Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 พระอินทร์กับอสูร (ตำนานธชัคคปริตร หรือพระปริตร ยอดธง) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2006, 1:51 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พระปริตรนี้ โดยปรกติเรียกว่า ธชัคคสูตร แต่ในที่บางแห่งแม้ในอรรถกถาของพระสูตรนี้เอง เรียกว่า ธชัคคปริตร เห็นจะเป็นเพราะการนำเอามาทำเป็นพระปริตรนั้นเอง

...... มีเรื่องเล่าว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนพระภิกษุทั้งหลายให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ โดยทรงนำเอาเรื่องสงครามระหว่างพวก เทวดา และพวกอสูร เมื่อครั้งกำลังติดพันกันในสมัยก่อน มาตรัสเป็นตัวอย่างว่า

...... ในสงคราม ครั้งนั้น ได้มีพระอินทร์ หรือท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่ของพวกเทวดาทั้งหลาย ได้ตรัสแนะนำให้พวกเทวดาที่เข้าสงคราม ถ้าเกิดความหวาดกลัว ก็ให้ดูยอดธงที่ งอนรถ เพื่อให้หายหวาดกลัว หานความครั่นคร้าม หายความสยดสยองต่อข้าศึก ซึ่งมีมูลเหตุมาจากการแย่งที่อยู่กันบนสวรรค์ เพราะแต่เดิมนั้น เทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ เป็นที่อยู่ของเทวดาพวกหนึ่ง เรียกว่า เนวาสิกเทวบุตร (เทวบุตรผุ้อยู่ประจำ) มีท้าวเวปจิตติเป็นหัวหน้า ต่อมา เมื่อ “มฆะมาณพ” ชาวบ้านอจลคามในอาณาจักร มคธ ผู้บำเพ็ญวัตตบท ๗ ประการ กับภรรยา ๔ คน ได้ชักชวนเพื่อนอีก ๓๒ คน ร่วมกันสร้างกุศลกรรมต่างๆ ครั้นตายลง มฆะมาณพกับพวกเพื่อน ๓๒ คน และภรรยา ๓ คน (ขาดนางสุชาดา) ได้ไปเกิดในเทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ ที่พวกเนวาสิกเทวบุตรอยู่ มฆะมาณพไปเกิดเป็นพระอินทร์ คือท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่ ของเทวดา ส่วนนายช่างของ มฆะมาณพไปเกิดเป็น วิสสุกรรมเทวบุตร นายช่างเทวดา ภรรยา ๓ คน คือ นางสุธัมมา นางสุนันทา นางสุจิตรา ก็ไปเกิดเป็นมเหสีของพระอินทร์

...... ฝ่ายเนวาสิกเทวบุตร เมื่อเห็นพวกเทวดามาเกิดใหม่ ก็จัดเครื่องดื่มพวกน้ำเมา (เรียกว่า ทิพพปานะบ้าง คันธปานะบ้าง) เลี้ยงต้อนรับผู้มาใหม่ แต่ท้าวสักกะ นัดหมายมิให้พวกพ้องของตนร่วมดื่ม พวกเนวาสิกเทวบุตร พากันดื่มฝ่ายเดียวจนเมามาย นอนหลับไหล อยู่ตามภาคพื้น ท้าวสักกะ จึงบอกแก่พวกของตนว่า เราไม่ต้องการให้ราชสมบัติ ณ ที่นี้ เป็นสาธารณะแก่พวกเนวาสิกเทวบุตร จึงสั่งให้พรรคพวกของตน จับพวกเทวบุตรขี้เมา ขว้างลงไปในมหาสมุทร ณ เชิงเขาพระสุเมรุ พอตกลงมาถึงกลางช่วงเขา พวกเนวาสิกเทวบุตรได้สติ จึงปรารภกันว่า แต่นี้ไปเราจะไม่ดื่มสุรากันอีกแล้ว แต่นั้นมาพวกเนวาสิกเทวบุตร จึงมีนามใหม่ว่า “อสุรา” แปลว่า ผู้ไม่ดื่มสุรา และด้วยบุญญานุภาพของพวกเนวาสิกเทวบุตร จึงดลบันดาลให้มีอสูรภิภพเกิดขึ้น ณ เบื้องล่างเขาพระสุเมรุ มีต้นไม้ชื่อ จิตตปาลี (แปลว่าต้นแคฝอย) เกิดขึ้นเป็นต้นไม้ประจำพิภพของอสูร ส่วนเทวโลกบนยอดเขาสุเมรุ ก็กลายเป็น สุทัศนเทพนคร ของพระอินทร์ กับพรรคพวกผู้เป็นสหาย มีวิมาน มีอุทยาน มีสระโบกขรณี มีเวชยันต์ปราสาท เวชยันต์ราชรถ และอื่นๆ เกิดขึ้นด้วยอานุภาพของ ท้าวสักกะกับมเหสี และเทวดา ๓๒ องค์ ซึ่งสร้างกุศลร่วมกันมา ตั้งแต่นั้น สวรรค์ชั้นนี้จึงมีนามว่า ดาวดึงส์เทพนคร (นครของเทวดา ๓๒ องค์) ท่านกล่าวว่า เทพนครกับอสูรนครนั้น มี สมบัติเท่าเทียมเสมอกัน

....... ส่วนนางสุชาดา ภรรยาอีกคนหนึ่งของ มฆะมาณพ นั้น เมื่อภรรยา ทั้ง ๓ คนเขาสร้างกุศลกัน ตนเองก็มิได้ร่วมสร้างด้วยเพราะคิดเสียว่าตัวเป็นภรรยา เมื่อสามีทำแล้วก็เท่ากับตนเองทำด้วย จึงสาละวนอยู่กับการแต่งตัว มิได้ขวนขวายก่อสร้างการกุศลใด ครั้นตายลงจึงไปเกิดเป็นนกยาง วันหนึ่งพระอินทร์ทรงรำพึงว่า เมื่อครั้งเราก่อสร้างสิ่งกุศลอยู่เมืองมนุษย์ เคยมีภรรยา ๔ คน บัดนี้มาเกิดอยู่ร่วมกัน ๓ คน แล้วนางสุชาดาอีก ๑ คนไปอยู่ที่ไหน

....... เมื่อตรวจดู ไปก็ทรงทราบว่านางสุชาดาไปเกิดเป็นนกยาง จึงลงมาแนะนำให้รักษาศีล มิให้กินปลาเป็น ให้กินแต่ปลาตาย เมื่อหาปลาตายกินไม่ได้ นางนกยางนั้นก็อดอาหาร และซูบผอมลงแล้วก็ตายไปเกิดเป็น ธิดาช่างหม้อ พระอินทร์ ก็ลงมาแนะนำให้รักษาศีล ครั้นนางสิ้นชีพในชาตินั้น ก็ไปเกิดเป็นธิดาผู้งดงามของท้าวเวปจิตติ ราชาแห่งอสูร ผู้เป็นศัตรูคู่แค้นกับท้าวสักกะ ครั้นเจริญวัยบิดาก็งานสยุมพรให้พระธิดาเลือกคู่ครอง พอดีพระอินทร์ทรงทราบ จึงแปลงองค์เป็นอสูรแก่มายืนอยู่ท้ายสุดของที่ชุมนุม แล้วด้วยบุพเพสันนิวาส นางก็โยนพวงมาลัยมาให้อสูรชรา คือท้าวสักกะ ที่ชุมนุมก็อลเวงพวกอสูรหนุ่มก็หาว่านางไปเลือกอสูรแก่ไม่คู่ควรกัน พระอินทร์ผู้เป็นอสูรแก่ปลอมก็อุ้มนางพาไปขึ้นเวชยันต์ราชรถ ซึ่งมาตลีเทวบุตรนำมาซุ่มรอไว้ พากันเหาะหนีไปยังสุทัศนเทพนคร ซึ่งเป็นมูลเหตุอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกอสูรแค้นเคืองพวกเทวดามาก

....... ตั้งแต่นั้นมา ครั้นถึงฤดูที่ต้นจิตตปาลี ต้นไม้ประจำพิภพอสูร ผลิดดอกบาน พวกอสูรก็รำลึกถึงต้รน ปาริฉัตรที่เคยเป็นของตน อสูรก็ยกทัพมารบกับเทวดาพวกของพระอินทร์ เป็นสงครามประจำฤดูกาลและผลัดกันแพ้ - ชนะ ด้วยเหตุนี้ท้าวสักกะผู้เป็นราชาแห่งเทวดาทั้งหลาย จึงตรัสแนะนำให้เทวดาทั้งหลายที่เข้าสงครามดูยอดธงของพระองค์ ถ้าไม่เห็นก็ให้ดูยอดธงของเทวราช อีก ๓ องค์ ซึ่งมาในกองทัพคือ เทวราชผู้มีพระนามว่า ปชาบดี เทวราชผู้มีนามว่า วรุณ และเทวราชผู้มีนามว่า อีสาน ซึ่งพระอรรถกถรจารย์ (พระพุทธโฆสฯ) อธิบายว่าเทวราชพระนามว่า ปชาบดี นั้นมีผิวพรรณและอายุเท่ากันกับท้าวสักกะ และประทับนั่งมา ณ อาสนะเป็นอันดับ ๒ ส่วนเทวราช วรุณ และอีสาน ก็อยู่เป็นอันดับ ๓ และ ๔ ถัดไป

....... พระพุทธเจ้าได้ทรงยกเอาเรื่องสงครามระหว่างเทวดากับอสุร และคำตรัสแนะนำของท้าวสักกะที่ตรัสแก่ทวยเทพเป็นแนวเปรียบเทียบ แล้วตรัสสอนให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติกัมมัฏฐาน หรือสมาทานธุดงต์ ไปอยูตามโคนไม้ หรือในอาคารที่สงัด ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อระงับความกลัว ความครั่นคร้าม และความสยดสยอง เช่น ข้อความในธชัคคปริตร ซึ่งพระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ว่า อานุภาพของพระปริตรบทนี้แผ่ไปทั่วอาณาจักรเขตแสนโกฏิจักรวาฬ ผู้ที่ระลึกพระปริตรนี้แล้วแล้วรอดพ้นจากทุกข์ที่เกิดจากภัยมียักษ์และโจรเป็นต้น นับไม่ถ้วน ผู้มีจิตเลื่อมใส ระลึกถึงพระปริตรนี้ ย่อมจะได้หลักพึ่งพิงได้


จากหนังสือสวดมนต์ ฉบับอุบาสก อุบาสิก : วัดเกตุมดีศรีวราราม จ.สมุทรสาคร
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 05 ส.ค. 2006, 3:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สา.........ธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง