Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 หนี้ชีวิต (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 4:58 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

หนี้ชีวิต
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



ข้าพเจ้าได้ไปงานฌาปนกิจศพท่านผู้หนึ่ง ณ ฌาปนสถานที่วัดในจังหวัดพระนคร กำหนด ๑๕.๐๐ น. เป็นเวลาประชุมเพลิง วันนั้นไม่ใช่วันหยุดหรือวันเสาร์อาทิตย์ คิดว่าผู้รับเชิญมาในงานคงจะไม่มากนักเพราะเป็นเวลาทำงาน ทั้งผู้ตายก็มีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด ทั้งลูกหลานเจ้าภาพก็ไม่ใช่คนใหญ่คนโตมีชื่อเสียงในสังคม หรือเป็นข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รู้จักกันทั่วเมืองไทย ความจริงข้าพเจ้าไม่เคยรู้จักกับท่านผู้ตายมาก่อน

หากญาติผู้ตายเป็นผู้คุ้นเคยกับข้าพเจ้าได้ส่งบัตรเชิญูขอให้ข้าพเจ้ามาในงานศพให้ได้ เพราะมีผู้สนใจอยากจะขอพบเพื่อสนทนาเป็นการส่วนตัว ท่านผู้นั้นเดินทางมาจากต่างจังหวัด วันนั้นข้าพเจ้าไปก่อนกำหนดเวลา ประชุมเพลิง มีเวลามากพอที่จะสนทนากับผู้ต้องการพบให้ได้เรื่องราวหากมี

ก่อนที่จะเข้าไปถึงวัด ข้าพเจ้าคิดว่าคงจะยังไม่มีผู้รับเชิญไปก่อนข้าพเจ้า แต่เมื่อเข้าไปถึงลานเขตฌาปนสถาน ก็รู้ว่าคิดผิด เพราะมีผู้มาก่อนข้าพเจ้ามากมาย ทั้งที่ก่อนเวลาตั้งชั่วโมงกว่า การที่มีผู้มาในงานศพมากมายเช่นนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า คงจะมีเบื้องหลังในประวัตที่ดีงามของผู้วายชนม์

ข้าพเจ้าเห็นผู้คุ้นเคยรีบเดินยิ้มออกมาจากหมู่พวกเจ้าภาพ แล้วพูดว่า “นึกว่าคุณติดธุระมาไม่ได้ ผมกำลังหนักใจ ผู้ที่คอยพบก็ร้อนใจ”

ข้าพเจ้ายิ้มตอบแล้วบอกว่า “เมื่อผมรับปากแล้วไม่เคยผิดนัด ยิ่งเป็นงานศพถ้าไม่ติดธุระจำเป็นจริงๆ แล้วไม่เคยขาด เพราะเป็นการเคารพผู้ตายครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นเถ้าถ่าน ทั้งได้มีโอกาสพิจารณาซากของสังขารที่ต้องแตกดับเป็นของไม่ยั่งยืนถาวรด้วยกันทุกคน ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้ จะผิดก็แต่เวลาจะเร็วหรือช้าเท่านั้น เป็นการเตือนสติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ให้ประมาทจนลืมตัวมัวเมาลุ่มหลง ในลาภยศสรรเสริญ งมงายประกอบกรรมทำชั่ว ทั้งได้มีโอกาสได้พบเพื่อนฝูงที่สูงอายุซึ่งไม่ค่อยจะได้พบกันในงานอื่นบ่อยนัก”

ผู้คุ้นเคยหัวเราะแล้วพูดว่า “หากสังคมคิดเช่นเดียวกัน โลกก็จะสงบกว่านี้”

ข้าพเจ้าพูดว่า “ผมไม่นึกว่างานนี้จะมีคนมากมายเช่นนี้” ผู้คุ้นเคยยิ้มแล้วพูดว่า “ผู้คนที่เห็นมากมายนี้ส่วนมากมาจากต่างจังหวัด และทางบ้านนอกเขาไม่นิยมออกบัตรเชิญ เขาชอบบอกกันด้วยปากต่อๆ กันไป หากส่งบัตรเชิญเกิดหลงลืมเชิญไม่ทั่ว เขาก็น้อยใจ ไม่พอใจ บัตรเชิญเราใช้แต่ในพระนครเท่านั้น”

ข้าพเจ้าได้ยินก็ได้ความรู้ว่า คนบ้านนอกไม่สนใจบัตรเชิญ หากใครไปส่งบัตรเชิญเขาคงคิดว่า เลือกที่รักมักที่ชัง คนที่ไม่ได้รับบัตรเชิญคงน้อยใจ นึกว่ารังเกียจ และข้าพเจ้าก็ถามว่า “ทำไมไม่นำศพกลับไปฌาปนกิจที่ภูมิลำเนา”

ท่านผู้นั้นบอกว่า “คนป่วยได้ถึงแก่กรรมที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ก่อนตายคนป่วยได้สั่งไว้ว่า หากตายในโรงพยาบาลก็ขอให้จัดการศพ ที่ในกรุงเทพฯ อย่าต้องลำบากเอาศพไปบ้านนอกเลย ฉะนั้นพวกลูกหลานจึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่งของผู้ตาย”

เมื่อได้พูดกันแล้ว ผู้คุ้นเคยก็นำข้าพเจ้าไปนั่งห่างจากแขก รู้สึกว่าได้จัดไว้ก่อนแล้ว ให้ข้าพเจ้านั่งรออยู่ก่อนจะพาผู้อยากสนทนามาให้พบ แล้วท่านผู้คุ้นเคย ก็ได้ไปนำชายสูงอายุท่าทางสุภาพเรียบร้อยมีความรู้ การศึกษาดี แนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จัก และบอกว่า ท่านผู้นี้เจาะจงอยากจะพบปะสนทนากับข้าพเจ้า เราได้สนทนากันไม่นาน ก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็วตามนิสัยของชาวชนบทส่วนมาก และขอร้องว่า หากข้าพเจ้ามีโอกาสเดินทางผ่านไปทางจังหวัดที่อยู่ของท่านผู้นี้แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าแวะไปเที่ยวบ้านของท่านให้ได้ อย่าลืมไปให้ได้ย้ำแล้วย้ำอีก

ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณที่ให้ความเป็นกันเองโดยสุจริตใจ จึงรับปากว่าหากมีโอกาสมีเวลาพอจะ แวะเยี่ยมตามตำบลสถานที่ ตามที่ท่านผู้นั้นได้บอกไว้อย่างถี่ถ้วน แม้เราจะรู้จักกันในระยะสั้น ยิ่งได้สนทนากันมากขึ้นแล้วก็เหมือนเรารู้จักกันมาแรมปี น้ำใจของชาวชนบทน่าเคารพ ส่วนมากเป็นคนซื่อ รู้สึกง่าย คบง่าย ถือวิสาสะเป็นกันเอง เป็นคนเปิดเผยไม่มีเล่ห์เหลี่ยม มองดูคนในแง่ดีเสมอ เมื่อรักใคร่นับถือผู้ใด ก็ฝังชีวิตจิตใจผู้นั้นตลอดไป

ผิดกับชาวกรุงบางคนยังมีบางทีถือเขาถือเรา ไม่เคยจะยอมพูดจาสนิทสนมกับใครง่ายๆ ไม่ค่อยมองคนในแง่ดีนัก คอยระวัง แต่ก็มีท่านผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ท่านไม่ถือตัว รู้จักง่าย เป็นกันเองน่าเคารพนับถือ ข้าพเจ้าเห็นใจผู้ที่ไม่ยอมรู้จักคนง่ายๆเพราะในยุคปัจจุบันนี้การคบเพื่อนเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต ถ้าคบเพื่อนดีก็พากันไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ถ้าไปได้เพื่อนชั่วก็พาตัวให้ตกต่ำ

วันนั้นเราได้สนทนากัน ข้าพเจ้าได้เรื่องชีวิตบุคคลตัวอย่างที่เคยสร้างความชั่วแล้ว กลับมาสร้างความดีชนะความชั่ว พอที่ข้าพเจ้าจะนำมาเรียบเรียงเข้าในชุด “กฎแห่งกรรม” ได้ เพราะเป็นเรื่องที่น่าคิด เมื่อผู้ใดอ่านแล้วควรจะใช้สติปัญญาพิจารณาให้เกิดความรู้ จักมองเห็นกรรมดีและกรรมชั่ว พอจะเตือนสติให้สำนึกถึงเราทุกคนที่เกิดมาในโลก เวลามีชีวิตไม่ยืนยาวมากนัก ถ้าเราไม่หลงงมงายตัวเองจนเกินไป ก็จะมองเห็นความทุกข์เห็นความเดือดร้อนของผู้อื่น มองเห็นสิ่งบกพร่องในชีวิตของเรา ที่ได้ปฏิบัติไปก่อความลำบากยากแค้นไปสู่ผู้อื่น

ดังเรื่องที่ข้าพเจ้าได้ฟังมาจากปากคำของท่านผู้ประสบการณ์ครั้งนี้ด้วยตัวของท่านเอง มีทั้งประหลาดมหัศจรรย์ มีทั้งสร้างความชั่วและสร้างความดี ผู้เล่าได้ระบายความที่อัดไว้ออกมาในความรู้สึกที่เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นกับบุคคลผู้หนึ่ง เวลาชั่วก็แสนจะชั่ว ชาวบ้านทั้งเกลียดทั้งกลัว เวลาดีก็แสนจะดี ชาวบ้านทั้งรักทั้งเคารพบูชา เป็นชีวิตที่แปลกและได้เกิดขึ้นมาแล้ว

เราได้สนทนากันตอนหนึ่ง ท่านผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นเป็นการเป็นงานว่า ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องชีวิตของผมได้เข้าไปผูกพันกับชีวิตของท่านผู้หนึ่งให้คุณฟัง มันเป็นเรื่องที่น่าจะนำไปคิด ผมคิดว่าคงจะมีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องให้จบในวันนี้ คงจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้บ้าง ไม่มากก็น้อย

เรื่องที่จะเล่านี้ก็คือ ถ้าจะย้อนหลังก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่นานนัก ในหมู่บ้านที่ผมอยู่ตลอดทั้งบางทั้งคุ้งนั้น ถ้าใครเอ่ยชื่อ “กำนันแต้ม” แล้ว ชาวบ้านไม่มีใครชอบ ทั้งแสดงกิริยารังเกียจ แทบจะถ่มน้ำลายรดชื่อ ทำไมชาวบ้านจึงจงเกลียดจงชัง เพราะกำนันแต้มคนนี้แกฉลาดแกมโกง เป็นคนมีอิทธิพลชาวบ้านพากันเกรงกลัวมาก

ชาวบ้านผู้ใดถ้าใครเดือดร้อนเงินทอง ใครนำบ้านช่อง เรื่องสวนไร่นาไปจำนำจำนองหรือขายฝากกับแกแล้ว ไม่ช้าก็จะเปลี่ยนมือไปเป็นของแกหมด แล้วแกก็ขับไล่ออกไปจากที่ไม่เคยมีความเมตตาปรานีใคร ถ้าใครถูกขับไล่ ดื้อไม่ยอมออกจากที่ไป ก็มีหวังถูกอิทธิพลมืดลูกน้องของแกจัดการ



(มีต่อ 1)
 

_________________
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:18 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉะนั้น ชาวบ้านทั้งเกลียดทั้งกลัว แม้กระนั้นชาวบ้านที่ขัดสนเงินทอง หมดทางก็ต้องบากหน้าคลานไปหา ก้มหัวยอมให้แกขูดรีด เพราะไม่มีทางอื่น และคนอื่นก็ไม่มีเงินทองพอที่จะให้พึ่งพา ความจริงชาวบ้านบางคนก็ดี บางคนก็มีนิสัยเสียงมงาย พอหมดฤดูทำนาเมื่อเกี่ยวข้าวแล้ว เมื่อขนข้าวเข้ายุ้ง ใช้หนี้สินที่เขามาตกข้าวแล้วก็ขายข้าวเปลือก พอได้เงินแล้วก็พากันว่างงานแทนที่จะหารายได้ทางอื่น กลับพากันไปมั่วสุมกินเหล้าเมายา เล่นการพนัน มีถั่ว โป เป็นต้น

พวกที่เสียการพนัน ความที่เสียดายที่เสียเงินไปขาดสติ ไม่คิดหน้าคิดหลัง ตั้งใจมุ่งหวังจะแก้ตัวเอาเงินที่เสียคืนมา จึงได้เอาที่ดินที่นาไปจำนองหรือขายฝากเพื่อนำเอาเงินไปแก้ตัวในวงการพนัน หลงมัวเมาอย่างงมงายเล่นการพนันหามรุ่งหามค่ำ ผีการพนันเข้าสิงไม่หมดเงินก็ไม่เลิก ผลที่สุดก็สิ้นเนื้อประดาตัว เพราะทรัพย์สมบัติที่ดิน ไร่นาก็ถูกริบถูกโอนเป็นของเจ้าหนี้ ที่สุดก็ถูกไล่ให้อพยพจากที่เคยอยู่อู่เคยนอน ที่ดินที่เคยทำมาหากินเลี้ยงชีพตลอดมาอย่างเสียดายอาลัยสุดซึ้ง เมื่อคิดถึงความชั่วความผิดของตัวได้ก็สายเสียแล้ว ผลที่สุดก็หมดตัวต้องเช่านาเขาทำ ก็มีไม่น้อย

ผมไม่อยากพูดถึงความรู้สึกของผู้อื่นเมื่อตนเป็นลูกหนี้ อยากจะพูดเรื่องของผมเอง เมื่อผมได้ตกอยู่ในสภาพเป็นลูกหนี้ ได้รับความขมขื่นเพียงไร ความจริงผมไม่น่าจะเข้าไปเกี่ยวข้องในเรื่องหนี้สินเช่นนี้เลย เพราะผมมีนิสัยผิดกับลูกหนี้บางคนในหมู่เดียวบางเดียวกัน เพราะผมเป็นคนเจียมตัว มักน้อยไม่ฟุ้งเฟ้อ เหล้ายาปลาปิ้งเครื่องดองของเมา ผมไม่ยอมดื่ม ไม่ยอมแตะต้อง ทั้งเรื่องการพนันผมไม่ยอมเข้าใกล้ เพราะเป็นอบายมุข ใครหลงก็นำตนไปสู้ความทุกข์ยากสิ้นเนื้อประดาตัว มีตัวอย่างมากมายประวัติศาสตร์ซ้ำรอยสิ้นสุดแทบทุกยุคทุกสมัย

ความชั่วเป็นสิ่งยั่วยวนให้หลงใหลง่าย เหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ใครจะตักเตือนว่ากล่าวชี้แจงให้เห็นโทษอย่างไร ก็ไม่ซึมเข้าไปในความรู้สึก เพราะจิตใจพวกนี้มุ่งหวังจะหาความสนุก จึงขาดสติเหมือนคนหูหนวกตาบอด พูดตักเตือนเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน เพราะสติทางประสาทปักใจมุ่งไปทางหนึ่ง

ส่วนผมมีความระมัดระวังไม่แตะต้องความชั่ว แต่ถึงคราวเคราะห์กรรมบันดาลให้ นำวิถีชีวิตเข้าพัวพันกับกำนันแต้มจนได้ ต้นเหตุเกิดขึ้นเนื่องจากเมื่อมารดาของผมป่วย เป็นธรรมดาของบุตรที่มีความกตัญญูกตเวทีย่อมจะมีจิตใจเป็นห่วงกังวลเป็นทุกข์ร้อน อาการป่วยของมารดาบังเกิดเกล้า

แม้จะรักษาพยาบาลเพียงไร อาการก็ไม่ดีขึ้น ข่าวหมอดีอยู่ที่ไหน เพียงไรก็ไม่ย่อท้อไปเชิญมารักษาพยาบาล จะเสียเงินทองเท่าไหร่ก็ไม่ต้องคำนึง ขอเพียงมารดาหายป่วยก็เป็นที่พอใจแล้ว แม้ค่าหมอ ค่ายาจะแพงเท่าไรก็ไม่ว่า จะหมดเนื้อหมดตัวก็ยอม ขอให้ชีวิตของแม่อยู่ เพื่อเป็นมิ่งขวัญให้ลูกหลานเห็นหน้าตลอดไป เป็นความปรารถนายิ่งใหญ่

ผมกังวลเป็นห่วงการเจ็บป่วยของแม่ ทำให้การหากินหยุดชะงักไปพักหนึ่ง ที่สุดก็ไม่สามารถจะช่วยชีวิตแม่ให้อยู่ต่อไปได้ แม้จะรู้ว่าเกิดแล้วก็ต้องแก่ และเมื่อถึงเวลาก็ต้องตายด้วยกันทุกคน แต่ผมเป็นคนรักแม่มาก ย่อมไม่สามารถจะห้ามใจไม่ให้รักอาลัย และมีความโศกเศร้าเสียใจมากเป็นธรรมดา เพราะนึกถึงพระคุณของแม่ได้เลี้ยงลูกมาตั้งแต่เล็กจนโตใหญ่ ยังไม่ได้ทดแทนบุญคุณให้สมกับความรักของแม่ที่มีต่อลูก

เมื่อสิ้นบุญแม่แล้ว คราวนี้ก็เป็นการงานใหญ่สำหรับชาวบ้านแถบที่ผมอยู่ การทำศพเป็นเรื่องสำคัญ ไม่ให้น้อยหน้าคนในตำบลนั้น ถ้าใครทำใหญ่อยู่แล้ว เขาก็พยายามให้ใหญ่ยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าทำด้อยกว่าคนที่เขาทำก่อนแล้ว ก็รู้สึกอายชาวบ้าน ผมมีปมด้อยในตอนนี้ การใช้จ่ายในเวลาแม่ป่วยก็แทบไม่มีเงินเก่าเหลือติดบ้านอยู่แล้ว ซ้ำมาแม่ตายต้องมาทำบุญ ๗ วัน ๕๐ วัน ๑๐๐ วัน ก็ไม่อยากให้น้อยหน้าใครในตำบลนั้น

ฉะนั้นไม่มีทางอื่น จำเป็นต้องบากหน้าเข้าไปหากำนันแต้ม ทั้งๆ ที่รู้ว่าแกเค็มเพื่อให้ได้เงินมาทำศพแม่ ให้เทียมหน้าเทียมตาชาวบ้านทั้งหลาย นี้แหละครับ ที่ทำให้ชีวิตของผมพัวพันเกี่ยวข้องกับกำนันแต้มจนได้ งานศพแม่ผมได้ทำเป็นงานใหญ่โตเป็นที่ลือไปหลายคุ้งน้ำ การกินอยู่ไม่จำกัด เหล้ายาปลาปิ้งเลี้ยงเต็มที่ กลางคืนมีทั้งโขน หนัง ลิเก ละคร หุ่นกระบอก ไม่ซ้ำโรงตลอด ๗ คืน ๗ วัน ทำงานให้สมกับความรักและเคารพแม่ ซึ่งจากไปไม่มีวันกลับมาอีก

แต่ไม่มีใครรู้ว่าเบื้องหลังของการมีมหรสพ การเลี้ยงผู้คนมากมายโดยไม่จำกัดนั้น คือ ความเป็นหนี้สิน ซึ่งจะนำไปสู่ความหายนะ แต่ผมมั่นใจว่าอย่างช้าภายในสองปีข้างหน้าหนี้สินของผมก็จะใช้หมด เพราะที่สวนผลไม้เริ่มออกเต็มที่แล้ว ข้าวผมก็ทำได้มากกว่าคนอื่น ผมจึงไม่เดือดร้อนมากนัก ที่ทางผมมากแต่ผมเองรับเงินมาน้อยกว่าราคาหลายเท่า ทั้งนี้ก็เพื่อการไถ่ถอนคืนง่าย และเพื่อเสียดอกน้อยลง

โบราณว่าอย่าหมายน้ำบ่อหน้าอนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ปีต่อมานั้นเกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมผลไม้ ทั้งที่ข้าวในนากำลังงอกงาม เมื่อน้ำท่วมสูงขึ้นรวดเร็ว ต้นข้าวลอยลำตามไม่ทันจมอยู่ในระดับน้ำ ที่สุดนานวันข้าวก็ตาย ต้นไม้ยืนต้นใบแห้งเหี่ยว ผลไม้ในสวนตกลูกกำลังจะดก ยืนต้นตายเพราะน้ำท่วมมากขึ้นแล้วไม่ลด ผมแทบเป็นบ้า แต่ผมก็มานะอดทนกัดฟันสู้กับชีวิตต่อไป หาเงินได้ไม่พอส่งดอกเบี้ย ต่อมาอีกปีก็ฝนแล้งน้ำแห้ง ข้าวในนาไม่ได้ผล ผมรู้ดีว่าดินฟ้าอากาศได้ลงโทษเพื่อให้ผมหมดตัว ทั้งที่ผมไม่เคยทำบาปทำกรรมอะไรเลย

ที่สุดผมก็โดนกำนันแต้มยื่นคำขาด ขับไล่ให้ผมอพยพออกจากบ้านและที่ดินในเวลาจำกัด เพราะผมไม่มีเงินไถ่ถอนคืน แม้แต่จะเสียดอกเบี้ย เวลานั้นผมมีบุตรกับภรรยา ๓ คน บุตรคนโตเป็นชายย่างเข้า ๑๒ ขวบคนที่สองเป็นชายอายุ ๘ ขวบ และคนเล็กเป็นหญิงอายุ ๕ ขวบ ทั้งภรรยาของผมรวมเป็น ๕ ชีวิต เราจะต้องอพยพออกจากบ้านเกิดของผม ที่เติบโตมาในผืนแผ่นดินนี้จนมีลูกมีเต้า คิดดูซิครับ เมื่อเราจะออกจากบ้านของเราที่อยู่มาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย เราจะมีความรู้สึกอย่างไร

ผมมองเห็นที่ดินไร่นาต้นไม้ ทุกๆ เช้าตื่นขึ้นก็เห็นอย่างจำเจตลอดชีวิตที่ผ่านมา นึกแล้วผมก็ใจหาย เมียผมร้องไห้สะอึกสะอื้นในเมื่อเราจะต้องอพยพ ผมเองเป็นหัวหน้าครอบครัวย่อมจะทำใจอ่อนไม่ได้ ภายนอกผมทำเข้มแข็งอดทน ไม่ยอมแสดงความเสียอกเสียใจให้เมียให้ลูกเห็น แต่ในที่ลับก็แอบร้องไห้เหมือนกันเพราะนึกแล้วใจหาย



(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ก่อนอพยพ ผมกับลูกชายคนโตได้อ้อนวอนผัดผ่อนขอความเห็นใจ แม้ผมจะไม่มีเงินไถ่ถอนคืน แต่ขอขึ้นเงินเพิ่มรวมเป็นครึ่งของราคาที่ซื้อขายกันในเวลานั้น แต่ใจของกำนันแต้มแข็งอย่างเหล็กอย่างหิน ไม่เคยมีใครได้รับความเห็นอกเห็นใจเลย แม้ผมจะไปบอกขายกับคนอื่น เพื่อจะได้เงินมาไถ่ถอนคืน และเมื่อใช้หนี้หมดแล้วจะได้เงินเหลือติดตัวไปบ้าง แต่ก็ไม่มีใครกล้ารับซื้อ เพราะกลัวอิทธิพลของกำนัน

อ้ายลูกชายผมอายุ ๑๒ ขวบ มันโกรธแค้นมาก มันกล่าวอาฆาตมาดร้ายไว้ ผมต้องห้ามมัน ที่สุดผมและครอบครัวต้องย้ายออกจากบ้านเดิม อีกทั้งเรือกสวนไร่นาก็ถูกริบเป็นของกำนันแต้มหมด

เราได้อพยพจากบ้านเดิมด้วยความรู้สึกเศร้าโศกแสนอาลัย และเสียดายอย่างสุดซึ้ง แต่เคราะห์ผมยังดีได้มีญาติศักดิ์เป็นลุง เป็นคนมีศีลธรรมจิตใจดี ได้มารับผมกับครอบครัวให้ไปอยู่พักพิงให้อาศัยที่ดินด้วยกันทำมาหากิน ผมจึงมีที่อยู่ที่กินพอให้ชีวิตสดชื่นได้บ้าง ที่บ้านลุงหมอของผมอยู่เหนือจากบ้านกำนันสามคุ้งน้ำ

ลุงหมอเป็นที่รักใคร่นับถือของชาวบ้านทั่วไปทั้งบางทั้งตำบล ถ้าเอ่ยถึงหมอถมยา ชาวบ้านร้านตลาดก็พากันปีติยินดี ขนานนามให้ว่า “หมอใจพระ” ใครจะเจ็บป่วยมาตามไม่ว่าเวลาไหนก็จะต้องไปรักษาไข้เสมอ ส่วนเงินทองไม่ต้องพูดถึง ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่เอา ไม่เคยเรียกร้องค่ารักษากับใคร ถ้าจนจริงๆ รักษาให้แล้วยังแถมเงินให้อีก เพราะลุงหมอเกิดมีจิตใจเมตตาสงสาร เห็นคนป่วยยากจนหากินไม่ได้ ก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตามมีตามเกิด

วันหนึ่งหลังเที่ยงลุงหมอได้วานผมไปนิมนต์พระ เพื่อให้ท่านมาสวดมนต์ฉันเพลในวันงานไหว้ครูเป็นประจำทุกปี ซึ่งคุณหมอจัดไหว้ครูที่บ้าน นอกจากนิมนต์พระแล้ว ก็ยังยืมของใช้ในวัดจากท่านสมภารมาด้วย ผมกับลูกชายคนโตได้นำเรือสำปั้นออกจากบ้าน ลูกชายผมพายหัว ผมแจวท้าย วัดอยู่เหนือบ้านไกลพอดู เมื่อถึงที่วัด บอกนิมนต์ท่านสมภาร และให้ท่านจัดลูกวัดมาด้วย นัดวันเวลากำหนดวันเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ยืมของทางวัดตามที่ต้องการ แล้วผมกับลูกชายก็นมัสการลาท่านสมภาร

ออกเรือจากวัดยังไม่ทันพ้นคุ้งน้ำ ท้องฟ้าอากาศเกิดวิปริตปั่นป่วนลมพายุเริ่มพัดแรงหวนไปหวนมา อากาศแปรปรวน ฟ้าเริ่มคะนองอากาศมืดครึ้มเหมือนเวลาย่ำค่ำ ผมและลูกชายเห็นท่าทางจะไม่ดี ดินฟ้าอากาศแสดงว่าจะเกิดพายุฝนตกใหญ่

ท้องฟ้าจะเกิดคลื่นลมจัด จึงรีบพาเรือหลบเข้าฝั่งหาที่กำบัง เพื่อแอบหลบพายุฝนเข้าข้างตลิ่ง บังเอิญเห็นช่องทางจึงนำเรือเข้าไปอยู่ในคูวัดร้างเก่าแก่แห่งหนึ่ง เราช่วยกันลากเข็นเรือขึ้นไปเกยครึ่งลำ เพื่อไม่ให้พายุพัดกระแทกแตก เรือก็ไม่ช้ำ เพราะมีต้นหญ้ารองอยู่ใต้ท้องเรือ แล้วผมกับลูกชายก็วิ่งเข้าไปหลบพายุฝนที่กุฏิร้าง

ก่อนที่ฝนจะตกมาก กุฏิร้างหลังนี้เก่าแก่มาก แม้จะปรักหักพังไปบ้างแต่ก็มีบางส่วนก่ออิฐแน่นหนา ยังแข็งแรงพอที่จะต้านลมต้านฝนได้ดี เราไม่ได้พบสิ่งที่มีชีวิตอยู่ในบริเวณวัดที่นี่เลย เราหลบอยู่ในกุฏิร้างด้วยใจเป็นห่วงชาวเรือที่อยู่ในลำน้ำ มองดูรอบตัวเห็นสิ่งรกร้าง พวกต้นไม้เถาวัลย์ขึ้นพัวพันทั่วไป เห็นองค์เจดีย์และโบสถ์มีแต่สิ่งปรักหักพัง

ผมมีความรู้สึกคล้ายจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลี้ลับ และดวงวิญญาณสิงอยู่ทั่วไปภายในวัดร้าง ยกมือขึ้นไหว้เป็นการเคารพนมัสการสถานที่ เข้าใจว่าเคยเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมาแต่ครั้งอดีตกาล เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

ทำให้เห็นความไม่เที่ยง แม้แต่วัตถุก็ยังมีเวลารุ่งเรืองและเสื่อมโทรม ทำให้ได้คิดว่าไม่มีสิ่งใดในโลกจะยั่งยืนถาวรไปได้ตลอดกาล ย่อมจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ผมไหว้แล้วจิตระลึกถึงพระคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และพระคุณของวิญญาณทั้งหลายที่สิงอยู่ในสถานที่นั้น ขอจงช่วยคุ้มครองป้องกันภัยอันตรายใดๆ ขออย่าให้มีขึ้นกับตัวผมและบุตรชายเลย

และขออธิษฐานด้วยความกตัญญูกตเวที ที่ผมมีต่อผู้มีพระคุณ มีบิดามารดา อุปัชฌาย์ ครูบาอาจารย์ และผู้มีอุปการะคุณทั้งหลาย เป็นที่เคารพนับถือและระลึกถึงพระคุณอยู่เสมอมิได้ลืมเลย ด้วยบารมีอันนี้ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงบันดาลให้ผมพ้นจากความทุกข์ยาก สิ้นเนื้อประดาตัว คืนสู่ความปกติดังเดิม พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง ขออำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงบันดาลให้ผมสมความประสงค์ ดังความปรารถนาของผมทุกประการเถิด

เมื่อผมได้อธิษฐานเสร็จ ก็รู้สึกจิตใจชุ่มชื่นขึ้นคล้ายจะมีสิ่งลี้ลับเห็นใจและรับรู้ ตามที่ผมได้อธิษฐานไปแล้ว เพราะเวลานั้นอากาศมืดมัวทุกทิศทุกทาง สายฟ้าแลบสว่างจ้าเป็นระยะติดตามด้วยเสียงฟ้าคำราม แล้วก็ดังก้องสนั่นหวั่นไหว จนหูอื้อตามัวเหมือนฟ้าจะผ่าลงมาข้างตัว แผ่นดินแทบจะถลมทลายแตกแยกลงไป เคราะห์ดีบริเวณที่ผมหลบภัยอยู่นั้น ไม่มีไม้ใหญ่อยู่ใกล้เคียงพอที่จะเป็นสื่อล่อฟ้าให้ผ่าลงมา

พายุพัดจัดทำให้ต้นไม้น้อยใหญ่สองฝั่งลำแม่น้ำเอียงไปเอนมา ลู่ตามกระแสลม กิ่งใดต้นใดแข็งกระด้างไม่อ่อนตามกระแสลมพายุที่หวนไปหวนมาเมื่อพัดหนัก ต้นกิ่งไม่อาจทนทานกำลังกระแสลมได้ก็หักโค่น และที่อ่อนไหวไปตามแรงกระแสลมไม่ว่าจะพัดผ่านไปทางทิศใดก็เอนเอียงเอนไหวไปทางนั้น และสามารถคงสภาพอยู่ได้

ส่วนทางลำน้ำก็เกิดกระแสระลอกคลื่นใหญ่ ท้องน้ำปั่นป่วน หากเรือเล็กใหญ่ในลำน้ำไม่หลบเข้าที่กำบังเสียก่อนแล้ว ก็คงจะไม่สามารถลอยลำอยู่บนท้องน้ำได้ปกติ ผมกับลูกชายหลบฝนหลบพายุรอเวลาอยู่ที่วัดนั้น จนเย็นพายุละฝนค่อยๆ ซาเบาบางลง พายุค่อยๆ สงบดินฟ้าอากาศเข้าสู่ปกติ เราจึงออกจากที่หลบภัยพายุฝน ก่อนที่ผมจะออกจากกุฏิร้าง ผมได้ยกมือขึ้นไหว้อำลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปทั้งสี่ทิศ ที่ให้ความคุ้มครองปราศจากอันตรายใดๆ

เมื่อผมได้มาถึงที่จอดเรือแล้ว เราก็ต้องวิดน้ำฝนในเรือ เคราะห์ดีของที่เรายืมมาจากวัดนั้น ล้วนแต่เป็นจานชามเครื่องใช้ที่ถูกน้ำไม่เกิดความเสียหาย เราสองคนพ่อลูกรีบแจวพายเรือเร่งมือให้ถึงบ้านก่อนค่ำ มองเห็นสองฝั่งแม่น้ำต้นไม้เปียกชุ่มด้วยน้ำฝน บางต้นโค่นอยู่ข้างตลิ่งด้วยแรงพายุเราพยายามและแจวเรือมาได้พักใหญ่ ลูกชายผมก็มองเห็นกลางลำน้ำข้างหน้าเป็นภาพดำตะคุ่มๆ ลอยผลุบๆ โผล่ๆ เสียงลูกชายพายเรือ ตาไวชี้มือไปข้างหน้าบอกว่า “พ่อ โน่นคนตกน้ำกำลังจะจมอยู่แล้ว รีบเร็วๆ เถิดพ่อ เดี๋ยวจะช่วยไม่ทัน”



(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:32 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมไม่ได้พูดอะไร เร่งแจวเรือมุ่งไปตรงจุดที่เห็นทันที เมื่อใกล้เข้าไปก็เห็นชัดว่า คนกำลังจะหมดแรงจมน้ำอยู่แล้ว ท่อนไม้ที่เกาะอาศัยลอยตัวกำลังหลุดลอยห่างตัวออกไป เห็นคนจมลงไปแล้วผุดขึ้นมาตาเหลือกใช้มือไขว่คว้าหาท่อนไม้ที่เกาะอย่างผิดๆ ถูกๆ แล้วจมลงไปอีก พอดีเรือผมเฉียดเข้าไปใกล้ พอโผล่ขึ้นมาผมคว้าผมบนหัวไว้ได้ ยกหัวขึ้นให้จมูกสูงพ้นระยะน้ำจะเข้า พยายามให้หน้าหงายขึ้น แล้วเอามือจับคอเสื้อลากไว้ สั่งให้ลูกรีบพายเรือพาฝั่งที่ตื้น

ผมโดดลงน้ำเพื่อค่อยๆ พยุงยกร่างขึ้นใส่เรือด้วยความระมัดระวัง เพราะแกสลบไม่ได้สติ ได้แรงลูกชายช่วยบนเรืออีกแรงหนึ่ง ผมก็สามารถนำแกขึ้นมาบนเรือได้ ถ้าเราอยู่กลางน้ำไม่สามารถจะฉุดขึ้นบนเรือได้ เพราะเรือเราไม่ใหญ่พอ อาจล่มอยู่กลางน้ำ ผมสบายใจที่ได้ช่วยคนตกน้ำขึ้นมาให้รอดพ้นจากการจมลงก้นแม่น้ำ

หลังจากนำเรือชะลอคนตกน้ำเข้าหาฝั่ง พ่อค้าผู้เคราะห์ร้ายขึ้นเรือได้ แกก็หมดสตินอนนิ่งหลับตาอยู่ในเรือ ผมก็รีบแจวเรือให้ถึงบ้านโดยด่วน เพื่อจะให้ลุงหมอรีบช่วยรักษาพยาบาลและทั้งเรือก็ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้ว แต่แล้วลูกชายผมก็ร้องขึ้นมาเสียงตื่นตกใจว่า

“พ่อ นี่มันกำนันแต้มเศรษฐีหน้าเลือดนี่ เราช่วยมันไว้ทำไม ปล่อยให้มันตายในน้ำดีกว่า”

เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนั้น ผมพิจารณาผู้เคราะห์ร้ายที่นอนสลบแน่นิ่งไม่รู้สึกตัวอยู่ในเรือ ผมก็จำได้ว่าเป็นกำนันแต้มจริงอย่างที่ลูกชายบอก แต่เมื่อเห็นลูกชายพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้นอาฆาตเรื่องเก่าๆ ที่เราได้รับความขมขื่นมาแล้ว ผมจึงห้ามว่า เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะคิดว่าใครจะเป็นมิตรใครจะเป็นศัตรู หน้าที่ของเราก็คือต้องมีมนุษยธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาปรานีต้องช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกำลังรอคอยความช่วยเหลือ เพราะเราเป็นผู้พบเห็นเขากำลังจะตาย อย่าไปคิดว่าผู้นั้นจะเป็นใคร

หน้าที่ของเราเวลานี้ก็คือ ช่วยให้เขารอดพ้นอันตรายให้ชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสำคัญที่สุด อย่าไปคิดอะไรอีก แม้แต่ข้าศึกศัตรูที่รบพุ่งชิงชัย มุ่งหมายทำลายล้างชีวิตซึ่งกันและกัน แม้กระนั้นหลังจากรบพุ่งแล้ว เมื่อได้เห็นข้าศึกศัตรูบาดเจ็บสาหัส ไม่สามารถจะรบพุ่งทำลายต่อไปได้ กำลังรอความช่วยเหลือ ถ้าไม่ช่วยเหลือก็ตาย หากเรามีโอกาสได้เห็นได้พบเช่นนี้ เราก็ต้องช่วยให้รอดพ้นอันตรายให้มีชีวิตอยู่ตลอดไป ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นข้าศึกหรือมิตร เพื่อมนุษยธรรมเช่นเดียวกัน

มีตัวอย่างอยู่มากมาย ครั้งสงครามโลก ทหารต้องสู้รบเมื่อประเทศชาติเกิดประกาศสงครามเป็น ข้าศึกศัตรูทั้งสองฝ่ายก็หวังสังหารชีวิตซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา แต่เมื่อหยุดพักรบเดินทางไปได้ พบทหารข้าศึกเจ็บป่วยสาหัส ถ้าไม่ช่วยก็ตาย เราก็ช่วยเหลือส่งให้กองเสนารักษ์สนาม พยาบาลรักษาตามมีตามเกิดเพื่อมนุษยธรรม เมื่อเสร็จสิ้นสงครามสงบลง ศัตรูกลับมาเป็นมิตรประเทศ ทหารที่เคยสู้รบในยามสงครามก็กลับมาเป็นเพื่อนรักเพื่อนเป็นเพื่อนตาย แม้จะเป็นคนละประเทศต่างชาติต่างภาษา อยู่กันคนละดินแดนก็ดี แต่เรื่อง “หนี้ชีวิต” นั้นลืมกันไม่ได้

เมื่อผมได้พูดจนให้ลูกชายรู้ผิดชอบ ชั่วดี พอจะเป็นที่เข้าใจแล้ว ก็เบาใจลงบ้าง พอดีเรือของเราก็กลับมาถึงท่าน้ำหน้าบ้าน แล้วเรียกคนในบ้านมาช่วยอุ้มประคองคนรวยขึ้นไปบนบ้านลุงหมอ เพื่อรีบจัดการแก้ไขปฐมพยาบาลอย่างชุลมุน ลุงหมอรีบเข้าจัดการตรวจดูด้วยความหนักใจ เพราะคนป่วยไม่ได้สติ

แต่แล้วก็เบาใจบอกว่าไม่มีอะไรมากนัก เพียงแต่ได้รับความตื่นเต้นตกใจแล้วหมดกำลัง เพราะต้องเกาะไม้ใช้กำลังว่ายน้ำโต้คลื่นโต้ลมอยู่กลางแม่น้ำนานจนหมดแรงหมดกำลัง เหมือนจะเป็นบุญวาสนาไม่ถึงตาย บังเอิญพอดีผมมาช่วยไว้ทันเวลา ถ้าคนรวยได้พักผ่อนให้หายอ่อนเพลีย ร่างกายก็จะเข้าสู่ความปกติอย่างเดิม

บัดนี้ก็เป็นที่รู้กันทั้งบ้านแล้วว่า ผมกับลูกชายได้ช่วยชีวิตคนกำลังจะจมน้ำตายไว้นั้น คือ กำนันแต้ม หรือเศรษฐีหน้าเลือดที่ชาวบ้านจงเกลียดจงชังกันทั่วไป เพราะเขาว่าแกทำนาบนหลังคน ลุงหมอกลัวว่าผมยังมีจิตใจคิดแค้นอาฆาตจองเวรผูกพยาบาทจึงเรียกครอบครัว ทั้งบุตรและภรรยาออกจากห้องคนไข้ที่นอนไม่ได้สติ มาอีกห้องหนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า

“ลุงคิดว่าหลานคงจะไม่ผูกพยาบาทจองเวรกับ คนที่หลานช่วยชีวิตจนรอดตาย เรื่องความชั่วเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เราอย่าเอาความชั่วมาพัวพันกับอารมณ์ความรู้สึกของเรา หลานได้สร้างความดีด้วยการช่วยชีวิตคนรอดพ้นความตายในครั้งนี้ หลานก็ควรทำความดีต่อไป เมื่อชวยเขาแล้วก็ต้องช่วยให้ตลอด เรื่องเขากับหลานก็อโหสิกรรมให้เขาเสีย ใครจะเห็นคุณความดีของเราหรือไม่ อย่าไปสนใจ ผีสางเทวดาเห็นก็แล้วกัน”

ผมได้ยินลุงหมอพูดเช่นนั้น ก็รู้ว่าลุงหมอเป็นห่วง เกรงว่าผมจะผูกพยาบาทอาฆาตทำสิ่งที่ไม่ควรทำลงไป ผมจึงบอกลุงหมอว่า

“ผมลืมหมดแล้ว ผมอโหสิกรรมให้นานแล้ว ผมถือว่าเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเป็นกรรมของผมเอง ผมไม่โทษใครหรอกครับ”

ลุงหมอดีใจพูดขึ้นว่า “ลุงเองก็นึกแล้วว่า หลานคงมีคุณธรรมสูงพอที่จะไม่เอาเรื่องส่วนตัวมายุ่ง ทำลายล้างคุณความดีที่หลานได้สร้างไว้อย่างงดงาม ที่ลุงพูดเตือนก็เพื่อไห้แน่ใจ เมื่อแน่ใจแล้ว ลุงภูมิใจในตัวหลานมาก”

แล้วผมก็ขอร้องให้บุตรภรรยาของผมว่า ให้ช่วยกันลืมเรื่องเก่าๆ ให้หมด ในระหว่างที่กำนันพักอยู่บ้านเรา ขอให้ทุกคนทำกิริยานบนอบนับถือเหมือนไม่มีอะไรขุ่นเคืองใจมาก่อน ภรรยาของผมและบุตรคนรองและคนเล็กแสดงกิริยาทำการตามที่ผมสั่ง เว้นแต่เจ้าลูกขายคนโตแสดงกิริยาไม่พอใจ พูดออกมาอย่างแค้นใจ เสียงเหมือนจะสะอื้นด้วยความโกรธว่า

“พ่อถูกเขาริบบ้านช่องไร่นาจนไม่มีที่จะอยู่แล้ว ดีแต่ปู่หมอใจดีให้ที่อยู่ ให้ไร่นาทำกิน ถ้าปู่หมอไม่ช่วยผมกับแม่และน้องๆ ก็ไม่รู้ว่าจะ ไปอยู่ที่ไหน พ่อยังไม่โกรธ ยังใจดีช่วยชีวิตไว้อย่างนี้ก็ดีพอแล้ว ทำไมบังคับให้ลูกทำดีกับอ้ายคนที่มันทำความเจ็บช้ำน้ำใจแก่เรา ผมทำไม่ได้หรอก ผมรับว่าผมยังโกรธ ถ้าผมรู้ว่าคนกำลังจะจมน้ำตายเป็นเศรษฐีหน้าเลือด ผมจะไม่ยอมช่วย ผมจะไม่ยอมเข้าไปใกล้ จะพายเรือหนี ปล่อยให้จมลงไปก้นแม่น้ำดีกว่า ชาวบ้านจะได้ไม่เดือดร้อนที่จะถูกขูดเลือดต่อไป จะให้ผมไปแสดงความดี ผมไม่ตกลง ผมทำไม่ได้ อย่าให้ผมทำเลย ใครจะทำความดีก็ทำ แต่ผมไม่ทำ”

ผมฟังเจ้าลูกชายก็หนักใจ จึงพูดว่า “พ่อรู้ความรู้สึกของลูกยังมีอารมณ์เด็กเกินไป ยังไม่รู้ผิดชอบ ฉะนั้น ความรู้สึกอย่างไรก็พูดอย่างนั้นเป็นนิสัยเด็กไม่ค่อยฟังเหตุผล พ่ออยากพูดให้เข้าใจว่า การที่กำนันแต้มริบเอาบ้านช่องไร่นาของเรา ถ้าคนไม่เห็นแก่ตัวเข้ากับตัวเองมีจิตเป็นธรรมนั้นก็จะมองเห็นว่าทำถูกเขามีสิทธิ์ที่จะริบของเรา พ่อเอาเงินหรือกู้เงินจากกำนันแต้มไปใช้ และเอาที่ดินไร่นาเป็นประกัน ถ้าถึงกำหนดเวลาสัญญาว่าจะนำเงินไปใช้หนี้ แต่เมื่อถึงกำหนดพ่อก็ไม่มีเงินใช้หนี้ พ่อก็ผิดสัญญาเขาก็มีสิทธิ์ริบเอาที่ดินไร่นาเป็นของเขาได้ เมื่อคิดดูให้ดีแล้ว พ่อก็ไม่โกรธ

ส่วนที่ไปขอผ่อนผันนั้นย่อมเป็นสิทธิ์ของเขาจะกรุณาก็ได้ หรือไม่กรุณาก็ได้ อันความกรุณาปรานีนั้นย่อมจะหาไม่ได้ง่ายสำหรับผู้เห็นแก่ตัว ฉะนั้นลูกจงงดความโกรธแค้นอาฆาตไว้ และทำตามที่พ่อร้องขอ จงไปทำดีกับกำนันแต้ม เรียกลุงกำนันเพื่อให้รู้ว่า พวกเราทุกคนในครอบครัว ไม่มีใครผูกใจเจ็บแค้น นี่เป็นคุณประโยชน์แก่ครอบครัวเรา ทำให้ทุกคนจิตใจสบาย ถ้าเราผูกใจเจ็บ จิตใจเราก็จะเศร้าหมอง คอยแต่จะคิดแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา หาความสุขไม่ได้”



(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:35 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ลุงหมอนั่งอยู่ในที่นั้นก็ช่วยพูดขึ้นว่า “พวกหลานๆ ควรปฏิบัติตามคำของพ่อ เพราะหลานยังเด็กเกินไปที่จะรู้ว่าสิ่งใดดีสิ่งใดชั่ว ผู้ใหญ่ย่อมจะรู้ดี เช่น ปู่ไม่เคยสนใจในความไม่ดีของคนอื่น ใครจะมารับปู่ไปรักษาไข้เวลาใดปู่ไม่เคยขัด ไม่เคยคิดว่าคนดีคนชั่ว ปู่รักษาไข้ให้เท่ากันหมดไม่รังเกียจ ฉะนั้นชาวบ้านจึงรักใคร่นับถือปู่มาก ปู่จะไปไหนก็มีแต่คนรัก ไม่มีใครเกลียด นี่หลานๆ ดูเป็นตัวอย่าง จงเชื่อพ่อ ปฏิบัติตามพ่อสั่งเถิด หลานโตขึ้นจะเป็นคนดี”

ลูกๆ ผมเป็นคนเกรงใจรักใคร่ปู่ของแกมาก เพราะถือว่าปู่หมอเป็นผู้มีพระคุณได้ให้ที่พักอาศัย แกมีความกตัญญูรู้บุญคุณจึงเกรงใจ ปู่หมอจะพูดจะสอนอะไรก็เชื่อ ฉะนั้น จึงไม่เป็นการยากที่จะให้แกเข้าใจว่า ผู้ใหญ่ทำอะไรย่อมมีเหตุผลไปในทางดี ส่วนน้องทั้งสองคนยังเล็กเกินไปจะรู้อะไรมากมายนัก และชอบทำตามอย่างพี่ชาย ส่วนภรรยาของผมนั้นแกรู้ความประสงค์ของผมทุกอย่าง ผมจึงหมดภาระหนักใจในเรื่องนี้

ฉะนั้น ภายในบ้านให้ทุกคนปฏิบัติต่อกำนันแต้มเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ หลังจากแกรู้สึกตัวแล้ว ทุกคนแสดงกิริยานบนอบอ่อนน้อม ไม่มีใครแสดงกิริยารังเกียจ หรือเสียดสีให้กระทบกระเทือนใจ ทุกคนในบ้านไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่กลายเป็นคนสุภาพเรียบรอย จริงอย่างลุงหมอพูด กำนันแต้มไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ได้พักผ่อนเพียงคืนเดียวพักค้างแรมที่บ้านลุงหมอ อาการทางร่างกายของแกก็เข้าสู่ความปกติ

เมื่อกำนันแต้มรู้ว่าผมเป็นคนช่วยแกจากการจมน้ำ แกก็ไม่มีความสบายใจ แกนึกว่าอย่างน้อยก็คงจะถูกพวกผมเหน็บแนมพูดเสียดสีให้กระทบกระเทือนใจ เพราะตัวแกเองได้เคยทำความไม่ดีต่อครอบครัวของผมมามาก แต่แล้วเหตุการณ์ที่แกนึกไว้กลับตรงกันข้าม คนในบ้านทุกคนเอาใจเป็นธุระปฏิบัติให้ความสบายกับแกเป็นอย่างดี พอฟื้นรู้สึกตัวก็มีนำข้าวต้มมาให้กิน และมีทั้งยาบำรุงกำลัง ยาหอมบำรุงหัวใจของลุงหมอ ทำให้กำนันแต้มงง คล้ายฝันร้ายกลายเป็นดีเพราะทุกคนแสดงความเป็นมิตร

พวกเด็กๆ แสดงสีหน้าเป็นห่วงเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่กำลังป่วยหนัก ผมเองยังอดคิดชมอยู่ในใจไม่ได้ว่า ทุกคนทั้งลูกและเมียของผมแสดงละครฉากนี้ได้แนบเนียนดีมาก สำหรับบุตรคนโตของผมนั้นเข้าใจมาก เดิมผมยังหนักใจเป็นห่วงกลัวแกจะเกิดแสดงกิริยาไม่ดีออกมา แต่กลับปรากฏว่าแกแสดงถึงบทบาททั้งกิริยาท่าทาง ทำให้ผมอดดีใจไม่ได้

วันต่อมา ตั้งใจจะให้คนส่งข่าวไปทางบ้านท่านกำนัน เพราะชาวบ้านลือกันมา เรือเมล์โดยสารถูกพายุใหญ่ล่มลงกลางท้องคุ้ง มีผู้คนจมน้ำตายหลายคนยังหาศพไม่พบ ท่านกำนันได้ทราบก็ขอร้องกับผมว่าแกยังไม่อยากกลับบ้าน อยากจะรอพักอยู่ที่บ้านนี้ต่อไป ลุงหมอก็ยินดีอนุญาตให้อยู่อย่างคนใจกว้างไม่รังเกียจ ส่วนผมก็พอใจ เพราะสังเกตดูท่าทางแกผิดกว่าเดิมไปมาก แกสั่งให้ช่วยบอกทุกคนในบ้านเป็นความลับ อย่าให้ใครบอกคนในบ้านให้รู้ว่าแกอยู่ในบ้าน ขอให้เราช่วยปิดเป็นความลับทุกคนก็ยอมทำโดยความสมัครใจ

หลังจากความรู้สึกปรกติ ร่างกายแข็งแรงแล้ว แกก็เล่าให้ฟังว่าแกโดยสารเรือเมล์จะกลับบ้าน ครั้นมาถูกพายุใหญ่คลื่นลมจัด เรือเมล์บรรทุกคนโดยสารมากเกินอัตราทำให้เรือเพียบหนัก ถ้าเวลาธรรมดาไม่มีคลื่นลมก็สามารถแล่นไปได้

แต่เมื่อเกิดพายุคลื่นลมจัด เรือเพียบหนักสู้คลื่นลมไม่ไหว ถูกพายุพัดเอียงไปเอียงมาช้าๆ เพราะเรือหนักพวกคนโดยสารพากันตกใจกลัวก็วิ่งไปยืนข้างแคมเรือ พอคลื่นใหญ่ซัดน้ำเข้าในเรือ เรือก็เอียงวูบแล้วก็คว่ำลงกลางแม่น้ำ ผู้โดยสารตกใจเมื่อเรือจวนจะคว่ำ ต่างก็โดดว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด คลื่นลมจัดไม่มีใครช่วยใครได้ ต่างก็ต้องช่วยตัวเอง แม้สามีภรรยาก็ผลัดกันไปคนละทาง

แต่กำนันแต้มเคราะห์ดีคว้าได้ท่อนไม้กระดานหนาของเรือท่อนหนึ่งลอยตามน้ำ แกไม่รู้ว่าที่ไหน เวลานั้นทั้งพายุทั้งฝนมองไม่เห็นอะไรหมด แต่เห็นฝนตกอยู่รอบตัวม่านฝนบังสายตาไม่สามารถมองทะลุออกไปได้ ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน แกโต้คลื่นโต้ลมจวนจะหมดแรงหมดกำลังอยู่แล้ว เผลอตัวไม้ที่เกาะหลุดมือเพราะอ่อนแรง ตอนนั้นพายุซาและฝนตกหยุดแล้ว แกเล่าว่าเห็นอยู่ได้รางๆ ว่ามีเรือพายตรงมา จะขอร้องให้ช่วยก็ร้องไม่ออก จะชูมือให้พ้นน้ำก็ชูไม่ไหว เวลานั้นแกเหนื่อยจวนจะขาดใจแล้วก็หมดความรู้สึก

ก็พอดีผมช่วยฉุดไว้ได้ทันก่อนจะจมลงก้นแม่น้ำ เมื่อลุงหมอทราบเรื่องนี้ ก็รู้สึกแปลกใจ บอกว่าเหมือนอภินิหาร เพราะที่ระยะเรือล่มเท่าที่รู้ไกลออกไปจากกำนันแต้มลอยมาตั้งสองคุ้งน้ำ ทำไมกำนันแต้มจึงลอยมาคนเดียว และห่างไกลจากเรือที่ล่มนั้นมาก เมื่อลุงหมอชี้ให้เห็นเหมือนอภินิหารทำให้ผมสะดุ้ง นึกถึงที่ผมกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมได้อธิษฐานที่วัดร้างขึ้นมา แต่ก็คงคิดว่าเหตุบังเอิญ และการที่กำนันแต้มลอยมาห่างไกลอย่างรวดเร็วแต่ผู้เดียว ผมก็คิดว่าลมพายุอาจหอบหรือพัดมาเป็นแน่ แต่ก็คิดอยู่ในใจคนเดียว

หลังจากกำนันแต้มพักอยู่ที่บ้านลุงหมอ ทางบ้านกำนันแต้มก็เกิดโกลาหลขึ้น เพราะทุกคนก็เข้าใจว่ากำนันล้มตายแน่ คอยฟังข่าวว่าศพจะลอยขึ้นที่ไหนบ้าง ทางบ้านก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาการแตกร้าวเป็นก๊กเป็นพวกกันขึ้น เพราะความโลภในทรัพย์สินถึงเรื่องมรดกไม่มีพินัยกรรม คืนนั้นกำนันแต้มจำเป็นจะต้องรีบกลับไปเพื่อแก้ไขเหตุการณ์ก่อนจะเกิดเหตุร้ายขึ้น จึงได้ลาพวกเราทุกคน แต่ก็มีสิ่งประหลาดกำนันแต้มไม่เคยก้มหัวกราบใครที่มีฐานะต่ำกว่า และไม่ได้ประโยชน์ตอบแทน

แต่วันนั้นแกเข้าไปกราบลุงหมอน้ำตาคลอเบ้า แล้วพูดอย่างตื้นตันใจว่า “ผมขอลากลับบ้าน ผมจะไม่ลืมบุญคุณของพ่อหมอถมยา ที่ทำให้ผมหูตาสว่างขึ้นด้วยความเมตตาปรานี”

ลุงหมอจึงตอบว่า “ไม่เป็นไรหรอกท่านกำนัน เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องยกบุญยกคุณอะไรหรอก คนเราเมื่อได้ทุกข์ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เราจะอยู่คนเดียวไม่ได้ ช่วยทุกข์คนอื่นในยามทุกข์ได้บุญกุศลแรง ถ้าจะพูดถึงบุญคุณก็ควรจะเป็นเจ้าหลานชายของผมไม่ใช่ผม เพราะเป็นผู้ที่ช่วยให้ท่านกำนันพ้นจากการจมน้ำ”

กำนันแต้มพูดเสียงเครือๆ ว่า “สำหรับพ่อหมอถมยานั้นผมได้เป็นหนี้ทางจิตใจให้ผมมองเห็นตัวอย่าง เป็นแสงสว่างที่ดี ส่วนหลานชายพ่อหมอถมยานั้น ผมเป็นหนี้ชีวิตที่ได้ช่วยผมให้พ้นจากความตาย กลับมามีชีวิตใหม่”



(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:41 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลังจากกำนันแต้มจากบ้านกลับไปแล้ว ผมก็เรียกลูกๆ และเมียเข้ามากล่าวคำชมเชยถึงการแสดงละครฉากสำคัญได้แนบเนียนดีมาก แต่แล้วผมก็งงและแปลกใจ เมื่อเจ้าลูกชายคนโตพูดอย่างขึงขัง “ผมไม่ได้แสดงละครอย่างพ่อว่าครับ ผมมีความรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ ผมไม่ได้แกล้งทำ”

ผมรีบถามเหตุผลแกว่า “ไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ พ่อเห็นลูกจงเกลียดจงชังลุงกำนันจนไม่อยากให้พ่อช่วยลุงกำนัน แต่เดี๋ยวนี้แกบอกว่ารักและนับถือ ลองบอกซิว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”

เจ้าลูกชายผมหัวเราะอย่างสุขใจว่า “เช้าวันนั้นแม่ให้ผมเอาข้าวต้มกุ้งเค็มเข้าไปให้ลุงกำนัน ผมเห็นแกนอนหน้าเศร้าๆ ผมก็นึกสงสารขึ้นมา”

แกถามผมว่า “หนู ใครเป็นคนช่วยฉันพ้นจากจมน้ำตาย”

ผมบอกว่า “พ่อผมครับ” แกถามผมอีกว่า “หนูไม่เกลียดและโกรธฉันหรือ”

ผมบอกว่า “ผมไม่เกลียดหรอกครับ”

แกลุกขึ้นกินข้าวต้ม ผมเห็นลุงกำนันกินพลาง แกก็ร้องไห้ น้ำตาแกหยดลงไปในชามข้าวต้ม ผมเห็นครับ ผมสงสารแกมาก แล้วแกพูดว่า

“ในบ้านหนูนี่ดีกันหมดทุกคนไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่ ฉันนึกละอายใจมากเพราะฉันไม่เคยมีความดีเลย แต่ทุกคนในบ้านนี้ดีต่อฉันเหลือเกิน ฉันตื้นตันใจพูดอะไรไม่ออก มันทำให้ฉันหูตาสว่างขึ้น หนูเคยเกลียดฉันมาก่อนไม่ใช่หรือ เมื่อคราวหนูกับพ่อไปที่บ้านฉัน ขอผลัดหนี้น่ะ แล้วฉันไม่ยอมและสั่งให้พ่อหนูออกจากบ้านด่วน หนูเป็นเด็กยังได้แสดงความเกลียดชังฉันออกมาใช่ไหม”

ผมตอบว่า ”เมื่อก่อนนี้ใช่ครับ แต่เดี๋ยวนี้ไม่”

ลุงกำนันแกถามผมต่อไปอีก “ทำไมหนูจึงเปลี่ยนใจล่ะ”

ผมตอบแกว่า “ก็เพราะพ่อผมแกบอกว่า คนที่มีความอาฆาตพยาบาทนั้น มีแต่ความทุกข์สุมอยู่ในใจ ถ้าเราให้อภัยคนที่ทำให้เราลำบาก เราไม่โกรธ เราไม่พยาบาท เราก็มีความสุข ความสบายใจ ปู่หมอแกบอกว่าแกไม่เคยโกรธใคร ไม่เคยพยาบาทใคร มีแต่คอยช่วยเหลือ ใครเจ็บป่วยรักษาให้ทุกคนถือว่าเป็นเพื่อนมนุษย์ ฉะนั้น ปู่หมอก็มีความสุข ทุกคนก็รักเคารพปู่หมอตลอดทั้งตำบลทั้งบาง”

ผมเล่า ทั้งพ่อและปู่หมอพูดสั่งสอนให้มีเมตตาปรานี มีมนุษยธรรม ให้ลุงกำนันฟัง ลุงกำนันถอนใจและพูดว่า

“พ่อของหนูและปู่ของหนูนั้นเป็นคนดีมาก หนูเป็นคนโชคดีมาก ฉันคนอาภัพเมื่อเล็กไม่มีใครจะชี้ทางสั่งสอนให้ประกอบกรรมดีเหมือนหนู มีแต่สั่งสอนให้เอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถือว่าเป็นคนฉลาด ฉันได้ปฏิบัติตามในทางฉลาดตลอดมา จนชื่อเสียงของกำนันแต้มโด่งดังไปในทางชั่ว คนทั้งเกลียดทั้งกลัว ทั้งหญิงทั้งชายเด็กผู้ใหญ่ ตรงกันข้ามกับปู่หมอของหนูที่มีชื่อเสียงโด่งดังในทางดี มีแต่ชาวบ้านยกย่องสรรเสริญตลอดทั้งบางทั้งตำบล ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กำนันแต้มคนเก่าได้จมลงก้นแม่น้ำไปแล้ว และบัดนี้มีแต่กำนันคนใหม่”

ผมได้ฟังลุงกำนันพูดอย่างรู้สำนึกผิด ผมสงสารลุงกำนันมาก สงสารจริงๆ ผมจึงพูดว่า “ผมเชื่อปู่หมอ และเชื่อพ่อ ที่สอนให้ผมไม่โกรธไม่พยาบาทคิดร้ายใคร บอกว่าผมเป็นเด็กมีหน้าที่เชื่อผู้ใหญ่ ทำแต่ความดีความกตัญญู เราทำดีก็ได้ความดีแก่ตัวเราเอง ถ้าใครทำชั่วก็ได้แก่ผู้นั้น”

“ผมเห็นลุงกำนันแกก้มลงร้องไห้ ผมเลยใจอ่อนสงสารแกเหลือเกิน”

ผมได้ฟังลูกชายพูดก็เกิดความยินดีขึ้น ในความรู้สึกและได้ถามลูกเมียก็ทราบว่า ทุกคนไม่ได้ฝืนใจเล่นละคร ทุกสิ่งทำจากความจริงใจ เพราะต่างก็สงสารกำนันแต้ม ผมมีความรู้สึกปลื้มปิติ นึกว่าเด็กมีความรู้สึกอ่อนไหวเปลี่ยนแปลงง่ายในทางดี ติดเป็นนิสัยดีต่อไป จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นพลเมืองดีของชาติ

หลังจากกำนันแต้มได้กลับไปบ้านแล้ว ผ่านไปได้สองวันก็ได้ใช้คนมาหาผม บอกว่าท่านกำนันขอเชิญให้ไปพบที่บ้านกำหนดวันเวลา ทั้งยังกำชับมาว่าให้ไปให้ได้ เพราะท่านกำนันมีธุระอยากพบ ตกลงผมรับปากว่าจะไปตามที่กำนันสั่งมา

วันต่อมาเมื่อถึงกำหนดเวลานัดผมก็ไปตามเวลา ก่อนจะถึงบ้านกำนัน ผมพยายามนึกในใจตลอดทางว่ามีเรื่องอะไรหนอ ที่ท่านกำนันอยากพบแต่ก็นึกไม่ออก เมื่อถึงบ้านกำนัน ผมผูกเรือไว้ที่กระไดท่าน้ำ ก็มองเห็นกำนันกำลังยืนรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นผมก็รีบกุลีกุจอตรงเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ แทบจะเข้ามากอดคล้ายกับผมเป็นคนสำคัญที่รักมาจากกันไปนานๆ ผมเกิดตื่นเต้นและตกใจ เพราะเคยรู้ว่ากำนันแต้มเป็นคนมีนิสัยถือตัว ไม่น่าจะลดตัวลงมาต้อนรับผมเช่นนี้ คนทั้งบางเขารู้นิสัยของกำนันดีว่าเป็นคนเค็ม ถ้าไม่หวังอะไรตอบแทนที่เป็นประโยชน์กับแกแล้ว แกก็ไม่ยอมติดต่อด้วย

ยิ่งคนจนๆ อย่างผมไม่มีทางใดจะให้แกถือวิสาสะ ลดตัวมาให้เกียรติมาคอยต้อนรับผมถึงเพียงนี้ แม้ว่าผมจะเคยช่วยชีวิตแก แต่คนเห็นแก่ตัวอย่างกำนันแต้มยอมไม่สนใจ ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ผมยังสงสัยไม่นึกว่าแกจะเปลี่ยนแปลงไปมากถึงเพียงนี้ แม้แกจะรู้สึกผิดชอบแล้ว ทำให้ผมงงไปหมด ไม่รู้ว่าแกจะมาไม้ไหนกับผม แต่เมื่อผมได้พิจารณาดูแกเห็นแกได้แสดงท่าทางด้วยความสุจริตใจ แล้วก็พาผมเข้าไปในบ้าน เรียกลูกเมียและคนในบ้านให้มารู้จัก พลางแนะนำด้วยเสียงที่แจ่มใสยิ้มแย้มด้วยจริงใจว่า

“นี่ ฉันอยากให้พวกเราทุกคนรู้จักไว้ว่า พ่อทิดจวงเป็นผู้มีบุญคุณได้ช่วยชีวิตฉันให้พ้นจากการจมน้ำตาย ถ้าไม่ได้พ่อทิดจวงช่วยฉันไว้ ป่านนี้ฉันก็เป็นผีเฝ้าคุ้งน้ำไปแล้ว นับว่าเป็นผู้มีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของฉัน บัดนี้ฉันได้เป็นหนี้ชีวิตอยู่กับพ่อทิดจวงแล้ว”

ทุกคนในที่นั้นไม่ว่าหญิงชายผู้ใหญ่เด็ก ต่างยกมือไหว้ผมเป็นการยินดี การต้อนรับอย่างอบอุ่นภายในบ้านของกำนันแต้ม คล้ายผมเป็นวีรบุรุษคนสำคัญ ยกย่องว่าเป็นผู้กล้าหาญ แทนที่ผมจะตื่นเต้นดีใจ ผมกลับรู้สึกละอายใจที่กำนันแต้มยกย่องผมจนเลิศลอยเกินไป ก็กลายเป็นทรมานความรู้สึกทางจิตใจ วางท่าทางเคอะเขิน แต่แล้วผมก็แข็งใจพูดออกไปว่า



(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:47 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

“ขอท่านกำนันโปรดอย่าถือเป็นเรื่องใหญ่โตเลย เหตุบังเอิญที่ผมไปพบเข้าและไม่ถึงกับเสี่ยงภัยอันตรายใดๆ เพียงแต่ช่วยขึ้นเรือเท่านั้น ลืมเรื่องบุญคุณเสียเถอะ ไม่ควรยกย่องเกินไป”

เมื่อพูดไปแล้วผมก็พูดไม่ถูกว่า จิตใจผมรู้สึกอย่างไร ผมงงจนนึกอะไรไม่ออก ใครจะพูดอะไรอีก ผมไม่ได้ฟังไม่ได้ยิน หูมันดังอื้อ เพราะไม่เคยนึกคิดมาก่อนที่จะได้มาประสบเหตุการณ์เช่นนี้ คล้ายความฝันมากกว่าความเป็นจริง ท่านกำนันจะพูดตอบผมอย่างไรก็ไม่สนใจ เมื่อกำนันพาผมเข้าไปในบ้านอันโอ่โถงใหญ่โตสวยงามเด่นที่สุดในตำบล และทั้งตำบลที่ใกล้เคียงตลอดไปหลายคุ้งน้ำสมกับเป็นบ้านเศรษฐี

แกพาผมเข้าไปในห้องส่วนตัวแต่ลำพังเรา ไม่มีคนอื่นปะปนอยู่ด้วย ในห้องจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยมีเครื่องลายคาม โต๊ะตู้ เครื่องเรือน ล้วนแต่มีค่าสูงยิ่งทุกสิ่ง ที่โต๊ะได้จัดหมากพลู บุหรี่ น้ำร้อน น้ำเย็น คล้ายกับจะจัดไว้ต้อนรับผู้มีเกียรติ ผมเดินเข้าไปคล้ายครึ่งหลับครึ่งตื่น งงๆ เหมือนตุ๊กตาไขลาน ไปนั่งนิ่งตามคำเชิญ ท่านกำนันได้รินน้ำชาส่งมาให้ผมด้วยตนเอง ผมรับมาด้วยกิริยาเหมือนคนไม่มีหัวใจ ตื่นๆ เสียงกำนันแต้มพูดขึ้นว่า

“พ่อทิดนั่งให้สบาย เราเป็นคนกันเองแล้ว พ่อทิดมีเวลาว่างเมื่อไหรจะได้ไปโอนที่ดินบ้านสวนไร่นากลับคืนไปเสียที”

ผมกำลังนึกอะไรต่ออะไรตามความคิด ล่องลอยไปไม่เป็นเรื่องเป็นราว พอได้ยินกำนันพูดกลับได้สติเข้าสู่ปกติ จึงพูดว่า

“โธ่ ท่านกำนันเวลานี้เงินทองผมไม่มี ที่ก็ยังต้องอาศัยลุงหมออยู่ แล้วผมจะไปมีปัญญาหาเงินมาไถ่ถอนคืนได้อย่างไร เวลานี้ผมก็อยู่ด้วยความเมตตาจิตของลุงหมอ ให้ที่พอทำมาหากินเลี้ยงครอบครัวไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ที่ทางของผมก็เป็นของท่านกำนันถูกต้องตามกฎหมายเรียบร้อย ไปแล้ว”

กำนันแต้มยกมือขึ้นห้ามผมแล้วพูดว่า “ขอทีเถิดพ่อทิด ฉันฟังแล้วไม่สบายใจ รู้สึกละอายใจขึ้นมา เหมือนมีดมาทิ่มแทงหัวใจ ทำให้ฉันหมดความสุขความสบาย เวลานี้เรื่องเงินเรื่องทองหมดความสำคัญสำหรับฉันเสียแล้ว ฉันตั้งใจจะใช้หนี้กรรมที่ฉันได้ก่อความเดือดร้อนให้แก่พ่อทิดและครอบครัว ให้ได้รับความลำบากมานานพอแล้ว ถึงเวลาที่ฉันจะต้องใช้หนี้กรรมอันนี้ให้เสร็จสิ้นเสียที มิฉะนั้นจะตายอย่างไม่มีความสุข ส่วนหนี้ชีวิตฉันก็จะหาทางใช้ให้เสร็จไป”

ผมจะอ้าปากขึ้นพูด ท่านกำนันยกมือขึ้นห้ามแล้วพูดต่อไปว่า “เวลานี้ความรู้สึกของฉันไม่ใช่กำนันแต้มคนเดิมแล้ว พ่อทิดได้กู้ชีวิตของกำนันแต้มขึ้นมาใหม่ ได้เปลี่ยนจิตใจความรู้สึกจนหมดสิ้น ไม่มีสิ่งใดในความรู้สึกเก่าๆ เหลืออยู่เลย กำนันแต้มคนใหม่ที่รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้บุญรู้บาป รู้เมตตาปรานี ฉะนั้น กำนันแต้มคนเก่าไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว

ฉันพักอยู่ในบ้านพ่อหมอถมยา ฉันมีความสุขใจที่สุด ซึ่งฉันไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต จิตใจฉันชุ่มชื่นเหมือนต้นไม้ที่ขาดน้ำ ฝนโปรยลงมา ฉันได้รู้ได้เห็นคุณงามความดีของพ่อหมอถมยา ฉันซาบซึ้งทางจิตใจอย่างไม่มีวันลืม สมควรแล้วที่ชาวบ้านพากันยกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของพ่อหมอถมยา เพราะเป็นคนใจกว้างอย่างแม่น้ำ ไปถึงไหนมีคนรักใคร่นับถือ ด้วยใจบริสุทธิ์

ความดีเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกันตัว มีแต่มิตรไม่มีศัตรูเป็นความสุขที่คนมั่งมี ใจชั่วเช่นกำนันแต้มคนเก่าไม่เคยมี ฉันได้หันย้อนหลังไปพิจารณาดูตัวเองแล้วก็สลดใจ เพราะเมื่อก่อนฉันได้สร้างความชั่วไว้มากมาย ไปไหนก็มีแต่คนเกลียดชัง น้อยคนนักที่จะมีความรักใคร่จริงใจ

แม้มีบางคนเขาพบเห็นเวลาผ่าน ก็ทำกิริยาท่าทางนบนอบเคารพนับถือก็เพียงแต่ภายนอก และหวังประโยชน์จากฉัน ส่วนภายในจิตใจนั้นคงเคียดแค้นชิงชัง ลับหลังก็คงทั้งแช่งด่า เปรียบแล้วก็ผิดกับพ่อหมอถมยาเหมือนฟ้ากับดิน เพราะหมอถมยามีคนยกย่องสรรเสริญทั้งต่อหน้าและลับหลัง จะไปไหนก็ไม่มีใครคิดร้าย

ส่วนฉันรู้ตัวว่ามีคนคอยปองร้ายพยาบาท จะไปไหนก็ต้องคอยระวัง จะออกจากบ้านก็ต้องมีนักเลงหัวไม้คอยคุ้มกัน ถึงฉันจะมั่งมีเงินทองก็หาความสุขความสบายใจไม่ได้ คนคุ้มกันเขาก็หวังผลประโยชน์ไปเลี้ยงลูกเมีย มิใช่เขาจะรักใคร่อย่างบริสุทธิ์จริงใจ ถึงกับยอมตายสละชีวิตเพื่อฉัน เขาก็กลัวตายเหมือนกัน

ถึงเวลาคับขันเข้าจริงๆ เขาก็หนีเอาตัวรอด ใครเขาจะมาเสี่ยงชีวิตเพื่อคนอย่างฉัน ซึ่งมีแต่ความชั่วเห็นแก่ตัว ถ้าไม่ประสบความคับขันแล้ว ก็ไม่รู้ว่าใครดีใครชั่ว ที่พูดมานี้ฉันก็ได้บทเรียนมาแล้ว ผู้คุ้มครองของฉันสองคนพอเรือล่มก็ว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด ไม่ได้นึกถึงฉันเลย

หากฉันว่ายน้ำไม่เป็นหรือพ่อทิดช่วยไม่ทัน ป่านนี้ฉันก็จมลงไปอยู่ก้นท้องน้ำเป็นเหยื่อกุ้งเหยื่อปลาตอดแทะเนื้อหนังกินเป็นอาหาร ต่อเมื่อเน่าพอขึ้นอืด ก็จะผุดจากใต้น้ำโผล่ขึ้นมาลอยอยู่บนพื้นน้ำ ส่งกลิ่นเน่าเหม็นคลุ้งเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ตามสภาพของซากศพที่ตกน้ำตายลอยตามเวลาน้ำขึ้นน้ำลง เป็นอาหารของแร้งกา

จนกว่าจะมีผู้พบเป็นทางการหรือชาวบ้านที่ใจบุญ ก็จะช่วยกันจัดการตามควร ให้พ้นจากความอุจาด ฉันมาคิดมานึกแล้วทำให้ต้องหลับตาเพราะกลัว นึกแล้วเสียวจนขนลุก รู้สึกขนพองสยองเกล้า แต่บังเอิญมาเจอพ่อทิดที่มีจิตใจสูงด้วยคุณธรรม ผู้ไม่มีความพยาบาทได้ช่วยชีวิตของฉันไว้ จึงได้มองโลกต่อไป เหมือนเกิดใหม่

หากฉันต้องจมน้ำตายหรือพ่อทิดไม่ยอมช่วยแล้ว มาคิดดูทรัพย์สมบัติที่ฉันได้สะสมไว้มากมาย จะเกิดประโยชน์อะไรกับคนที่ตายแล้ว เมื่อก่อนนี้ฉันคิดแต่ได้อย่างเดียว เพราะมัวเมาด้วยความโลภ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้นฉันจะได้มาในทางสุจริตหรือทุจริต บางครั้งต้องฆ่าให้ผู้อื่นได้รับทุกข์ถึงน้ำตาตก แต่ฉันก็ไม่เคยสนใจ ความสงสารเห็นอกเห็นใจไม่เคยมีในตัวฉัน

มีผู้พูดกันว่าเวลาชาวบ้านสนุกสนานหัวเราะอยู่ในหมู่ เมื่อได้ยินใครเอ่ยชื่อกำนันแต้มแล้ว เขาจะหยุดหัวเราะทันที จะพูดว่าอ้ายเศรษฐีหน้าเลือด ทำนาบนหลังคน เมื่อไหร่จะตายโหงตายห่าก็ไม่รู้ อยู่หนักแผ่นดินเปล่าๆ ฉันยิ่งคิดก็ยิ่งอายตัวเองมากขึ้น

และเมื่อฉันตกน้ำคราวนี้ ฉันหลบอยู่บ้านหมอถมยา ทางบ้านฉันก็เกิดโกลาหลทุกคนเข้าใจว่า ฉันสิ้นชีวิต อยู่ก้นท้องน้ำแล้ว กำลังเตรียมจะแย่งทรัพย์สมบัติที่ค้นหามาได้ด้วยเลือดเนื้อ และน้ำตาของผู้อื่น แต่ฉันต้องรับกรรมคนเดียว พวกคอยจ้องมือเปิบมีมาก เมียก็มีหลายคน ลูกก็มีหลายแม่ เวลานี้หูตาฉันสว่างขึ้นแล้วรู้สึกผิดชอบชั่วดี

ฉะนั้น ต่อไปฉันจะใช้หนี้กรรมให้หมด เพื่อล้างมลทินที่มัวหมองมาก่อน ให้สะอาดบริสุทธิ์ในชาตินี้ ขออย่าให้ฉันมีหนี้กรรมติดตัวต่อไปชาติหน้าอีกเลย ฉะนั้นขอให้พ่อทิดย้ายมาอยู่บ้านเดิม ฉันจะคืนให้ทั้งหมดเพื่อชดใช้หนี้กรรมและตอบแทนความดี ถ้าขาดเหลือสิ่งใดขอให้บอก ฉันจะให้ทุกอย่างที่ต้องการ”

กำนันแต้มพูดอย่างจริงใจ ผมเห็นใจแกมากที่เริ่มต้นปฏิบัติกรรมดี และแน่ใจว่าแกจะเป็นกำนันแต้มคนใหม่ พร้อมทั้งคุณธรรม เมตตาปรานีเห็นอกเห็นใจ เปลี่ยนจากดำเป็นขาวแน่ จากนั้นต่อมาที่ดินเรื่องสวนไร่นาก็โอนกลับคืนมาเป็นของผมอีกครั้งหนึ่งโดยท่านกำนันไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ท่านยกที่ดินคืนให้เป็นกรรมสิทธิ์ ผมได้ย้ายครอบครัวจากที่ของลุงหมอกลับมาอยู่ที่ดินของตนเอง และได้รับอุปการะจากท่านกำนันทุกประการ ผมกับลูกเมียต่างนึกถึงพระคุณของท่านกำนัน ที่มีต่อครอบครัวเราอย่างล้นเหลือ



(มีต่อ 7)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:53 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ทุกสิ่งไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ แต่บัดนี้ก็เป็นไปแล้ว เหมือนนอนหลับฝันร้ายแล้วตื่นจากความฝัน ลุงหมอก็ยกย่องท่านกำนันว่าเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ ที่เปลี่ยนจิตใจจากความชั่วไปสู่ความดีได้อย่างรวดเร็ว ตรงกันข้ามกับที่เคยเป็นมา บ้านกำนันแต้มเมื่อก่อนไม่เคยสนใจในเรื่องศาสนา ไม่เคยทำบุญใส่บาตรมาก่อน บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไป ทุกๆ เช้าที่ท่าน้ำหน้าบ้านกำนันแต้ม จะมีพระสงฆ์พายเรือมารับบิณฑบาต เพราะท่านกำนันจะลงมาใส่บาตรด้วยตนเองทุกเช้า ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาจากจิตใจจริงๆ

ต่อมา กำนันแต้มก็สืบหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนยากจนที่เกิดจากท่านในครั้งก่อน ท่านกำนันได้จัดการช่วยเหลือทดแทนตามสภาพเท่าที่ควร เพื่อใช้หนี้กรรมเก่าตามความตั้งใจ หากเจ้าตัวได้ล้มหายตายจากไปแล้ว พวกลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้รับการอุปการะให้ได้รับความสุขสบายตามสมควร นอกนั้นก็ยังก่อสร้างสิ่งถาวรวัตถุ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมและในทางพุทธศาสนา ต่อมาชื่อเสียงคุณงามความดีของกำนันแต้ม ก็ค่อยๆ กระจายออกไป

นานวันเข้าความไม่ดีของกำนันก็ค่อยจางหายไป ความดีมีศีลธรรมเข้ามาแทนที่ ทำให้ทุกคนเห็นความบริสุทธิ์ที่กลับใจได้เพราะ “หมดหนี้กรรมเก่า” แล้ว ก็คงเหลือแต่กรรมดีที่ท่านกำนันทำไว้ตลอดมา คล้ายกับกลิ่นชั่วเหม็นได้จากหายไป กลิ่นหอมของความดีเข้ามาแทนที่ต่อไป ต่อมาตลอดหลายคุ้งน้ำ หลายบาง หลายตำบล พอเอ่ยชื่อกำนันแต้มขึ้นมาก็มีส่วนมากยกมือขึ้นสาธุยกย่อง สรรเสริญคุณงามความดี แทบทุกครัวเรือน บัดนี้กรรมดีของกำนันแต้มได้ชนะจิตใจของชาวบ้านทั่วไปแล้ว

ข้าพเจ้าได้ฟังผู้เล่าอย่างยืดยาวและเพลิดเพลิน ก็คิดว่าเรื่องก็คงจะลงเอยกันเพียงนี้ เพราะชีวิตของท่านกำนันนับว่าเป็นที่น่ายกย่องสรรเสริญเข้ากับ “ต้นร้ายปลายดี” ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า ”นี่คงเป็นเหตุหนึ่ง ที่ทำให้คนทั้งบางทั้งตำบลเกือบทุกครัวเรือนได้เดินทางมาในงานศพครั้งนี้อย่างมากมาย และมีผู้เสียอกเสียใจมากถึงกับร้องไห้อาลัยรักความดีของผู้ตายใช่ไหมครับ”

ท่านผู้นั้นยิ้มแล้วก็พูดว่า “ใช่แล้วครับ ทุกคนก็อาศัยความดีเมื่อท่านยังมีชีวิต แต่ท่านก็ได้จากไปแล้วทำให้ผมผู้เคยได้พึ่งพาอาศัยเมื่อยามยาก ต้องได้รับความว้าเหว่ใจหาย โดยเฉพาะคนแก่เฒ่าที่ท่านกำนันได้อุปการะตลอดมา หลังจากท่านได้เปลี่ยนจิตใจใหม่ พวกนี้พากันเศร้าโศกเสียใจมากเพราะขาดที่พึ่ง นึกถึงความยากลำบากต่อไปหลังจากขาดท่านกำนันไปแล้ว”

ข้าพเจ้าฟังเรื่องแล้วนึกถึงชีวิตคนเรานี้ก็แปลก วกวนเวียนว่ายดีชั่ว ไปมาไม่มีสิ้นสุด งานนี้รู้สึกมีคนแสดงความรักและเศร้าโศกอาลัยมากผู้นั้นย่อมจะมีคุณงามความดีมาก แต่ก็ไม่เสมอไป สำหรับคนในกรุงเทพฯ นั้นก็ดูยาก แม้จะรักอาลัยเศร้าโศกเพียงใดก็อัดซ่อนความรู้สึกไว้ได้

ข้าพเจ้าก็สรุปขอบคุณที่ท่านผู้นั้นได้กรุณาให้ความรู้ ในบุคคลผู้หนึ่งได้ข้อคิดอีกหลายอย่าง แต่ท่านผู้เล่าบอกว่า

“ขอโทษครับเรื่องไม่จบเพียงนี้ พวกเราทั้งบ้านมีความเคารพท่านกำนัน คล้ายเป็นบิดาบังเกิดเกล้า แม้ท่านจะเคยทำให้เราได้รับความลำบาก เมื่อตอนต้นมาก็ดี แต่ภายหลังท่านก็ได้ใช้หนี้กรรมของท่านแล้วเกินความเพียงพอเสียอีก ต่อจากนั้นครอบครัวเราก็มีรายได้พอจะลืมตาอ้าปาก มองดูคนอื่นได้ จนบุตรรองๆ ของผมต่างก็ออกเรือนไปหมดแล้ว เหลือแต่บุตรชายคนโตไม่ยอมมีครอบครัวจึงอยู่กับผมตลอดมา

ต่อมาเมื่อผมได้ทราบว่าท่านกำนันป่วย ทราบว่าต้องเข้าโรงพยาบาลทางกรุงเทพฯ พวกในครอบครัวผมก็เป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นห่วงอาการป่วยของท่าน หลังจากที่ท่านได้เข้ามารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล เรารู้เรื่องจึงอยากไปเยี่ยมท่าน เพราะปัจจุบันนี้ไปมาสะดวกไม่ต้องขึ้นเรือเหมือนครั้งก่อน เพราะมีรถโดยสารขึ้นล่องผ่านไปมาวันละหลายคันสะดวกในการเดินทาง ท่านมาอยู่โรงพยาบาลแรมเดือน

วันนั้นผมจำได้ว่า ผมกับภรรยาและลูกชายคนโตเราสามคนตั้งใจ จะเดินทางไปเยี่ยมท่านกำนันที่โรงพยาบาล เรากำลังคอยจะเข้ากรุงเทพฯ ก็พอดีมีรถมาหยุดรับพวกเรา ภรรยาผมขึ้นไปนั่งก่อนลูกชายผมมันกำลังก้าวขึ้นรถ ผมกำลังจะตามขึ้นไป ก็พอดีมีรถโดยสารผ่านสวนคันหนึ่ง ผมมองดูในรถเห็นท่านกำนันชะโงกหน้าออกมามองดูผม แล้วโบกมือปัดไปมาคล้ายจะบอกว่าไม่ต้องไป ฉันกลับมาแล้ว จนรถโดยสารนั้นผ่านเลยไปจนลับสายตา ผมจึงร้องบอกบุตรและภรรยา ที่ขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถแล้วว่า

“โน่นท่านกำนันหายป่วยกลับมาบ้านแล้ว รีบกลับลงมาเถิด ไม่ต้องไปกรุงเทพฯ ดีใจจริงๆ”

เมื่อบุตรและภรรยาได้ ยินเช่นนั้นก็รีบลงจากรถ แล้วได้ยินเสียงคนกระเป๋ารถบ่นตามหลังอย่างไม่พอใจว่า “คนอะไรจะไปแล้วก็ไม่ไป เสียเวลาหยุดรถเปล่าๆ”

เจ้าลูกชายของผมแสดงความไม่พอใจ หันไปมองดูเลขหมายข้างรถแล้ว เดินบ่นว่าจะจำเอาไว้อ้ายกระเป๋าคันนี้ มันพูดจายโส ปากมันไม่ดี ส่วนผมนั้นมัวแต่รู้สึกดีใจ เข้าใจว่าท่านกำนันหายป่วยแล้ว ทำให้สบายใจขึ้นมากเกินกว่าจะสนใจคำพูดของเด็กกระเป๋ารถโดยสารในเรื่องเล็กน้อยๆ ส่วนลูกชายผมกำลังเดินบ่นว่าคนอะไรปากไม่ดี พูดแล้วทำลายตัวมันเองให้เขาชังน้ำหน้า

ผมจึงบอกว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าไปสนใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้ไม่สบายใจเปล่าๆ เราย่อมจะต้องพบทั้งคนดีและคนชั่ว เมื่อเขาเป็นเด็กก็หนีไม่พ้นความเดือดร้อน พูดออกไปไม่รู้ผิดหรือถูก เพราะไม่ได้รับการศึกษาพอ วันหนึ่งเขาโตพออาจรู้สึกตัวว่า เป็นคนปากเสียกลับใจเป็นคนดีก็ได้ เพราะเขาพูดด้วยอารมณ์ ไม่ได้คิดว่าไม่เกิดประโยชน์อะไรแก่ตัวเอง มีแต่เกิดโทษ ไปพบคนที่โมโหร้าย บางทีก็ถึงตาย พ่อสงสารคนพวกนี้ บุตรชายผมก็หยุดบ่นเพราะคงเข้าใจดี

วันนั้นตอนบ่าย เราก็ได้ยินเสียงชาวบ้านโจษกันแซ่ทั้งตำบล เป็นข่าวใหญ่โตสำหรับถนนสายผ่านหมู่บ้านเรา ยังไม่เคยมีมาก่อนเลยว่า รถยนต์โดยสารเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงชนกับรถบรรทุกสิบล้อ เพราะฝ่ายต่างฝืนกฎจราจร ขับด้วยความเร็วผลทำให้รถทั้งสองคันปะทะกันอย่างแรง ต่างก็พลิกคว่ำพลิกหงายหลายทอดพังทลายยับเยิน กลิ้งตกลงไปข้างถนน

ผู้โดยสารสามคนเสียชีวิตทันที ที่เหลือทุกคนกำลังรอเวลาจะหมดลมหายใจ เจ้าหน้าที่ได้รีบลำเลียงคนป่วยส่งโรงพยาบาลทางกรุงเทพฯ โดยด่วน แต่บางคนก็สิ้นใจเสียก่อนระหว่างทางไม่ทันถึงโรงพยาบาล ชาวบ้านคนหนึ่งที่ผ่านมา ได้เห็นก่อนที่จะลำเลียงคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ได้เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นมาอย่างเศร้าสลดใจ และแสดงท่าทางสยดสยองขนลุกขนพอง สยองเกล้าของอุบัติเหตุครั้งนี้ว่า

เห็นเขาได้ช่วยกันขนคนบาดเจ็บสาหัสมานอนไว้ริมทางข้างถนน รอคอยรถที่จะมาลำเลียงส่งโรงพยาบาล เห็นแล้วดูนานไม่ได้ ต้องเบือนหน้าหนีไม่กล้าหันไปดูอีก เพราะดูแล้วเกิดกลัวขึ้นมา เมื่อเห็นภาพทุกข์ทรมานของคนเจ็บแล้วก็อดสงสารสมเพชไม่ได้ พวกนั้นเหมือนตกนรก บางคนเห็นแล้วสยดสยองน่าเกลียดน่ากลัวติดหูติดตา เพราะเนื้อแก้มหลุดออกไปจนเห็นขากรรไกรและฟัน หน้าตาเละเทะจำไม่ได้เลย



(มีต่อ 8)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 11:57 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

บางคนลูกตาหลุดออกมาจากเบ้าตา มองเห็นเลือดพุ่งออกจากบาดแผลไม่หยุด นอนอ้าปากหายใจปะหงับๆ รอเวลาหมดลม บางคนก็แขนขาดหลุดจากตัว มีสภาพความทุกข์ทรมานต่างๆ กัน คงจะเจ็บปวดแสนสาหัส ที่ยังมีความรู้สึกนอนร้องครวญครางระงมไปทั้งหญิงชาย เด็กผู้ใหญ่ที่ตายแล้วเขาก็หาผ้าคลุมไว้กันอุจาดนัยน์ตาของผู้ที่ผ่านไปมา

แกบอกว่าเห็นแล้วจะเมาเลือด ทำท่าจะเป็นลมต้องรีบหลบจากภาพที่สยดสยอง กลิ่นคาวเลือดฟุ้งอยู่ตลอดเวลา นอกนั้นแกยังบ่นแถมท้ายด่าว่าคนขับรถและสงสารคนที่เสียชีวิตและบาดเจ็บเหล่านั้น หลงมอบชีวิตกับอ้ายคนขับรถบ้าระห่ำ เป็นเพชฌฆาตบนท้องถนน แกจะจำบริษัทรถประจำทางที่หาคนบ้าๆ มาขับรถไว้ และแกบอกว่ารถคันที่คว่ำนั้นมีเลขหมายที่..... ของบริษัท.....

ผมตกใจ เพราะเลขหมายรถตรงกับรถโดยสารตอนเช้าคันที่ผมกับบุตรชายภรรยาจะโดยสารเข้ากรุงเทพฯ ภรรยาและบุตรชายผมพอรู้ก็ตกใจเพราะต่างก็จำได้ดีว่าหมายเลขตรงกับ รถโดยสารคันที่เราจะขึ้นและรีบลงเมื่อผมเรียกให้ลง เพราะเห็นกำนันแต้มโบกมือผ่านไป พอผมได้ยินว่ารถคันที่ผมจะโดยสารตอนเช้าคว่ำยังไม่ถึงกรุงเทพฯ เท่านั้น ตัวเย็นวาบตลอดหัวจดเท้า เกิดตื่นเต้นจนใจสั่นเหมือนคนไข้หนัก ยิ่งนึกก็ยิ่งใจหายใจคว่ำ ทั้งบุตรภรรยาคิดว่าคงมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

เคราะห์เราดีทั้งสามพ่อแม่ลูก ที่บังเอิญผมได้เห็นท่านกำนันโบกมือเสียก่อน มิเช่นนั้นเราก็ต้องโดยสารรถคันนั้น แล้วก็คงเป็นผีเฝ้าถนนไม่คนใดก็คนหนึ่งหรือทั้งสามคน ผมคิดแล้วมีความร้อนใจอยู่ถ้าไม่ได้ ต้องรีบไปขอบอกขอบใจที่ท่านกำนันได้ช่วยชีวิตเราไว้ นับว่าเป็นบุญคุณอย่างสูงยิ่ง แม้จะไม่ได้เจตนา แต่เหตุบังเอิญชีวิตเรารอดพ้นจากความตายสมความตั้งใจที่ท่านกำนันจะใช้หนี้ชิวิตตามที่ปรารภไว้

ผมรีบจัดแจงแต่งตัวยังไม่ทันจะออกจากบ้าน ความตื่นเต้นเรื่องรถคว่ำคนเจ็บคนตายยังไม่ทันจางหาย ก็เกิดเหตุตกใจครั้งใหญ่ยิ่ง เมื่อผมได้เห็นเด็กสาววัยรุ่นสองคนเดินเข้ามาที่ในบ้าน เมื่อเห็นหน้าผมก็ร้องสะอึกสะอื้นทั้งคู่ เด็กสาวทั้งสองแต่งตัวเสื้อผ้าดำไว้ทุกข์ทั้งชุด หู ตาบวม จมูกแดงช้ำ แสดงให้รู้ว่าได้ผ่านการร้องไห้อย่างหนักมาแล้ว เด็กสาวทั้งสองก็เป็นคนอยู่ในบ้านท่านกำนัน เมื่อถามได้ความว่าทางบ้านให้นำข่าวมาบอกว่า “ท่านกำนันแต้มได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว”

พอผมได้ยินเท่านั้น ก็เหมือนใครเอาพะเนินเหล็กมาทุบหัว ใจหายวาบ กระทบกระเทือนจิตใจอย่างหนักหัวใจแทบจะหยุดเต้น ตัวเย็นชาหูอื้อหน้ามืด มือเท้าอ่อนจะหมดกำลังหมดแรงที่จะพยุงกายยืนทรงตัวอยู่ได้ ต้องทรุดตัวลงนั่งอยู่ตรงนั้นเอง ในลำคอเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่พูดอะไรไม่ออกเพราะความตื้นตันใจ พูดได้เพียงสองประโยคสั้นๆ ว่า จริงหรือ เมื่อไหร่ เสียงผ่านออกจากลำคอด้วยความลำบากยากเย็น แม้ตัวเองก็จำเสียงตัวเองไม่ได้

เด็กสาวเริ่มสะอื้นอีก แล้วตอบว่า “ท่านเสียเมื่อตอนเช้ามืดวันนี้เองค่ะ คนที่คอยพยาบาลอยู่ด้วยเพิ่งส่งข่าวมาว่า ท่านหมดลมประมาณตี ๕ ข่าวเพิ่งจะมาถึงบ่ายวันนี้”

เมื่อผมรวบรวมสติหักห้ามความทุกข์ลงได้บ้าง จึงตั้งคำถามถามตนเองว่า จะเป็นไปได้หรือที่กำนันแต้มได้ตายไปแล้ว เมื่อเช้าที่เห็นอยู่ในรถนั้นเป็นใครกันแน่ ตาผมไม่ฝาด ทั้งเป็นเวลาเช้าแท้ๆ ไม่น่าเชื่อเลย นึกขึ้นได้ท่านกำนันได้พูดไว้ว่า “ฉันได้ใช้หนี้กรรมที่ฉันได้สร้างไว้หมดแล้ว ยังเหลือหนี้ชีวิตที่ยังไม่รู้จะให้ได้เมื่อไหร่ แต่ฉันจะต้องใช้ให้ได้ในวันหนึ่ง”

ผมนึกแล้วก็ต้องสะดุ้ง เพราะบัดนี้ท่านกำนันได้จากไปแล้ว แต่ท่านก็ไม่ลืมชำระหนี้ชีวิตให้ผมเสร็จสิ้นไปแล้ว ผมนึกแล้วก็ต้องยกมือทั้งสองปิดหน้า ก้มหัว หลับตาสกัดความรู้สึกก่อนที่จะคิดฟุ้งซ่านจนเกินไป แต่ก็ยังระงับอะไรไม่ได้ เพราะรู้สึกนึกถึงคุณงามความดี ของท่านกำนันก็ยิ่งผุดขึ้นมาในความทรงจำมากขึ้น ยิ่งนึกก็ยิ่งตื้นตันใจ

สำหรับครอบครัวผมกับท่านกำนัน เหมือนท่านเป็นบิดาบังเกิดเกล้า เป็นผู้มีพระคุณอันสูงยิ่ง ผมสารภาพว่าน้ำตาไหลร้องไห้เหมือนทารก ปกติผมไม่ใช่คนอ่อนแอ จิตใจของผมเป็นลูกผู้ชายมีจิตใจเข้มแข็งอดทน แต่ผมต้องหลั่งน้ำตาให้แก่คุณงามความดีของท่านกำนัน ซึ่งมีพระคุณต่อครอบครัวของผมมากมายเป็นที่น่าคิด

ในครั้งหนึ่งท่านกำนันแต้มเป็นที่เกลียดชังของคนทั้งปวงทั้งตำบล ครั้งนั้นผมก็ต้องเสียน้ำตาเพราะแค้นใจที่ต้องสูญเสียที่อยู่ที่ทามาหากิน ซึ่งเป็นสมบัติตกทอดมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย นึกน้อยใจว่า ผมเป็นผู้ที่ทำลายทรัพย์สมบัติเก่าแก่รักษาไว้ไม่ได้ แค้นใจกำนันหน้าเลือดไม่ยอมให้ขึ้นเงิน เพราะราคาที่แกรับไว้ต่ำกว่าราคาซื้อขายในเวลานั้นหลายเท่า กำนันแต้มพอใจได้ของถูกๆ ไม่ได้นึกถึงอกผู้อื่น ที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว แต่แล้วผมก็คิดตกว่าเป็นกรรมของตนเอง

ครั้งนั้นผมเสียน้ำตาเพราะความชั่วของกำนันแต้ม แต่แล้วผมก็ต้องเสียน้ำตาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เป็นความดีที่ซาบซึ้งตรึงใจที่ผมลืมไม่ได้ เพราะหลังจากรอดการจมน้ำตายแล้ว ท่านกำนันแต้มก็ได้ตั้งสัจจะว่าจะสร้างความดีลบล้างความชั่วที่เคยได้ก่อกรรม และจะใช้หนี้กรรมให้สิ้นสุดลงด้วยการประกอบกรรมดี ท่านได้ประกอบกรรมดีลบล้างความรู้สึกของชาวบ้านที่เคยชิงชัง บัดนี้ตรงกันข้าม ท่านได้ชนะจิตใจชาวบ้านด้วยการสร้างคุณงามความดี ท่านได้ใช้หนี้กรรมสุดสิ้นลงแล้ว

ต่อมาท่านได้ช่วยเหลือชาวบ้านผู้มีทุกข์ให้ได้รับสุข ท่านได้กลายเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนทั่วไป บัดนี้ร่มโพธิ์ร่มไทรได้โค่นลงแล้ว หมู่บ้านทั้งตำบลจะมีแต่ความเงียบเหงาเศร้าสร้อย เราจะไม่มีกำนันผู้ใจดีซึ่งเคยเป็นที่พึ่งของคนทั่วไปทั้งตำบลอยู่อีกแล้ว เพราะท่านได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก ชาวบ้านเมื่อได้ทราบข่าวคงจะพากันเศร้าโศกอาลัยหาทุกครัวเรือน ทั้งตำบลและทั้งบาง ต่างก็จะหลั่งน้ำตาให้ แก่ผู้สร้างความดีเพื่อเป็นอนุสรณ์ ส่วนผมเสียใจจนคิดฟุ้งซ่านไม่มีขอบเขต

พอได้สติจึงคิดว่า เราก็ได้บวชเรียนมา และเคยศึกษาธรรมมาแล้วทำไมไม่คิดทางพระทางธรรมเป็นที่พึ่ง เพื่อกำจัดความทุกข์เป็นต้นเหตุทำให้จิตฟุ้งซ่าน เมื่อนึกได้ก็พยายามเอาพระธรรมเข้าหักห้ามจิตใจ พยายามนึกถึงหลักว่าคนเราเมื่อเกิดมาไม่ว่าคนชั่วหรือคนดีก็ต้องตายด้วยกันทุกคน จะมัวเศร้าโศกเสียใจเพียงไร ก็ไม่สามารถจะทำให้ผู้ที่เคารพรักใคร่ได้จากโลกนี้ไปแล้วกลับฟิ้นคืนมาได้ พุทธศาสนาให้เราทำลายความทุกข์ กำจัดกิเลสเศร้าหมอง ด้วยเหตุผลตามกฎแห่งความจริงทุกอย่างย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีใครหนีกฎแห่งกรรมพ้นไปได้

เมื่อได้ใช้สติปัญญาพิจารณาดูในความรู้สึกจนรู้แจ้งหลักความจริงตามธรรมชาติแล้ว ทำให้จิตใจเข้าสู่ความปรกติสุขสงบลง ไม่ได้คิดฟุ้งซ่านต่อไป เพราะนึกถึงตัวเราก็จะต้องจากโลกนี้ในวันหนึ่งข้างหน้า เช่นเดียวกับท่านกำนันที่ได้จากไปแล้ว แต่ท่านก็ได้ฝากคุณงามความดีไว้ให้คนอยู่ภายหลังระลึกถึงไม่มีวันลืมได้



(มีต่อ 9)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 12:03 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ภายหลังเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว ภรรยาผมจึงได้บอกความจริงว่า นึกได้ไปดูหมอผูกดวงชะตาให้ผมก่อนหน้าหลายเดือน และเป็นหมอที่แม่นที่สุดในเวลานั้น หมอได้ทายถึงดวงชะตาชีวิตของผมว่าจะถึงฆาตชะตาขาด ภรรยาผมตกใจมาก วิตกเกรงว่าถ้าผมรู้เรื่องนี้ จะเกิดเสียกำลังใจ ทั้งผมเป็นคนไม่ชอบดูหมอ เพราะไม่เชื่อหมอดูจึงปิดนิ่ง อัดความทุกข์ร้อนไว้แต่เพียงผู้เดียว บางครั้งก็แอบร้องไห้ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่ยามดึกลุกขึ้นไหว้พระสวดมนต์อ้อนวอนพระขอให้ช่วยคุ้มครอง ขออย่าให้ผมเป็นอันตรายใดๆ ขอให้พ้นภัย

แต่แล้วเป็นที่น่าอัศจรรย์ วันที่ผมกับภรรยาและบุตรจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ไปเยี่ยมท่านกำนันที่โรงพยาบาล ก็เป็นระยะเข้าเขตที่หมอดูทายไว้ว่าดวงชะตาขาด ภรรยาผมบอกว่าวันกำหนดระยะเวลาเข้าเขตวันอันตรายนั้นทำอะไรไม่ถูก จิตใจไม่อยู่กับตัว จะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน ก็ภาวนาขอให้พระคุ้มครองผมอยู่ตลอดเวลา แต่แล้วผมนึกถึงการรอดตายชดใช้หนี้ชีวิตที่เกิดขึ้น เมื่อผมกำลังติดตามบุตรและภรรยาขึ้นไปบนรถโดยสารคันที่จะเกิดอุบัติเหตุ ก็เห็นรถอีกคันสวนไป

ผมเห็นอย่างชัดแจ้งว่า ท่านกำนันได้โบกมือปัดไปปัดมา เหมือนจะห้ามไม่ให้ผมไป ทั้งๆ ที่ท่านกำนันหมดลมสิ้นใจอยู่ที่โรงพยาบาลทางกรุงเทพฯ แล้ว ผมกับครอบครัวได้รอดพ้นความตายมาได้ เพราะวิญญาณของท่านกำนันแต้มพยายามใช้หนี้ชีวิต มันเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผม จะไม่มีวันลืมเลย

ตามปกติหลังจากผมย้ายจากบ้านลุงหมอกลับมาอยู่ที่ที่ของตัวแล้ว หากมีปัญหาเกิดขึ้นขบคิดไม่ออก หาสาเหตุไม่ได้ ไม่สามารถจะแก้ไขลุล่วงไปได้ ผมมักไปขอความเห็นจากลุงหมอเพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ ทั้งเป็นผู้ที่เห็นโลกมามาก ติดต่อกับคนทั่วไป ทั้งมีความรู้ในทางไสยศาสตร์เคยใช้ประกอบรักษาโรค ครั้งใดเมื่อผมข้องใจในเรื่องใด ก็ได้เล่าเรื่องไม่ว่ายากง่ายให้ลุงหมอฟัง ท่านก็ได้อธิบายชี้แจงเหตุผลคลี่คลายให้มองเห็นแจ่มแจ้งจนพอใจ

แต่ครั้งนี้ผมได้เล่าเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ ตลอดจนคลี่คลายให้มองเห็น ท่านกำนันโบกมือห้าม ตลอดทั้งภรรยาผมได้ไปดูหมอผูกดวงทำนายล่วงหน้าว่า ชะตาผมเป็นระยะที่จะถึงฆาตชะตาฆาต แต่ท่านกำนันกลับเป็นผู้จบชีวิต ทั้งยังช่วยผมให้รอดพ้นจากการอุบัติเหตุ ซึ่งมีคนตายหมู่เพราะผมตาฝาดเห็นคนอื่นเป็นท่านกำนัน ให้ลุงหมอฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ครั้งนี้ลุงหมอได้นิ่งฟัง แล้วใช้ความคิดอย่างหนักสมอง เพื่อหาเหตุผลคลี่คลายเรื่องลึกลับมหัศจรรย์ให้แจ้งกระจ่าง

แต่แล้วลุงหมอก็พูดขึ้นว่า ครั้งนี้ลุงก็จนปัญญาที่จะยกเหตุผลขึ้นมาอ้างชี้ให้เห็นความจริง และก็อธิบายไม่ถูกว่า ทำไมจึงได้มองเห็นท่านกำนันโบกมือ เพื่อช่วยให้หลานพ้นจากภัยอุบัติเหตุ มันเป็นศาสตร์อันลี้ลับเกินความสามารถของลุง ซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดาจะสามารถอธิบายให้แจ่มแจ้งสมเหตุผลได้ หากว่าจะอธิบายอย่างกว้างๆ ยังไม่แน่ใจว่า จะตรงกับความจริงมากน้อยเพียงไร

ลุงคิดว่าท่านกำนันแต้มมีจิตแน่วแน่ตั้งใจไว้ว่า หากมีโอกาสจะใช้หนี้ชีวิตที่หลานได้เคยช่วยแกไว้เมื่อครั้งเรือล่ม จิตจึงประหวัดถึง แต่หนี้ชีวิต ดวงจิตมีความกังวลจดจ่ออยู่กับหลานตลอดเวลา อำนาจกระแสจิตอันแรงกล้านี่แหละเป็นต้นเหตุให้เกิดเป็นพลังคลื่นออกไป เป็นยามคอยระงับภัย ทำให้รู้ว่าหลานกำลังตกอยู่ในอันตราย เป็นเวลาที่คอยมานานแล้ว

ด้วยแรงพลังกล้าของอำนาจกระแสจิตเหมือนคลื่นไฟฟ้า ซึ่งเปิดรับอยู่ตลอดเวลา แล้วก็แล่นไปสู่ความรู้สึกในตัวหลาน ทำให้เกิดสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ เกิดขึ้นดังที่หลานได้ประสบการณ์มาแล้ว และทำให้หลานได้พ้นอันตรายในวันเดียวกับที่ท่านกำนันก็ได้จากโลกนี้ไปสู่สุคติ ด้วยความดีครั้งหลัง ที่ท่านกำนันได้ตั้งมั่นถือสัจจะที่ได้ปฏิบัติและเกิดผลมาแล้ว

นี่แหละครับ มันเป็นเรื่องที่ประทับใจผมอย่างซาบซึ้งในชีวิตที่ผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่หากใครก็ดีไปพัวพันในเรื่องนี้ด้วย ก็คงมีความรู้สึกอย่างผมเป็นธรรมดา นี่เป็นจุดที่ผมต้องการพบคุณ เมื่อได้มีโอกาสทำให้เรื่องนี้ยั่งยืนถาวร เป็นอนุสรณ์บูชาความดีของท่านผู้ล่วงลับไปแล้วให้ยืนยงอยู่ตลอดไป เพราะเรื่องเช่นนี้ มิใช่จะเกิดขึ้นง่ายๆ เกิดขึ้นเสมอไป ผมคิดว่าหลายชั่วอายุคนจะมีสักครั้งหนึ่งก็คงยาก คุณจะสมมุติชื่อในเรื่องได้ตามแต่จะเห็นสมควร

เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังเรื่อง “หนี้ชีวิต” ซึ่งท่านผู้เล่าได้พยายามบรรยายเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้วอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถึงคุณความดีของผู้ล่วงลับไปแล้ว แสดงถึงเป็นผู้มีความกตัญญูรู้คุณยกย่องผู้ตายไว้เหนือสิ่งใด และได้พูดถึงสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ ได้เกิดขึ้นด้วยอำนาจจิตในชีวิตของท่านผู้เล่า ทำให้ข้าพเจ้าย้อนกลับไปนึกถึงบุคคลผู้หนึ่ง นับว่าเป็นเหตุการณ์ได้ประสบกับข้าพเจ้าผู้เขียนเอง ในเรื่องอำนาจในความรู้สึกแฝงสิ่งลึกลับแห่งกระแสจิต ทำให้มีความรู้สึกนึกคิดเกิดขึ้นอย่างประหลาดมหัศจรรย์ ซึ่งไม่สามารถหาเหตุผลมาชี้แจงได้ และก็มีผู้ประสบเหตุการณ์เช่นเดียวกันหลายท่าน ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้แจ่มแจ้งคงจะมีเหตุผลอย่างคลุมเคลือเช่นเดียวกัน

เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๕ จำได้ว่าต้นเดือนกุมภาพันธ์ ข้าพเจ้าได้ประกอบงานกุศล ถวายอาหารเพลเลี้ยงพระที่โรงพยาบาลสงฆ์ ตำบลพญาไท เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เพื่อนที่ข้าพเจ้ารักใคร่นับถือกันมากผู้หนึ่ง ได้ถึงแก่กรรมครบร้อยวัน คุณงามความดีของท่านผู้นี้ข้าพเจ้าไม่สามารถจะทดแทนอย่างอื่นได้ จึงได้ถวายอาหารเพลแด่พระสงฆ์เเละพระเถระผู้ใหญ่ที่ได้นิมนต์มาจากวัด สามารถที่จะให้ศีล และสวดพระพุทธมนต์ ซึ่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลสงฆ์ได้จัดการให้เป็นที่เรียบร้อยทุกประการ และถวายอาหารพระสงฆ์ที่อาพาธตามตึกต่างๆ เพื่ออุทิศส่วนกุศลอันนี้ไห้แก่วิญญาณของเพื่อนผู้จากไปไม่มีวันกลับ

ในวันนั้น ข้าพเจ้าได้เชิญมิตรสหายเพื่อนฝูงที่สนิท และญาติของผู้ตายมาร่วมอนุโมทนาในการกุศลครั้งนี้ด้วย นอกจากถวายอาหารเพลเลี้ยงพระแล้ว ข้าพเจ้าได้แจกหนังสือเพื่อเป็นอนุสรณ์ เป็นหนังสือในชุด “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” รวบรวมจำนวน ๒๑ เรื่อง หนังสือที่แจกในครั้งนั้นมีผู้สนใจมาก แม้หลังจากการเลี้ยงพระทำบุญร้อยวันแล้วยังมีผู้ขอมาเสมอ ในวันนั้นมีเพื่อนฝูงหลายท่านที่ขอร้องจะขอร่วมการพิมพ์ แต่ข้าพเจ้าต้องขออภัย เพราะงานนี้เป็นงานส่วนตัว ความสัมพันธ์ในระหว่างข้าพเจ้ากับผู้วายชนม์ ข้าพเจ้าได้จัดพิมพ์เพิ่มถึงสามครั้ง แม้กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับผู้ต้องการ

หลังจากท่านที่ได้รับหนังสือแล้ว อยากทราบประวัติในความสัมพันธ์ระหว่างข้าพเจ้ากับท่านผู้ตาย ขอให้ข้าพเจ้าได้เล่าให้ฟังนอกเหนือจากเขียนไว้ในหนังสือเป็นอนุสรณ์ ข้าพเจ้าก็มีความยินดีที่จะเล่าชีวิต การติดต่อ และความรักใคร่นับถือครั้งอดีตตลอดเวลาอันยาวนาน ซึ่งท่านผู้นี้อยู่จังหวัดจันทบุรี และข้าพเจ้าอยู่กรุงเทพฯ

เริ่มแรกที่เราจะรู้จักกันโดยได้รับการแนะนำจากเพื่อนผู้หนึ่ง ซึ่งไปจับจองทำสวนผลไม้ทางจังหวัดจันทบุรี นับแต่นั้นมิตรภาพของเราก็ดำเนินมาด้วยดี เราต่างก็มีความรักใคร่นับถือซึ่งกันและกันตลอดมา ข้าพเจ้าชอบนิสัยของท่านผู้นั้น เป็นผู้ชอบพูดตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความรักใคร่นับถือเพื่อนฝูงเสมอต้นเสมอปลาย เป็นผู้มีความเมตตากรุณาและปรารถนาดีต่อเพื่อนฝูงทั่วๆ ไป เราจึงถูกอกถูกใจกัน

ข้าพเจ้าชอบอุปนิสัยใจคอของท่านผู้นี้มาก คล้ายกับเราคุ้นเคยกันมาแต่ปางก่อน ข้าพเจ้าไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อยากจะเชื่อว่าอดีตชาตินั้นจะมีจริง แม้จะมีบางท่านยังสงสัยและบางท่านไม่เชื่อ เพราะเป็นการยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ ข้าพเจ้าก็อธิบายไม่ถูก



(มีต่อ 10)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 12:08 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เพื่อนข้าพเจ้าผู้นี้มีฐานะมั่งคั่งมีชื่อเสียง เป็นผู้ที่มีคนเคารพยกย่องในคุณงามความดีทั่วไปในจังหวัด เป็นผู้มีคุณธรรมสูง เป็นผู้เห็นอกเห็นใจไม่มีอคติใดๆ คบได้ไม่ว่าคนจนหรือคนมี จิตใจสูงพร้อมทั้งเมตตาปรานี สงสารผู้ได้รับความทุกข์ยาก เคยเสียสละ กำลังใจกำลังทรัพย์เพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม อยากเห็นคนทุกข์ยากได้รับความสุขด้วยการอยู่ดีกินดี เคยเป็นผู้ริเริ่มตัดถนนยาวประมาณ ๓ กม. แยกจากถนนสุขุมวิทไปสู่บริเวณที่เป็นสวนผลไม้ เป็นประโยชน์ส่วนรวมเพื่อสะดวกต่อการขนส่ง และเป็นที่รู้จักของบรรดาชาวสวนทั่วไป

เป็นผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี เคยทำประโยชน์เพื่อสาธารณะ เป็นประธานและกรรมการจัดหาเงินในการกุศลต่างๆ ส่วนการบุญกุศลได้บำรุงศาสนาไม่ว่าศาสนาใดมิได้ขัด จึงเป็นที่รู้จักทั้งพุทธศาสนิกชน และฝ่ายคริสต์ศาสนาทั่วไป กิจการค้าของท่านผู้นี้ก่อนจะสร้างตัดถนนจากกรุงเทพฯ ได้มีรถโดยสารวิ่งจากตัวจังหวัดไปตามอำเภอนอกๆ หลายสาย

เมื่อถนนจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดจันทบุรีสร้างเสร็จแล้ว ก็ขยายเส้นทางเดินรถจากจันทบุรี-กรุงเทพฯ และมีสวนผลไม้ มีการค้าติดต่อจากกรุงเทพฯ สมัยก่อนคมนาคมด้วยทางเรือ ท่านผู้นี้เคยขอร้องให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวบ้านที่จังหวัดจันทบุรี แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่พร้อมที่จะไป แม้จะได้รับการขอร้องให้ไปเที่ยวพักผ่อนก็ดี เวลานั้นการเดินทางไปได้ทางทะเลทางเดียว

ท่านผู้นี้ได้ส่งของให้ข้าพเจ้าตลอดมาทุกๆ ปี ฤดูผลไม้ก็ส่งทั้งเงาะ มังคุด และทุเรียน ไม่ใช่ฤดูผลไม้ก็ส่งทุเรียนกวน และเสื่อทอด้วยกกอย่างดีมาให้ ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะตอบแทนอย่างไร ตลอดเวลานับแต่การขนส่งทางเรือ จนถนนเรียบร้อยขนส่งทางบกก็มิเคยเว้นเลย

หลังจากถนนได้ติดต่อถึงจังหวัดจันทบุรีได้สะดวกแล้ว ก็ได้ขอร้องให้ข้าพเจ้าหาเวลาว่างไปเที่ยวบ้านของท่านที่จังหวัดจันทบุรี ข้าพเจ้าก็หามีเวลาไม่ เพราะระยะหลังนี้ข้าพเจ้าปลีกตัวไปไหนไม่ได้ เพราะกิจการรัดตัว ตั้งใจจะพักผ่อนเวลาอายุครบ ๕ รอบก็ผิดหวัง ซ้ำต้องทำงานเพิ่มเวลาอีกมากขึ้นแทนการพักผ่อน

หลังจากเลิกจากการเดินรถแล้ว การเดินทางมากรุงเทพฯ ของท่านผู้นี้ก็น้อยลง และการติดต่อสอบถามทุกข์สุขก็มีเป็นประจำ พวกผลไม้สดได้ส่งมาทีละหลายครั้ง ทั้งส้ม เงาะ ทุเรียน และผลไม้อื่นๆ เป็นประจำฤดู ความรักใคร่นับถือมิได้ห่างเหินกันเลยแต่แล้วสิ่งที่มีความประหลาดมหัศจรรย์ทางความรู้สึกและความสังหรณ์เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ในคืนวันวิสาขบูชา พ.ศ. ๒๕๐๔ คืนนั้น ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ส่วนมากไปฟังเทศน์เวียนเทียนทำบุญที่วัด เพราะถือว่าเป็นวันสำคัญของพุทธศาสนา ผู้ใหญ่ก็ฟังธรรมจนรุ่งสว่าง พวกเด็กพอเวียนเทียนแล้วก็กลับ

ส่วนข้าพเจ้าคืนนั้นเกิดเป็นไข้หวัดไม่ได้ไปไหน นอกจากใช้เวลากราบไหว้พระ แล้วระลึกถึงพระกรุณาธิคุณขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ในบ้าน นึกถึงว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญว่า เราไม่ควรปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้นึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ข้าพเจ้านึกแล้ว ก็มานั่งตรงหน้าต่างพิจารณาดวงจันทร์ เมื่อนึกย้อนหลังไปเมื่อสองพันกว่าปี เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประสูติ ทรงตรัสรู้ และได้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพาน ก็เป็นจันทร์ดวงเดียวกัน หากแต่ผิดระยะเวลากันเท่านั้น

ตามปกติบนท้องฟ้าในคืนวันเพ็ญวิสาขบูชานั้น ทุกปีดวงจันทร์จะแจ่มกระจ่าง แต่ปีนั้นท้องฟ้ามืดครึ้ม เต็มไปด้วยเมฆฝนบังจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ คืนนั้นจิตใจข้าพเจ้าตื่นเต้นผิดปกติ ข้าพเจ้าสงสัยตัวเองว่า นี่ข้าพเจ้าเป็นอะไรไป จะเจ็บป่วยก็ไม่ใช่ ข้าพเจ้านอนกระสับกระส่าย นอนไม่หลับผุดลุกผุดนั่ง

ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ ที่จิตใจของข้าพเจ้านึกถึงแต่ท่านผู้นั้นตลอดเวลา พยายามจะหลับตาก็คล้ายจะเห็นเหตุการณ์ภาพเก่าๆ ที่ท่านชวนให้ข้าพเจ้าไปเที่ยวบ้าน นึกฝันอยู่ในความรู้สึกผุดขึ้นมาพยายามไม่นึกไม่คิดหันเหความรู้สึกไปทางอื่น แต่ไม่ช้าความรู้สึกก็เข้ารอยเดิม ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจทันทีว่า พรุ่งนี้จะชวนเพื่อนๆ เดินทางไปจังหวัดจันทบุรีให้ได้ โดยไม่ยอมเสียเวลาคิดอีก เมื่อตัดความกังวลแล้วความรู้สึกก็เข้าสู่ปกติ ทำจิตเป็นสมาธิ จึงหลับลงได้

รุ่งขึ้นชวนเพื่อนฝูงที่รักใคร่ทานอาหารเที่ยง จึงออกปากชวนเพื่อนจะเดินทางไปจังหวัดจันทบุรี เพราะเวลานั้นทางกรุงเทพฯ-จันทบุรีบางตอนยังไม่สะดวกเรียบร้อย เราจำเป็นต้องหารถที่มีแรงม้าสูง เมื่อได้รถแล้วก็จะกำหนดเวลาออกเดินทาง ข้าพเจ้ามีความร้อนใจอยากจะเดินทางเร็วที่สุด แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้าการเดินทางไปคราวนี้ มิใช่ท่องเที่ยวเพื่อสนุก การไปเพื่อเรียกร้องจากความรู้สึกอย่างประหลาด ในระยะที่กำหนดเตรียมจะเดินทางไปจังหวัดจันทบุรีด้วยความใจร้อนนั้น

หลังจากคืนวันหนึ่ง บุตรชายคนโตของเพื่อนก็ได้มาที่บ้านข้าพเจ้า แต่บังเอิญคืนนั้นข้าพเจ้าไม่อยู่ได้บอกสั่งไว้ว่า คุณป๋าเข้ามาอยู่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้ว จึงให้รีบมาบอกข้าพเจ้าเป็นคนแรก เห็นจะเป็นเพราะบ้านข้าพเจ้าอยู่ไม่ห่างไกลจากโรงพยาบาลมากนัก

เมื่อข้าพเจ้าได้ข่าวก็รีบไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลทันที เพราะรู้สึกห่วงสุขภาพของท่านผู้นั้นมาก และบอกพวกเพื่อนที่จะร่วมเดินทางไปจังหวัดจันทบุรี ขอให้งดไม่ต้องไปเพราะผู้ที่ต้องการไปพบ ได้มาป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ แล้ว ต่อมาข้าพเจ้าได้ทราบว่าท่านเป็นเนื้องอกที่ปอด ทราบจากการฉายเอกซเรย์ นายแพทย์จะต้องรีบลงมือผ่าตัด

หลังจากการผ่าตัดแล้ว ข้าพเจ้าได้ถามผลของการวิจัยโรคทางตึกพยาธิ ซึ่งนายแพทย์ผู้เป็นเพื่อนรักใคร่กับข้าพเจ้า ก็ทราบว่าเป็นมะเร็งเนื้อร้ายในปอดแน่ ข้าพเจ้าใจหายวาบขึ้นมาทันที เพราะข้าพเจ้าเคยนึกสงสัยมาแล้ว เพราะคนป่วยสูบบุหรี่จัด เมื่อได้ทราบแน่ก็ต้องตื่นเต้นและใจหายเป็นธรรมดาของผู้ที่รักใคร่นับถือ และเสียดายคุณงามความดี

การผ่าตัดครั้งนี้ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลเพียงไร ไม่ทราบว่าโรคเนื้อร้ายนี่จะลุกลามไปมากน้อยเพียงไร เมื่อข้าพเจ้าเข้าไปในห้องคนไข้ก็ต้องกลืนความเศร้าไว้ในอก มิได้แสดงสีหน้ากิริยาออกมาภายนอก ไม่อยากให้รู้เพราะกลัวคนไข้จะเสียกำลังใจ

หลังจากการผ่าตัด อาการก็ดีขึ้น เป็นลำดับข้าพเจ้าพยายามไปเยี่ยมไข้ให้มากที่สุดและให้บ่อยที่สุด เพราะสังหรณ์ใจว่า เรามีเวลาได้พบกันไม่ยืนยาวนัก และเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้รู้จักกับคุณนายของผู้ป่วย ผู้เป็นเพื่อนรักและนับถือ ได้มีโอกาสสนทนา เมื่อคนไข้ได้ออกจากโรงพยาบาลไปพักฟื้นที่บ้านหลังโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ ข้าพเจ้าก็พยายามหาเวลาติดต่อไปเยี่ยมสนทนาด้วยเสมอ หลังจากพักฟื้นพอสมควร ก็ออกเดินทางกลับจังหวัดจันทบุรี ข้าพเจ้าได้สั่งไว้ว่า หากหายเป็นปกติหรือมีอาการอย่างไรโปรดแจ้งให้ข้าพเจ้าทราบด้วย

ต่อมาประมาณหนึ่งเดือน ข้าพเจ้าก็ได้รับข่าวทางจดหมายจากบุตรสาวของเพื่อน มีใจความว่า “ป๋าเริ่มมีอาการอ่อนเพลียมาก เดิมเข้าใจว่าเป็นหวัด แล้วกลับมีอาการหอบเข้าแทรก จะนำมารักษาที่กรุงเทพฯ ก็ลำบากทางไกล กลัวคนไข้จะไม่มีกำลังต้านทานกระเทือนในการเดินทางไกล ฉะนั้นจึงนำเข้าไปรักษาที่โรงพยาบาลพระปกเกล้า ที่จังหวัดจันทบุรี” กว่าข้าพเจ้าจะได้รับจดหมาย เข้าใจว่าคนไข้คงจะเข้าไปอยู่ที่โรงพยาบาลหลายวันแล้ว



(มีต่อ 11)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2004, 12:16 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ามีความร้อนใจรีบชวนเพื่อนร่วมเดินทางไปด้วย ๒ นาย คือ คุณศรีโพธิ์และคุณสนม ในบ่ายวันเสาร์ และเราต้องไปพักแรมคืนที่บ้านบังกาโลของคุณบุญวงศ์ อมาตยกุล ที่หาดพัทยา เพราะข้าพเจ้าไม่อยากเดินทางกลางคืนในทางที่ไม่เคยไป การพักแรมเราได้รับความสะดวกสบายทุกอย่าง อดที่จะขอบคุณท่านเจ้าของบ้านไม่ได้

รุ่งขึ้นก็รีบออกรถจากบังกาโลหาดพัทยา เดินทางต่อไปแต่เช้า ด้วยหัวใจเร่งร้อนไม่มีจิตใจจะคิด ชมอะไร ขอให้ได้ไปถึงจุดหมายปลายทางเร็วที่สุด หลังจากเดินทางไปถึงเมืองจันทบุรีซึ่งทางยังไม่เรียบร้อยปกติ บางตอนยังเป็นหลุมเป็นบ่อ ข้าพเจ้ายังใหม่ต่อถนนหนทางเพราะเพิ่งจะมาเป็นครั้งแรกในชีวิต

เมื่อถึงตัวจังหวัด ก่อนอื่นเราเข้าไปทานอาหาร ที่ร้านขายอาหารแห่งหนึ่งเพื่อรองท้อง แล้วเพื่อนทั้งสองบอกว่า อยากจะไปเฝ้าท่านข้าหลวงประจำจังหวัดก่อน เพราะเคยเรียนอยู่ชั้นเดียวรุ่นเดียวกันมาก่อน การหาจวนข้าหลวงไม่ยากนัก ท่านข้าหลวงได้ต้อนรับเราเป็นอย่างดี ท่านทรงถามถึงเหตุผลที่เรามาจังหวัดจันทบุรี ข้าพเจ้าทูลท่านว่ามาเยี่ยมคนป่วย

ท่านทรงรับสั่งว่า “ผมแปลกใจเหลือเกิน เพราะผมได้ไปเยี่ยมมาแล้ว คนไข้ไม่น่ามีชีวิตอยู่ได้นานถึงเพียงนี้ เพราะเข้าขั้นโคม่ามาหลายวันแล้ว”

เมื่อเราได้ทูลท่านและได้สนทนาพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้ามีความร้อนใจบอกพวกให้ทูลลาท่านข้าหลวง เพื่อมาเยี่ยมคนไข้ยังโรงพยาบาลทันที เมื่อไปถึงโรงพยาบาลถามถึงห้องคนไข้จากนางพยาบาล เราก็เข้าไปถึงเรือนพักคนไข้ เมื่อได้เห็นคนป่วยนอนหงายไม่ได้สติตาค้าง สองข้างมีบุตรภรรยาและพวกญาติใบหน้านองไปด้วยน้ำตา เมื่อได้เห็นข้าพเจ้าก็เศร้าใจอย่างบอกอะไรไม่ถูก

คุณนายผู้เป็นภรรยาของคนไข้ บอกกับข้าพเจ้าว่าคนป่วยไม่รู้สึกตัวมา ๔ วันแล้ว ใครจะไปจะมาเยี่ยมก็ไม่พูด ใครถามอะไรก็ไม่พูด หมดความรู้สึก บุตรสาวของคนป่วยได้พยายามพูดกรอกลงข้างหู บอกชื่อข้าพเจ้ามาเยี่ยมหลายครั้งคนไข้ก็นอนนิ่งไม่รู้จักตัว ไม่ได้สติ เพียงแต่มีลมหายใจเข้าออกแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ข้าพเจ้ารู้สึกสงสารมากจึงขอร้องว่าอย่าพยายามรบกวนคนไข้เลย รุ่งเช้าข้าพเจ้าจะมาเยี่ยมใหม่แล้วก็เดินออกมาอย่างคนสติลอย หลังจากได้ลาญาติ บุตร ภรรยาของคนไข้แล้ว เรารีบไปจัดหาโรงแรมที่พัก

รุ่งเช้าหลังจากที่กินอาหารที่โรงแรมแล้ว เราก็พากันตรงไปยังโรงพยาบาลทันที ข้าพเจ้าเข้าไปในเรือนพักคนไข้ คงได้พบญาติพี่น้องบุตรภรรยาอยู่พร้อมหน้า เมื่อบุตรสาวคนไข้จะไปพูดกรอกที่หูคนป่วยข้าพเจ้าก็ห้ามไว้ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปข้างเตียงแล้วจับมือคนไข้บีบ เพราะความรักความอาลัย น้ำตาจะร่วงออกมา เมื่อนึกถึงคุณงามความดีที่ข้าพเจ้าไม่เคยลืมเลย แล้วก็เรียกชื่อคนไข้เบาๆ บอกชื่อข้าพเจ้าว่ามาเยี่ยม เสียงมิได้กรอกไปใกล้หู

แต่แล้วสิ่งที่อัศจรรย์ก็เกิดขึ้นต่อหน้าบุตร ภรรยา และญาติพี่น้องของคนไข้ เพราะคนไข้ไหวตัวยกมือขึ้นไขว่คว้า ข้าพเจ้ายกมือทำความเคารพ คนไข้ก็ยกมือขึ้นตอบ พร้อมทั้งมีเสียงที่พูดออกมาจากปากชัดถ้อยชัดคำว่า “ผมเสียใจ ผมป่วย ไม่ได้รับรอง”

พลางเรียกหาภรรยา มาสั่งให้จัดอาหารและที่พัก ให้ความสะดวกสบายแก่ข้าพเจ้า เมื่อได้ฟังคำคนป่วยกล่าวถึงความห่วงใยต่อข้าพเจ้า ทั้งๆ ที่คนไข้กำลังอยู่ในความทุกข์ทรมาน กำลังจะจากโลกนี้ไปอยู่แล้ว ยังมีจิตใจเป็นห่วง เกรงว่าข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความสะดวกสบาย มิได้นึกถึงตัวเองว่าสังขารของตนได้รับทุกข์ทรมาน กำลังจะแตกดับ ทำให้ข้าพเจ้าน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เพราะรู้สึกซาบซึ้งเซาะเข้าไปในส่วนลึก แสดงถึงความบริสุทธิ์ของจิตใจทำให้เกิดกำลังเข้มแข็งกล่าวออกมาจากความจริงใจของคนไข้หนักในระยะสุดท้าย

แม้ข้าพเจ้าจะมีจิตใจเข้มแข็งเพียงไร ก็ต้องสะอื้นคอตีบพูดอะไรไม่ออก เพราะตื้นตันใจขาดสติไปพักหนึ่ง แล้วก็ได้สติคิดได้ก็พยายามข่มความเศร้าเสียใจว่า ที่ได้เห็นที่ได้ยินนั้นเพียงแต่แสดงถึงความรู้สึกเด็ดเดี่ยวมั่นคง ทำให้เกิดพลังอำนาจสามารถจะกล่าวออกมาได้เป็นความดีความสุจริตอันหนึ่ง ที่เราจะต้องระลึกถึงตลอดไปอย่างไม่มีวันลืม แล้วก็ระงับใจให้ปกติคอยเตือนตัวเองที่ได้เห็นได้ยินไดฟังนั้น ไม่เป็นของแน่นอน

เป็นธรรมดามนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมหนีความตายไม่พ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเมื่อเกิดแล้วก็สูญไปเกิดดับๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ถึงอย่างไรก็ย่อมจะสะเทือนใจแก่ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ในวันนั้น บุตรภรรยาญาติพี่น้องต่างก็แปลกใจที่คนไข้พูดไม่ได้ทั้งที่หมดสติมาหลายวันแล้ว เพิ่งจะมาพูดกับข้าพเจ้าอย่างชัดถ้อยชัดคำ และเสียงพูดดังเป็นปรกติ แม้แต่เพื่อนทั้งสองคอยอยู่นอกห้องคนไข้ก็ได้ยินเราพูดกันอย่างชัดเจน

ภรรยาของคนไข้พูดว่า “๔-๕ วันแล้วพูดไม่ได้ ใครมาเยี่ยมมาพูดด้วยก็พูดไม่ได้ ไม่มีสติ เพิ่งจะมาพูดกับคุณนี้แหละ แปลกเหลือเกิน” พูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น ข้าพเจ้าก็เศร้าใจ เมื่อข้าพเจ้าพูดกับคนไข้พักหนึ่ง ก็บอกว่า “ข้าพเจ้าลากลับ”

คนไข้ถามขึ้นด้วยเสียงปรกติว่า “คุณจะกลับกรุงเทพฯ หรือ”

ข้าพเจ้ารับคำและบอกว่า “ภารกิจทางกรุงเทพฯ และของพวกเพื่อนๆ ทำให้เราอยู่นานไม่ได้ สำหรับข้าพเจ้านั้นยังไม่สำคัญ แต่เพื่อนนั้นมีกิจการงานประจำจึงมีเวลาจำกัด แล้วข้าพเจ้ากับพวกก็ลาคนไข้ ญาติ บุตร ภรรยาของคนป่วยกลับ ด้วยจิตใจแสนห่วงอาลัย ต่อจากนั้นก็ทราบว่า ไม่ได้พูดกับผู้ใดอีกเลยจนวาระสุดท้าย

เมื่อข้าพเจ้ากลับถึงกรุงเทพฯ ได้เพียง ๒ วัน ก็ได้รับโทรเลขแจ้งว่าคนไข้ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว นับว่าเป็นความเศร้าโศกครั้งใหญ่ ที่ข้าพเจ้าได้สูญเสียเพื่อนที่ดีเหมือนเพชรน้ำหนึ่งจากไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากได้รับโทรเลข แจ้งให้ทราบว่า เพื่อนได้ถึงแก่กรรมแล้ว ข้าพเจ้ากับบุตรและภรรยาได้เดินทางไปเคารพศพอีกครั้งหนึ่ง และได้ร่วมพิธีในงานศพในคืนนั้น และเช้ามีการเคลื่อนขบวนศพออกจากบ้านโดยทางเรือ ซึ่งตกแต่งงดงาม

ผู้คนมาในงานศพมากมายคิดว่าจะเป็นประวัติการณ์ ที่ผู้คนหลั่งไหลกันมาคอยอยู่ในลานวัดของศาสนาคาทอลิกที่วัดเก่าแก่ มีโบสถ์อันสูงใหญ่ตระหง่านซึ่งวัดอยู่ริมฝั่งลำน้ำในลานบริเวณ และในโบสถ์ผู้คนคับคั่งมืดมัวมากมาย

ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นงานศพในทางศาสนาคาทอลิกมีผู้คนมากมายเพียงนี้ ข้าราชการนับแต่ท่านข้าหลวงประจำจังหวัด ตลอดทั้งข้าราชการแผนกต่างๆ ทั้งพ่อค้าชาวบ้าน ประชาชนจังหวัดและอำเภอที่ใกล้เคียง ทั้งผู้คนที่เดินทางไปจากพระนครก็ไม่น้อย ข้าพเจ้ากับครอบครัวเข้าไปร่วมทำพิธีทางศาสนาคาทอลิกที่ในโบสถ์ แล้วก็นำศพออกมาฝังที่สุสานใกล้โบสถ์

ในวันนั้นหากจำไม่ผิด คือ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๐๔ ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ท่านผู้นั้นคือ คุณมงคล มนูสุข แทบจะกล่าวได้ว่ามีทั้งข้าราชการ และพ่อค้า ประชาชน ทั้งต่างประเทศ ก็แสดงความอาลัย เสียดายคุณความดีไม่รู้สิ้นสุด อันผู้สร้างคุณงามความดีเมื่อยังมีชีวิตก็มีคนเคารพนับถือ เมื่อจากไปก็อาลัยในความดีที่ไม่สูญ

ข้าพเจ้าได้เขียนเรื่องนี้ขึ้น ก็เพื่อชี้ให้เห็นอำนาจจิต สามารถที่จะทำให้เหตุการณ์แปลกประหลาดมหัศจรรย์ขึ้นได้ โดยหาเหตุผลไม่ได้ และเขียนเรื่องนี้ขึ้น เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่เพื่อนรักที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ขอให้วิญญาณผู้สร้างความดีทั้งหลาย จงได้รับกุศลที่ข้าพเจ้าได้อุทิศให้ทุกๆ ท่านเทอญฯ



........................ เอวัง ........................
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
TU
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1589

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2004, 6:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นหนี้กรรม คำนี้ ชี้ให้เห็น
ตามกฎเกณฑ์ กรรมนี้ มีหลากหลาย
ทั้งชาติก่อน ชาตินี้ มีมากมาย
เราหญิงชาย ทุกคน ไม่พ้นกรรม
ดั่งคำพระ พุทธองค์ ทรงตรัสว่า
“กรรมมุนา วัตตะตี มีค่าล้ำ
อีกโลโก” คำนี้ ช่วยชี้นำ
สัตว์โลกทำ กรรมไว้ ได้ผลตาม

ท.เลียงพิบูลย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวYahoo Messenger
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 27 ส.ค. 2006, 3:43 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ซาบซึ้ง อ่านไปเกิดความรู้สึกบรรยายไม่ถูกค่ะ ทั้งตื้นตันทั้งสงสาร เห็นใจ ชื่นใจในการกระทำต่างๆ การรู้สำนึกผิด-ชอบ , คนที่คิดได้ถึงความชั่วเลว ของตน แล้วตั้งใจที่เปลี่ยนแปลงตัวเองในงทีดี ย่อมเป็นที่ชื่นชม ทั้งจากมนุษย์ และเทวา

ขอบคุณที่นำสิ่งดีๆ มาบอกกล่าว เตือนสติ เตือนใจกันนะคะ

อนุโมทนาค่ะ
 

_________________
พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง