Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความบริสุทธิ์ (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 2:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ความบริสุทธิ์
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๕



เรื่องความบริสุทธิ์ที่ข้าพเจ้าจะได้เสนอท่านต่อไปนี้ เป็นเหตุการณ์ที่ข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยรุ่น จะเป็นเพราะเหตุบังเอิญหรือด้วยอำนาจอธิษฐานก็ตาม แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่มีความบริสุทธิ์ไม่เคยทำผิดคิดร้ายใคร เมื่อมีคนเข้าใจผิดคิดมุ่งร้ายจนถึงเข้าที่คับขันเกือบจะเอาตัวไม่รอด แต่อำนาจจิตแห่งความบริสุทธิ์ย่อมจะเป็นหลักสำคัญ เป็นกำลังใจอันหนึ่งเพื่อจะต่อสู้เหตุการณ์ครั้งนั้นเลย

เมื่อครั้งสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ข้าพเจ้าจำได้ว่า งานออกร้านรื่นเริงมีปิดทองหลังพระหรือนมัสการ มีการเล่นพนัน ๒ ประเภท ซึ่งมีตกเบ็ด โยนห่วง ยิงเป้า ไม้หมุน เหล่านี้เป็นต้น หากว่างานใดไม่มีการพนันประเภทนี้ ก็รู้สึกว่างานนั้นหย่อนความสนุกสนานไปมาก

เวลานั้นอายุของข้าพเจ้าย่างเข้าวัยรุ่น แต่ยังอยู่ในวัยเรียน วันที่เกิดเหตุยังจำได้ดีว่าเป็นวันเสาร์ ได้นัดเพื่อนร่วมเรียนและอายุรุ่นเดียวกันเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียง ชวนกันไปเที่ยวงานนมัสการพระพุทธบาทจำลองที่วัดบางหว้า ตำบลบางกอกน้อย ธนบุรี สมัยนั้นโรงเรียนหยุดวันเสาร์ครึ่งวัน วันอาทิตย์หยุดเต็มวัน หลังจากเราเรียนตอนเช้าแล้ว ก็ถึงเวลาที่นักเรียนเข้าห้องประชุมมีอาจารย์ใหญ่เป็นประธานให้โอวาทอบรมสั่งสอนศีลธรรม ที่นักเรียนควรประพฤติเพื่อเป็นพลเมืองดีต่อไป

ท่านตักเตือนให้นักเรียนขยันเอาใจใส่ในการเรียน เพื่อความรุ่งเรืองของตนในอนาคต จะได้เป็นที่พึ่งของพ่อแม่พี่น้อง ให้มั่นอยู่ในความกตัญญูรู้บุญคุณของบิดามารดา ครูอาจารย์ และผู้ที่ทำคุณให้แก่ตน เว้นสิ่งที่ผิดที่ชั่ว ใครทำสิ่งไม่ดีก็เอามาตักเตือนสั่งสอนว่ากล่าว ชี้ให้เห็นผิดเห็นชอบ ให้เห็นว่าสิ่งใดควรและไม่ควร ใครทำดีและประพฤตตัวดีท่านก็ยกย่องสรรเสริญนำมาเพื่อเป็นตัวอย่างกล่าวชมเชย

ในที่ประชุมรู้สึกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ได้คอยเอาใจใส่อบรมในความประพฤติของนักเรียน ทั้งในและนอกโรงเรียน คอยสั่งสอนทุกวันเสาร์ในห้องประชุม ยกตัวอย่างนิทานและเหตุการณ์ชีวิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาเล่าให้ฟัง เช่น คนที่มีวิชาความรู้ดีแต่ต้องติดโทษที่คุมขัง ทุกข์ทรมานด้วยความประพฤติไม่ดี เป็นต้น

ท่านเคยกล่าวเสมอว่า ถึงจะมีความรู้ดีมีวิชาแต่ความประพฤติไม่ดี วิชาความรู้ก็ไม่สามารถที่จะช่วยตัวเองไปสู่ทางดีได้ ถ้ามีทั้งวิชาความรู้ ประพฤติดีมีความกตัญญู ย่อมจะนำไปสู่ความรุ่งเรืองในชีวิต จะเป็นที่ชื่นชมสรรเสริญของคนทั่วไป เพราะการงานทั่วไป ย่อมแสวงหาคนที่มีความรู้ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต พร้อมด้วยศีลธรรมดีงามเป็นที่ไว้วางใจ

ข้าพเจ้าเคยพบท่านนอกโรงเรียนหลายครั้ง เมื่อทำความเคารพท่าน ท่านจะยิ้มและทักทายด้วยถ้อยคำที่แสดงความรักใคร่กรุณา ท่านชอบเรียกข้าพเจ้าว่า “พลเมืองดี” ท่านมักจะทักว่า “เธอไปไหนมาพลเมืองดี” ทำให้ข้าพเจ้าหยิ่งและผยอง ด้วยอยากจะทำความดีให้สมกับที่ท่านเรียกว่า พลเมืองดี สัณชาตญาณทำให้เรารู้ว่าท่านมีความเมตตาต่อเรามาก จะเห็นได้จากสายตาแสดงถึงความเอ็นดู และท่าทางอันสุภาพของท่าน ข้าพเจ้ายังเคยได้ยินท่านพูดในที่ประชุมว่า

“ครูอยากให้นักเรียนทุกคนเป็นพลเมืองดี ประพฤติตัวดี ถ้าพวกเธอดีครูก็มีความสุขสบายใจ แต่ถ้าทราบว่าพวกเธอประพฤติตัวไม่ดีครูก็เสียใจไม่มีความสุข นักเรียนทุกคนเป็นเหมือนลูกหลาน หวังว่านักเรียนทุกคนคงจะไม่ทำให้ครูผิดหวังเสียใจและหมดความสุขเป็นแน่”

รู้สึกว่าคำพูดของท่านคงจะเข้าถึงจิตใจนักเรียนบ้างไม่มากก็น้อย พวกเราจึงเชื่อฟังคำของท่านและพยายามประพฤติตัวดี วันเสาร์นั้นหลังจากที่ท่านให้โอวาทเสร็จ ปิดประชุมแล้วก็สวดมนต์ เมื่อจบแล้วก็สรรเสริญพระบารมี เลิกเรียนครึ่งวัน ข้าพเจ้ามิได้รอช้ารีบชวนเพื่อนกลับบ้าน ผลัดเครื่องแต่งตัวนักเรียนออก สวมกางเกงขาวแพร ใส่เสื้อนอกแพรกระดุม ๕ เม็ด ใส่รองเท้าแตะและหมวกตามความนิยมสมัยนั้น ขึ้นรถรางสายเหลืองไปสุดระยะที่หลักเมือง (เวลานั้นมีรถรางสองสาย คือสายเหลืองมีระยะจากถนนตกถึงหลักเมือง และสายแดงวิ่งรอบเมือง)

เมื่อเราลงจากรถแล้วก็เดินตัดท้องสนามหลวง ตรงไปข้ามที่ท่าช้าง ไปขึ้นที่ท่ารถไฟสถานีบางกอกน้อย ไม่ช้าเราทั้งสองก็เข้าไปในเขตงานออกร้าน มนัสการปิดทองพระพุทธบาทจำลองบางหว้า รู้สึกว่าผู้คนมาเที่ยวในงานยังไม่มากนัก เห็นจะเป็นเพราะเวลาบ่ายแดดร้อน คงเห็นทหารเรือจำนวนมากเที่ยวเดินเตร่ทั่วๆ ไป เพราะได้หยุดวันเสาร์ครึ่งวันเหมือนกัน ก่อนอื่นเราไม่ลืมที่จะตรงไปไหว้พระปิดทอง ซื้อดอกไม้ธูปเทียนและทองคำเปลว ซึ่งมีผู้แย่งเสนอขายในบริเวณนั้น รู้สึกว่าสมัยนั้นต้องทำบุญไหว้พระเสียก่อนที่จะหาความสนุกสนานกันต่อไป

เมื่อเรานมัสการจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธบาทพร้อมด้วยดอกไม้ และปิดทองเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกจากมณฑลพระพุทธบาท เห็นพวกวณิพกนั่งเรียงรายตามทางออกใกล้มณฑป คอยผู้ที่ไหว้พระเดินผ่านมา บ้างก็เป่าสังข์ บ้างก็ตีระนาด พิณพาทย์ และเครื่องดนตรีเท่าที่หามาได้ ต่างคนต่างบรรเลงเพลงคนละที ช้าบ้างเร็วบ้างตามแต่จะถนัด ฟังแล้วจึงดูไม่เข้ากันเลย ผู้ที่มีใจบุญจะหยอดเศษเงินใส่ลงพานที่ตั้งไว้ตรงหน้าวณิพกพวกนั้น เรียกว่าฉลองหรือสมโภชเมื่อหลังจากทำบุญแล้ว ฉะนั้น จึงไม่ได้ยินการให้ศีลให้พร เห็นจะถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยน

จากนั้นก็มีพวกแม่ชีซึ่งนั่งพับเพียบเรียงรายกัน ตรงหน้ามีผ้าแดงปูไว้เพื่อที่จะได้รับบริจาคทานจากผู้ใจบุญทั้งหลาย ตลอดทางลงบันไดมีพวกขอทานนั่งเรียงรายสองข้างมีสภาพต่างๆ กัน บ้างก็ตาบอด แขนด้วน ขาด้วน บ้างก็มี ขาลีบ แขนลีบบ้างก็มี รูปร่างอ้วนล่ำสันใส่หมวกปิดถึงลูกตา นั่งทำตัวสั่น มือสั่น พูดเสียงสั่นๆ จนฟังไม่รู้เรื่อง ทั้งน้ำลายยังไหลยืด จับเค้าพูดได้เพียงขอให้ทำบุญทำทาน นอกจากพวกทุพพลภาพแล้ว ก็มีหญิงแม่ลูกอ่อนอุ้มลูกให้กินนม แล้วยังมีลูกหน้าตามอมแมมตัวดำๆ นอนหัวพาดตัก ที่โตหน่อยนั่งข้างๆ แม่ คอยร้องขออัฐยกกะลาขึ้นชูเมื่อคนเดินผ่านไปมา


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 2:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จากนั้นก็มีพวกเป็นโรคเรื้อน มือกุด จมูกยุบ หูหนา น้ำเหลืองเฟะ คอยยกมือที่ไม่มีนิ้วขึ้นชูร้องขอเมื่อมีคนเดินผ่านด้วยเสียงอู้อี้ฟังไม่ได้ศัพท์ คนพวกนี้เป็นพวกมีกรรมเป็นที่รังเกียจของสังคม คนที่ผ่านไปมาที่เป็นพวกหนุ่มๆ สาวๆ จะรีบสาวเท้าให้ผ่านพ้นไปเร็วๆ แสดงท่าทางขยะแขยงรังเกียจ

นอกจากนั้นบางคนก็มีหนังหุ้มกระดูก นอนอยู่บนเสื่อเก่าๆ มีผ้าปิดร่างกายเป็นส่วนน้อย ลูกตาลึกลงไป เบ้าแก้มทั้งสองข้างลึกบุ๋มลงไป ทำให้เห็นฟันยื่นออกมาคล้ายซากศพที่ยังมีลมหายใจ เห็นแล้วเป็นที่น่าสังเวชยิ่ง ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรไว้ ข้างตัวมีชามกะละมังเก่าๆ ก้นทะลุวางไว้ เพื่อให้ผู้ใจบุญทั้งหลายบริจาคทาน

รู้สึกว่าส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปใกล้ แม้แต่เวทนาเมตตาสงสาร ก็เพียงแต่โยนเศษเงินไปให้แต่ห่างๆ สังเกตเห็นเศษเงินตกอยู่ข้างๆ มากกว่าอยู่ในกะละมัง เมื่อมีผู้ผ่านไปแกก็ได้แต่ยกมือข้างเดียวซึ่งมีแต่หนังหุ้มกระดูกเป็นเครื่องหมายว่าขอให้ช่วยทำบุญทำทาน ส่วนเสียงนั้นแม้จะออกจากปากบ้างก็แหบๆ และค่อยจนจับใจความไม่ได้ พวกเด็กและหญิงสาวบางคน เมื่อเดินผ่านก็รีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่น เพราะไม่กล้ามองดูสภาพที่ทุเรศ แสดงกิริยาทั้งรังเกียจและกลัว

สิ่งที่คล้ายคลึงกับพวกขอทาน เมื่อมีผู้ผ่านมาก็ยกมือขึ้นเหนือหัวและชูภาชนะที่สำหรับใส่เศษเงินขึ้น แล้วรำพึงรำพันถึงความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เพื่อให้ผู้ใจบุญมีความเมตตาสงสาร พอมีผู้หยอดเศษเงินลงไปให้ก็ให้ศีลให้พรซ้ำๆ ซากๆ คล้ายคลึงกันแทบทุกคน บัดนี้ เมื่อหวนนึกถึงภาพเหล่านั้นครั้งใดแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า

ภาพนั้นก็คือนรกในเมืองมนุษย์ที่เราจะหาดูได้จากสถานที่เหล่านี้ สมัยนั้นรู้สึกว่าจะมีคนใจบุญมาก สังเกตดูบางคนมีใจประกอบด้วยจิตใจสงสาร เป็นผู้ชอบประกอบกรรมดี อุตส่าห์แลกเศษเงินเป็นจำนวนมากห่อผ้าแดง ตั้งใจมาแต่บ้านว่าจะมาทำทานแจกเรียงตัวให้ทั่วถึงทั้งสองข้างทาง ท่านพวกนี้ไม่มีการรังเกียจ หรือขยะแขยงต่อสภาพความเป็นอยู่ของพวกเหล่านี้เลย รู้สึกว่าปลงตกให้ความสงสารและเห็นใจมากกว่าสิ่งอื่น

แต่ก็มีบางคนเดินผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้ใยดีต่อเสียงโอดครวญใดๆ บางคนก็แสดงกิริยารังเกียจรีบเดินหนีให้พ้นๆ บางคนไม่ยอมให้ทานแล้วยังบ่นว่าด้วยความรังเกียจและรำคาญ บ้างก็บริจาคทานเท่าที่เศษเงินจะอำนวยให้ ทุกคนจิตใจไม่เหมือนกัน แล้วแต่ใครจะมีใจเป็นกุศลมากน้อย ที่ชั่วก็มี ที่ดีก็มากในหมู่คนทั่วๆ ไป สำหรับข้าพเจ้ากับเพื่อนนั้นเลือกให้ทานแก่คนชรากับคนพิการที่ไม่สามารถเลี้ยงชีพได้จริงๆ เท่าที่ผู้อยู่ในวัยเรียนยังพึ่งผู้ปกครองเงินจำกัด พอจะเจียดบริจาคได้ คิดแล้วก็อดภูมิใจไม่ได้ว่า “เรานี่ก็เป็นผู้มีบุญที่ได้แผ่ส่วนบุญให้พวกนี้ ได้ด้วยการบริจาคทาน อย่างน้อยก็มีสุขใจที่ได้เปรียบเทียบชีวิตเช่นนี้”

ถ้าหากข้าพเจ้ามีบาปมีกรรมทำไว้แต่ชาติก่อน ก็เห็นจะเป็นฝ่ายผู้รับ และคงจะต้องไปนั่งรวมในฝ่ายผู้ขอเป็นแน่ และคงจะคอยยกมือขึ้นท่วมหัวเมื่อคนเดินผ่านไปมา แล้วก็รำพันรำพึงความทุกข์ยากต่างๆ เพื่อให้ผู้ใจบุญสงสารและเวทนาและเห็นใจ นี่ก็เป็นกฎแห่งกรรมดีและชั่ว ย่อมเกิดมาไม่เหมือนกัน เมื่อผ่านพ้นพวกขอทาน เราก็ไม่ลืมแวะไปนมัสการหลวงพ่อในโบสถ์ ซึ่งชาวบ้านนับถือว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก จึงไปนมัสการ รู้สึกว่ากลิ่นธูปควันเทียนฟุ้งไปในโบสถ์ซึ่งไม่สู้ใหญ่โตนัก

นอกจากพวกที่มาไหว้พระแล้ว บางคนก็ถือโอกาสเสี่ยงใบเซียมซีถามถึงโชควาสนา ได้ยินเสียงพึมพำเขย่ากระบอกติ้วอยู่ไม่ขาดระยะ มีทั้งชาวจีนและชาวไทย ส่วนมากเป็นหญิง แต่เราไม่ได้เอาใจใส่เพราะถือว่าโชคชะตาเราเป็นผู้สร้างเอง พอไหว้พระเสร็จก็ออกไปที่หน้าโบสถ์ เห็นขอทานเรียงรายอยู่แถวนั้นแต่ไม่มากนัก ต่อมาเราก็ไม่ได้เห็นภาพเช่นนั้น เพราะบ้านเมืองเจริญภาพที่อุจาดก็หายไป

เมื่อเราได้ทำบุญเรียบร้อยแล้ว ก็ผ่านการละเล่นเก็บเงินค่าดูต่างๆ ซึ่งเป็นของธรรมดาของงานวัดทั่วๆ ไป เราเดินไปถึงบริเวณที่มีการเล่นพนัน ตกเบ็ด โยนห่วง ยิงเป้า ไม้หมุน การที่ข้าพเจ้าพูดถึงการเล่นพนันตกเบ็ดในสมัยนั้น บางคนในรุ่นหลังๆ นี้อาจจะไม่รู้ว่าเขาเล่นกันอย่างไร เพราะการพนันประเภทนี้ได้ยกเลิกมานานแล้ว แต่ในสมัยนั้นเป็นที่นิยมของคนส่วนมาก หากงานออกร้านวัดใดวัดหนึ่ง ถ้าไม่มีการพนันประเภทนี้แล้วงานนั้นก็ย่อมจะขาดความสนใจของประชาชนไปมาก

ในที่นี้ข้าพเจ้าจะพูดวิธีการเล่นตกเบ็ดโดยเฉพาะเท่านั้น เพราะเกี่ยวกับเหตุการณ์ในเรื่องนี้โดยตรง เครื่องมือที่ประกอบการเล่นตกเบ็ดนั้นก็มี ไหกระเทียม ที่เรียกว่าไหกระเทียม ก็เพราะว่า ไหพวกนี้ใส่กระเทียมดองมาจากเมืองจีน ไหนี้มีมากมายแทบทุกครัวเรือนในเมืองไทยไม่ว่าในกรุงหรือชนบท แต่ในสมัยนี้คงหาดูได้ยาก รูปร่างของไหนั้นสูงประมาณ ๑ ฟุต โตขนาดเท่าบาตรพระ เคลือบสีน้ำตาลไหม้ ปากไหพอจะเอามือล้วงลงไปได้พอดี ตรงกลางไหปล่อง แล้วเรียวขึ้นทางปากไหและเรียวลงทางก้น ก้นไหก็ไม่โตกว่าปากไหเท่าใดนัก พอจะตั้งได้ไม่ล้ม เขาเอามาตบแต่งให้สวยงาม โดยเอากระดาษสีต่างๆ จักเป็นฝอยปิดลงไปโดยไม่เห็นเนื้อเดิมของไห

ในไหบรรจุตลับขนาดเท่าเหรียญบาท มีฝาแน่นพอจะเปิดปิดได้เรียบร้อย ในตลับบรรจุเบอร์เลขหรือรูปสัตว์หรือรูปผลไม้ แล้วแต่เจ้าของร้านดัดแปลงให้แปลกไป แต่ละชนิดมีเหมือนกัน ๓ ตลับ บนโต๊ะปูผ้าน้ำมันก็จะเขียนเบอร์หรือรูปสัตว์ ผลไม้แบบเดียวกับในตลับ และขีดเส้นเขตเป็นช่องๆ บางแห่งก็เพียงใช้ผ้าขาวขึง และขีดเส้นเขียนเบอร์เลขด้วยน้ำหมึกก็มี เขาเอาไหตั้งไว้กลางโต๊ะระยะหัวท้ายของโต๊ะ ข้างตัวเจ้ามือเอาตลับใส่ลงไปจนครบจำนวนแล้ว เจ้ามือจะยกไหขึ้นเขย่า แล้วให้ผู้แทงๆ เบอร์ตามผ้าใบน้ำมันที่ปูไว้มีเบอร์ตามช่องๆ

เมื่อมีผู้แทงแล้วก็ให้ผู้แทงใช้ไม้ยาวประมาณศอกโตเท่าตะเกียบ ปิดกระดาษฝอยๆ เขียวๆ แดงๆ ปลายไม้มีเชือกผูกแม่เหล็กรูปเกือกม้า สำหรับหย่อนลงไปเพื่อตกตลับในไห แม่เหล็กก็ไปดูดตลับขึ้นมา และจะต้องให้ตลับติดขึ้นมาเพียงอันเดียวหรือไม่เกินครั้งละสามตลับ ออกครั้งละสามตลับออกครั้งละสามเบอร์ เมื่อเปิดออกถ้าเบอร์ตรงกับที่เราแทงไว้เจ้ามือก็จะให้เป็นบัตรแข็งมีราคาจำนวนเงิน และยี่ห้อชื่อของร้านนั้นเสร็จเรียบร้อย ผู้ที่แทงถูกได้บัตรนี้จะแทงแทนเงินต่อไป หรือจะนำเอาไปขึ้นเป็นสิ่งของในร้านนั้นได้ตามราคาในบัตร แต่ส่วนมากมักไปขอขึ้นเงินสดหลังร้าน เพราะบางครั้งมีผู้มาแทงได้เสียกันมากๆ เหมือนกัน

การเอาบัตรไปขึ้นเงินสดนั้นผิดกฎหมาย ฉะนั้นจึงต้องแอบไปขึ้นหลังร้าน ถ้าทางการรู้จะริบใบอนุญาตห้ามเล่นต่อไป แต่การใช้แม่เหล็กนั้นออกจะช้าไม่ได้รับความสะดวก เพราะบางครั้งจะติดตลับขึ้นมาเป็นพวงตั้ง ๔ - ๕ ตลับตามกำลังของแม่เหล็กจะยกขึ้นมาได้ เจ้ามือต้องปลดตลับลงไปในไหใหม่ บางครั้งต้องลงมือใหม่ บางครั้งต้องตกกันหลายหน กว่าจะพอดีได้เพียงหนหนึ่งหรือสองถึงสามตลับ รู้สึกว่าช้าและไม่สะดวก ภายหลังเจ้ามือจึงอนุญาตให้ผู้แทงเอามือล้วงไปหยิบขึ้นมาได้ แทนที่จะใช้แม่เหล็กตก


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 3:02 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉะนั้น คำว่า “เล่นตกเบ็ด” ก็ไม่มีความหมายอะไร กลายเป็นล้วงตลับขึ้นจากไห เมื่อเราเลือกร้านตกเบ็ดที่เราเห็นว่าไม่ค่อยมีคนมาเล่นมากนัก ซึ่งออกเป็นเบอร์เลข ถ้าเป็นกลางคืนคงจะเบียดกันเข้าไป หรืออาจจะเข้าไม่ถึงเพราะคนแน่นก็ได้ เมื่อเราเลือกแทงเบอร์เรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนล้วงเอาตลับขึ้นมาจากไห จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายก็ไม่แน่ เพราะเมื่อข้าพเจ้าล้วงลงไปในไหหยิบตลับขึ้นมา ทุกครั้งเปิดออกก็ตรงกับเบอร์ที่เราแทงเสมอไปอย่างประหลาด ทั้งๆ ที่ข้าพเจ้าล้วงขึ้นมาตามบุญตามกรรม

คราวนี้พวกที่ต่างคนต่างแทงก็มารุมแทงตามข้าพเจ้าเป็นการใหญ่ เขาเรียกว่า มือเฮง บางคนแทงหนักมือเสียด้วย พอเปิดออกคราวใดต้องฮากันแทบทุกครั้ง เพราะมันตรงกับเบอร์ที่เราแทง เจ้ามือรู้สึกว่าชักหน้าเสียเหงื่อแตก ข้าพเจ้าชอบแทงเบอร์ซ้ำๆ แต่ก็ถูกเกือบทุกครั้ง เล่นไปสักพักหนึ่ง เจ้ามือมองหน้าข้าพเจ้า แล้วทำท่าไม่พอใจ บอกว่าขอหยุดพักชั่วคราว แล้วแกก็ยกไหขึ้นเทตลับออกมาจากไหอย่างพิจารณา แล้วเช็ดด้วยผ้า แต่ทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ

พวกเรากำลังสนุกสนานต้องมายืนคอยว่าเมื่อใดจะได้ลงมือเล่นต่อไป เมื่อเจ้ามือเทตลับออกมาตรวจนับเรียบร้อยแล้ว ก็เรียกคนในร้านมากระซิบหู ซึ่งข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเขาพูดอะไรกัน ชายผู้นั้นมามองดูหน้าข้าพเจ้าแล้วก็เดินไป ยังไม่สงสัยว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เมื่อเจ้ามือตรวจดูตลับและนับถี่ถ้วนเรียบร้อยแล้ว ก็ใช้มือกอบตลับลงใส่ในไหอย่างเดิม แต่แทนที่แกจะเริ่มลงมือเล่นต่อไป แกกลับพูดขึ้นลอยๆ ตั้งใจให้ได้ยินทั่วกันว่า

“วันนี้โดนนักเลงดีอีกพวกเรา”

คนในร้านมีทั้งจีนและไทยต่างก็ซุบซิบกันแล้วมองดูข้าพเจ้า รู้สึกว่าบรรยากาศในร้านนั้นไม่สู้จะดี แต่แล้วเจ้ามือก็ยืนขึ้นพูด พูดเป็นภาษาจีนข้าพเจ้าเองไม่ทราบว่าเขาพูดว่าอะไร สักครู่หนึ่งจึงเห็นคนที่นอนหลับอยู่หลังร้านตื่นขึ้นมาทำท่างงๆ ร้านใกล้เคียงก็หยุดพักการเล่นออกมายืนฟังยืนดู สัณชาตญาณทำให้เห็นกิริยาของคนเหล่านั้นเริ่มไม่เป็นมิตรกับข้าพเจ้าเสียแล้ว เขาสงสัยว่าข้าพเจ้าเล่นโกงเป็นแน่ เพราะรู้สึกว่าเขาต่างก็มองหน้าข้าพเจ้าผู้เดียว เขาคงจะหาเหตุผลและหลักฐานในข้อหาเสียก่อนแล้วค่อยลงมือเล่นงานเป็นแน่

ข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ ความสนุกสนานเมื่อครู่หายไปหมด เพราะเคยได้ทราบว่าร้านเหล่านี้เคยช่วยกันจับคนขโมยของในร้านได้ แล้วมาช่วยกันซ้อมคนละทีสองที จนคนร้ายสะบักสะบอมมีอาการปางตายก่อนที่ตำรวจจะมาถึง แต่ก็ยังมีร้านบางร้านที่ไม่ยอมร่วมมือด้วย เพราะเห็นว่าทำโทษเกินเหตุ อุตส่าห์ไปตามตำรวจมาก่อนที่คนร้ายนั้นจะฟุบลงคามือคาเท้าพวกเหล่านั้น ฉะนั้นจึงคิดว่าร้านเหล่านั้นที่ชั่วก็มีที่ดีก็มาก มิใช่ชั่วไปหมดทุกร้าน

บัดนี้ ข้าพเจ้าก็อยู่ในฐานะไม่ผิดอะไรกับขโมยคนนั้น ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรดี ข้าพเจ้ากำลังคิดแก้ปัญหา พยายามสงบสติอารมณ์คอยดู เขาจะพูดกล่าวหาอะไรก่อน จะพูดโต้ตอบขึ้นหรือหนีก็เท่ากับกินปูนแล้วร้อนท้อง ได้แต่นึกอยู่ในใจ เรามีความบริสุทธิ์ไม่ได้มีจิตใจทุจริตคิดโกงใคร เราก็ไม่ต้องกลัว แต่.....แล้วก็เห็นเจ้ามือคนนั้นยืนพูดว่า

“พี่น้องทั้งหลาย เมื่อคืนนี้พวกเราโดนนักเลงดี พวกเราต้องได้รับความเสียหายไปไม่น้อย บัดนี้เราได้ตัวแล้ว และอยากอธิบายวิธีโกงให้พี่น้องทั้งหลายทราบเสียก่อน คือเขาใช้ขี้ผึ้งสีปากติดไว้ที่นิ้ว เวลาล้วงลงไปในไหก็ไปป้ายไว้ตลับหนึ่ง อันที่ป้ายขี้ผึ้งนั้นเมื่อเปิดออกมาเป็นตัวไหนก็จำไว้ เมื่อเอาใส่ลงไปในไหใหม่ เมื่อเราเขย่าแล้ว เขาก็จะล้วงไปควานหาตลับที่เขาป้ายไว้ เมื่อขึ้นมาเปิดดูก็ต้องถูกทุกครั้งเป็นธรรมดา นี้เป็นเล่ห์เหลี่ยมของคนโกง เราจึงเสียรู้นักเลงดี.....”

พอข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกดีใจ โกรธแค้นและแสนละอาย แม้จะรู้ว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ใครจะรู้เห็นกับข้าพเจ้าด้วยเหตุผลที่เขายกขึ้นมาพูดนี้ ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยรู้มาก่อนเลย เหมือนจะชี้ให้เห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนโกง ผู้อื่นไม่รู้ความจริงคงเข้าใจว่าเป็นคนโกงแน่ นึกสงสารเพื่อนที่ข้าพเจ้าชวนมาด้วยต้องมารับเคราะห์ด้วยกันแท้ๆ หันไปดูเพื่อนเห็นหน้าแดงด้วยความโกรธและอายเหมือนๆ กัน มองดูรอบตัวก็เห็นชายฉกรรจ์ รูปร่างล่ำสันใหญ่โตกว่าข้าพเจ้ามาก มายืนคอยคุมเชิงอยู่ประมาณเกือบสิบคน ทุกคนไม่ได้ใส่เสื้อมองเห็นกล้ามเนื้อเป็นมัด

เมื่อจะเทียบกันแล้วเราเสียเปรียบมาก แม้จะสู้เพียงตัวต่อตัว ข้าพเจ้าก็หมดทางชนะทางกำลังเสียแล้ว ข้าพเจ้ารู้ตัวว่ากำลังเข้าที่คับขัน สิ่งแรกที่ข้าพเจ้านึกถึงก่อนคือ อาจารย์ใหญ่ เพราะท่านเมตตาเอ็นดูข้าพเจ้ามาก ท่านเรียกข้าพเจ้าว่า “พลเมืองดี”

บัดนี้ ข้าพเจ้ากำลังจะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนโกง ซึ่งตรงกันข้ามกับพลเมืองดี ข้าพเจ้าใจหายคิดว่าจะมองหน้าอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร แสนจะอับอายขายหน้าที่มีคนเขาชี้หน้าว่าเป็นคนโกง เพราะพึ่งได้รับคำสั่งสอนอบรมมาไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง เสียงของท่านยังแว่วอยู่ในหู ท่านคงเสียใจถ้าทราบว่าศิษย์ของท่านกำลังจะนำความเสื่อมเสียไปให้ ข้าพเจ้าเสียใจจนเผลอตัวนึกว่าอาจารย์มายืนอยู่ตรงหน้า พูดขึ้นในลำคอว่า “อาจารย์ครับ ผมเป็นคนบริสุทธิ์ ผมไม่มีความผิดเลย พวกนั้นกำลังจะทำลายอนาคตและชื่อเสียงของผม”

กำลังจะสะอื้นเสียใจ ฉุกคิดได้สติรู้ตัวขึ้นมา ก็กัดฟันมานะ ลูกผู้ชายไม่ยอมให้ความอ่อนแอเป็นภัยเข้ามาทำลายความเข้มแข็งในจิตใจได้เป็นอันขาด หาหนทางที่จะช่วยตัวเองให้พ้นภัยเสียก่อนดีกว่า นึกคิดเท่าใดว่าจะหาทางออกให้ดีเท่าใดนึกไม่ออก ที่สุดก็นึกได้ว่าเมื่อเด็กได้เคยอ่านหนังสือจักรๆ วงศ์ๆ ซึ่งผู้ใหญ่เคยไปเช่ามาอ่านไม่เว้นแต่ละคืน เพราะผู้เฒ่าผู้แก่ชอบฟัง จนข้าพเจ้าจำขึ้นใจว่า พวกนางในเรื่องเมื่อที่อับจนคับขัน ถูกจำจองหรือนำไปฆ่า ถ้ามีความซื่อสัตย์สุจริตบริสุทธิ์อยู่ในตัวแล้ว จะเสี่ยงสัตย์อธิษฐาน แล้วมีปาฏิหาริย์มีผู้วิเศษหรือเทวดามาช่วยให้พ้นภัยไปได้

เราก็มีความบริสุทธิ์สุจริตเป็นหลักทุนเดิมอยู่แล้ว จะลองอธิษฐานดูเป็นความหวังสุดท้าย ข้าพเจ้าเริ่มใช้จิตสงบนึกกราบไหว้พระทุกทิศแต่ในใจว่า ข้าพเจ้าพึ่งทำบุญให้ทานเมื่อครู่นี้เอง ขอให้บุญกุศลและผลของความบริสุทธิ์สุจริตไม่เคยคิดโกงใคร ด้วยผลแห่งความบริสุทธิ์สุจริตของข้าพเจ้า ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นภัยอันตรายในคราวนี้ด้วย เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานแล้วก็เกิดความมั่นใจขึ้นมาว่า ความบริสุทธิ์ที่เรามีอยู่ในจิตใจจะต้องช่วยเราแน่ เพราะเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เคยพูดเสมอ ยังจำได้ดีว่า “อันความซื่อสัตย์และความบริสุทธิ์นั้น ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ จะดำน้ำลุยไฟก็ไม่เป็นอันตราย”

เกิดความเชื่อมั่นในใจ ความหวาดกลัวหายไป จิตใจค่อยปกติขึ้น คอยดูว่าพวกนั้นจะทำอย่างไรต่อไป ทันใดนั้นได้ยินเสียงเจ้ามือพูดขึ้นว่า “คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โปรดออกไปเสียก่อน ประเดี๋ยวจะพลอยเจ็บตัวไปด้วย”


(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 3:05 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ในหมู่นั้นมีอยู่หลายคนที่อยู่ในวงล้อมกับข้าพเจ้า ซึ่งเราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ต่างก็ไม่อยากเจ็บตัวกับข้าพเจ้า จึงแหวกวงล้อมของชายเหล่านั้นออกไป ข้าพเจ้าเห็นหน้าเพื่อนก็สงสารแอบกระซิบว่า “ลื้อรีบออกไปให้พ้นที่นี่เถิดเพื่อน เขาคงไม่สนใจลื้อ เขาตั้งใจเล่นงานอั๊วคนเดียว ปล่อยอั๊วไว้คนเดียวดีกว่า เจ็บคนเดียวดีกว่าเจ็บสองคน รีบออกไปเสีย”

เพื่อนผู้นั้นพูดด้วยเสียงโกรธว่า “ไม่ไปอั๊วจะอยู่กับลื้อ อั๊วไม่ใช่คนขี้ขลาดตาขาว อั๊วไม่ยอมทิ้งลื้อเป็นอันขาด”

ข้าพเจ้าเห็นใจเพื่อนในยามยาก ตื้นตันใจขึ้นมาทันที ใจคอของเพื่อนเด็ดขาด จึงบอกว่า

“ถ้าอย่างนั้น ลื้อกับอั๊วมาตายด้วยกัน เตรียมหันหลังเข้าหากัน”

เวลานั้นคนอื่นๆ ได้ทยอยกันหลีกออกไปหมด และมีชายอายุคราวลุงผู้หนึ่งรู้สึกเห็นอกเห็นใจเรามาก แกออกไปเป็นคนสุดท้าย ก่อนที่จะออกไปบ่นว่า “อ้ายพวกนี้ชักหาเรื่องรังแกเด็กแล้ว ประเดี๋ยวคงได้เรื่องแน่”

เสียงพวกเจ้าของร้านตวาดว่า “คนอื่นไม่เกี่ยวข้องไม่ต้องพูดมาก ประเดี๋ยวจะเจ็บตัวไปด้วย”

ลุงผู้นั้นแกแหวกคนมุงออกไปด้วยความโกรธ ก่อนที่จะลับตัวแกหันมาตะโกนบอกเราว่า

“ทำใจดีๆ ไว้หลานชาย”

ทำให้พวกที่ล้อมอยู่นั้นตาเขียว มองตามเสียงของแกด้วยความโกรธ ข้าพเจ้าจะตกอยู่ในอันตรายก็อดขอบใจแกเสียมิได้ แต่แกยังมีจิตใจเป็นธรรม ส่วนข้าพเจ้าเขากลับไม่ยอมให้ออก จึงรู้แน่แล้วว่าเรากำลังอยู่ในที่คับขัน แล้วก็เห็นเจ้ามือยืนขึ้นพูดต่อไปว่า

“เอาละ ทีนี้เราจะชี้ตัวการให้ดู”

เสียงคนที่ล้อมและห่างออกไปร้องถามว่า “ไหน คนไหน”

คนที่ยืนพูดชี้มายังตัวข้าพเจ้าแล้วพูดว่า “นี่ไงล่ะ เห็นไหม ถึงจะมีปีกก็หนีไม่พ้นแน่”

ข้าพเจ้าโกรธจนตัวสั่น ตะโกนออกไปด้วยความแค้นใจว่า “ไม่จริง ฉันไม่ใช่คนโกง ฉันไม่รู้เรื่อง”

เสียงเจ้าคนที่ยืนพูดหัวเราะ แล้วพูดต่อไปอย่างใจเย็นและเย้ยอย่างคิดว่าตัวเองเป็นต่อ “คนโกงนั้นไม่มีใครรับว่าตัวโกงหรอก เดี๋ยวคงรู้ดี”

แล้วทำเป็นหันไปพูดเป็นเชิงหารือกับพวกของตัวเองว่า “เราจะจัดการอย่างไรกับคนโกงดี”

เสียงพวกนั้นบอกว่า “สั่งสอนตามเคยให้มันรู้จักพวกเราเสียบ้าง”

ทันใดนั้นข้าพเจ้าก็รู้ว่า นาทีสำคัญคับขันที่สุดในชีวิตกำลังจะมาถึงแล้ว แม้ว่าเราจะมีเพียงสองคน จะต้องต่อสู้ป้องกันตัวกับคนจำนวนนับสิบ เราจะต้องยอมแลกเพราะไม่มีทางอื่นจะดีกว่านี้ เราจะไม่ยอมให้มันทำเล่นข้างเดียวง่ายๆ เราไม่ยอมแน่

เสียงตะโกนถามมาว่า “มันมีอาวุธหรือเปล่า”

แล้วมีคนรับร้องต่อไปว่า “เห็นจะไม่มี”

ทันใดนั้นก็มีเสียงแสดงอำนาจร้องบอกว่า “เราลงมือจัดการได้เลย”

เสียงนั้นยังไม่ทันขาดลง ก็มีเสียงตวาดซ้อนขึ้นมาว่า “หยุดนะ ! ใครจะแตะต้องตัวคนทั้งสองไม่ได้ ฉันยืนทนฟังแกมานานแล้วจนฉันทนไม่ไหว ฉันรู้ว่าคนทั้งสองบริสุทธิ์”

คนที่กำลังจะรุมล้อมขยับเข้ามาจับตัวข้าพเจ้า ต่างชะงักและหันไปทางเสียงนั้น ต่างก็หน้าซีดไปตามๆ กัน ชายคนนั้นตวาดอีกว่า “ถอยไปให้พ้น”

พอพวกนั้นห่างตัวข้าพเจ้าออกไปตามคำตวาดแล้ว ข้าพเจ้ามองเห็นทหารเรือชั้นจ่าโทคนหนึ่งเป็นผู้กล่าวถ้อยคำเหล่านั้น และมีพลทหารเรือประมาณ ๗ - ๘ คน ยืนล้อมอยู่รอบๆ หลังผู้ที่ล้อมข้าพเจ้าอยู่อีกชั้นหนึ่ง พวกทหารเรือเหล่านี้เตรียมตัวจะเล่นงานผู้ที่จะจับตัวข้าพเจ้าทันที

ข้าพเจ้ามองเห็นพลทหารเรือ ซึ่งก่อนหน้านี้กระจัดกระจายไปตามร้านอื่นๆ กำลังวิ่งกรูรวมกันเข้ามาเป็นจำนวนสิบๆ เข้ามายืนล้อมในร้านที่ข้าพเจ้าอยู่ เพราะคิดว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกของตัวเอง ในไม่ช้าบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยทหารเรือ ต่างก็อยากรู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น ต่างก็มุงถามกัน เจ้ามือคนที่ประนามข้าพเจ้าและพวกที่กำลังจะจับตัวข้าพเจ้านั้น เห็นได้ชัดว่าต่างตกใจหน้าซีดเผือดไปตามๆ กัน ก่อนหน้านี้พูดเสียงคึกคักวางอำนาจอวดโตอยู่เมื่อครู่นี้ บัดนี้สิ้นเสียงแล้ว พูดเสียงอ่อนๆ ว่า

“ถ้าคุณเห็นว่าสองคนนี้บริสุทธิ์ ผมก็ไม่ว่าอะไร ผมไม่ทำอะไรอีก”


(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 16 ส.ค. 2004, 3:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทันใดนั้นพ่อลุงซึ่งเป็นผู้ที่เห็นใจเราเมื่อครู่นี้ ก็แทรกออกมาจากพวกที่มุงดูพูดขึ้นว่า

“ถ้าพวกเขาจะโกง เขาคงไม่เล่นแทงพวกลื้อทีละสิบสตางค์ และพวกสิบแปดเขาไม่ใช้คนเพียงสองคนอย่างนี้ จำเอาไว้ด้วย บอกเอาไว้แล้วว่าลื้อขืนทำอันตรายคนที่บริสุทธิ์ไม่มีความผิดแล้วประเดี๋ยวร้านพัง กว่าตำรวจจะมาข้าวของฉิบหายหมด”

ทุกคนเงียบเสียงไม่มีใครโต้ตอบ ทันใดนั้นก็มีเสียงจีนสูงอายุผู้หนึ่งเดินออกมายกมือไหว้จ่าโทผู้นั้น ไหว้แล้วไหว้อีก ปากก็พูดเสียงสั่นๆ ว่า “โต้หลงน่ออานายเถ้า อย่าให้มีเรื่องเลย ผมขอโทษเถิด อย่าให้มีเรื่องเลย”

ข้าพเจ้าเห็นแกพนมมือยกขึ้นยกลงตลอดเวลาที่พูด จ่าโทผู้นั้นตอบว่า “อั๊วไม่ได้เป็นคนหาเรื่อง พวกลื๊อต่างหากที่หาเรื่องเอง อั๊วเป็นคนชอบความยุติธรรม ถ้าเขาเป็นคนผิดจริงๆ อั๊วจะช่วยลื้อจับให้ แต่นี่เขาเป็นคนบริสุทธิ์ พวกลื้อหาเรื่องเขาก่อนนี่ บ้านเมืองมีขื่อมีแปจะใช้อำนาจอย่างนี้ไม่ได้”

จีนชราผู้นั้นก้มหัวลงอย่างยอมรับผิด จ่าโทผู้นั้นหันมายิ้มให้กำลังใจกับข้าพเจ้า แสดงความสงสารและเห็นใจว่า “ตกใจมากไหมน้องชาย เราเป็นคนบริสุทธิ์ไม่ต้องกลัว วันนี้ฤกษ์ไม่ดีแล้ว กลับบ้านเสียก่อนดีกว่า ไหนมีบัตรเท่าไหร่ไปขึ้นเงินเลย”

พลางพูดกับจีนชราผู้นั้นว่า “เอ้า ! จัดแจงคืนเงินตามราคาบัตรนั้นให้เขา เป็นอันหมดเรื่องกันเสียที ต่อไปอย่าทะนงตัวไปเที่ยวข่มเหงคนบริสุทธิ์เช่นนี้อีกนะ! อย่าตั้งศาลเตี้ยเอาเอง จำไว้”

เราทั้งสองส่งบัตรที่เล่นได้ให้จีนชราผู้นั้น แกเดินงกๆ เงิ่นๆ ด้วยความกลัวจะมีเรื่อง หยิบเงินคืนให้เราทั้งสองคนมือสั่นตามราคาในบัตร ข้าพเจ้าพูดอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ข้าพเจ้างงไปหมดคล้ายกับว่ากำลังฝันร้ายแล้วก็ตื่นขึ้น ก่อนที่จะได้พูดอะไรกับจ่าโทผู้นั้นเพราะยังไม่หายตื่นเต้น เพียงแต่พูดว่า “ขอบคุณครับ” เพราะนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร

จ่าโทผู้มีคุณผู้นั้นพูดขึ้นอีกด้วยความห่วงใยว่า “วันนี้อย่าเที่ยวต่อเลยนะน้องชาย กลับบ้านเถิด บ้านน้องชายอยู่ไหนล่ะ ?”

ข้าพเจ้าบอกที่อยู่ให้ทราบด้วยเสียงสั่น จ่าโทผู้นั้นพูดขึ้นว่า “โอ ถ้าอยู่ไกล และยังต้องข้ามฟากไปอีก”

ความจริงสมัยนั้นรู้สึกว่ากรุงเทพฯ กว้างขวางใหญ่โตมากเพราะการคมนาคมไม่สะดวกนัก จะไปไหนก็เสียเวลาเป็นชั่วโมงๆ ไปมาหาสู่กันยากลำบาก ฉะนั้น ตำบลและถนนบางสายจึงมีคนรู้จักไม่ค่อยมากนัก นอกจากตำบลที่ตนอยู่และใกล้เคียง จากนั้นก็เป็นสถานที่สำคัญที่ขึ้นหน้าขึ้นตา

จ่าโทผู้นั้นมีหน้าตายิ้มแย้มและพูดด้วยอารมณ์ดี เห็นจะเป็นเพราะแกมีความสุขสบายใจเหมือนได้ทำบุญกุศล คล้ายว่าได้ช่วยลูกแกะสองตัวที่เข้าไปอยู่ในฝูงสุนัขป่าที่กระหายเลือดให้รอดปลอดภัยออกมาได้ แกร้องบอกกับพวกทหารเรือที่ยืนสีหน้ายิ้มแย้ม

“เอ้า ! พวกเราช่วยพาน้องชายสองคนนี้ไปที่ท่าเรือข้ามฟากหน่อยซี”

ข้าพเจ้ายกมือทำความเคารพ แล้วรีบเดินตามพลทหารเรือสองนายที่ได้แสดงตัวออกมาว่า จะเป็นผู้คุมกันไปส่งเราทั้งสองที่ท่าเรือจ้าง พอถึงท่าเรือก็พอดีกับเรือกำลังจะออกจากท่า ข้าพเจ้าไม่ลืมที่จะขอบคุณและลาทหารเรือผู้ใจดีทั้งสอง ลงเรือจ้างก็แจวออกมุ่งข้ามฟากทันที พอเรือออกห่างจากท่าก็เห็นพลทหารทั้งสองกลับเข้าไปในบริเวณงานนั้นอีก เมื่อเรือจ้างถึงกลางแม่น้ำ ก็ได้ยินเสียงลุงที่แจวเรือผู้นั้นถามขึ้นว่า

“เมื่อกี้นี้มีอะไรเกิดขึ้นในงานนะ เห็นพวกทหารเรือวิ่งกันกรูทีเดียว คงจะเล่นงานกันอีกกระมัง !”

ข้าพเจ้าตอบว่า “เปล่าหรอกลุง ทหารเรือเขารักษาความยุติธรรม ไม่ยอมให้มีการรังแกกันเกิดขึ้นในวันนั้น”

เสียงลุงแจวเรือจ้างแกหัวเราะหึๆ ในลำคอ พลางพูดว่า “อย่างนั้นหรอกหรือ นึกว่าเล่นงานกันเข้าอีกแล้วล่ะ”

เวลานั้นข้าพเจ้าไม่สนใจอะไรนอกจากจะนึกตำหนิตัวเอง ที่ลืมถามถึงชื่อจ่าโททหารเรือผู้นั้นซึ่งมีคุณไว้ในความทรงจำ เรือกำลังจะเข้าจอดที่ท่าแล้วจึงนึกขึ้นได้ เราทั้งสองพูดถึงบุญคุณผู้ที่ช่วยเราในนาทีสุดท้ายให้พ้นภัย ตั้งแต่นั้นมาข้าพเจ้าก็ไม่ได้แตะต้องการพนันตกเบ็ดอีกต่อไปเลย จนกระทั่งทางการยกเลิกไม่อนุญาตให้เล่นเด็ดขาดต่อมา

หากท่านผู้นั้นและเพื่อนๆ ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อท่านได้อ่านเรื่องนี้แล้ว ขอให้ทราบว่าเด็กวัยรุ่นในเวลานั้น บัดนี้ย่างเข้าวัยชราแล้วกำลังนึกถึงชีวิตในอดีต ยังจดจำได้ดีและยังนึกถึงบุญคุณที่ท่านเหล่านี้ได้ช่วยเหลือในเหตุการณ์วันนั้นเสมอ หากหนังสือเล่มนี้จะมีที่ดีที่เป็นกุศลอยู่บ้าง ข้าพเจ้าขออธิษฐานอุทิศส่วนกุศลบุญนั้น แก่ทุกๆ ท่านที่อยู่ในสถานที่เกิดเหตุในครั้งนั้น แม้แต่ผู้มุ่งร้าย อันนี้ทั่วถึงกันเถิด เพราะข้าพเจ้ามิสามารถที่จะตอบแทนบุญคุณในทางอื่นได้

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำโบราณเสมอว่า “ความซื่อสัตย์บริสุทธิ์ย่อมตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ จะเอาไปดำน้ำลุยไฟก็ไม่เป็นอันตราย” คนไม่เห็นความบริสุทธิ์ พระท่านย่อมรู้ ชีวิตคือความฝัน เราทำดีฝันดี เราทำชั่วฝันร้าย



................... เอวัง ...................
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
นิรทุกข์
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 30 พ.ย. 2004
ตอบ: 54

ตอบตอบเมื่อ: 30 พ.ย.2004, 4:01 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สัจจะบารมี
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2006, 10:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง