Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 นึกไม่ถึง (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2004, 1:52 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

นึกไม่ถึง
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ๖



บันทึกต่อไปนี้เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่บังเกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้า นับย้อนหลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๐ ไปแล้ว ๓๐ กว่าปีก็จริง หากแต่ว่าบรรยากาศของเหตุการณ์ในครั้งกระนั้น ยังแจ่มใสอยู่ในความทรงจำจนกระทั่งบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ตอนคับขัน หรือความซาบซึ้งอิ่มใจในพฤติการณ์ของบุคคลผู้หนึ่ง

ซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยคาดหวังและที่จริงก่อนหน้านั้นได้หลงลืมเขาไปเสียนานแล้ว แต่ชีวิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติการณ์เหล่านั้นเป็นผลพิสูจน์ต้องตาม “สัจธรรม” ที่ว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว โดยแท้ เห็นสมควรนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านได้ทราบไว้ จึงเสนอท่าน ดังต่อไปนี้

โดยปกติวิสัยข้าพเจ้าชอบท่องเที่ยวไปในต่างถิ่น เพราะถือว่านอกจากเป็นการพักผ่อนในเวลาว่างงานแล้ว ยังได้ประโยชน์ในด้านการศึกษาเรียนรู้ในสิ่งต่างๆ เป็นต้นว่า ภูมิประเทศหรือดินฟ้าอากาศ ตลอดจนสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น การดำรงชีพ ผลิตผล และการค้าขาย ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น

ข้าพเจ้าถือว่าเป็นกำไรของชีวิตทั้งนั้น โดยเหตุนี้ข้าพเจ้ากับเพื่อนอีกสองคน จึงได้กำหนดกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวหัวเมืองชายทะเลด้านตะวันออกแห่งหนึ่ง ในคราวหยุดงานปลายปีซึ่งข้าพเจ้าไม่เคยไปเลย

หลังจากอาหารเที่ยงวันหนึ่ง ข้าพเจ้ากับเพื่อนทั้งสองพร้อมด้วยกระเป๋าเดินทางและสัมภาระอื่นเล็กน้อย ก็ไปที่ท่าราชวงศ์ซึ่งเป็นที่จอดหรือเดินทะเลชายฝั่ง เรือลำที่เราโดยสารไปนี้เป็นเรือไม้ขนาดไม่โตนัก ข้าพเจ้าจำชื่อเรือไม่ได้เสียแล้ว

เราทั้งสามเลือกได้ดาดฟ้าตอนหัวเรือเป็นชัยภูมิ เพราะค่อยห่างไกลจากเสียงอึกทึกโกลาหลของการส่งสินค้าขึ้นบรรทุกระวาง ตลอดจนเสียงพูดคุยของเพื่อนโดยสารร่วมหรือแขกไทยจีน เราขอเช่าเตียงผ้าใบสำหรับนอนจากคนเรือได้ ๓ เตียงครบตัวคน เป็นอันว่าเราตระเตรียมพร้อมแล้วที่จะตระเวนท้องทะเลไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของเรา

บนเรือขณะนี้ยังคงสับสนวุ่นวายอยู่ ทั้งทางขนสินค้าขึ้นจากเรือลำเลียงลงบรรทุกระวางเรือใหญ่ และความชุลมุนของผู้โดยสารซึ่งมีสินค้าติดตัว จัดวางข้าวของ ตลอดจนจองที่ทางเพื่อรอนแรมไปในทะเล เวลาประมาณ ๑๓.๐๐ น. เศษ เสียงคนบนเรือร้อง “จุ้นจู๊มาแล้ว” เรามองออกไปกลางน้ำ เห็นเรือจ้างลำหนึ่งแจวมุ่งตรงมาที่เรือใหญ่ ภายในเรือมีชาวจีนวัยกลางคนยืนมากลางลำ พร้อมกับชาวจีน ๓-๔ คนนั่งมาด้วย

บุคลิกลักษณะของผู้ที่เรียกกันว่า “จุ้นจู๊” นี่ภูมิฐานส่อให้เห็นว่า เป็นผู้มีเงินพอกันกับมีความเฉลียวฉลาด ค่อนข้างเจ้าเนื้อเตี้ยๆ สวมกางเกงแพรดำ สวมเสื้อนอกกระดุม ๕ เม็ด ซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายที่นิยมกันในสมัยนั้น เมื่อขึ้นมาบนเรือแล้ว “จุ้นจู๊” ก็ตรงเข้าไปก็ตามคนจีนซึ่งเป็นพนักงานสินค้าของเรือ พูดจากันอยู่ครู่หนึ่ง

ขณะนี้กัปตันหรือนายเรือก็สั่งให้กว้านสมอขึ้น อีกครู่เดียวระฆังสัญญาณก็ดังขึ้นในห้องเครื่อง อันเป็นคำสั่งให้เครื่องที่กัปตันส่งจากสะพานเดินเรือ เรือถอยหลังเดินหน้าอยู่สองสามครั้งก็ตั้งลำตรง แล้วใช้จักรมุ่งตรงไปตามลำน้ำ เพื่อบ่ายหน้าออกทะเล ซึ่งเป็นเวลา ๑๔.๐๐ น. เศษ

เวลาผ่านไปขณะที่เรากำลังเพลิดเพลินอยู่กับทิวทัศน์สองฟากแม่น้ำ ก็มีคนเรือ ๒ คน เป็นจีนคนหนึ่ง ไทยคนหนึ่ง คนจีนเป็นคนเก็บเงิน คนไทยเป็นเสมียนเขียนตั๋วโดยสารมาเก็บค่าโดยสาร เราต้องจ่ายค่าโดยสารเรือคนละ ๔ บาท ต่อมาสักครู่หนึ่งก็มีคนจีน ๒-๓ คน ยกกระบะไม้ทาสีแดงมีกับข้าว และถังไม้ใบใหญ่ใส่ข้าวขึ้นมาวางเรียงบนดาดฟ้า

คนโดยสารก็พากันเข้ายกกระบะซึ่งใส่กับข้าว พร้อมทั้งตักข้าวใส่จานเอามาแบ่งกันรับประทาน อาหารนี้เป็นอาหารทางเรือจัดหาให้ผู้โดยสารโดยไม่คิดมูลค่าอีก อาหารมื้อนั้นมีผัดผักเปล่าๆ สีเขียว ๑ จาน ไข่เค็ม ๑ จาน และปลานึ่ง ๑ จาน

แม้ว่าอาหารมื้อนั้น จะเป็นอาหารธรรมดาที่มีราคาถูก เราก็ได้รับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากอาหารมื้อเย็นแล้วเราก็นั่งชมวิวริมฝั่งน้ำเจ้าพระยาทั้งสองข้าง เรือผ่านพระสมุทรเจดีย์ เมื่อดวงอาทิตย์ลับทิวไม้ไปแล้วเหลือแต่แสงอยู่ขอบฟ้าเบื้องตะวันตก แล้วก็ผ่านป้อมพระจุลฯ วิ่งออกร่องส้นดอนกระทั่งผ่านสถานีวัดน้ำ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่ากระโจมไฟนั้น แสงตะวันสิ้นไปแล้ว แสงไฟที่กระโจมเริ่มทำงานเปิดปิดเป็นช่องเป็นระยะ เพื่อให้เป็นที่สังเกตที่หมายของชาวเรือทะเลทั้งหลาย

ความมืดของรัตติกาลปกคลุมอยู่ทั่วไปในท้องทะเลมันกว้างใหญ่ เรามองไม่เห็นฝั่งแล้ว หันมาดูทางทิศที่ตั้งของกรุงเทพฯ เห็นแสงไฟสว่างขึ้นจับขอบฟ้า เสียงเครื่องยนต์ที่ดังก้องอยู่เป็นจังหวะสม่ำเสมอ ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง แต่อย่างน้อยเราก็ได้ยินอยู่เป็นเวลาถึง ๔ ชั่วโมงแล้วจึงรู้สึกค่อยชินหูบ้าง

เราต่างคนต่างเอนกายลงบนเตียงผ้าใบในลักษณะเดียวกับผู้โดยสารอื่นๆ แต่ก็มีอีกเป็นจำนวนมากที่เอนกายอยู่บนเสื่อที่ปูอยู่กับพื้นดาดฟ้า แล้วข้าพเจ้าก็หลับผล็อยไปด้วยความอ่อนเพลีย รู้ตัวตื่นขึ้นหลังจากที่ได้หลับไปนาน ได้ยินเสียงเอะอะโครมคราม ผู้โดยสารต่างพากันลุกขึ้นจัดแจงเก็บข้าวของเพื่อเตรียมตัวขึ้นบก ข้าพเจ้าเห็นตะเกียงสองดวงแขวนอยู่กลางลำเรือ จึงรีบปลุกเพื่อนทั้งสองที่ยังหลับสนิทให้ตื่นเพื่อเตรียมตัว เรือถึงท่าที่หมายปลายทางของเราแล้ว

นายเรือเปิดหวูดสัญญาณเสียงดังสนั่น เพื่อให้ผู้คนที่อยู่บนฝั่งรู้ว่าเรือได้มาถึงแล้ว ต่อจากนั้นเรือก็ค่อยๆ แล่นเข้าเทียบท่า เป็นสะพานไม้ยืนยาวออกมาจากฝั่ง ได้สร้างเป็นสะพานไว้ยาวมากสะพานหนึ่ง สำหรับให้เป็นท่าเรือเดินทะเลจอดเทียบเมื่อเรือจอดท่าเรียบร้อยแล้ว กะลาสีหรือยกไม้กระดานยาวพาดต่อจากเรือไปที่ท่าเพื่อให้คนโดยการขึ้น

ผู้โดยสารบางคนเห็นดึกแล้วก็นอนค้างในเรือ รุ่งเช้าจึงจะขึ้นฝั่งก็มี ผู้โดยสารที่จะขึ้นท่านี้รวมทั้งเราสามคนก็จัดแจงสัมภาระขึ้นบก ที่สุดเราก็เหยียบดินแดนชายทะเลแห่งนี้ ซึ่งเลือดน้ำเค็มของนักสู้แผ่ซ่านอยู่ทุกตัวคน จนได้ขนานนามว่า “เมืองนักเลง”

ข้าพเจ้าว่าจ้างกุลีท่าเรือคนหนึ่ง ให้ช่วยขนสัมภาระหีบห่อกระเป๋าเดินทางของเรา ไปยังโรงแรมชั้นดีสักหนึ่งแห่ง เพราะทราบว่าระยะทางจากท่าเรือไปตลาดนั้นไกลไม่ใช่น้อย เราเป็นบุคคลหน้าใหม่สำหรับเมืองนี้เสียด้วย สะพานท่าเรือนั้นยาวสมชื่อจริงๆ อาศัยแสงสว่างจากตะเกียงที่เขาจุดไว้เป็นระยะ เราจึงพอเดินได้สะดวก แต่กว่าจะถึงฝั่งหรือเขตตลาดเราก็มีอันถึงกับเหงื่อออกโทรมกาย

จีนกุลีท่าเรือที่ขนของๆ เราพาเราไปที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ตั้งอยู่ห่างจากท่าเรือประมาณเกือบหนึ่งกิโลเมตร จีนกุลีบอกพวกเราว่าเป็นโรงแรมดีที่สุดพอจะหาได้ในเมืองนี้ เราตกลงขอเช่าคนละห้อง เป็นห้องที่มีเตียงเดียวสำหรับคนพักได้คนเดียว เมื่อจัดสิ่งของในกระเป๋าออกเรียบร้อยแล้ว ก็อาบน้ำชำระร่างกาย เสร็จเอาเกือบเที่ยงคืน เราจึงพากันเข้าห้องนอน และหลับได้เร็วกว่าปกติรวดเดียวตลอดคืน เนื่องจากความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียมาตลอดระยะทาง



(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2004, 1:56 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

รุ่งเช้าเราตื่นนอนแล้วก็แต่งตัวออกเดินชมบ้านเมือง และหาอาหารรับประทานที่ร้านใกล้บริเวณตลาด ข้าพเจ้าจะไม่กล่าวถึงสภาพบ้านเมือง หรือการเที่ยวชมสถานที่ต่างๆ ให้เป็นการเสียเวลาของท่านผู้อ่าน ทั้งนี้เพื่อไปสู่เหตุการณ์อันเป็นจุดหมายและวัตถุประสงค์ของเรื่องนี้เลยทีเดียว

รุ่งขึ้นเช้าวันหนึ่ง หลังจากได้ตระเวนชมบ้านเมืองจนจับใจแล้ว ข้าพเจ้าก็กลับที่พักอาบน้ำชำระร่างกายขณะนั้นเป็นเวลาพลบค่ำ เพื่อนทั้งสองชวนข้าพเจ้าออกเดินไปเที่ยวแถวหน้าโรงภาพยนตร์หรือโรงลิเกก็จำไม่ได้แน่ ข้าพเจ้าขอตัวหยุดพักผ่อนเข้านอนก่อน เพราะเวลากลางวันได้เที่ยวมาอย่างสุดเหวี่ยงแล้วอ่อนเพลียมาก

เมื่อทั้งสองคนเห็นข้าพเจ้าไม่ตกลงไปด้วย ก็พากันออกไปเที่ยวตามลำพัง ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้านอน แล้วก็หลับไปเพราะความเหน็ดเหนื่อย จะหลับไปนานเท่าใดไม่ทราบ มาตกใจตื่นเอาเมื่อเสียงทุบประตูห้องแทบพังทลาย เรียกให้ข้าพเจ้ารีบเปิดประตูโดยเร็ว

ข้าพเจ้าผลุดลุกขึ้นมาเปิดประตู เห็นเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าผลีผลามเข้ามาในห้อง ข้าพเจ้าตกตะลึงไปชั่วครู่ เพราะเครื่องแต่งกายเปรอะเปื้อนยับเยิน หน้าตาฟกช้ำบวมปูด ผมยุ่งเป็นกระเชิง ข้าพเจ้าเดาไม่ผิดว่าคงจะเกิดการต่อสู้กับใครมาอย่างทรหดทีเดียว จึงรีบซักเรื่องราวทันที

คนหนึ่งก็เล่าให้ฟังอย่างเลาๆ ว่า เมื่อเดินไปเที่ยวบริเวณหน้าโรงมหรสพ บังเอิญพบผู้หญิงผู้หนึ่งเคยอาศัยอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯ แล้วก็หลบหนีไปจากบ้านพร้อมกับขโมยเอาสิ่งของมีค่าบางอย่างติดตัวมาด้วย เมื่อมาเจอกันเข้าเช่นนั้น ในขั้นแรกก็พูดจากันด้วยดีพอถึงตอนทวงของคืนก็เกิดกลายเป็นโต้เถียงกัน ข้าพเจ้าสันนิษฐานว่าคงจะมีเหตุอะไรอย่างอื่นอีกหลายอย่างที่ไม่เล่าให้ข้าพเจ้าฟัง อันเป็นเหตุให้ผู้อื่นเห็นว่าเป็นการข่มขู่รังแกผู้หญิง จึงช่วยกันกลุ้มรุมเล่นงานเพื่อนข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่มีเวลาจะซักถามอะไรให้ละเอียดนัก เพราะคนทั้งสองบอกว่า ขณะนี้มีชายฉกรรจ์ล้วนท่าทางเป็นนักเลงติดตามมาซ้ำเติมอีก เดี๋ยวนี้กำลังดักอยู่ข้างล่าง ข้าพเจ้าจึงจัดการปิดประตูลั่นกุญแจห้อง สั่งสองคนว่าให้ดับไฟนอนอย่าส่งเสียงดัง ทำประหนึ่งว่ายังไม่กลับมาทั้งสองห้อง

ข้าพเจ้าคิดว่า ถ้าจะต้องพึ่งบารมีตำรวจคุ้มครองป้องกันภัยเสียแล้ว แต่ตรองไปอีกทีนึกว่าน่าจะเกิดการเข้าใจผิดกันสักอย่าง คงจะพอปรับความเข้าใจกันได้ ไม่ต้องร้อนถึงตำรวจ เฉพาะตัวข้าพเจ้าเชื่อว่านักเลงเหล่านั้นคงไม่รู้จัก หรือแม้แต่จะทราบว่าเรามาด้วยกัน จึงทำเดินเรื่อยลงมาชั้นล่างเพื่อสังเกตการณ์หาทางหนีทีไล่ต่อไป

ที่หน้าโรงแรมนั้นเอง ข้าพเจ้าเห็นชายฉกรรจ์หลายคนเดินเตร่ มองเข้ามาในโรงแรมด้วยสายตาอันเหี้ยมกร้าว สบตาข้าพเจ้าแล้วก็มองกราดเข้าไปในโรงแรมอีก ข้าพเจ้าพยายามแสร้งทำเป็นใจเย็นเดินผ่านออกมา เสมือนหนึ่งไม่รู้ไม่ชี้กับเรื่องอะไรทั้งหมด สักครู่หนึ่งก็มีฝ่ายคนหนุ่มและกลางคนประมาณ ๒ คน พากันขึ้นไปชั้นบนของโรงแรมสักครู่หนึ่งก็กลับลงมา ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพูดจากกลุ่มนั้นอย่างชัดเจนว่า

“ถ้าคงยังไม่กลับต้องคอยเล่นงานมันให้ได้ สอนให้มันรู้สำนึกว่า ที่บ้านเราไม่ชอบคนรังแกผู้หญิง”

ต่อมามีชายอีก ๒ คนเข้ามาถามชายกลุ่มแรกว่า “วันนี้เกิดเรื่องอะไรกันวะ ?”

เสียงชายกลุ่มแรกคนหนึ่งตอบว่า “มีโว้ย ! วันนี้ต้องสั่งสอนอ้ายนักเลงบางกอกเสียหน่อย”

ต่อจากนั้นก็พูดซุบซิบกันเบาๆ แล้วชายคนหนึ่งในกลุ่มนั้นบุ้ยปากมาทางข้าพเจ้า ได้ยินพอจับความได้ว่า “เฮ้ย ! อ้ายคนที่เดินผ่านไปนั้นก็พวกมัน มันมาด้วยกันสามคน เอามันเสียก่อนหรือไง”

ข้าพเจ้าได้ยินดังนั้น ให้รู้สึกเสียววาบตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงขากรรไกรทันที แต่ก็ต้องทำใจดีสู้เสือ เดินอย่างเลือดเย็นซ่านไป สั่งกาแฟมานั่งดื่มอย่างไม่รู้เรื่องอย่างใดทั้งสิ้น แต่ในความคิดนั้นค้นคว้าหาทางหนีทีไล่ต่างๆ ร้อยแปดประการ แต่แล้วก็มองไม่เห็นทางใดปลอดโปร่งสักวิธีเดียว

นึกทอดอาลัยว่า คราวนี้ช่างเข้าที่คับขันเสียจริงๆ จะหาทางให้รอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้ได้อย่างไร เพราะขณะนี้รอบๆ ตัว ไม่ว่าจะเหลียวมองไปทางไหน พบแต่สายตาที่จ้องมาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญทั้งสิ้น จะมีอยู่บ้างก็น้อยคนที่มีท่วงทีเฉยๆ แต่ก็จะหวังพึ่งอะไรจากคนเหล่านั้น ซึ่งไม่เคยรู้จักกับพวกเรา ใครเขาจะกล้าช่วยเหมือนจะเอามือมาซุกหีบ

กาแฟที่สั่งมายังไม่ทันจะหมดแก้ว ข้าพเจ้าก็รีบสั่งเลโมเน็ตมาดื่มอีกหนึ่งขวด เพราะเห็นว่าสถานการณ์เกี่ยวกับข้าพเจ้าไม่สู้จะดี ที่พอจะหวังพึ่งได้ก็คือ ขวดน้ำเลโมเน็ตที่พอจะเป็นเพื่อนเมื่อในยามคับขันเท่านั้น ขณะนี้โรงแรมชั้นล่างที่ข้าพเจ้านั่งดื่มกาแฟอยู่มีผู้คนแต่งกายคล้ายๆ กัน ทยอยเข้ามานั่งประจำอยู่ทุกโต๊ะ ต่างก็สั่งสุราอาหารมารับประทาน

สิ่งที่ข้าพเจ้าได้รับจากบุคคลที่เข้ามาใหม่ก็คือ สายตาอันเหี้ยมเกรียมเหมือนพวกแรก คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี จะเดินเข้าไปพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างลูกผู้ชายอย่างเปิดอกหรือ ตรองแล้วต้องเล่า เห็นว่าไม่สำเร็จแน่ จะพึ่งตำรวจหรือ ข้อคิดประการหลังนี้ช้าไปเสียแล้ว



(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2004, 2:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าไม่มีหวังที่จะออกจากโรงแรมได้แน่ ทางเข้าทางออกมีแต่คนยืนปิดทางบ้าง นั่งขวางอยู่บ้าง ข้าพเจ้ารู้สึกตัวว่าถูกตรึงให้นั่งอยู่กับเก้าอี้ เคลื่อนไหวไปไหนไม่ได้ทั้งสิ้น จำเป็นเหลือเกินที่ต้องทนนั่งทำเป็นใจเย็น รับฟังคำเสียดสีท้าทายต่างๆ นานา

ซึ่งข้าพเจ้าทราบดีว่า ถ้าเกิดมีโทสะโต้เถียงก็เป็นการฆ่าตัวเองชัดๆ สายตาเหล่านั้นมารวมจุดเดียวที่ข้าพเจ้าเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ ด้วยความสัตย์จริงข้าพเจ้ากลับก็กลัว แต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นเยือกเย็นไม่แสดงสายตาตอบปฏิกิริยาอย่างใดเลย นั่งฟังเสมือนหนึ่งกำลังฟังเขาเล่านิทานสนุกๆ ไม่เกี่ยวกับตัวข้าพเจ้าเลย

สมองครุ่นคิดอยู่แต่ว่า การเที่ยวครั้งนี้จะเป็นการหาที่เจ็บตัวข้าพเจ้าและเพื่อนทั้งสองเสียละหรือ ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงในกลุ่มใหญ่พอได้ยินว่า “ข้าจะสอนไอ้หมอนี่เสียเดี๋ยวนี้เลยเอาไหมวะ”

“เฮ้ย อย่าเพิ่งไปทำอะไรก่อน คนนี้ไม่ใช่ตัวการเขาคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไรก็ได้ เราต้องการแต่ไอ้สองคนนั้นเท่านั้น” เสียงอีกคนหนึ่งห้ามไว้

แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะมีความหมายต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำเป็นนั่งไขสือฟังไม่รู้เรื่อง ไม่สะทกสะท้านเรียกคนประจำโรงแรมถามว่า “มีเรือที่จะออกไปกรุงเทพฯ เมื่อไหร่ อาเฮีย”

จีนคนรับใช้ประจำโรงแรมนี้ เมื่อแรกที่เรามาพักเป็นคนเอาอกเอาใจพวกเราดี มาในบัดนี้ความเปลี่ยนแปลงของสีหน้าพลอยบอกความไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าเสียอีกผู้หนึ่งแล้ว

“จับยี่เตี้ยม” นายนั่นแกตอบข้าพเจ้าห้วนๆ

ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นทุกข์และหวาดกลัว ที่ยามนี้จะหาผู้ใดเป็นที่พึงได้ยากอย่างยิ่ง แล้วก็มีเสียงเย้ยหยันตะโกนลอยๆ ขึ้น ทำให้เสียววูบไปตลอดสันหลัง “ไม่มีหวังกลับเสียแล้วโว้ยพวก”

ข้าพเจ้าทำเป็นไม่สนใจในถ้อยคำนั้น รู้สึกเป็นห่วงเพื่อนสองคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องชั้นบน เขาคงไม่ได้ยินและไม่มีโอกาสได้เห็นเหตุการณ์ที่กำลังวิกฤติจะเข้าถึงจุดเดือด ขณะนี้หากข้าพเจ้าโต้ตอบออกไปแม้แต่เพียงคำเดียว

โปรดหลับตานึกดูเถิดท่านที่รัก มันจะมีอะไรเกิดขึ้น นอกจากแหลก ข้าพเจ้าจะต้องแหลกเหลวคามือคาเท้าของกลุ่มมนุษย์กระหายเลือดนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่สัญชาตญาณการหนีภัยของมนุษย์ ยอมต้องกระเสือกกระสนในชีวิตรอดจนถึงที่สุดและทุกวิถีทางเมื่อมีภัย จะไม่มีทางสู้อย่างใดเลย แม้เพียงรำลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนเชื่อ วิงวอนขอความคุ้มครองให้รอดพ้นจากอันตราย ก็ยังดีกว่านิ่งตายอยู่เฉยๆ ข้าพเจ้าก็อยู่ในลักษณะนี้

เมื่อเหตุการณ์คับขันจนนาทีสุดท้ายจึงพลันนึกถึงที่พึ่งสุดท้ายคือ “คุณพระ” ข้าพเจ้าตั้งจิตแน่วแน่อธิษฐานเสี่ยงบุญกุศล ตั้งแต่เกิดมาข้าพเจ้าไม่เคยก่อเวรกรรมให้ผู้ใดเดือดร้อน หรือแม้แต่จะมุ่งร้ายปรารถนาให้ผู้อื่นพินาศฉิบหาย ขอบุญญานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย จงคุ้มครองให้ข้าพเจ้ารอดพ้นอันตรายครั้งนี้ด้วยเถิด

ข้าพเจ้ากล่าวได้ว่าเป็นขณะอับจนที่สุดในชีวิต ก็มีชาย ๓ คนเดินเข้ามาในโรงแรม คนที่เดินนำหน้านั้นข้าพเจ้ารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นที่ไหนจำไม่ได้ เขาเข้ามาทักทายโต๊ะนั้นโต๊ะนี้อย่างสนิทสนมกันแซ่ดไปหมด

แล้วชายคนนั้นก็หันมาพบข้าพเจ้าชะงักงันอยู่ไม่ถึงอึดใจ ก็เดินตรงรี่มาที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ ข้าพเจ้าใจหายวาบคาดไม่ถูกว่าชายผู้นี้จะมาร้ายมาดีประการใด รีบหยิบขวดเลโมเน็ตมารินน้ำหวานลงจนหมด คอยทีเตรียมไว้ก่อน ชายผู้นั้น เมื่อเข้ามาถึงกลับยกมือไหว้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารีบกระทำตอบ รู้สึกได้ในทันทีบัดนั้นว่า ชายผู้นี้มีสายตาเป็นมิตรอย่างจริงใจต่อข้าพเจ้าผู้เดียว ในสถานที่ๆ กำลังเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้ายดังกล่าว

“คุณจำผมได้ไหมครับ ?” เขากล่าวขึ้นก่อน

ข้าพเจ้าตอบว่า “ขอโทษเถิดครับ ผมจำคุณไม่ได้จริงๆ แต่ในความรู้สึกนั้นดูเหมือนว่าจะเคยเห็นคุณมาก่อน ที่ไหนก็จำไม่ได้”

ชายผู้นั้นหัวเราะแล้วกล่าวว่า “คุณพบกับผมที่ราชวงศ์ เมื่อสองปีก่อนนี้ไงครับ นึกออกไหมครับ”

ข้าพเจ้าพยายามทบทวนความทรงจำ ระลึกถึงความหลังเก่าๆ เมื่อ ๒ ปีก่อนโน้นในกรุงเทพฯ แล้วทั้งน้ำเสียงท่าทีตลอดจนเจ้าหน้าที่ของเขา ก็ช่วยให้ข้าพเจ้านึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น



(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2004, 2:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บ่ายวันนั้น ที่ร้านอาหารถนนราชวงศ์ไม่สู้จะมีคนมากนัก เพราะเลยเวลาเที่ยงไปแล้ว มีชายผู้หนึ่งนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่โต๊ะติดผนังห้องริมทางเข้าแต่ผู้เดียว แกก้มหน้าก้มตารับประทานไม่ได้มองดูใครจะเข้าจะออก กับข้าพเจ้าอีกผู้หนึ่งที่เข้ามานั่งรับประทานอยู่ในร้านนี้เป็นคนที่สอง

เรานั่งห่างกันเล็กน้อย พอข้าพเจ้าสั่งอาหารเสร็จ ชายผู้นั้นก็อิ่มเรียกจีนรับใช้มาคิดเงิน แล้วก็ล้วงกระเป๋าแล้วทำท่าสะดุ้งหน้าตาตื่นตบกระเป๋าซ้ายกระเป๋าขวาทำหน้าซีดเผือด เพราะแกพยายามล้วงกระเป๋าที่มีอยู่บนเครื่องแต่งกายจนหมดทุกกระเป๋า ค้นหาจนสิ้นสงสัยก็ยังหาเงินไม่พบ มีเหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนใบหน้า แกพึมเพาเบาๆ พอได้ยินว่า

“หายหมด หายแน่ ผมถูกล้วงกระเป๋าแน่ แย่จริงๆ”

ข้าพเจ้าเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น ก็รู้สึกสงสารและเห็นใจในโชคร้ายของคนนั้น จึงลุกจากโต๊ะอาหารเข้าไป หาและถามว่า “คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าอาจจะถูกล้วงที่ไหน หรือจะทำตกหล่นไว้ที่ใด”

“ผมสงสัยมากตอนที่เดินมาตรงหัวเลี้ยวราชวงศ์ เพราะมีคนเดินสวนกระทบไหล่อย่างแรงทำให้เซไป ผมไม่นึกเลยว่ามันจะไวทายาทอะไรอย่างนั้น”

ข้าพเจ้าซักต่อไปอีกว่า “ในกระเป๋าของคุณมีเงินอยู่เท่าใด”

แกตอบว่า “ห้าร้อยบาทครับ เดี๋ยวนี้ผมหมดตัว ค่าอาหารที่นี่ไม่มีชำระ ค่าที่พักก็ยังไม่ได้ให้ ค่าเดินทางกลับบ้านก็ยังไม่มี ผมแย่แล้ว”

คำพูดที่รำพันออกมา และใบหน้าซื่อๆ ทำให้ข้าพเจ้าแน่ใจว่า คงไม่ใช่เล่ห์หรือมารยาอย่างใด รู้สึกสมเพชจับใจ คนเราไม่เลือกไพร่ผู้ดี เศรษฐีหรือยาจก ถ้ายังต้องเวียนว่ายที่อยู่ในโลกอันไม่เที่ยง ก็มีโอกาสที่จะต้องพบกับความพลาดพลั้ง หรือประสบเคราะห์กรรมได้เสมอ ข้าพเจ้ากระซิบกับแกว่า

“ไม่เป็นไรครับ ค่าอาหารโต๊ะคุณขอให้คิดรวมกับโต๊ะผมเสียเลย และสำหรับค่าเดินทางของคุณ ผมอยากจะช่วยเหลือ อย่านึกว่าเป็นการดูหมิ่น ผมขอให้คุณรับเงินจำนวนนี้ไว้ด้วย ผมยินดีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในยามที่เคราะห์ร้าย”

แล้วข้าพเจ้าก็หยิบธนบัตรจำนวนยี่สิบบาทส่งให้ ชายผู้นั้นรับเงินอย่างงงๆ แล้วยึดมือข้าพเจ้าไว้ จ้องมองดูหน้าข้าพเจ้านิ่งอยู่เป็นครู่ แววตาที่โศกเชื่อมและเลื่อนลอยอยู่เมื่อแรก บัดนี้มีประกายแจ่มใสไปด้วยความหวัง แม้ภายในดวงตาทั้งคู่จะหล่อเยิ้มไปด้วยอัสสุชลแห่งความปลื้มปีติ แต่ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่า มันแฝงไว้ด้วยความกตัญญูรู้คุณอยู่ในส่วนลึกของหัวใจยากจะอธิบายให้ชัดเจนได้ ข้าพเจ้าเห็นแกนิ่งอึ้งพูดอะไรไม่ออก จึงรีบตัดบทว่า

“คุณลองนึกเค้าหน้าคนที่เดินกระทบไหล่คุณให้ได้ แล้วรีบตามไปให้พบตัว เผื่อว่าเป็นโชคของคุณ เมื่อพบแล้วก็บอกให้เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวก็จะได้เงินคืน ถึงแม้จะมีหวังน้อยก็ควรจะลองพยายาม”

ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้น ได้พยายามถามตำบลที่อยู่ข้าพเจ้าเพื่อจะได้นำเงินมาคืนให้ ข้าพเจ้าบอกว่าขออย่าต้องลำบากเลย ไม่จำเป็นสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ แล้วข้าพเจ้าก็เร่งให้แกรีบออกไปตามคนร้ายต่อไป เมื่อแกหมดหวังที่จะทราบที่อยู่ของข้าพเจ้าแล้วแกก็จากไป

ข้าพเจ้าจัดการชำระค่าอาหารรวมกันกับโต๊ะของข้าพเจ้าแล้วก็กลับบ้าน ต่อมาก็ลืมเรื่องราวในร้านอาหารและชายผู้นั้นเสียสนิท และไม่เคยนึกตลอดมา นั่นคือเหตุการณ์ของชายผู้นี้กับข้าพเจ้าเมื่อ ๒ ปีก่อน ที่ได้หลงลืมไปแล้ว

บัดนี้ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นกำลังปรากฏอยู่เฉพาะหน้าข้าพเจ้า ปรากฏขึ้นในยามคับขันอับจนที่กำลังต้องการผู้ช่วยเหลือ ข้าพเจ้าดีใจจนพูดไม่ถูก รู้สึกเหมือนพระบนสรวงสวรรค์ทรงเมตตาประทานผู้ช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้าอย่างทันเหตุการณ์ เสียงเขากล่าวต่อไปอีกว่า

“ตั้งแต่วันนั้นผมยังไม่เคยลืมเค้าหน้าของคุณที่ผมพยายามจดจำไว้ พอแลเห็นคุณผมก็จำได้ทันที ในวันนั้นถ้าผมไม่ได้คุณผมก็ไม่ทราบจะทำอย่างไร เพราะญาติของผมที่อยู่ในกรุงเทพฯ ที่ตั้งใจไปหาก็ย้ายไปต่างจังหวัดเสีย ผมงงจนทำอะไรไม่ถูก ไม่ทราบว่าจะไปหาใครเป็นที่พึ่งได้”

พูดแล้วก็ขอตัวไปพบกับคนในหมู่ที่กำลังกระหายเลือด จะลงประชาทัณฑ์แก่ข้าพเจ้าซึ่งไม่มีความผิด เห็นแกเดินเข้าไปซุบซิบกันสักพักใหญ่ รู้สึกว่าบรรยากาศค่อยผ่อนคลายและแจ่มใสขึ้นตามลำดับ สายตาและสีหน้าที่มองมายังข้าพเจ้าค่อยลดความเหี้ยมเกรียมดุร้ายลงจนหมดสิ้นไป บรรยากาศของความเป็นมิตรเริ่มมีเค้าขึ้นบ้าง

อีกครู่หนึ่งชายผู้นั้นกลับมานั่งที่โต๊ะข้าพเจ้า เล่าให้ฟังว่ามีเพื่อนไปบอกว่า คนมาจากกรุงเทพฯ รังแกผู้หญิงหน้าโรงหนังตนไม่ทราบว่าเป็นใครก็อยากจะมาดูหน้า เพราะผู้หญิงคนนั้นยังได้บอกว่า พวกเราเป็นพวกต้มมนุษย์ คงจะมาต้มคนในเมืองนี้

ความจริงผู้หญิงคนนี้ไม่เคยรู้จักเห็นหน้ามาก่อนเลย คงจะมาจากที่อื่น และเดี๋ยวนี้ก็ไม่ทราบว่าพักอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ ครั้นมาเห็นข้าพเจ้าและทราบว่ามาด้วยกันกับคนที่รังแกผู้หญิงคนนั้นเมี่อเห็นข้าพเจ้าก็จำได้ จึงคิดว่าน่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง เพราะคนที่ช่วยเหลือคนในยามทุกข์ยากนั้นคงไม่ใช่นักต้มมนุษย์แน่



(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2004, 2:10 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าจึงอธิบายให้ฟังว่า หญิงคนที่เกิดเรื่องนั้น ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหรือรู้จักมาก่อนเพราะไม่ได้ร่วมทางไปด้วย เพียงแต่ได้ทราบจากเพื่อนของข้าพเจ้าคนที่มีเรื่องว่า จู่ๆ ก็หายไปจากบ้าน ไม่หายไปแต่ตัวเปล่าๆ ยังนำเอาสิ่งของบางอย่างอันมีค่าติดตัวไปด้วย

เมื่อมาพบกันที่หน้าโรงหนัง ก็เกิดพบกันโดยบังเอิญ จะหลบไม่ทัน จึงต้องเผชิญหน้ากันแล้วก็พูดกันไปพูดกันมา จนฉุดกระชากลากแขนโดยพลการ ในสายตาและความรู้สึกของผู้ที่ได้แลเห็นไม่เคยทราบความเป็นมาแต่ก่อนอย่างไร ก็ต้องเข้าใจว่าคงจะรังแกผู้หญิงจึงเข้าช่วยหญิงคนนั้นหลบไปได้ เหตุการณ์ต่อจากนั้นก็คือสถานการณ์ตึงเครียดอย่างที่เห็นนี้แหละ

เมื่อผู้ชายที่รู้จักกับข้าพเจ้า ได้ทราบความจริงก็ทำหน้าที่เป็นคนกลางชี้แจงให้พรรคพวกเข้าใจถูกต้อง แล้วเรื่องที่เกือบจะร้ายก็กลายเป็นดีขึ้นโดยฉับพลัน เราถูกเชิญให้ไปพักบ้านของเพื่อนผู้สงบศึกผู้นั้น ข้าพเจ้าแสดงความขอบคุณ และขอตัวว่าอยากจะกลับกรุงเทพฯ ในเที่ยวเรือเที่ยงคืนวันนั้น

เพื่อนผู้นั้นรู้สึกผิดหวังและเสียใจมาก ที่ข้าพเจ้ารีบกลับเร็วเกินไป ไม่ทราบว่าได้มาเที่ยวถึงบ้าน มิฉะนั้นเขาจะขอรับรองพาไปเที่ยวทุกหนทุกแห่งที่ข้าพเจ้าต้องการ ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณเขาอีกครั้งหนึ่งแล้วยืนยันว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจว่าจะกลับเรือเที่ยวนี้ แล้วจึงขอตัวไว้ในโอกาสต่อไปภายหน้า

เพื่อนผู้นั้นจึงเรียกบรรดาเพี่อนฝูงชายฉกรรจ์เหล่านั้นมาให้รู้จักกับข้าพเจ้า ในฐานะที่ได้เคยให้อุปการะช่วยเหลือในยามเคราะห์ร้ายที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับเรื่องถูกล้วงกระเป๋า ทุกคนเข้ามาแสดงความเป็นมิตรและกล่าวคำขอโทษ ข้าพเจ้าตอบด้วยอัธยาศัยไมตรี มีบางคนชมด้วยใจจริงว่าเป็นคนใจเย็น ข้าพเจ้าคิดอยู่ในใจ ที่จริงความหวาดกลัวมีส่วนช่วยให้ข้าพเจ้าอดทนต่อคำรุกรานและก้าวร้าวนั้นเป็นอันมาก

เราต่างสนทนากันฉันมิตรอยู่สักครู่ใหญ่ คนเหล่านั้นก็ลากลับไป เพื่อนผู้อารีแจ้งจะมาส่งข้าพเจ้าที่ท่าก่อนเรือออก ๑ ชั่วโมงแล้วก็ลากลับไป ส่วนข้าพเจ้าขึ้นไปห้องพัก ไขกุญแจเปิดห้องที่ปิดของเพื่อนทั้งสองไว้ แล้วบอกว่าได้จัดการเรื่องให้สงบเรียบร้อยไปแล้ว ทั้งสองคนต่างรีบชิงกันถามว่า

“คุณแจ้งความตำรวจมาจัดการแล้วหรือ”

ข้าพเจ้าสั่นหน้าปฏิเสธ แล้วก็เล่าเรื่องราวอันเป็นมาเกี่ยวกับชายคนที่ถูกล้วงถระเป๋าที่กรุงเทพฯ จนตลอด ทำให้เพื่อนทั้งสองโล่งใจ ต่อจากนั้นเราก็เตรียมบรรจุเสื้อผ้าสิ่งของลงในกระเป๋าเดินทาง เพื่อเตรียมตัวลงเรือกลับกรุงเทพฯ

ข้าพเจ้าก็เรียกคนรับใช้ประจำโรงแรมมาเพื่อคิดบัญชีค่าห้องพักและค่าอาหาร จีนรับใช้คนนี้เมื่อสักครู่แสดงตนไม่ยอมเป็นมิตรให้เห็นเลย แต่ขณะนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขายิ้มย่องพินอบพิเทายิ่งกว่าเมื่อแรกมาเสียอีก ข้าพเจ้าก็บอกให้คิดบัญชีรวมกันทุกอย่างเพื่อจะชำระเงินให้ คนรับใช้ลงไปข้างล่างสักครู่กลับขึ้นมาแจ้งว่า ค่าห้อง ค่าอาหาร ทุกอย่างมีคนชำระหมดแล้ว

ข้าพเจ้าเดาไม่ผิดว่าผู้ชำระเงินให้แทนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากชายที่ข้าพเจ้าได้เคยช่วยเงินเพียงเล็กน้อยที่ร้านอาหารราชวงศ์เมื่อสองปีก่อน ประมาณ ๒๓.๐๐ น. เพื่อนผู้นั้นก็มาถึง มีสุภาพสตรีผู้หนึ่งมาด้วย เขาแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักว่าเป็นภริยา ข้าพเจ้าแสดงคารวะตอบด้วยความยินดี ภริยาของเพื่อนผู้นั้นกล่าวขอบคุณที่ได้มีใจเอื้อเฟื้อช่วยเหลือสามีของเธออย่างจริงใจว่า

“ดิฉันเคยทราบว่าคุณเป็นผู้มีใจกรุณา อยากจะรู้จักเพื่อจะได้ขอบพระคุณด้วยตัวดิฉันเองมานานแล้ว เพิ่งจะได้มีโอกาสครั้งนี้”

“เป็นธรรมดาครับ” ข้าพเจ้าตอบ “เมื่อใครพบผู้ที่เคราะห์ร้ายเช่นนั้นก็ต้องช่วยเหลือ ผมคิดว่าไม่น่าจะเป็นบุญคุณใหญ่โตอะไร แม้ไม่พบกับผม ผู้อื่นพบเข้าก็คงให้ความช่วยเหลือเหมือนกัน”

แล้วข้าพเจ้าก็ถือโอกาสแนะนำเพื่อนทั้งสองของข้าพเจ้าให้สองสามีภริยารู้จัก ข้าพเจ้ามองดูเพื่อนทั้งสองแล้วอดขำในใจไม่ได้เพราะคนหนึ่งหน้าโปปูด อีกคนหนึ่งขอบตาเขียวเห็นถนัด ชายผู้เป็นสามีก็แสดงความเสียใจ ขอโทษแทนพวกที่ได้กระทำไปด้วยความเข้าใจผิด

เมื่อใกล้เวลาเรือออก คนรับใช้ก็มาขนกระเป๋าลงข้างล่าง เราพากันเดินตามลงมาเห็นมีผู้คนมายืนรออยู่ชั้นล่างหลายคน จำไม่ผิดว่าท่านเหล่านั้น คือพวกที่มาคอยอบรมสั่งสอนพวกเราเมื่อตอนหัวค่ำ แต่บัดนี้ทุกคนได้กลับกลายเป็นมิตรที่ดีแล้ว

ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่ามีบางคนที่ปรากฏริ้วรอยของการต่อสู้ใบหน้าบวมปูดเขียวไปด้วยเหมีอนกัน นอกจากนั้นมีชะลอมบรรจุเครื่องบริโภคอยู่หลายชะลอม เมื่อเราออกจากโรงแรม สามีภริยาคู่นั้นพร้อมด้วยเพื่อนชาวเมืองคนอื่นๆ อีกหลายคนก็พากันตามมาส่ง หิ้วชะลอมเดินตามมาบนสะพานยาว กว่าจะถึงปลายสะพานยาวก็ร่วมครึ่งชั่วโมง

พอถึงเรือ ภริยาของเพื่อนข้าพเจ้าผู้นั้นก็ฝากของให้ข้าพเจ้าสามชะลอม และขอโทษที่เป็นเวลากะทันหันหาของที่เหมาะสมมาฝากให้ไม่ทัน ข้าพเจ้าตอบขอบคุณที่ทำให้ลำบากโดยไม่จำเป็น และทั้งขอบคุณในการที่จ่ายค่าพักโรงแรม อาหารให้ข้าพเจ้าทั้งสาม ๓ คน

เพื่อนผู้นั้นยิ้ม และบอกว่ายังน้อยกว่าที่ข้าพเจ้าได้เคยช่วยเหลือยามยากมาแล้วมากมายนัก สนทนากันได้เพียงเล็กน้อย เรือเปิดหวูดสัญญาณแล้วก็สั่งปล่อยเชือก ข้าพเจ้าก็ลาผู้ที่มาส่งทั่วกัน เรือค่อยๆ เคลื่อนออกจากท่า ทิ้งแสงไฟที่สะพานท่าเรือไว้เบื้องหลังพร้อมทั้งเหตุการณ์อันน่าตื่นเต้นหวาดเสียวเอาไว้ด้วย ทันใดก็ปรากฏตัวพนักงานหรือเก็บค่าโดยสาร จัดการปลุกผู้โดยสารบางคนที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นชำระค่าโดยสาร พอเก็บเรื่อยมาถึงที่เรานั่งอยู่ข้าพเจ้าก็เตรียมหยิบเงินค่าเรือส่งให้ แต่เป็นการน่าประหลาดที่พนักงานเรือนั้นเดินผ่านเราไปอย่างไม่น่าสนใจ

ข้าพเจ้าสงสัยเกรงว่าเขาลืม ต้องหยิบเงินเดินตามไปยื่นให้ ได้รับคำตอบว่ามีผู้ชำระเงินให้แทนแล้วทั้งสามคน ข้าพเจ้าจึงทราบได้อีกว่าเป็นการกระทำของเขาผู้นั้น ซึ่งเป็นการแสดงออกของความกตัญญูรู้คุณของเรา เราทั้งสามหลับมาตลอดทางที่เรือวิ่งอยู่ในทะเล

เราตื่นตาตอนใกล้ย่ำรุ่ง ลุกขึ้นดูเห็นเรือกำลังผ่านวัดพระยาไกรแล้ว สักพักใหญ่ก็ถึงราชวงศ์ เรือทิ้งสมอกลางน้ำเรียบร้อย มีเรือสำปั้น เรือจ้างเกาะอยู่รอบเรือใหญ่ ผู้โดยสารก็พากันทยอยลงเรือจ้างข้ามเข้าฝั่งพระนครพร้อมด้วยข้าพเจ้าและเพื่อนทั้งสอง พอขึ้นจากเรือได้เราก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตน

ข้าพเจ้ายังจดจำเรื่องอยู่เสมอ และเชื่อว่าอานุภาพของผลกรรมแห่งความมีใจเอื้อเฟื้อเผือแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ ดังที่ได้อุบัติมา ช่วยปัดเป่าให้ข้าพเจ้าพ้นจากวิกฤตการณ์ที่จวนเจียนจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้วได้อย่างมหัศจรรย์ยิ่งข้าพเจ้าเชื่อมั่นในกรรมดีว่าจะต้องช่วยผู้ประพฤติปฏิบัติอยู่เสมอ ดังที่ข้าพเจ้าได้ประสบมาแล้ว



>>>>> จบ >>>>>
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2004, 3:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
la
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 29 ก.ค.2005, 6:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ก้อนดิน
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 07 ก.ค. 2004
ตอบ: 623

ตอบตอบเมื่อ: 02 ธ.ค.2006, 11:39 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ไลลารินทร์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 14 ก.ค. 2006
ตอบ: 64

ตอบตอบเมื่อ: 14 มี.ค.2007, 12:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ความกตัญญูรู้คุณเป็นสมบัติของผู้ที่ประเสริฐจริงๆ สาธุ
 

_________________
เชื่อ ศรัทธา และเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยหัวใจอย่างไม่มีข้อกังขาใดๆ
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวYahoo Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง