Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 น้ำตาอาลัย โดย อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2004, 10:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน







น้ำตาอาลัย โดย อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ

เขียนขึ้นจากประสบการณ์ของ อ.กอบเกียรติ คุ่ยสมใจ

ขณะเป็นพระภิกษุสามเณรและเหตุการณ์ในปัจจุบัน

ซึ่งขณะนี้ได้ลาสิกขามานานนับสิบปีแล้ว






เมื่อเดินกลับมาจากวัดเขาถ้ำบุญนาคแล้ว พอตกค่ำได้บอกกับแม่ว่า ผมจะขอบวชเณรสัก ๓ เดือนเพื่อเป็นเพื่อนกับพี่ชายตอนมาบวชพระภิกษุหลังสอบปลายเทอม ผมจะคอยปรนนิบัติพี่ชายในระหว่าง ๓ เดือนนั้น ขอให้แม่เตรียมเงินเพื่อเช่าจีวรจากวัดสว่างวงษ์ แต่ก่อนไปบวชผมจะขนปลากัดที่พ่อเพาะพันธุ์ไปปล่อย



ขอพ่ออนุญาตเพื่อตามใจลูกคนเล็กด้วย ซึ่งพ่อเกิดใจดีแต่มีข้อแม้ว่าจะต้องแบกโอ่งที่เลี้ยงไปทิ้งด้วย ซึ่งผมยินดีจะทำตามนั้น ซึ่งกว่าจะแบกหมดช่างยากเย็นเสียนี่กระไร มีกว่า ๑๐ โอ่ง แต่อยากบอกพ่อและแม่ว่า คงจะไม่ได้อยู่ทำอะไรเช่นนี้ที่บ้านนี้อีกต่อไปแล้ว ไม่กล้าที่จะพูดเช่นนั้น เพราะถ้าขืนบอกเช่นนั้นพ่อและแม่คงไม่อนุญาตให้บวชอย่างแน่นอน



วันนั้นมาถึงแล้ว แม่ถามว่าจะบวชได้หรือ เณรต้องไม่กินข้าวเย็น แต่ลูกชอบทานอะไรสารพัดที่แม่จัดสรรมาให้ ได้บอกกับแม่ว่าผมต้องทำให้ได้ แม่มาส่งบวชเณรกับหลวงปู่บก ที่วัดสว่างวงษ์ ท่านจัดจีวรให้พอห่มจีวร พลางนึกในใจว่า.....



เอ๊ะสีจีวรช่างเหลืองต๋อย ไม่ใช่สีของเราแน่นอน แต่จะทำอย่างไรได้ท่านอุปัชฌาย์มอบให้อย่างนี้ เมื่อบวชเสร็จได้แยกกับแม่ที่หน้าวัดและออกเดินทางมาวัดเขาถ้ำบุญนาคแต่เพียงลำพัง พลางตั้งปณิธานว่า เราเป็นสามเณรจะขอเคร่งครัดตามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และจะขอออกธุดงค์ให้ได้ เราจะไม่สวมใส่รองเท้าแต่บัดนี้



เมื่อมาถึงวัดเขาถ้ำบุญนาคแล้ว ได้เข้ากราบหลวงพ่อสมบูรณ์ ท่านเจ้าอาวาส ท่านเป็นพระรูปร่างเล็ก เดินคล่องแคล่ว เสียงดังจากหัววัดถึงท้ายวัด ท่านให้อยู่กุฏิหน้าวัดกับหลวงตาน่วม พอตอนเช้าออกบิณฑบาตไม่สวมใส่รองเท้าจริงๆ ต้องผ่านภูเขาระเบิดช่างปวดเจ็บเหลือเกิน



เพราะผิวเท้าของเรายังบางอยู่นั่นเอง กว่าจะถึงบ้านได้ระยะทาง ๕ กม.ได้บาตรประจำตัว ๑ ลูก ข้างในก็เต็มไปด้วยสนิม แต่ก่อนออกมาหลวงตาให้เช็ดให้สะอาด ใช้เทียนไขลนกันสนิมและห่มจีวรให้ เป็นการห่มดอง มัดอย่างแน่นหนาเพราะเกรงว่าถ้าเกิดหลุดกลางทางจะทำอย่างไร



หลวงตาน่วมบอกว่า อุ้มบาตรต้องให้แน่นมือซ้ายอุ้มอยู่ข้างล่าง มือขวาเปิดบาตร อย่าให้บาตรหรือฝาบาตรหล่นหน้าบ้านโยมเด็ดขาด เพราะเขาถือมาก ถ้าไปหล่นที่บ้านโยมท่านใด ต้องไปยืนเขย่งขาข้างเดียวสวดมนต์ (สงสัยเป็นคำขู่ให้พระเณรใหม่ระวัง) การได้รับอาหารจากญาติโยมในทางพระพุทธศาสนานั้น แท้ที่จริงคือการขออาหาร (ขอทาน)



แต่การขอนั้นพระพุทธองค์มุ่งหวังให้พระภิกษุสามเณรผู้รับทานมา ได้นำอาหารนั้นเพื่อ แสวงหาโมกขธรรม คือสะดวกที่ไม่ต้องแสวงหาอาหารด้วยการทำงาน เพราะการทำงานของฆราวาส มิใช่เพียงเพื่ออาหารอย่างเดียว ยังต้องประคับประคองเครื่องอุปโภคบริโภคมิให้กระจัดกระจายไป และถ้าเกิดมีความรักกับใครก็ต้องแสวงหาทรัพย์เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมของคนที่รักสุขสบาย มิฉะนั้น คนที่รักอาจสั่นคลอน ทะเลาะวิวาท พาลจากไปเสียก็ได้



เมื่อข้าวตกลงในบาตรครั้งแรกรู้สึกขอบคุณผ้าจีวร พระพุทธเจ้าผู้สร้างขนบธรรมเนียมอันง่ายต่อการปฏิบัติ และขออนุโมทนาญาติโยมทุกท่าน ที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้ากุลีกุจอจัดเตรียมอาหารหวานคาวมาใส่ให้พระภิกษุสามเณร เราเดินตามอยู่ปลายแถวมีหลวงตานำหน้า ญาติโยมใส่ให้ท่านทั้งกับและข้าว



ส่วนเราสามเณรเมื่อหลวงตาเต็มแล้วก็ถ่ายมาให้ บาตรลูกหนึ่งๆ เมื่อเต็มหนักเหลือเกิน กว่าจะถึงวัดได้ร่วม ๒ โมงเช้า ทางวัดรอสายในโรงปูนอยู่สายเดียว ทุกรูปไม่กล้าฉันเพราะหลวงพ่อสมบูรณ์ บอกให้รอสายเณรก่อน (ท่านเป็นพระที่เอาใจใส่แม้กระทั่งเด็กอย่างเรา)





(มีต่อ)



 

_________________
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2004, 10:58 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน





เมื่อฉันเสร็จดูแปลกใหม่ทุกอย่าง เราเริ่มเดินสำรวจภายในวัดเห็นวัดกำลังจัดงานศพ ของหลวงปู่สี ฉันทสิริ มีปรำอยู่ตรงกลาง บริเวณวัด กล่าวกันว่าสมัยก่อนมีสระอยู่กลางวัด เมื่อลอกสระน้ำได้พบพระพุทธรูปอยู่ลึกภายในสระน้ำนั้น ตอนขุดพบเมื่อสมัยเด็กแม่ได้พามาดู



บัดนี้พระพุทธรูปยังคงเป็นที่บูชาอยู่นั่นเอง มีป่าช้าอยู่ด้านหลังวัด ห่างจากกุฏิฉันไม่มากนัก พอตกเวลาค่ำมีญาติโยมมาเป็นเจ้าภาพ สวดพระอภิธรรมหลวงปูสีๆ เป็นที่เคารพของผู้คนย่านนี้มากจากการปลุกเสกเหรียญแล้วมีความขลัง เหรียญของท่านศักดิ์สิทธิ์มากตามความศรัทธาของผู้สวมใส่



(ในสมัยตอนเป็นนักเรียนอยู่นั้น ได้สวมใส่ "เหรียญหลวงปู่สี" เดินผ่านนักเรียนคู่อริมักจะโดนนักเรียนอันธพาลจะเข้ามาตีศรีษะ แต่พอมาถึงมักมีนักเรียนในกลุ่มนั้นห้ามเพื่อนอันธพาลนั้น ไม่ให้ทำร้ายเพราะเป็นเด็กเรียนบ้าง



แม้โดนขว้างระเบิดมาบนรถเมล์และเข้ามาตะลุมบอน เรานั่งอยู่ประตูทางขึ้นก้มหัวหมอบใช้กระเป๋าบัง ระลึกถึงหลวงปู่รอดและหลวงปู่สี นักเรียนอันธพาลพยายามดึงกระเป๋าที่คลุมศรีษะดึงเท่าไรก็ไม่ออก เลยเตลิดไปตีหัวเพื่อนจนเลือดท่วมหัว เมื่อมาปฏิบัติธรรมมากๆ แล้ว จึงทราบว่าคืออะไร)



พอตกวันที่สองของการบวชรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก ได้บอกโยมแม่ขณะบิณฑบาตว่า ถ้าแม่ไปตลาดซื้อสีกรักย้อมผ้ามาให้ด้วยนะ (การเกิดมามีพ่อแม่ผู้อุปการะนั้น ถือว่ามีบุญอย่างที่สุดของความเป็นคนเชียวละ) ท่านตกลงเดี๋ยววันนี้จะไปซื้อถวาย อยากได้อะไรอีกบอกมานะท่าน



วันนี้เดินผ่านนางงามตาคลี ไม่ทราบเป็นเพราะอะไรท่านมาชอบเราได้ นี่ก็สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปลงมาก เห็นความไม่เที่ยงของความรักของมนุษย์ เพราะสารรูปของเรากับเทพีมันต่างกัน รูปร่างหน้าตาของเราถึงไม่ขี้เหล่แต่เมื่อเทียบกับเขาที่ลูกครึ่งช่างต่างกัน นางงามท่านนั้นคอยตื่นขึ้นใส่บาตรทุกเช้า ซึ่งทำให้ต้องสำรวมระมัดระวังใจอย่างมาก



หลังจากกลับจากบิณฑบาตฉันอาหารแล้ว รู้สึกหว้าเว่อย่างไรบอกไม่ถูก คิดถึงแม่ คิดถึงพ่อ คิดถึงทุกคน เมื่อรู้สึกเศร้าสร้อยเช่นนั้น จึงไม่มีหน้าจะพบใคร รีบเดินขึ้นกุฏินอนดีกว่า เผื่อความคิดนั้นๆ จะหายไป ยิ่งอยู่เงียบยิ่งคิดถึงจนต้องร้องไห้อย่างมากมาย คิดว่าพรุ่งนี้จะขอลาสิกขากลับไปเป็นชาวบ้านดีกว่า นอนร้องไห้จนหมอนเปียกหมด



อีกใจก็ต่อสู้ว่าอุตส่าห์ตั้งใจจะบวชมาเป็นแรมปี พอบวชแค่ไม่ถึงสามวันกลับอยากสึกเสียแล้ว แต่อีกใจคิดว่ากลัวบวชไม่ทน แล้วสึกภายหลัง ยิ่งคิดยิ่งร้องไห้ หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะสร่างจากความคิดนี้ได้อย่างไร



ปรากฏว่าพอตกเย็น ทางวัดเริ่มเปิดธรณีกรรแสงในงานสวดอภิธรรมหลวงปู่สีนั่นเอง เสียงช่างเศร้าสลดและคุ้นเคยเหมือนเราฟังแล้วซึ้งใจเสียนี่กระไร ความคิดที่อยากสึกพลันดับไป เพราะรู้สึกอบอุ่นอย่างมากมาย จึงตั้งอธิษฐานว่าจะไม่สึกในวันพรุ่งนี้ และจะไม่ตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่จะขออธิษฐานบวชแค่เปิดเทอม พอถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกที อนาคตเปลี่ยนแปลงเสมอ



จบตอนนี้ ขออุทิศส่วนกุศลผลบุญในการทำเวปไซต์นี้ ให้แก่ คุณพ่อบุญมา และแม่ชีพราหมณ์ประไพ คุ่ยสมใจ ผู้ให้การเลี้ยงดูอุ้มชูแต่เล็กจนบวชเป็นเณรเป็นพระ ขอให้ท่านพ้นวิบากกรรมไปสู่หนทางพ้นทุกข์ตลอดกาล





ที่มา : http://www.geocities.com/gaytiplokvilyan/story1.htm









 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง