนั้น ขอให้ท่านที่เป็นญาติมิตรในทางธรรม ที่มีความตั้งอกตั้งใจมาก็เพื่อธรรมะ ขอให้ธรรมะที่มีอยู่ในจิตในใจของท่านแล้วนั้น เป็นการเจริญอายุบรรลุธรรมตลอดไปทีเดียว และทุกๆ ขณะท่านจะต้องมีธรรมะเป็นเครื่องเจริญอายุบรรลุธรรมถึงความสะอาด สว่าง สงบ ทุกๆ ขณะเทอญ



.................................................

คัดลอกมาจาก ::
http://www.dharma-gateway.com/
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง