Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ท่องไปในโลกแห่งวิญญาณ โดย อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 19 ส.ค. 2004, 9:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



22472247.jpg






"ท่องไปในโลกแห่งวิญญาณ" โดย อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ

เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของ อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ

ขณะเป็นพระภิกษุสามเณรและเหตุการณ์ในปัจจุบัน

ซึ่งขณะนี้ได้ลาสิกขามานานนับสิบปีแล้ว






ธรรมชาติ คืนวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ เมื่อข้าพเจ้ามาปรากฏตัวอยู่ที่ใดไม่ทราบ หันไปด้านขวามี "อุบาสิกาประไพ" ผู้ล่วงลับไปแล้วยืนอยู่ข้างๆ ท่านชวนข้าพเจ้าให้เดินตามไป ท่านบอกว่าอยากพาไปชมวิมานของตนเอง หนทางที่เดินไปนั้นคล้ายขึ้นสู่เนินเขา เป็นการเดินที่ยากมาก แถมรู้สึกว่าเหมือนเดินขึ้นไปเรื่อยๆ



ขณะที่เดินนั้นจึงถามอุบาสิกาประไพว่า..... "ทำไมท่านจึงแต่งสีเขียว ไม่แต่งสีขาวเหมือนตอนท่านมีชีวิตอยู่ " ถามท่านอยู่ในใจนั่นเอง ไม่ได้เอ่ยปากหรือเผยอปากแต่อย่างใด แต่กลับมีเสียงปรากฏขึ้นแปลกมากเหลือเกิน ท่านยิ้ม พลางตอบในใจไม่เปล่งเสียงเหมือนข้าพเจ้านั่นแหละ..... "สถานที่นี้แต่งสีเขียวอย่างนี้แหละ ไม่เหมือนเมืองมนุษย์ที่แต่งสีขาว" แล้วท่านก็พาวกอ้อมมาเชิงเขาแห่งหนึ่ง



พอมองเห็นทิวเขาเบื้องล่างสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวไม้ดูสลับซับซ้อนทอดยาวสวยงาม มีสีประกายทองทอดยาวเหนือทิวเขานั้น สลับกับรุ้งเจ็ดสี เหมือนคราฝนตกใหม่ๆ ดูสวยจับตาแทบไม่อยากวางสายตาเลย อุบาสิกาเห็นข้าพเจ้าจะช้าไปจึงพาเดินต่อ พลางอธิบายไปว่า..... วิมานข้างหน้านี้คือของข้าพเจ้า คล้ายบ้านทรงไทย ด้านข้างมีลำธารไหลรินไปเรื่อยๆ ประดับประดาด้วยพรรณดอกไม้นานาประการ



พอเดินถัดไปเป็นของอุบาสิกาประไพ ท่านชี้ไปข้างบนเป็นของอุบาสิกาแก่ท่านหนึ่ง ส่วนที่เห็นอยู่บนยอดเขาเป็นคล้ายศาลาแต่เป็นแก้วสุกสว่างใสเปล่งประกายอยู่ ท่ามกลางศาลาแก้วนั้น มีพระภิกษุชราอายุมากกว่าร้อยปี แต่ผิวพรรณเปล่งปลั่งสว่างไสว ท่านกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่..... “มาเถอะเข้ามาในวิมานของแม่ประไพก่อน” เมื่อท่านพูดจบ พลางจูงมือข้าพเจ้าเข้าไปข้างใน ภายในที่พักของท่านนั้นเรียบง่าย คล้ายพื้นไม้ขัดมัน ไม่มีสิ่งใดตั้งไว้ เหมือนดังบ้านในโลกมนุษย์ แต่ดูโปร่งโล่งสบาย



เมื่ออุบาสิกาประไพเห็นข้าพเจ้า พักพอสบาย ท่านจึงกล่าวว่า..... "ที่ชวนมานั้น อยากให้ปฏิบัติให้สูงไปกว่าภพที่เห็นนี้ ในเมื่อมีโอกาส อยากให้พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบตัวว่า มันเป็นสักว่า ธรรมชาติ มีอันเป็นธรรมดา อย่ายึดติดกับสิ่งทั้งหลายเลย เพื่อความสูงไปเรื่อยๆ ไม่อยู่เพียงเท่านี้"



ข้าพเจ้าจึงถามว่า..... “นี้หมายความอะไร ข้าพเจ้าจะมีอายุไม่นานหรือ แล้วลูกของข้าพเจ้าล่ะ" ท่านไม่ตอบเรื่องอายุของข้าพเจ้า แต่ตอบว่า "เรื่องลูกนั้น ทุกอย่างก็จะเป็นไปเองตามธรรมดาของมนุษย์ ไม่ต้องกังวลสิ่งใด ควรตั้งหน้าปฏิบัติเพื่อความสูงขึ้นไปเถอะ ทางที่ดีในพรรษาควรถือศีลแปด เจริญสมาธิดีกว่า เมื่อถึงเวลาแม่จะมารับ"



เมื่อกล่าวจบท่านก็บอกว่าจะต้องมาคอยรับท่านหนึ่งซึ่งใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้าพเจ้าจึงรีบถามท่านว่า หมายถึงแม่ของข้าพเจ้าที่นอนอยู่ที่บ้านหรือเปล่า ท่านรีบตอบทันทีว่า "ไม่เกี่ยวกัน" ข้าพเจ้าจึงได้เวลาจากท่านมา มารู้สึกตัวตอน ๖ โมงเช้าครึ่ง





(มีต่อ)



 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 19 ส.ค. 2004, 9:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





วิญญาณพระวัดดังตามทวงบน





พ.ศ. ๒๕๔๑ หลังจากคุณกนกภรณ์ให้กำเนิดเด็กทารกเพศชาย พร้อมกับเริ่มมีบริวารทางโลกตามมาพร้อมกับเด็กชายนั้น เราได้ย้ายจากกรุงเทพฯ มาอยู่ชานเมืองโดยได้ซื้อบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง ประกอบกับงานด้านก่อสร้างเริ่มมากขึ้น มีช่างที่ยินดีทำงานให้อย่างไม่คิดชีวิต มีอยู่วันหนึ่งคุณกนกภรณ์บอกว่า ขณะตั้งครรภ์เธอวิตกกังวลว่าเด็กในท้องจะพิการ จึงได้จุดธูปอธิษฐานหันหน้าไปยังวัดแห่งหนึ่งชื่อดังในจังหวัดฉะเชิงเทรา "ถ้าลูกออกมาแล้ว มีอวัยวะครบ จะขอไปแก้บนด้วยไข่"



เธอเล่าให้ฟังในภายหลังเมื่อย้ายมาอยู่ชานเมืองแล้ว เราก็ได้แต่ฟังมิได้ตำหนิสิ่งใด จนมาระยะหนึ่งเด็กมีอายุ ๒ ขวบกว่ายังไม่ยอมพูด จึงอธิษฐานขอรู้สาเหตุว่าเพราะอะไร คืนวันหนึ่งขณะเจริญอานาปานสติจนกายดับไป ได้ไปปรากฏ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เห็นพระ ๒ รูป นำจีวรมาคลุมกายบุตรชายไว้จนเหงื่อกาฬไหลไปหมด เมื่อจากกายหลับจึงได้นึกขึ้นได้ว่าคุณกนกภรณ์เธอบนกับพระไว้ จึงบอกให้เธอเตรียมของในวันรุ่งขึ้นจะพาเธอไป



พอตกกลางคืนเจริญอานาปานสติ จนกายทิพย์เคลื่อนออกไป แต่ไปปรากฏว่าได้ไปลอยอยู่บนเมฆทิพย์ ลอยอยู่สักพักหนึ่งก็มาหยุดเหนือศาลาหอฉันแบบทรงไทยโบราณ ที่ข้างนอกศาลาหอฉันนั้นมีชานนั่งพัก บริเวณนั้นมีพระนุ่งห่มจีวรสีเหลืองนั่งอยู่เต็มไปหมด มีขรัวตานั่งอยู่ในท่ามกลางมองเห็นแต่ไกล เมื่อเราลอยมาใกล้บริเวณที่พระทั้งหลายนั่งอยู่ จิตได้โพลงรู้ขึ้นว่า ที่นี่คือวัดแห่งนั้นที่จะมา ขณะปรารภว่าช่างไม่เหมือนจริงกับที่เป็นอยู่ปัจจุบันเลย



ขณะปรารภอยู่นั้นมีพระภิกษุ ๒ รูปเหาะลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เราจึงเหาะลอยไปยังที่อื่น ไม่ว่าเราจะลอยไปยังกลุ่มเมฆใดเขายังคงลอยตามอยู่เช่นนั้น ไม่ยอมลดละจนเราได้สติว่า ผู้นิ่งย่อมสยบผู้เคลื่อนไหว เราจึงได้หยุด เขาทั้งสองได้มาขนาบข้างเราพาลอยกลับมายังที่นั้น เรานึกพลางในใจว่า อยากจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อเราผู้เพ่งเพียร



เมื่อลอยมาถึงเหนือหอฉันพระภิกษุทั้งหมดที่นั่งอยู่ในที่นั้น ล้วนนั่งนิ่งไม่ไหวติง จนลอยอยู่เป็นเวลานานเห็นไม่ทำอะไรสักทีจึงอธิษฐานจิตกลับ….. น่าสังเวชหนอ เมื่อมีชีวิตอยู่ชอบหากินโดยอาศัยพระศาสนาเมื่อตายยังต้องคอยอาศัยการเซ่นสรวงบูชาอยู่มิเว้นวาย เมื่อเราไปทำการให้ทานที่วัดนั้น ต่อมาจน ๓ ขวบเธอก็พูดได้แต่ช้าหน่อยนั่นเอง





ที่มา : http://www.geocities.com/gaytiplokvilyan









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง