Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กลับชาติ (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 7:00 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กลับชาติ
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



เมื่อครั้งประเทศสยาม ยังมีจังหวัดนครเขื่อนขันธ์อยู่ในขอบขันธเสมาของมณฑลกรุงเทพฯ ก่อนที่ยุบลงเป็นอำเภอ และประเทศสยามจะเปลี่ยนชื่อมาเป็นประเทศไทยนั้น ข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยรุ่น จังหวัดนครเขื่อนขันธ์เป็นที่อยู่ของชาวรามัญ สมัยนั้นชาวพระนครจะเดินทางเข้าไปในเขตนครเขื่อนขันธ์มีทางเดียวคือ ทางเรือ มีเรือแดงหรือเรียกว่า บริษัทแม่น้ำมอเตอร์โบ๊ท ลงเรือที่ท่าถนนตก แล้วเราก็ต้องไปขึ้นต่อรถมอเตอร์รางที่ปากคลองลัดผ่านไปถึงท่าหิน

การเดินทางไปมาก็ต้องเสียเวลานาน ไม่สะดวกสบายเหมือนในปัจจุบันนี้ แต่เมื่อเข้าไปในเขตนครเขื่อนขันธ์ บรรยากาศก็จะเปลี่ยนแปลงไป คล้ายกับเราไปอยู่อีกเมืองหนึ่ง บางครั้งทำให้เราลืมไปว่าเราอยู่เมืองไทย เพราะคนพื้นเมืองเหล่านั้นไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่คนแก่คนเฒ่า ต่างก็พูดภาษามอญกันตลอดทั้งตำบล แม้จะหันมาพูดไทยกับเราบ้างสำเนียงก็แปร่งๆ หนักๆ เป็นสำเนียงมอญ บางคนที่มีอายุมากก็พูดไทยไม่ได้เสียเลย เพราะคนพื้นเมืองทั้งตำบลเป็นเขตที่อยู่ของชาวรามัญ ไม่มีชาติอื่นปะปน

ฉะนั้น ชาวรามัญจึงรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีไว้ได้ แม้แต่คนจีนที่เข้าไปทำการค้าขายในหมู่บ้านชาวรามัญ ก็ต้องพูดมอญเป็น สมัยนั้นข้าพเจ้ามีเพื่อนเป็นชาวรามัญ ฉะนั้น ถึงปียามตรุษสงกรานต์ เพื่อนจะต้องมาชวนพวกเราหลายคนไปค้างแรมที่บ้าน ในเขตจึงหวัดนครเขื่อนขันธ์ ชาวรามัญที่ข้าพเจ้าพบในยุคนั้น เป็นผู้มีนิสัยดี ใจคอกว้างขวางโอบอ้อมอารี มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต้อนรับผู้ไปเที่ยวอย่างดี ตลอดทั้งที่พักและอาหารชาวรามัญ ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่มีจิตใจร่าเริงสนุกสนานเป็นกันเองรู้จักง่ายไม่ถือตัว

เวลานั้นเสียอย่างเดียว ที่ข้าพเจ้าพูดภาษามอญไม่ได้ ฟังก็ไม่รู้เรื่อง ต้องอาศัยเพื่อนเป็นล่ามแปลให้ฟัง แม้บางท่านจะพูดไทยได้ ก็น้อยคนนักจะพูดได้ชัดอย่างไทยแท้ๆ ส่วนมากสำเนียงเป็นมอญ ข้าพเจ้าจึงฟังไม่ค่อยออก แม้จะพูดไทย หูเราก็ฟังเป็นภาษามอญเสียหมด หลายครั้งต้องขำขันเพราะการพูดมอญปนไทยของชาวบ้าน ทำให้ข้าพเจ้าแปลความหมายผิดๆ เลยเปิ่นๆ แต่ชาวรามัญเป็นคนอารมณ์ดี มีอารมณ์ขัน เลยเห็นเป็นสนุก

เมื่อพูดถึงการนับถือศาสนา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าชาวรามัญนั้นเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนามาก การบุญการกุศลเป็นเรื่องใหญ่ เวลาตรุษสงกรานต์ก็จะเห็นชาวบ้านทุกบ้าน พร้อมใจกันไปวัดด้วยจิตศรัทธา ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นยังมีความสามัคคีในหมู่คณะ รักใคร่ปรองดองกันฉันท์พี่น้อง ทั้งชายหญิงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่มีผู้อื่นกล้าเข้าไปลองดีในหมู่บ้านชาวรามัญ หรือแสดงโอ้อวดยะโส ข้าพเจ้าอดชมชาวรามัญมีความสุภาพจิตใจกว้างขวางของชาวรามัญไม่ได้ ทุกบ้านทุกเรือนยินดีต้อนรับพวกเรา ในเมื่อเพื่อนได้พาไปแนะนำให้รู้จักตามบ้านพี่บ้านน้อง

เมื่อพูดถึงอาหารการกินที่เขานำมาต้อนรับนั้น มากมายจนกินไม่ไหว ทุกบ้านทำขนมหวานต่างๆ ขนมจีน อื่นๆ เช่น ข้าวแช่ และอีกมากมาย ข้าพเจ้าจำได้ไม่หมด เราก็มีแต่เที่ยวเตร่ เล่นสะบ้ากับพวกสาวๆ ชาวรามัญซึ่งแต่งตัวตามประเพณีล้วนแต่จิ้มลิ้ม เสียแต่พวกเธอพูดมอญมากกว่าพูดไทย แต่ที่เราพูดหล่อนก็รู้หมดทุกคำ แต่หล่อนพูดมาเราไม่รู้ นึกแล้วก็อดขำไม่ได้เวลาพวกเราผู้ชายแพ้สะบ้า ถูกพวกผู้หญิงบังคับให้รำ

เวลานั้นข้าพเจ้ายังรักพวกเครื่องดองของเมาอยู่ ได้อาศัยพวกน้ำตาลเมา น้ำขาวลูกทุ่ง ทั้งๆ ที่ไม่เคยรำมาก่อนในชีวิต แต่พอตึงๆ หน้าก็สนุกสนานเต้นแร้งเต้นการำ ควักกะปิส่ายไปส่ายมา พูดภาษารามัญผิดๆ ถูกๆ ฟังไม่ออก ทั้งคนมอญ คนไทย รวมทั้งข้าพเจ้าผู้พูดเอง ก็ไม่รู้ว่าพูดอะไรเหมือนกัน ทำให้คนไทยคนมอญหัวเราะจนน้ำตาไหล

เมื่อพูดถึงเที่ยวงานสงกรานต์ สมัยเมืองนครเขื่อนขันธ์ มีการทำบุญตามวัด สาวๆ ชาวรามัญแต่งตัวงดงามตามประเพณี มีการปล่อยนกปล่อยปลาเป็นพวกเป็นหมู่ สรงน้ำพระ เล่นสาดน้ำ กลางคืนก็มีบ่อนสะบ้า เล่นอย่างมีระเบียบที่งดงาม ที่บ่อนสะบ้าสร้างปะรำตกแต่งธงทิวสว่างไสวไปด้วยตะเกียงเจ้าพายุ พวกหนุ่มๆ ก็จองสาวเป็นคู่เล่นของตน เราเล่นไม่เป็น หล่อนก็สอนให้ นับว่าเป็นสวรรค์ของหนุ่มสาว สนุกสนานที่สุดในสมัยนั้น

ชาวรามัญที่อยู่ในประเทศไทยเป็นที่น่าเคารพ มีกิริยาวาจาเรียบร้อยน่ารัก ที่ยังอุตส่าห์รักษาขนบธรรมเนียมประเพณีมาแต่โบราณ และยังรักษาคำพูดไว้ได้ดี แต่ก็เป็นที่น่าเศร้าใจที่ได้ทราบว่า แม้แต่ทางเมืองหลวงหงสาวดีซึ่งเป็นเมืองแม่ของชาวรามัญ บัดนี้คำพูดภาษารามัญได้สูญสิ้นไปหมดแล้ว เพราะชาวรามัญในปัจจุบันนี้ได้กลายเป็นพม่า พูดภาษาพม่า ลืมภาษาดั้งเดิมของชาติตนเองมาแต่โบราณเสียสิ้น ตลอดทั้งหัวเมืองมอญอื่นๆ ทั้งน้อยใหญ่ ภาษารามัญไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครพูดอีก

พวกรามัญและภาษามอญกำลังจะสูญสิ้นไปจากโลก คงยังเหลือชาวรามัญที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น ที่ยังคงรักษาคำพูดและขนบธรรมเนียมประเพณีและสำเนียงภาษาอยู่ได้ แต่ก็ไม่แน่ถ้าไม่ช่วยกันรักษาไว้ ก็จะเป็นเรื่องเศร้าที่พวกรามัญรุ่นสุดท้ายที่ยังอยู่ในประเทศไทย หากปล่อยตามบุญตามกรรมให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คงจะค่อยๆ จางลง ที่สุดก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ไม่ช้าพวกรามัญในประเทศไทยรุ่นท้ายที่อยู่ในโลก ก็จะสูญสิ้นไปพร้อมกับภาษาสำเนียงคำพูด ตลอดทั้งขนบประเพณี เช่นเดียวกับชาวรามัญที่ประเทศมอญ และเมืองหงสาวดี ที่เคยเป็นเมืองที่รุ่งเรืองมาแล้วแต่อดีต

เด็กรุ่นหลังคงจะไม่มีโอกาสที่จะรู้จักชาวรามัญ หรือภาษามอญอันมีวัฒนธรรมอันดีงาม เสมือนไม่มีชาวรามัญซึ่งหงสาวดีเป็นเมืองหลวง มีภาษาคำพูดเป็นของชาติตนเองก็จะถูกลืมไปจากโลก เหมือนไม่เคยมีชาติและชาวรามัญอยู่ในโลกมาก่อน การที่ข้าพเจ้ารื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ทั้งขนบประเพณีที่ดีงามของชาวรามัญขึ้นมาเขียนนี้ ข้าพเจ้ายังนึกยกย่องชมเชยว่า ชาวรามัญแม้จะมีประเพณีบางอย่างที่ผิดแปลกไปบ้าง เช่น มีการถือผี เป็นต้น แต่ชาวรามัญก็เป็นชาวพุทธที่ดี เพราะเท่าที่ข้าพเจ้ารู้ ยังไม่เคยเห็นชาวรามัญคนใดละทิ้งศาสนาพุทธไปเข้าศาสนาอื่นเลย

ความจริงการที่ข้าพเจ้าขึ้นต้นเขียนเรื่องเก่าๆ ของชาวรามัญครั้งนี้ เพราะเหตุบังเอิญมีท่านผู้นับถือเคยส่งเรื่องนี้มาให้ข้าพเจ้าเขียน ได้นำเอาเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของครอบครัวหนึ่ง เรื่องนี้เกิดขึ้นในเขตจังหวัดนครเขื่อนขันธ์ ก่อนที่จะยุบเป็นอำเภอ เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ ซึ่งกำลังเป็นที่สนใจของชาวไทยและต่างประเทศ คือ เรื่อง “กลับชาติ”

ท่านผู้เล่ายังบอกว่าเข้าใจว่า ผู้ที่กลับชาติมาเกิดใหม่นี้ที่ข้าพเจ้าสมมติชื่อ “ทะนง” นั้นยังคงมีชีวิตอยู่มาถึงปัจจุบันนี้ และท่านจะพยายามสืบหาท่านผู้นั้น บัดนี้ก็คงมีอายุอยู่ในวัยชรามากแล้ว ข้าพเจ้าจึงได้ถ่ายทอดเรื่องมาเล่าให้ท่านฟัง เพื่อจะได้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วสมัยก่อน ท่านจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นนิยาย หรือนิทาน ก็สุดแต่ความเห็นของท่านจะตัดสินเอง


(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:14 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 7:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อครั้งนครเขื่อนขันธ์ ยังเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศสยาม โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ปกครอง ได้มีครอบครัวหนึ่ง สองสามีภรรยาได้มีบุตรชายคนหนึ่งแปลกประหลาดกว่าเด็กอื่นๆ รุ่นเดียวกัน โดยแสดงว่า มีอารมณ์ลึกลับฝังไว้ในส่วนลึกของความรู้สึก พ่อแม่ตั้งชื่อว่า ทะนง พออายุย่างเข้าหกขวบ เด็กชายทะนงก็ขอร้องให้พ่อหามีดคมๆ ให้สักหนึ่งเล่ม

พ่อมีความสงสัยจึงถามว่า “อ้ายหนู เองเอามีดไปทำไมวะ”

ลูกชายบอกว่า “ข้าขอมีดเพื่อเอามาลับให้มันคม”

ผู้พ่อถามลูกชายอย่างไม่หายสงสัยว่า “จะเอามีดมาลับให้คมเพื่อประโยชน์อะไร เป็นเด็กเป็นเล็กเล่นมีดเล่นพร้าไม่ได้”

ลูกชายอ้อนวอนแล้วพูดว่า “ข้าขอมาลับให้มันคมเท่านั้น เมื่อข้าจะทำร้ายใคร ข้าจะบอกให้พ่อรู้ก่อน”

ชายผู้พ่อเห็นลูกชายอ้อนวอนขอมีด ด้วยความรักลูกและสงสาร ทั้งเห็นลูกรับรองว่าจะบอกก่อนที่จะไปทำร้ายใคร ฉะนั้นจึงหามีดชายธงมาให้ลูกชายเล่มหนึ่ง หลังจากได้มีดตามความประสงค์แล้ว เด็กชายทะนงก็ใช้เวลาส่วนมากหมดไปในการลับมีด หาได้ไปเล่นซนเหมือนเด็กอื่นๆ ทั้งหลาย แม้จะมีผู้ถามว่า ลับมีดไปทำไม ก็ไม่ยอมบอก

เวลาผ่านไปสองปี เมื่อเด็กชายทะนงอายุได้แปดขวบ วันหนึ่งได้เข้าไปหาพ่อแล้วบอกว่า “บัดนี้ถึงเวลาข้าจะต้องแก้แค้น อ้ายคนทรยศต่อข้าเมื่อชาติก่อน ข้าจึงบอกพ่อตามสัญญา”

ชายผู้พ่อได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ นึกว่าลูกชายเรานี่มันสติดีหรือเปล่า ตัวเล็กๆ เท่านี้ ไปเกิดมีศัตรูกับใครเข้าถึงกับจะไปฆ่าแกงกันเพื่อแก้แค้นตั้งแต่เล็กๆ คิดดูแล้วก็หนักใจ เพราะมองเห็นท่าทางเอาจริงเอาจัง ไม่ใช่พูดเล่น นับแต่ลูกชายเกิดมา ก็มีกิริยาแปลกๆ ผิดกับเด็กคนอื่นๆ คิดแล้วชายผู้พ่อพูดว่า

“อ้ายหนูเอ็งมีความแค้นเคืองใครมาแต่ไหนวะ ที่จะฆ่าฟันเอาชีวิตกันเช่นนี้ เอ็งเป็นลูกของพ่อ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข เป็นที่รักยิ่งกว่าชีวิตของพ่อเอง เพราะพ่อมีลูกชายแต่เอ็งคนเดียว ฉะนั้นพ่อจะต้องช่วยลูกอยู่เสมอ ศัตรูของลูกก็เหมือนศัตรูของพ่อ อยากรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน มันเป็นใคร บอกให้พ่อรู้บ้างซิลูก มันทำอะไรให้ลูกของพ่อเจ็บแค้นถึงอาฆาตมาดร้ายเอาถึงชีวิตเช่นนี้”

ลูกชายเมื่อได้ยินพ่อพูดเช่นนั้น จึงบอกกับพ่อว่า “เรื่องของลูกนั้นเกิดมาแต่ชาติก่อนแล้ว ลูกมีความโกรธแค้นมันมาก ที่มันเคยเป็นเพื่อนรักเป็นเพื่อนตายกันมา แต่แล้วมันก็ฆ่าลูก หมกศพไว้ในป่าห่างหมู่บ้าน”

ผู้พ่อได้ยินลูกชายอายุเพียง ๘ ขวบพูดเช่นนี้ก็สะดุ้ง แต่แล้วก็ทำจิตให้ปกติ พูดกับลูกชายว่า “ลูกเอ๋ย อ้ายคนเป็นศัตรูของลูกมันชื่ออะไร มันอยู่บ้านตำบลไหน บอกพ่อซิลูก”

ลูกชายพอได้ยินพ่อพูดเช่นนั้น นิ่งอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกระซิบบอกชื่อเสียง และตำบลบ้านที่เกิดในชาติก่อนให้พ่อทราบ พอทราบปากคำของลูกชาย ก็ได้เริ่มเที่ยวติดตามสืบหาชายผู้เป็นศัตรูของูลูกแต่อดีตชาติ ตามตำบลที่ลูกชายบอก พร้อมทั้งชื่อเสียง ชายผู้พ่อได้พยายามสืบหาทั่วทั้งตำบลที่ลูกชายบอก ก็ยังหาคนที่ต้องการไม่พบ จึงนั่งพักใต้ต้นมะขามใหญ่ แล้วรำพึงกับตัวเองว่า เรานี่ก็หลงเชื่อเจ้าลูกชายเด็กเมื่อวานซืนนี้ ว่าเป็นเรื่องจริงจังเป็นตุเป็นตะ

เที่ยวหาจนอ่อนใจแล้วก็ไม่พบคนชื่อนั้น จึงหยุดนั่งที่ม้าไม้สำหรับชาวบ้านใส่บาตรเช้าๆ ใต้ต้นมะขามใหญ่หน้าบ้านหลังหนึ่งใต้ถุนบ้านสูง มองเห็นชายมีอายุกำลังผ่าฟืนอยู่กลางลานที่มีรั้วบ้านปลูกต้นพู่ระหง ส่วนทางใต้ถุนนั้นมีผู้หญิงสาวและแก่กำลังตำข้าวและฝัดข้าว มีพวกไก่หลายตัวคอยจ้องจิกข้าวเปลือกที่ตกหล่นแถวบริเวณครกตำข้าว มีเด็กสาวคอยไล่อ้ายโต้งหัวโจกตัวใหญ่ คอยจะวิ่งเข้าไปจิกกินข้าว เด็กสาวก็คอยไล่ เอาไม้ขว้างไม่ให้มันเข้าไป ส่วนเจ้าพวกไก่รุ่นกระทงคอยจ้องอยู่ห่างๆ นานๆ จะเข้าไปจิกสักครั้งหนึ่งเพราะกลัว จากนั้นก็มีหมูแม่ลูกอ่อนนอนกกลูกอยู่ในเล้า พวกหมูรุ่นๆ เดินออกมาเที่ยวหากินแบบเลี้ยงปล่อย

เมื่อนั่งพักครู่หนึ่งคิดว่า หากหาไม่พบก็จะต้องไปพึ่งกำนันหรือผู้ใหญ่บ้านคงจะได้ผล คิดพลางก็มองดูรอบตัว นึกได้ว่าลูกชายบอกว่า บ้านของคนที่เป็นศัตรูแต่ชาติก่อนนั้น หน้าบ้านมีต้นมะขามใหญ่อยู่หนึ่งต้น ถนนหน้าบ้านติดกับคลอง เมื่อมองดูสภาพที่ตัวนั่งอยู่เห็นสิ่งแวดล้อมตรงกับลูกชายบอกทุกอย่าง คิดว่าเรามาถูกแล้ว ศัตรูของลูกชายคงอยู่ในบ้านนี้แน่ บางทีจะเป็นชายที่ผ่าฟืนก็ได้ จึงดีใจ เข้าไปถามชายชรากำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานบ้านว่า

“พ่อลุงรู้จักนายเทศ บ้านฟ้าคะนองไหม”


ชายแก่ได้ยินก็สะดุ้ง โยนขวานผ่าฟืนลงกลางดิน เพราะตกใจที่ได้ยินชายแปลกหน้าเอ่ยชื่อนายเทศ จึงถามด้วยเสียงสั่นว่า “พ่อถามถึงนายเทศ มีธุระอะไรหรือ”

ชายผู้พ่อเด็กกลับชาติมาเกิด จึงบอกว่า “ฉันอยากจะถามว่า พ่อลุงชื่อเทศหรือเปล่า และเมื่อหนุ่มๆ เคยเป็นเพื่อนรู้จักคนที่ชื่อจุ่นหรือเปล่า”

ชายแก่แสดงกิริยาท่าทางตื่นกลัว ถามอย่างละล่ำละลักว่า “พ่อเป็นพวกนครบาล พวกพลตระเวนหรือ”

ชายผู้เป็นพ่อเด็กบอกว่า “เปล่าหรอกพ่อลุง อยากทราบว่าเคยเป็นเพื่อนกับคนชื่อจุ่น ถ้าเป็นเพื่อน ฉันมีเรื่องที่จะเล่าให้พ่อลุงฟัง จึงอยากทราบว่า พ่อลุงชื่อนายเทศหรือเปล่า”

ชายชราอึกอัก หยิบผ้าขาวม้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ไหลออกมาย้อยหน้า แล้วก็นิ่งชั่งใจครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจพูดออกมาว่า

“จริง เมื่อหนุ่มฉันเคยชื่อ “เทศ” แต่ฉันเปลี่ยนเป็นชื่อ “โต” เดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จักชื่อเทศแล้ว และฉันเคยเป็นเพื่อนกับเจ้าจุ่นเพราะเราเป็นเพื่อนรักกันมาก แต่เจ้าจุ่นได้ตายเสียก่อนเมื่อยังหนุ่มๆ คิดดูนานปีผ่านมาแล้ว ฉันก็เสียใจมาถึงทุกวันนี้”

พ่อเด็กจึงพูดว่า “หากพ่อลุงรับว่าเป็นเพื่อนกับนายจุ่นเมื่อครั้งสมัยก่อนนั้น ฉันก็ไม่มีความสงสัยอะไรอีกแล้ว เพราะตรงกับความจริงที่ฉันได้รู้ได้ทราบมาแล้ว”

นายเทศได้ฟังดังนั้นก็มีความสงสัย จึงพูดขึ้นว่า “ฉันสงสัยว่ามีเรื่องอะไรเกี่ยวกับฉันหรือ จึงเที่ยวติดตามหาตัวฉันจนพบ ขอให้บอกให้ทราบด้วย”


(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:17 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 7:28 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พ่อเด็กได้ฟังดังนั้น จึงเล่าให้ฟังว่า

“เรื่องที่จะเล่านี้ เมื่อพ่อลุงว่าผิดหรือถูกก็โปรดคิดพิจารณาดูเอง คือฉันได้มีลูกชายคนหนึ่ง พออายุได้สัก ๖ ขวบ ก็ขอมีดจากฉันหนึ่งเล่มและบอกว่าขอมีดคมอย่างดี ฉันจึงได้หามีดชายธงไปให้ นับแต่นั้นมาเจ้าลูกชายของฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาลับมีดอยู่ทุกวัน ฉันได้พยายามถามว่าลับมีดเพื่อประสงค์จะทำอะไร ก็ไม่บอก เพียงแต่บอกว่าเมื่อถึงเวลาก็จะบอกให้รู้ ครั้งเมื่อถึงเวลานี้อายุ ๘ ขวบ บอกว่าถึงเวลาแล้ว ฉันควรจะบอกให้รู้ว่า คนที่ฉันจะฆ่า เพราะความแค้นความพยาบาทนั้น คือ “นายเทศ” เป็นผู้เคยได้ใช้มีดแทงนายจุ่นตาย ทั้งที่เป็นเพื่อนรักใคร่กันหนักหนา นายจุ่นเมื่อใกล้จะดับจึงร้องด่าอาฆาต นายจุ่นชาติก่อน ก็คือลูกชายของฉันในชาตินี้ จะเป็นความจริงแค่ไหน ขอให้พ่อลุงช่วยเล่าให้ฟังด้วย”

นายเทศได้ฟังเช่นนั้น ตัวสั่นพลางพูดว่า “เป็นความจริงในเรื่องนี้ เด็กที่เกิดมานั้นต้องเป็นนายจุ่นแน่นอน”

พ่อของเด็กจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ช่วยเล่าเรื่องให้ฟังถึงต้นเหตุว่า ทำไมเพื่อนรักเพื่อนเกลอจึงได้ฆ่าแกงกันลงคอ เพราะเวลาก็ผ่านไปนานปี ทางบ้านเมืองก็ไม่มีโทษมีทัณฑ์แล้ว ถึงจะเล่าความจริงก็ไม่เกิดความเสียหายอะไร ซ้ำยังจะเป็นประโยชน์ พยายามช่วยหยุดยั้งความพยาบาทแก้แค้นให้สิ้นสุดลงได้”

ผู้เฒ่าได้ฟังเช่นนั้น ก็ก้มหน้าร้องไห้อย่างน่าสงสาร อยู่พักหนึ่งแล้วจึงเล่าเรื่องว่า

“ตลอดเวลาที่ฉันได้ฆ่าเพื่อนที่รักตายนั้น ฉันหาความสุขทางจิตไม่ได้เลย ฉันรู้สึกเหมือนตกนรก คอยแต่นึกหวาดกลัวแต่เรื่องว่า เราได้ ฆ่าเพื่อน ฆ่าเพื่อน อยู่ตลอดเวลา ได้พยายามปลอบใจตัวเองอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ทั้งเวลานอนคิดอะไรเพลินๆ พอนึกถึงได้ฆ่าคนตายแล้ว ฉันก็ต้องสะดุ้ง”

รีบลุกขึ้นตะโกนออกมาไม่รู้ตัวว่า “ฉันทนไม่ไหวแล้ว ฉันทนไม่ไหว ฉันฆ่าคนตาย ทั้งคนตายก็เป็นเพื่อนรักของฉัน จิตใจฉันปั่นป่วนหมด มันทุรนทุรายบอกไม่ถูก ฉันเสียสติเป็นพักๆ ฉันอยากจะร้องไห้ และอยากหัวเราะ อยากจะตะโกน ทั้งที่ไม่รู้ว่าตะโกนเพื่ออะไร ฉันก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาเหมือนมันเจ็บปวด ความรู้สึกภายในอกในใจแม้ว่าฉันจะไม่ได้รับโทษทางบ้านเมือง แต่ฉันก็ได้รับโทษในความรู้สึก เป็นกรรมที่สร้างขึ้นเอง ทรมานยิ่งกว่า ต้องโทษทางบ้านเมืองๆ ยังมีเวลาสิ้นสุด หรือไม่ก็ตายไปตามความผิด แต่ฉันไม่ได้รับโทษจองจำทางร่างกาย แต่ต้องรับกรรมทางจิตใจ มันหนักยิ่ง คอยหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา คอยสะดุ้งตกใจไม่สิ้นสุด”

พ่อของเด็กได้ฟัง และเห็นกิริยาท่าทางของพ่อเฒ่าแล้วก็นึกสงสาร แต่ก็อยากทราบถึงต้นเหตุ จึงพูดขึ้นว่า “ฉันก็เห็นใจที่พ่อลุงได้รับความทรมานทางจิตใจที่ตัวได้สร้างขึ้น กรรมติดตามในความรู้สึกตลอดเวลา ฉันอยากจะทราบว่าต้นเหตุเกิดได้อย่างไร เพื่อจะได้คิดแก้ไขให้หลุดพ้นกรรมไปได้”

พ่อเฒ่าได้ฟัง ก็หยุดรำพันในการรับทุกข์ทรมานทางจิตใจ เอาผ้าขาวม้าเช็ดน้ำตา แล้วก็ตั้งอกตั้งใจเล่าต้นเหตุให้ทราบว่า

เมื่อก่อนฉันยังเด็กอยู่มีเพื่อนอยู่คนหนึ่งชื่อ “จุ่น” เด็กคนนี้อยู่กับท่านสมภารที่วัด เติบโตมาจากวัด ไม่ปรากฏว่าพ่อแม่ของจุ่นอยู่ที่ไหน เมื่อฉันรู้จักก็เห็นอยู่กับท่านสมภารตลอดมา เมื่อเราโตเป็นหนุ่มเราก็ไปเที่ยวเตร่หาความสำราญด้วยกัน หรือว่าจะไปไหนก็ไปด้วยกันเสมอ แม้จะไปริอ่านรักผู้หญิงเป็นครั้งแรกเราก็ต้องไปด้วยกัน คืนหนึ่งเราไปเที่ยวกันในงานสงกรานต์ และเล่นสะบ้า นอกจากจะริอ่านรักผู้หญิงแล้ว เรายังริดื่มเหล้าเป็นครั้งแรก

หลังจากงานสงกรานต์ผ่านไปแล้ว คืนนั้นเราต่างคนต่างเมาเหล้าเมารักด้วยกัน ต่างก็เดินเปะปะกลับบ้านวัดเดินตัวไม่ตรง เป็นครั้งแรกเราเกิดแตกคอผิดใจกันขึ้น เพราะต่างคนต่างเมา จุ่นเป็นคนดื่มเหล้าเมาไปแล้วมักมีกิริยาดุร้ายผิดกับเวลาธรรมดา ตรงกันข้ามเวลาไม่เมาจุ่นมีกิริยาเรียบร้อย คืนนั้นเราคุยกันไปคุยกันมาระหว่างทาง เราพูดถึงผู้หญิงสาวที่เราได้พบได้สนทนาด้วยกัน แต่แล้วจุ่นกำลังเมาแสดงกิริยาโกรธโดยไม่มีเหตุผล ฉันก็ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ จุ่นก็เกิดอาละวาด ด่าฉันชกต่อยฉัน หาว่าฉันเป็นเพื่อนทรยศ กูจะฆ่ามึงให้สมกับมึงทรยศ

พูดแล้วก็ไล่เตะต่อยเหมือนคนบ้า ฉันก็หลบหลีก เพราะฉันก็เมาเหมือนกัน ฉะนั้นฉันจึงโกรธแค้น อยู่ดีๆ ก็จะฆ่ากันง่ายๆ ความเป็นเพื่อนรักกันมาก่อนลืมหมด เหลือแต่ความโกรธ ลืมตัว ฉันชักมีดที่พกออกมาแล้วก็แทงไปตามตัวของเพื่อน ไม่รู้ว่าถูกที่ไหนบ้าง แต่แล้วก็ได้ยินเสียงเพื่อนร้องเพราะความเจ็บปวด บาดเจ็บที่ถูกมีดแทงที่สำคัญและสาหัส พอได้ยินเสียงเพื่อนร้องก็ได้สติ ความเมาก็หายสิ้น มีแต่ความตกใจกลัวตัวสั่น วิ่งเข้าไปประคองเพื่อนแล้วฉันร้องไห้ พลางพูดว่า

“เพื่อนเอ๋ย ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเพื่อน แต่ฉันเมาคุมสติไม่อยู่ พูดพลางฉันก็ร้องไห้จะกอดเพื่อน แต่เพื่อนมันโกรธ แม้มันจะบาดเจ็บสาหัสก็ไม่ยอมให้กอด เคราะห์ดีมีดมันหลุดมือเสียก่อน มันใช้กำลังที่มีอยู่ทุบหน้าฉันด้วยความโกรธและหายเมา”


แล้วเสียงเพื่อนพูดด้วยความอาฆาตคำสุดท้ายว่า “มึงอ้ายเทศ กูจะขอเกิดมาแก้แค้นมึง จงจำไว้”

“มันพูดด้วยความพยาบาท เสียงกัดฟัน ส่ายหน้าไปมา ฉันได้พยายามประคองไว้ในอ้อมแขน อ้อนวอนขอโทษ แต่ที่สุดเจ้าเพื่อนรักก็ขาดใจลงในไม่ช้า ฉันก็กอดศพเพื่อนรัก แล้วร้องไห้รำพันความรักความเป็นเพื่อน พอได้สติ ฉันก็นึกกลัวความผิดอาญาหลวง จึงหยิบมีดมาขุดหลุมเพื่อฝังศพเพื่อนรักให้พ้นความผิด เคราะห์ดีใสมัยนั้นที่ทางแถวนั้นมันเปลี่ยว ไม่มีผู้คนเดินผ่านไปมาทั้งสองข้างเป็นป่ารก ทั้งคนลือกันว่าทางนี้ผีดุ เราทั้งสองเมาจึงไม่ได้นึกกลัวผีกลัวสางอะไร

ฉะนั้น ความกลัวผิดทำให้ฉันออกแรงขุดดิน อาศัยแสงเดือนสองสว่างพอมองเห็น ทำให้ฉันขุดหลุมได้ลึกพอที่จะฝังซากของจุ่นได้ พ้นสุนัขเมื่อได้กลิ่นจะคุ้ยเขี่ยเอาศพมากัดกินซาก และลึกพอที่ศพจะไม่ส่งกลิ่นเมื่อเน่าขึ้น หรือส่งกลิ่นไปก็ไม่ไกลนัก ทั้งเป็นที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่าน แม้ในเวลากลางวัน เพราะหมู่บ้านอยู่ห่างออกไปมาก

คืนนั้นกว่าจะขุดหลุมลึกและฝังร่างของเพื่อนรักลงไปได้ ก็เกือบใกล้สว่าง เมื่อกลบดินให้เรียบไม่เป็นที่สงสัย เสร็จเอาดินเก่าโรยอยู่ข้างหน้า แล้วหาใบไม้ร่วงๆ ไปสุมไว้พอพรางตา หากมีคนผ่านไปมา ไม่มีใครรู้ว่ามีร่างของมนุษย์อยู่ใต้ดิน เมื่อจัดการเรียบร้อยฉันก็เดินร้องไห้กลับบ้าน หลังจากนั้นฉันก็เอาเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดห่อก้อนอิฐ แล้วก็มัดด้วยเชือกหนาแน่น พอค่ำก็พายเรือออกไปกลางน้ำ โยนถ่วงลงไปให้จมลงก้นลำน้ำ แล้วฉันก็กลับมาบ้านด้วยความกลัวความหวาดสะดุ้งอยู่ตลอดเวลา

เรื่องนี้ถึงจะไม่มีใครรู้เห็น แต่ฉันก็รู้ตัวเองว่าได้ทำชั่วทำผิด มีบาปติดตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนทางวัดหลวงตาซึ่งเป็นผู้ปกครอง จุ่นก็อายุแปดสิบกว่าแล้ว ทีแรกเห็นจุ่นหายไปก็ถามลูกศิษย์และพระเณรที่วัดนั้น มีใครเห็นบ้าง ก็ไม่มีใครรู้เห็น แต่ก็ไม่มีใครนึกว่าจุ่นจะถูกฆ่าตาย เพราะไม่มีเหตุผลที่ต้องนึก พระและศิษย์ในวัดส่วนมาก ก็นึกว่าจุ่นคงจะไปช่วยชาวบ้านเขาทำนาทำสวน เพราะเคยหายไปนานๆ ไปอาสาชาวบ้านทำสวนทำนาแล้วก็กลับมา

ฉะนั้น การปิดความลับก็ง่ายเข้า ไม่มีใครสงสัย ไม่มีใครพบหลุมที่ฝังซาก การตายของจุ่นก็เป็นการหายสาบสูญอย่างลอยๆ ตลอดมา นี่แหละเป็นเรื่องต้นเหตุที่ฉันได้รับกรรมตลอดมาจนถึงทุกวันนี้”


(มีต่อ ๓)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:33 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 8:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พ่อของเด็กได้ฟังก็พิจารณาดู ตามที่ชายผู้มีอายุเล่าให้ฟังก็เห็นใจว่า การฆ่ากันตายครั้งนั้น มิได้มีความตั้งใจเจตนา ทั้งมองเห็นเหตุการณ์ในสมัยนั้น คงจะจริงตามที่ผู้มีอายุเล่าให้ฟัง จึงพูดขึ้นว่า “เหตุการณ์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็อยากจะให้เหตุเหล่านี้ระงับลงด้วยการอโหสิกรรมกันเสีย อย่าได้จองเวรจองกรรมกันต่อไปอีกเลย ลองมองหาทางใดที่จะปฏิบัติได้บ้าง ลองคิดดูให้ดี”

พ่อเด็กพูดเชิงหารือดู ชายมีอายุตื่นเต้น หน้าตากลับมีสีเลือดขึ้นมาด้วยความปีติแล้วพูดว่า “ถ้าทำได้เช่นนั้น ก็นับว่าช่วยฉันให้พ้นจากขุมนรกได้ ฉันตกนรกมานานแล้ว โปรดให้จิตใจของฉันสงบเหมือนคนธรรมดา พ้นความทุกข์พ้นร้อน ฉันก็สบายใจ ในชีวิตนี้ฉันจะไม่ลืมบุญคุณตลอดไป โปรดช่วยให้ฉันพ้นขุมนรก”

เมื่อพ่อของเด็กรับปากว่า จะพยายามหาทางช่วยให้ลูกชายเลิกคิดอาฆาตพยาบาท อโหสิกรรมให้อภัย เพื่อยุติจองเวรจองกรรมกันต่อไป เพราะเห็นนายเทศมีความหวาดกลัวสะดุ้งสะเทือนทางจิตใจ ทรมานต่อกรรมที่ตัวเองเคยสร้างมาแล้ว เหมือนคนครึ่งบ้าครึ่งดี เมื่อนึกถึงเรื่องที่ได้ประกอบกรรม แล้วตัวสั่นใจสั่น พอนึกถึงบาปเปลี่ยนแปลงจิตใจทันที ทำให้เกิดโรคประสาททางสมองขึ้นมา เป็นสภาพที่ตกอยู่ในโรคจิตชนิดหนึ่ง เมื่อได้พิจารณาให้ถี่ถ้วนแล้ว ก็จะมองเห็นกรรมสนองอย่างหนักทางใจ มิใช่ทางกายที่รับโทษจองจำซึ่งยังเบากว่ากันมาก

เมื่อพ่อของเด็กลานายเทศกลับไปบ้านแล้ว พยายามตรึกตรองว่าทำอย่างไรดีที่จะพูดให้ลูกชายอายุ ๘ ขวบ เข้าใจถึงการจองเวรว่าเป็นทุกข์ทรมาน ให้เลิกคิดพยาบาท เลิกคิดที่จะฆ่าฟันกันต่อไป แต่ได้พยายามหาทางออกให้ดีที่สุด อย่างบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ถ้าจะพานายเทศไปพบลูกชายที่บ้านก็ทำไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานแม้ฝ่ายหนึ่งจะเป็นเด็ก แต่มีจิตใจเข้มแข็งด้วยแรงอาฆาตพยาบาท ส่วนนายเทศแม้จะเป็นผู้ใหญ่ แต่ก็ตกอยู่ในความหวาดกลัว จิตใจอ่อนแอคงจะไม่สามารถจะรักษาตัวได้ เพราะหมดกำลังใจเหมือนแกสู้กับลูกเสือ แม้เสือตัวจะเล็กก็มีอำนาจเหนือ

คิดไปคิดมาที่จะช่วยนายเทศผู้เป็นศัตรูร้ายของลูกชายก็จนปัญญา จนเบื่อข้าวปลาอาหาร ลูกชายสังเกตเห็นจึงถามพ่อว่า “พ่อเป็นอะไรไป หมู่นี้กินข้าวปลาไม่ลง แล้วพ่อว่าไปสืบหาเจ้าเทศ เพื่อนทรยศได้ความว่าอย่างไร”

ผู้พ่อได้ฟังก็สะดุ้ง แล้วพูดขึ้นว่า “พ่อไม่สบายใจเพราะเรื่องของลูก เหตุก็เพราะพ่อมีความรักลูกมาก หากลูกได้ปฏิบัติตามที่ลูกตั้งใจ แก้แค้นอาฆาตทำลายชีวิตนายเทศแล้ว พ่อก็รู้สึกว่าเหมือนลูกได้ทำลายชีวิตของพ่อเหมือนกัน”

เจ้าลูกชายสงสัยถามขึ้นว่า “ทำไมถึงได้เป็นอย่างนั้นล่ะ ฉันไม่เข้าใจ แรกๆ พ่อก็รับปากว่าจะช่วยกันกำจัดศัตรูของลูก มาบัดนี้พ่อกลับพูดอีกอย่างหนึ่ง ไม่เข้าใจ”

พ่อของเด็กถอนหายใจ แล้วก็พูดขึ้นว่า

“ที่พ่อพูดออกไปครั้งแรก ก็เพราะความรักที่มีต่อลูก จะมีเหตุอะไร พ่อก็เข้าข้างลูกเสมอ เป็นธรรมดาของพ่อที่รักลูกจนหลง แต่มาคิดดูคราวนี้พ่อมีความอาลัยเสียดายลูก เพราะทุกวันนี้พ่อแม่อยู่ด้วยกันมีความสุขอย่างใกล้ชิด ไม่เคยลำบากไม่เคยห่างกันเลย เงินทองเราก็มีพอมีจะหาความสุขได้ หากลูกได้แก้แค้นฆ่านายเทศเขาตาย ลูกพ่อก็คงจะต้องแยกกันอยู่คนละแห่ง เพราะทุกวันนี้เราจะฆ่าแกงกันอย่างง่ายๆ ไม่ได้ เพราะบ้านเมืองมีขื่อมีแป ทางการเขาคงไม่ยอมให้พลเมืองมาฆ่ากันง่ายๆ ตามใจชอบ แม้ลูกจะเป็นเด็กเขาก็จะถือว่าเป็นเด็กอันธพาล มีใจคอเหี้ยมโหดดุร้าย อย่างน้อยเขาก็จะพรากลูกจากพ่อแม่ เข้าไปอยู่ในโรงเรียนดัดสันดาน กักกันอยู่บนเกาะจำกัดเขต ไม่ปล่อย ไม่มีกำหนดจะปล่อยออกมาให้เป็นอิสระ ถ้าลูกคิดดูให้ดี เลิกผูกใจเจ็บแค้น เลิกผูกพยาบาทอาฆาต ไหนเรื่องมันเป็นของชาติก่อน อโหสิกรรมให้เขา แล้วทุกฝ่ายก็จะมีความสุข รวมทั้งพ่อแม่ด้วย เป็นการชนะใจที่ไม่ผูกเวรไม่จองเวร ขอให้ลูกคิดดูให้ดี”

เจ้าลูกชายฟังพ่อก็ไม่พอใจ ถามว่า “ทำไมคนเราเมื่อมันฆ่าเราได้ เราก็ฆ่ามันได้ ยุติธรรมดีแล้วนี่ อ้ายเรื่องเวรกรรมฉันไม่กลัว เมื่อตั้งใจจะแก้แค้นให้ได้ ก็ต้องแก้แค้นมันให้ได้ จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นไว้ทีหลัง ถึงฉันจะต้องจากพ่อจากแม่ไป มันสุดแต่บุญกรรม ฉะนั้นพ่อไม่ต้องมาพูดเกลี้ยกล่อมให้ฉันกลับใจ ไม่มีหวังหรอกพ่อ”

พ่อของเด็กนึกอยู่ในใจว่า อ้ายลูกของเรานี่ ทั้งดื้อทั้งรั้นและอวดดี ตั้งใจจะทำอะไรก็ไม่ยอมเปลี่ยนใจ เราจะพยายามอธิบายอย่างไร มันคงไม่ยอมและคงจะไม่สำเร็จ คิดแล้วก็นิ่งอยู่ ตั้งใจจะหาอุบายอย่างอื่นต่อ แต่แล้วพ่อของเด็กก็แอบไปติดต่อกับนายเทศหาทางที่จะช่วยให้เหตุการณ์เข้าสู่ปกติ วันหนึ่งลูกชายถามพ่อว่า “พ่อบอกว่าจะพาฉันไปหาอ้ายเพื่อนทรยศ จะได้คิดบัญชีให้เสร็จเรื่องเสร็จราวสักที ฉันคอยมาก็นานพอแล้ว เมื่อไหร่พ่อจะช่วยฉันล่ะ”

พ่อได้ฟังลูกชายพูดเช่นนี้ จึงบอกว่า “หมู่นี้พ่อใจคอไม่สบาย กินก็ไม่ได้ นอนก็ไม่หลับ เพราะความรักลูกและอยากจะขอ.....”

ยังไม่ทันผู้พ่อจะพูดจบ เจ้าลูกชายก็ขัดขึ้นว่า “พ่ออย่าขอชีวิตอ้ายคนทรยศต่อเพื่อนเลย ไม่มีหวังหรอก ฉันบอกแล้วว่าฉันให้ไม่ได้ ถ้าพ่อจะขออย่างอื่น ฉันจะให้ทุกอย่าง ยกเว้นขอชีวิตอ้ายคนทรยศต่อเพื่อน”

พอพูดจบผู้เป็นพ่อก็เอ่ยขึ้นว่า “พ่อรู้ว่าลูกใจแข็งเหมือนเดิม พ่อไม่สามารถจะชักไห้ลูกเห็นผิดเห็นชอบ แต่เมื่อลูกบอกว่าพ่อจะขออะไรลูกก็จะปฏิบัติทุกอย่าง แต่ไม่ยอมให้ชีวิตอ้ายคนทรยศอย่างเดียวเท่านั้น พ่อขอบใจลูกมาก ลูกก็รู้ว่าเราเป็นชาวพุทธนับถือพุทธศาสนา ฉะนั้น พ่อคิดว่าจะทำให้ลูกสบายใจ และพ่อก็สบายใจด้วย ในบ้านเราจะจัดการเลี้ยงพระถวายอาหารเพลแล้วเราพากันถือศีลบริสุทธิ์ ๓ วัน แล้วหลังจากนั้นพ่อจะพาลูกไปหานายเทศ ศัตรูเก่าที่ลูกได้พยาบาทจองเวร คิดจะเอาชีวิต พ่อรับปากว่า พ่อจะพาลูกไปหลังจากถือศีลบริสุทธิ์แล้ว”

เจ้าลูกชายได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ รีบรับปากว่า “ตกลงพ่อ ฉันจะถือศีล ๕ ตามที่พ่อบอกให้เคร่งทั้ง ๓ วัน แม้แต่ยุงฉันจะไม่ยอมตบ”

พ่อได้ยินลูกรับปากเช่นนี้ก็ดีใจ แล้วกำหนดจัดงานเลี้ยงพระ เป็นการภายในครอบครัว และบอกภรรยาให้รู้ และขอแรงชาวบ้านมาทำอาหารคาวหวานแล้วต่างก็ช่วยกันดีใจ

ครั้งเมื่อถึงกำหนดวันเลี้ยงพระ ทั้งพ่อแม่ลูกต่างก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อเตรียมจะรับศีล ๕ และฟังพระสวดพระพุทธมนต์ด้วยจิตศรัทธา ด้วยใจบริสุทธิ์ และเกิดปีติในการบุญครั้งนี้ ส่วนพวกเพื่อนบ้านที่ชำนาญในทางทำกับข้าวและของหวาน ต่างมาช่วยจัดหุงหาอาหารตามที่ตนถนัด เพื่อถวายพระฉันเพลและเลี้ยงคน ต่างคนทำหน้าที่ไม่ว่าสาวหรือแก่ต่างสมัครเต็มใจช่วยงาน มิได้เกรงความเหน็ดเหนื่อย แสดงถึงน้ำใจในหมู่บ้าน ต่างก็ร่วมมีความสามัคคีกลมเกลียวกัน ทั้งครอบครัวของพ่อเด็ก ก็เป็นคนมีจิตใจอารีอารอบต่อเพื่อนบ้าน เป็นคนใจบุญจึงเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป


(มีต่อ ๔)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:33 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 8:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาหารทางโรงครัวเรียบร้อย พอดีพระสงฆ์ที่นิมนต์ก็มาถึงบ้าน ผู้ที่มาช่วยงานก็พากันตักน้ำล้างเท้าพระสงฆ์ ก่อนที่ท่านจะขึ้นไปบนเรือน พ่อได้แนะนำลูกชายเข้าไปกราบท่านสมภารซึ่งเป็นอาวุโสในหมู่สงฆ์ ซึ่งท่านเข้านั่งลำดับเป็นองค์ต้น ท่านสมภารก็ทักทายปราศรัยให้ความเอ็นดูแก่เด็ก ถามถึงความรู้ต่างๆ เด็กก็ตอบได้อย่างฉะฉาน ทำให้ท่านสมภารมีความพอใจมาก หันไปยิ้มกับพ่อเด็ก แล้วพูดว่า

“ลูกของโยมคนนี้เฉลียวฉลาดกว่าเด็กอื่นๆ อายุรุ่นเดียวกันที่อาตมาเคยพบมา”

พ่อเด็กมีความพอใจ ที่ท่านสมภารชมบุตรชายของตัวก้มตัวกราบลงแล้วพูดว่า

“ผมอยากถวายให้เป็นศิษย์หลวงพ่อช่วยอบรมสอนศีลธรรม เพื่อจะเป็นคนดีต่อไปภายหน้า”

ท่านสมภารหัวเราะแล้วพูดว่า “เออ ! ดี ! ดี ! อาตมาชอบมาก ถ้ามีเด็กฉลาดเข้าใจอะไรง่ายๆ อย่างนี้ ถ้าได้มีโอกาสเรียนศีลธรรมในทางพุทธศาสนาแต่อายุยังน้อยๆ อย่างนี้ โตขึ้นก็จะแตกฉานมีความรู้ซึ้งในหลักพระธรรมคำสอนขององค์พระตถาคต ศาสนาก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกด้วย เวลานี้เรามีแต่ผู้ขึ้นชื่อว่าถือศาสนามากมาย แต่ความจริงส่วนมากสักแต่ว่านับถือพุทธ รู้แต่ไหว้พระ ทำบุญใส่บาตร ฟังพระเทศน์ เห็นแต่ว่าครั้งปู่ ย่า ตา ยาย นับถือมา ก็นับถือต่อๆ กันไป รู้เพียงหยาบๆ ว่าทำบุญแล้วขึ้นสวรรค์ ทำบาปแล้วตกนรก

นอกนั้นไม่สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ จึงไม่ซาบซึ้งเข้าถึงหลักธรรม ส่วนมากไม่เคยปฏิบัติ อันพระพุทธศาสนานั้นล้ำเลิศประเสริฐสุด แต่ชาวพุทธยังเข้าไม่ถึงข้อนี้ อาตมาเศร้าใจ บางคนไม่รู้ว่าศาสนาพุทธนั้นมีหลักปฏิบัติอะไรบ้าง ถ้ามีใครถามแล้วก็ตอบไม่ได้ ไม่สมกับเป็นชาวพุทธเลย ทั้งการเผยแผ่พระพุทธศาสนาของเราก็รู้สึกเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่สมกับพุทธศาสนาเป็นศาสนาอันล้ำเลิศของโลก”

เด็กชายทะนงมีความสนใจท่านสมภารยิ่งขึ้น ถามโน่นถามนี่ ท่านก็ตอบด้วยใจเมตตากรุณา พ่อของเด็กก็มีความปีติมากขึ้นที่ได้เห็นลูกชายของตนใส่ใจในทางพระ จึงพูดกับท่านสมภารว่า “ผมอยากจะเรียนถามหลวงพ่อว่า อันฆราวาสผู้เป็นพุทธศาสนิกชนควรจะปฏิบัติอย่างไร จึงจะสมกับที่เราได้มีโอกาสเกิดมาในร่มโพธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

ท่านสมภารยิ้มด้วยอารมณ์ดี แล้วพูดว่า “ดีแล้วที่โยมถามมาเช่นนี้ ข้อแรกคฤหัสถ์ ควรจะมีศีลปฏิบัติอย่างต่ำนั้นมีศีล ๕ และศีล ๘ และศีล ๑๐ อาตมาอยากจะแนะนำปุถุชนทั้งหลาย ควรจะปฏิบัติศีล ๕ ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตเป็นประจำ แต่ปลูกความศรัทธา ขอให้บริสุทธิ์สะอาดก็จะเกิดสิริมงคลแก่ตัวเอง หากสามารถจะปฏิบัติศีล ๘ หรือศีล ๑๐ ได้ก็ยิ่งประเสริฐ หรือจะปฏิบัติศีลเฉพาะในวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ หรือวันสำคัญในทางพุทธศาสนานานๆ ครั้งได้ก็ดี”

หลักพระพุทธศาสนามาจากธรรมชาติ ที่สามารถจะพิสูจน์ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลักธรรมของพระองค์ท่านมุ่งหวังที่จะกำจัดทุกข์ กำจัดความเดือดร้อน เช่นมนุษย์เราได้ประสบปัญหาอย่างทุกวันนี้ บุคคลใดสร้างกรรมดีมีศีลมีสัตย์ มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ มีจิตใจเมตตากรุณาเผื่อแผ่ ไม่เบียดเบียนมนุษย์และสัตว์ ปฏิบัติศึกษาหลักธรรม บุคคลใดสร้างบุญ สร้างกุศล เรียกว่าบุญกรรม หากผู้ใดทำชั่วสร้างบาป ก็เรียกว่า บาปกรรม พระพุทธศาสนาถือกรรมเป็นสัจธรรม เชื่อกรรมลิขิต ผู้ใดสร้างกรรมดีกรรมชั่ว ย่อมเป็นสมบัติมรดกติดตามสนองตลอดไปที่จะต้องใช้กรรม

ฉะนั้น ทางพุทธศาสนาจึงมิให้บุคคลไม่ให้เชื่อโชค เชื่อลาง เชื่อฤกษ์ เชื่อยามอย่างงมงาย ทุกอย่างตัวเรารู้ดีกว่าผู้อื่น จะทุกข์สุขเดือดหรือสบายอกสบายใจก็อยู่ที่ใจของเรา หากเราทำบุญสร้างความดี เราก็รู้สึกสบายใจ หากเราทำความชั่วสร้างบาปใจเราก็ไม่สบายเกิดเป็นทุกข์ แม้จะไม่มีใครรู้ใครเห็นเราก็รู้เห็นของเราเอง

พวกที่ได้ฟังท่านสมภารนำให้เข้าใจถึงเรื่องพระพุทธศาสนา ต่างก็สนใจกันมาก พากันนั่งนิ่งฟัง แม้แต่เด็กทะนงก็สนใจนิ่งฟังท่านสมภาร ด้วยเกิดความซาบซึ้งผิดกับเด็กธรรมดาทั่วไป ในอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ความรู้สึกเกินเด็กที่มีอายุน้อยคล้ายความรู้สึกของผู้มีอายุที่บรรลุนิติภาวะ ฉะนั้น จึงได้เข้าใจในธรรมทางพระพุทธศาสนา ตามที่ท่านสมภารชี้แจงให้ทราบทุกสิ่ง และได้ซักถามถึงเหตุผลที่เหมาะสม กับผู้สนใจศึกษาในหลักศาสนาแห่งศีลธรรม ทำให้ผู้ใหญ่อยู่ในที่นั้นต่างพากันแปลกประหลาดใจไปตามกัน ที่ได้ยินเด็กถามท่านสมภารว่า “อันฆราวาสผู้ครองเรือนจะปฏิบัติตนอย่างไรจึงจะเกิดความสุขความสบาย”

ท่านสมภารยิ้มด้วยความพอใจ แล้วพูดขึ้นว่า

“อันมนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้ เมื่อมีความคิดสมบูรณ์แล้ว ก็ต้องแสวงหาความสุข ความสบาย อยู่ดีกินดีด้วยกันทุกคนไม่มีคนใดต้องการความทุกข์ ความยากลำบาก ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็ไม่มีใครหนีความทุกข์เหล่านี้ให้พ้นได้

ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจเป็นภัยของธรรมชาติอันใหญ่หลวงคู่โลกตลอดมา ที่หมู่มวลมนุษย์และสัตว์เกลียดชังหวาดกลัว จึงมีมนุษย์ที่กระเสือกกระสนดิ้นรน เพื่อหาทางออกที่จะหลีกหนีให้พ้นเพลิงทุกข์อันนี้ แต่ก็ไม่มีผู้ใดหนีพ้นไปได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นจอมจักรพรรดิผู้ทรงแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้มีอำนาจหรือมนุษย์ทั้งหลาย หรือเศรษฐีมั่งมีทรัพย์สินมหาศาล หรือแพทย์ผู้ทรงความสามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้ต่อชีวิตยืดยาวไปได้ หรือยาจกเข็ญใจ ก็ไม่มีใครล่วงพ้นความทุกข์ไปได้

เมื่อญาติโยมได้ฟังอาตมาพูดเช่นนี้ ถ้าได้ใช้สติปัญญาไตร่ตรองดู ก็จะเห็นจริงตามที่อาตมาพูด คราวนี้เรามาพูดถึงว่า ทำอย่างไรฆราวาสผู้ครองเรือนควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดความสุข อยากจะชี้ให้เห็นการทำดีเวลานี้ ในปัจจุบันนี้พวกญาติโยมมาประชุมพร้อมหน้าในงานเลี้ยงพระฉันเพลวันนี้ มีการสร้างความดีการสร้างความดีนั้น จะมากน้อยเท่าใด แม้เกิดมีจิตศรัทธาแล้ว ก็จะทำให้จิตใจญาติโยมทั้งหลายเกิดความปีติยินดีชื่นบานขึ้นมาทันที ไม่มีความเศร้าหมอง เพราะมองไม่เห็นแก่ตัว มีความกรุณาแม้แต่เพียงระยะสั้นๆ ก็อิ่มเอิบใจ”

“การครองเรือนเพื่อหาความสุขความสบาย ย่อมจะต้องกำจัดความทุกข์ การกำจัดทุกข์ซึ่งเป็นมารของความสุขนั้น ย่อมจะต้องรู้ถึงต้นเหตุของความทุกข์ และทางกำจัดทุกข์เสียก่อน อุปมาเหมือนต้นไม้มีพิษ เราจะตัดกิ่งตัดปลาย ย่อมจะไม่สามารถจะกำจัดได้ หากเราไม่สามารถจะขุดรากแก้วโค่นทิ้งเสีย เหตุแห่งทุกข์ก็เช่นเดียวกัน หากเราแก้ไขปลายเหตุก็ไม่สามารถกำจัดทุกข์ได้

ธรรมของพระพุทธองค์ชี้ทางให้เราเห็นต้นเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งเกิดจาก ราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้ก่อให้เกิดความอิจฉาริษยา คอยทำลายทรัพย์สิน และชีวิตให้ย่อยยับและฉิบหาย คอยแก้แค้น สังคมของโลกทุกวันนี้ให้ปั่นป่วน ความทุกข์ยากความเดือดร้อน เหตุเกิดเพราะมัวเมาหลงใหลในรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส งมงายในอำนาจวาสนา หมกมุ่นอยู่กับ ราคะ ตัณหา ในความกำหนัด ทำให้หูหนวกตาบอดหลงอยู่ในกองทุกข์ว่าเป็นความสุข จมอยู่ในกองกิเลสตัณหา

ธรรมของพระพุทธองค์ปลุกผู้หลงใหล งมงายให้รู้สึกตัวตื่นจากกองกิเลส ถอนตัวจากความชั่วร้าย มองเห็นทางกำจัดกิเลสความชั่วร้าย คือ ราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาลงได้ เมื่อรู้ว่ามันจะเกิดขึ้น ก็พยายามใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา พิจารณามาเป็นพลังขับไล่มารชั่วนี้ทำลายให้สูญไป อย่าให้มันเกิดขึ้นในความรู้สึก ถ้าผู้ใดปฏิบัติได้เช่นนี้ ผู้นั้นก็จะเกิดสุขขึ้นมาด้วยความสงบ แม้ปุถุชนธรรมดาไม่สามารถจะกำจัดกิเลสตัณหา พวกราคะ โทสะ โมหะ ให้สูญหายได้อย่างถาวร ดังเช่นพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีล บำเพ็ญเพื่อบรรลุพระอรหันต์ก็ดี แต่ก็กำจัดให้มันห่างออกไป คอยระวังอย่าให้มันมาใกล้เพียงนี้ก็ยังดี เพราะกิเลสตัณหาเหล่านี้ยิ่งห่างไกลเพียงไร เราก็ไกลจากความทุกข์เท่านั้น”


(มีต่อ ๕)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:34 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 8:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ปุถุชนทั้งหลายจงสังวรว่า เราจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะเกิดสุข เมื่อเราได้กำจัดความโลภ โกรธ หลง ลงได้ ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา การจองเวรจองกรรม ก็จะไม่มี จงตั้งอยู่ในความเมตตา เพราะความเมตตาเป็นเครื่องทำลายความพยาบาท ความโกรธแค้น ความอิจฉา จองเวรจองกรรมให้สิ้นลง ขอให้ปฏิบัติที่อาตมาได้กล่าวมาแล้ว วันนี้อาตมามีความยินดีที่ญาติโยมขอร้องให้พูด เรื่องการครองเรือนของฆราวาสทางธรรม เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง

และมีผู้ถามว่าปัจจุบันจะปฏิบัติย่างไรจึงจะได้ผลดี อาตมาขอตอบว่า ปัจจุบันหมายถึงว่ากำลังมีความรู้สึกหนาวร้อนหิวและอิ่ม รู้ดีรู้ชั่วคือเป็นชีวิตปัจจุบัน ฉะนั้น ขอให้เร่งรีบทำความดีสร้างบุญกุศล อย่าให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่อไปปัจจุบันก็จะเลื่อนไปเป็นอดีตที่มีประวัติงดงาม และจะเป็นอนาคตที่เจริญรุ่งเรืองสดใส ยังมีคนส่วนมากนึกถึงชีวิตอดีตก็เกิดความเศร้าหมอง

อาตมาขอให้สาธุชนลืมเรื่องอดีตที่เศร้าหมอง แม้จะรู้ว่าผิดก็ไม่สมารถแก้ไขให้ดีได้ แต่อย่าลืมความกตัญญูกตเวทีผู้มีพระคุณ ต้องระลึกไว้เป็นสิริมงคลแก่ตนเอง แล้วจงเร่งสร้างความดีในปัจจุบัน ส่วนอนาคตนั้นไม่แน่นอนเหมือนปัจจุบัน จะทำอย่างไรก็ปักใจจนเกินไป ทุกอย่างในโลกย่อมจะเปลี่ยนแปลง ชั่วหรือดี ที่เราจะทำอยู่ในปัจจุบันหลักธรรมของพระพุทธศาสนาคือเหตุผลตามความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้”

“ฉะนั้น ธรรมของพระพุทธองค์จึงนิยมให้ผู้ได้ยินได้ฟัง แล้วนำไปไตร่ตรองสอบสวนพิจารณาดูให้ดี เมื่อแน่ใจว่าปฏิบัติแล้วจะเกิดผลจึงค่อยเชื่อ พุทธศาสนาไม่บังคับกดขี่ให้ผู้อื่นเชื่ออย่างงมงาย เป็นศาสนาเสรี เราสามารถที่จะค้นคว้าหาข้อเท็จจริงได้ หากมีความข้องใจก็วิจารณ์ด้วยเหตุผลให้ชัดเจนแจ่มใส ไม่ให้หลงเชื่องมงายว่า การกราบไหว้เป็นการประจบเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่สามารถจะบันดาลเหตุร้ายให้กลายเป็นดี พุทธศาสนาท่านให้เชื่อกรราม การสร้างกรรมดี กรรมชั่ว เป็นสมบัติของเราโดยเฉพาะบุคคล เป็นมรดกที่เราจะต้องรับ หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกชีวิตจะต้องเป็นไปตามกรรมลิขิต กรรมจะเป็นเงาติดตามเราตลอดไป ผิดกันแต่กรรมดีหรือกรรมชั่ว

ญาติโยมทั้งหลายจงใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นธรรมที่ควรจะรู้ ควรจะเห็น ควรจะปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ให้เชื่อผู้อ้างตำรา ให้ให้เชื่อเสียงเล่าลือ ให้เชื่อเมื่อตนเองได้พิสูจน์แล้ว ผู้ใดปฏิบัติธรรม ผู้นั้นย่อมประจักษ์ด้วยตนเอง ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม พระธรรมย่อมจะนำความสุขมาให้ผู้ประพฤติธรรม ผู้ประพฤติธรรมย่อมไม่ไปสู่ทุคติ ผลแห่งอาสนิสงส์ในธรรมที่ตนได้ประพฤติแล้ว พระธรรมให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติ ไม่เลือกกาลเวลา ให้ผลสงบสุขทางใจทุกเวลาที่ปฏิบัติ อาตมาได้ชี้แจงเหตุผลให้ญาติโยมนำไปพิจารณาแล้ว


บัดนี้ อาตมาขอให้ญาติโยมทั้งหลาย เทิดทูนพระคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เหนือเกล้า และจงจำพระธรรมคำสอนของพระองค์แนบไว้ในดวงใจ เพราะเป็นหลักธรรมอันสูงค่าประมาณมิได้ สามารถจะปราบมนุษย์ที่มีจิตใจดุร้ายให้สงบลง ธรรมของพระองค์สามารถที่จะทำลายความเดือดร้อนของโลกให้สงบลง เป็นธรรมของพระพุทธองค์ ประเสริฐล้ำเลิศกว่าธรรมทั้งหลาย สามารถจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นกองทุกข์ไปได้ พุทธศาสนาจึงส่องแสงรัศมีสู่โลกไม่มีล้าหลังทุกยุคทุกสมัยตลอดไป”

วันนั้นหลังจากการเลี้ยงพระเจริญพุทธมนต์ และกรวดน้ำตามประเพณีเสร็จแล้ว ก็มีการเลี้ยงอาหารชาวบ้าน และเพื่อนฝูงที่มาช่วยงาน เป็นที่สนุกสนานรื่นเริงตามภาษาชาวบ้านทั่วไป หลังจากเลี้ยงพระผ่านไปในเย็นวันนั้น พ่อของเด็กชายทะนงเห็นอารมณ์ลูกชาย ผ่องใสสนใจในศีลธรรม เคร่งครัดในศีล ๕ ก็มีความดีใจ เมื่อแขกและชาวบ้านกลับหมดแล้ว ยามเย็นลูกชายก็นั่งสนทนากับพ่อแม่ พูดถึงท่านสมภารได้ให้ข้อคิดหลายข้อเป็นที่พอใจของลูกชาย และยังมีปัญหาอยากจะไปถามท่านที่วัด อยากจะไปเป็นศิษย์ของท่านเพื่อศึกษาธรรม

เมื่อกำลังสนทนากันอย่างสบายอารมณ์ของพ่อแม่ลูกภายในบ้าน ก็มีคนมาถามหาผู้พ่อเด็ก ทำให้การสนทนาหยุดชะงักลง ผู้พ่อลุกขึ้นมาชะโงกหน้าต่างดู พอเห็นก็จำได้ ร้องเชิญให้ขึ้นมานั่งบนเรือน ภรรยากับลูกชายเห็นแขกมา ก็ลุกจะหลบเข้าในห้องเรือน แต่ผู้พ่อร้องห้ามไว้ให้นั่งอยู่อย่างเดิม เมื่อแขกขึ้นมาทักทายปราศรัยกับเจ้าของบ้านพอสมควรแล้ว ก็นั่งลงอย่างกระสับกระส่ายไม่สู้จะสุขใจนัก ผู้เป็นพ่ออึกๆ อักๆ อยู่ครู่หนึ่งจึงพูดกับลูกชายอย่างไม่สู้จะเต็มปากว่า

“พ่ออยากจะบอกลูกว่า พ่อได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับลูกแล้ว คือได้นำตัวนายเทศซึ่งเมื่อชาติก่อนเป็นเพื่อนรักใคร่กันมาก และภายหลังกลายเป็นศัตรูที่ลูกคิดผูกพยาบาท ความจริงพ่อได้สืบสวนแล้ว การฆ่ากันในครั้งนั้น เป็นเพราะเมามายทำให้สติฟั่นเฟือน มิได้มีเจตนาที่จะคิดฆ่ากันถึงตายเลย”

พอผู้พ่อพูดได้เท่านั้น นายเทศผู้มีอายุก็คลานตรงเข้าไปกราบเท้าเด็กชายทะนง ซึ่งมีอายุเพียง ๘ ขวบ แล้วร้องไห้ พลางพูดว่า

“ขอให้เพื่อนจงยกโทษให้ข้าเถิดพ่อจุ่น ครั้งนั้นข้าไม่มีเจตนาฆ่าฟันเพื่อนให้ตายเลย ความเมาทำให้ขาดสติ ไม่รู้ว่าทำอะไรลงไป ที่สุดก็รู้สึกตัวเสียใจเสียดายที่เรารักกันมากมายที่ต้องมาทำลายเพื่อน เพราะฤทธิ์สุราที่ทำลายความรักของเพื่อนทำลายชีวิตของเพื่อน ตั้งแต่นั้นข้าก็หาความสบายใจไม่ได้ มีแต่ความทุกข์ตลอดมา ฉะนั้นของให้เพื่อนจงอโหสิกรรมให้ด้วยเถิด” พูดแล้วก็ร้องไห้หมอบอยู่ต่อหน้าเด็ก

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นไม่ทันรู้ตัว ทั้งแม่และเด็กชายทะนงก็ตกตะลึง ที่เห็นชายแก่ผู้มีอายุมาหมอบกราบเด็กชายอายุ ๘ ขวบ ส่วนเด็กชายทะนงนั่งนิ่งเหมือนถูกมนต์สะกด ฟังนายเทศพูดจบ แล้วก็นิ่งคิดด้วยกิริยาเป็นปกติ มิได้แสดงถึงความขึ้งโกรธหรือยินดียินร้ายใดๆ ครู่หนึ่งพูดออกมาคล้ายผู้ใหญ่ว่า

“ดีแล้ว เจ้าเทศ ที่เอ็งมารับสารภาพกับข้า ที่เอ็งทำไปนั้นเพราะฤทธิ์สุรา ทำให้เอ็งและข้ามึนเมา ข้าเองเดิมทีก็คิดจะล้างแค้นเอ็งเหมือนกัน แต่บัดนี้ ข้าได้ถือศีล และได้ฟังการอบรมจากท่านสมภาร ทำให้ข้ารู้สึกคิดได้ว่า การจองเวรการพยาบาทนั้นเป็นทุกข์ แล้วก็จองเวรวนเวียนไม่สิ้นสุด ข้าจึงตกลงอโหสิกรรมให้เอ็ง เพื่อจะทำให้ข้ามีจิตใจบริสุทธิ์ไม่มีเวรกรรมใดๆ ที่จะต้องติดตามตัวไปไม่สิ้นสุด”

ทันใดนั้นนายเทศผู้มีอายุ ก็แสดงความปีติยินดีขึ้นมากราบเด็กชายทะนงด้วยความดีใจ ที่ได้อโหสิกรรมให้ตนแล้ว ในที่นั้นทุกคนก็พากันปลื้มปิติ ที่ศัตรูคู่อาฆาตจองเวรกลับมากลายเป็นมิตรกันอีกครั้งหนึ่ง

พ่อของเด็กได้ขอร้องให้คนทั้งสองเข้าไปกราบพระพุทธรูปในห้องพระ และกล่าวคำอโหสิกรรมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพระจะได้อำนวยพรให้ความอยู่เย็นเป็นสุข ทั้งสองไม่ขัดข้อง แม่ฝ่ายหนึ่งจะเป็นเด็กชายอายุน้อยและอีกฝ่ายหนึ่งก็เป็นผู้มีอายุมาก แต่ทั้งสองก็ยังเป็นเพื่อนกันได้ เป็นเรื่องแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว

เรื่องนี้พอจะชี้ให้เห็นได้ว่า ทางพุทธศาสนานั้น การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของสัตว์โลก ย่อมจะวนเวียนเกิดดับไม่รู้สิ้นสุด วนเวียนอยู่ในกองทุกข์ตลอดไป พระธรรมของพุทธศาสนาจึงชี้ทางให้ปฏิบัติด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นห้วงทุกข์จากเวียนว่ายตายเกิด ไปสู่ความสุขอันสงบคือนิพพานซึ่งอยู่เหนือวัฏสงสาร พ้นความทุกข์ เป็นอันสิ้นภพสิ้นชาติฯ



....................... เอวัง .......................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 7:28 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 12 เม.ย.2006, 8:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไฟกิเลสเผาใจให้เห็นผิด
แม้แต่มิตรยังมีจิตคิดเข่นฆ่า
เกิดจากบุพกรรมทำไว้แต่ก่อนมา
สิ้นชีวากลับชาติเพื่อจองเวร
จงอโหสิกรรมกันเถิดหนา
ศาสดาท่านสอนชี้ให้เห็น
อภัยทานสราญรื่นพ้นกากเดน
กลับกลายเป็นฝักใฝ่บรรลุธรรม

ท.เลียงพิบูลย์
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2006, 7:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 04 ส.ค. 2006, 2:12 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ชาติ ภพ วนเวียน ไ ม่ สิ้น สุด

เมื่อไหร่เราจะหยุดได้ หนอ ...........
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง