Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 สวรรค์ของคนบาป (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2004, 8:26 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

สวรรค์ของคนบาป
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



เมื่อครั้งข้าพเจ้าสำเร็จการศึกษา ออกรับราชการเป็นนายแพทย์ประจำอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งได้ประมาณ ๕ - ๖ ปี ก็รู้จักกับชายหนุ่มผู้หนึ่งมีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้า เราพบกันครั้งแรกที่สโมสร (สมาคมแพทย์ยังไม่เกิด) ชายหนุ่มผู้นี้เรียบร้อยนิสัยดี มีอารมณ์เย็น เราจึงมีนิสัยต้องกัน แต่มีหลายท่านที่รู้จักตระกูลนี้ดี บอกกับข้าพเจ้าว่า

ญาติคนหนึ่งของชายหนุ่มผู้นี้มีนิสัยโหดร้าย ไม่มีศีลธรรมขาดความเมตตาปรานี ไม่มีความสงสารเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีผู้เคยได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยากจากคนผู้นี้มาแล้ว ฉะนั้นเขาจึงเป็นที่เกลียดชังของผู้ที่รู้เรื่องนี้ไม่น้อย แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจนัก เพราะเป็นของธรรมดาคนในตระกูลเดียวย่อมมีทั้งดีและชั่ว เราจะเหมาว่าชั่วทั้งหมดนั้นมันไม่ยุติธรรม

การที่ข้าพเจ้าคบหากับชายหนุ่มผู้นี้ ก็เพราะเห็นว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เบียดเบียนผู้อื่น บุคคลเช่นนี้มีไม่มากนัก ที่สโมสรข้าพเจ้าเคยเห็นหลายครั้งที่ชายผู้นี้ต้องควักกระเป๋าหยิบเงินให้กับคนที่มากราบๆ ไหว้ๆ เพื่อขอความช่วยเหลือ อ้างเหตุผลถึงความทุกข์ยากลำบากต่างๆ จนชายหนุ่มใจอ่อนสงสาร ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน และมีหลายครั้งที่เพื่อนได้รับความเดือดร้อน ก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ เพื่อนบางคนใช้ คนบางคนก็ทำลืม แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยสนใจทวงถาม ข้าพเจ้าเคยเตือนชายหนุ่มผู้นี้ด้วยความสงสารแล้วรักใคร่ ในฐานะที่ข้าพเจ้ามีอาวุโสกว่าว่า

“การจะทำสิ่งใดลงไป เช่น การให้ยืมหรือให้ เป็นต้น ให้พิจารณาดูเสียก่อนว่า การที่เราจะให้ยืมหรือบริจาคนี้สมควรหรือไม่ จะเป็นคุณหรือเป็นโทษ การทำความดีต้องทำให้ถูกเวลาและบุคคล พร้อมทั้งสถานที่ มิฉะนั้นทำดีจะไม่ได้ดี เข้าตำราว่าโปรดสัตว์ได้บาป เพราะคนเราทุกวันนี้ เห็นแก่ตัวเป็นส่วนมาก มักจะนึกว่าคนอื่นโง่ไม่รู้เท่าทันตัว มีแต่การหลอกลวงเบียดเบียนเพื่อให้ได้รับประโยชน์

ถ้าเราช่วยเหลือเพราะเชื่อตามคำบอกเล่าถึงทุกข์ยากลำบากทุกครั้งไป ก็จะเป็นทางให้เขาหากินโดยไม่ต้องเหนื่อยยากออกแรงให้ลำบาก ลงทุนแต่เพียงออกปากให้สงสารเห็นใจเท่านั้น ก็ได้เงินมาง่ายๆ เท่ากับสนับสนุนให้คนขี้เกียจสันหลังยาวมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว ถ้าขอได้สะดวกเขาก็ไม่ยอมช่วยตัวเอง เที่ยวหาคนที่ใจดีหลายๆ คน วนเวียนกันไปขอไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ทีแรกก็เป็นนิสัย นานๆ เข้าก็ติดเป็นสันดาน คนชนิดนี้มีสันดานเกียจคร้าน แม้จะมีชีวิตนานเท่าใดก็ไม่ดีขึ้น ไม่เป็นประโยชน์ เป็นคนรกโลก”


ชายหนุ่มเมื่อฟังข้าพเจ้าตักเตือนก็ถอนหายใจ แล้วพูดออกมาอย่างช้าๆ ว่า “ขอบคุณที่หมอได้กรุณาตักเตือนผมด้วยความหวังดี ความจริงผมรู้สันดานพวกนี้ดี บางคนก็หลอกลวงด้วยนิสัยชั่วจนเคย แต่ผมเห็นว่าตัวเองมีพอจะช่วยเหลือได้โดยไม่เดือดร้อนก็ช่วยไป เพราะบางคนก็เดือดร้อนจริงๆ ผมอยากทำความดีให้ใจมันสบาย”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้น ก็นึกชมในใจว่าเป็นผู้มีใจกว้าง ชายหนุ่มคนนี้ไว้วางใจและเคารพนับถือข้าพเจ้าเหมือนพี่ชาย หากมีปัญหาอะไรส่วนตัวมักมาปรึกษาเสมอ ข้าพเจ้าเคยแนะนำปลุกปลอบให้แก้ไขไปตามสาเหตุที่เกิดขึ้น

วันนั้น เรานั่งคุยกันที่สโมสรถึงเรื่องคนขอทานบรรดาศักดิ์เที่ยวเดินกราบไหว้ขอเงินเพื่อนฝูงหรือผู้มีใจบุญ มีเมตตา ก็เพราะเมื่อวัยรุ่นเกิดประมาทเกียจคร้าน ไม่สนใจเล่าเรียนหาวิชาใส่ตัว ถือว่าพ่อแม่มั่งมี ตามใจจนเคยตัวเสียนิสัย ทำอะไรตามอารมณ์ เกิดผลตามสนองเมื่อเติบใหญ่ไม่มีความรู้ จะทำงานต่ำๆ ก็อายเพราะเคยมีเงินมาก่อน ได้แต่คอยแอบแทะเพื่อนที่ใจดี แต่แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงชายหนุ่มพูดขึ้นลอยๆ ได้ยินเฉพาะเราสองคนว่า

“คนเราถ้าเลือกที่เกิดได้ก็จะดีนะครับพี่หมอ ผมเบื่อเป็นตัวของผมเองเวลานี้เหลือเกิน” แกพูดเศร้าๆ

ข้าพเจ้าหันหน้าไปมองดูอย่างสงสัยแล้วจึงพูดว่า “ผมว่าคุณไม่น่าจะเดือดร้อนอะไรเลย คุณมีทุกอย่างแล้ว พูดถึงฐานะการเงินหรือการงานก็ก้าวหน้าดี มีเรื่องอะไรวิตกทุกข์ร้อนอีกล่ะ”

ชายหนุ่มถอนใจยาว ส่ายหน้าช้าๆ พลางตอบว่า “ความสงบทางจิตใจชิครับพี่หมอ ความสงบเราหาซื้อด้วยเงินไม่ได้ ผมไม่สบายใจ ผมรู้สึกจะเกิดมาผิดที่เสียแล้ว”

ข้าพเจ้าเห็นกิริยาท่าทางเศร้าก็สงสารจึงปลอบแกว่า “คุณมีเรื่องอะไรหนักใจหรือ ไหนลองบอกซิ บางทีจะมีทางช่วยเหลือได้บ้าง”

แกหันหน้ามาถามผมว่า “พี่หมอ เคยได้ยินชื่อเสียงผู้ใหญ่ในตระกูลของผมบ้างไหมครับ คนที่เคยรู้จักมักจะซุบซิบนินทาในทางที่ไม่ดีนะ”

ข้าพเจ้าผงกศีรษะรับแล้วพูดว่า “เคยได้ยินเหมือนกัน แต่ผมไม่สนใจ”

แกจึงพูดต่อไปว่า “พี่หมอไม่นึกรังเกียจผมบ้างหรือครับ ที่ผมมีญาติที่มีชื่อเสียงไม่ดีประกอบแต่กรรมชั่ว ใครคบค้าก็ทำให้พลอยเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย”

ข้าพเจ้ายิ้ม ปลอบใจแกว่า “มันคนละเรื่อง คนละคน ความประพฤติและจิตใจคนละอย่าง และคุณก็เป็นคนดีไม่ใช่ว่าผมยอคุณนะ โบราณว่ามือเดียวกัน นิ้วไหนร้ายก็ตัดนิ้วนั้นทิ้งเสีย เพื่อนของคุณทุกคนเขาก็ลงความเห็นว่า คุณเป็นคนดีกันทั้งนั้น”

แกค่อยมีหน้ามีตาสดชื่นขึ้นพลางพูดว่า “ขอบคุณครับ ผมได้พยายามสร้างความดี ก็เพราะว่าญาติของผมทำความชั่วไว้มาก อยากจะกู้ชื่อที่เสียให้ดีขึ้น ไม่อยากให้เขานึกว่าพวกตระกูลเดียวกัน จะเป็นคนที่มีจิตใจชั่วเห็นแก่ตัวเหมือนกันหมด อย่างน้อยก็ให้เขารู้ว่ายังมีคนดีอยู่บ้าง”

ข้าพเจ้าออกสงสัยในกิริยาท่าทางเศร้าของแก จึงถามว่า “ทำไมญาติของคุณทำชั่วอะไรหนักหนา จึงทำให้คุณวิตกทุกข์ร้อนนัก ผมต้องขอโทษที่ไม่สมควรจะถามเรื่องส่วนตัว ไม่ต้องตอบผมก็ได้ ถ้าคุณไม่อยากตอบ”

แกมองดูหน้าผมอย่างให้ความคิด แล้วพูดขึ้นอย่างไม่เต็มปากว่า “ขอบคุณมาก ผมไม่มีอะไรจะปิดบังพี่หมอ เพราะผมนับถือและไว้ใจ เรื่องนี้พี่หมอคงจะหาทางออกให้ผมยากสักหน่อย”

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ขอบใจที่คุณไว้ใจผม แต่ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างย่อมจะมีทางแก้ไขได้ หากเราใช้สติปัญญาค่อยๆ คิดมันก็คงมีทางออก ถ้าคุณไม่มีความลับสำหรับผม แล้วผมก็พร้อมที่จะฟังเรื่องของคุณด้วยความสนใจ“

ชายหนุ่มนั่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “เรื่องของผมนี้การแก้ไขมิได้อยู่ที่ตัวผม มันอยู่ที่ผู้ใหญ่ ผมจึงเห็นว่ามันยากมาก ผมไม่เคยพูดให้ใครรู้เรื่องนี้เลย เพราะมันเป็นความไม่ดีในตระกูลของผม ที่วิตกทุกข์ร้อนมาก ก็เพราะความไม่ดีอันนี้จะตกทอดถึงลูกหลานต่อไปซิครับ”

ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามว่า “ใครทำความชั่ว ก็ควรได้รับความชั่ว ใครทำดี ก็ควรได้รับความดี ทำไมจะต้องมาเกี่ยวข้องกับลูกหลานที่ทำความดีแล้วต้องมารับกรรมชั่วสนองด้วยล่ะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจ แล้วพูดอย่างช้าๆ ว่า “พี่หมอคงไม่รู้หรอกว่ากรรมชั่วของผู้อื่น มันต่างกันกับที่ญาติผมสร้าง ญาติคนนี้เป็นญาติผู้ใหญ่และไม่ใช่คนอื่น คุณลุงของผมเอง เป็นพี่ชายของพ่อผมแท้ๆ เมื่อพ่อสิ้นบุญทรัพย์สมบัติก็ตกอยู่กับลุง ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกคนเดียว แต่ความประพฤติของลุงนี่สิครับ ผมรู้สึกอายมาก ผิดกับคุณพ่อผมท่านเป็นคนดีมาก”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “ความชั่วที่ลุงของคุณทำไว้มันหนักหนาถึงขนาดไหน ถึงกับจะติดตามมาสนองกับลูกหลาน”

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพูดว่า “เอาเถอะครับ เรื่องความชั่วนั้นผมจะเล่าให้พี่หมอฟังว่า คุณลุงผมทำอย่างไรจึงมีคนเกลียดชังมาก”


(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2004, 8:31 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คุณลุงมีอาชีพออกเงินให้กู้ รับจำนองที่ดินเรือกสวนไร่นา ตลอดจนรับซื้อขายที่ดินจนมั่งมีมากมาย แต่การรับให้กู้ และจำนองจำนาที่ดินเรือกสวนไร่นานั้น มิได้ทำโดยสุจริตเหมือนผู้มีจิตใจเป็นธรรมทั้งหลาย คุณลุงของผมท่านมีเล่ห์เหลี่ยมกลโกงทุจริตแฝงอยู่ในความโลภ ถือโอกาสเอาเปรียบแก่ผู้ที่โง่เขลาเบาปัญญารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยิ่งพวกบ้านนอกที่ไม่รู้หนังสือ ซึ่งส่วนมากเป็นคนซื่อ คิดว่าทุกคนเป็นคนซื่อเหมือนตัว

เมื่อเจ้าของเงินเป็นผู้มั่งมี บ้านช่องใหญ่โต มีหน้ามีตาคิดว่าเป็นคนดี ไม่รู้ว่าจะมีจิตใจโสมม คนซื่อย่อมเป็นเหยื่อของบุคคลคด เท่าที่ผมรู้มีหลายรายที่ต้องตกเป็นเหยื่อของคุณลุง บางรายจำนองที่ดินไว้เพียง ๕ ชั่ง แต่เมื่อนำเงินมาถ่ายถอนกลายเป็น ๑๐ ชั่ง ผู้จำนำที่ ๒๐ ชั่ง ก็กลายเป็นเงิน ๔๐ ชั่ง

กว่าจะรู้ว่าคุณลุงเป็นคนคดในข้องอในกระดูกก็สายเสียแล้ว ต้องเจ็บช้ำน้ำใจ บางคนร้องไห้เพราะหมดตัว ที่ดินมีราคามาก แต่จำนำไว้เป็นเงินน้อย เพราะไม่อยากเสียดอกเบี้ยมาก และง่ายต่อการถ่ายถอนคืน ทั้งที่ดินเป็นมรดกตกทอดกันมาหลายชั่วคน ได้อาศัยทำมาหากินในที่ดินอันนั้น

แต่เมื่อมารู้มาเห็นจนไม่สามารถนำเงินมาถ่ายถอนคืนได้ ก็เสียใจขอถ่ายถอนคืนเท่าเงินที่จำนองจริงๆ อ้อนวอนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะจิตใจของคุณลุงซึ่งแข็งราวกับหินให้อ่อนลงได้ เพราะคุณลุงตั้งใจจะเอาที่รายนี้ให้ได้ตามความต้องการ ฉะนั้น ท่านจึงไม่สนใจว่าใครจะเดือดร้อน จิตใจของท่านคล้ายมีผีปีศาจผีร้ายเข้าสิง มุ่งแต่จะสูบเลือดเนื้อมนุษย์ด้วยกันอย่างใจเย็น ผู้ที่เจ็บแค้นแสนสาหัสแต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ จึงเกิดความพยาบาทคอยอาฆาตจองเวร

ทีนี้พี่หมอคงเห็นแล้วว่า ความพยาบาทจองเวรเป็นศัตรูที่น่ากลัว เพราะศัตรูคู่จองเวรเหมือนอยู่ในที่มืด เราผู้ถูกปองร้ายอยู่ในที่สว่าง มองไม่เห็นศัตรูในที่มืด แต่ศัตรูมองเห็นเราข้างเดียวตลอดเวลา ความพยาบาทมาดร้ายมันมิใช่หยุดอยู่ที่คุณลุงเพียงคนเดียว แต่มันลุกลามมาถึงลูกหลานในตระกูลเดียวกันด้วย ทั้งๆ ที่ลูกหลานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในความชั่วอันนั้นเลย เรื่องนี้ถ้าผมมีเวลาผมจะเล่าให้พี่หมอฟังว่า ความชั่วนั้นมันมาพัวพันกับลูกหลานได้อย่างไร

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วสลดใจ ทั้งรู้สึกเห็นใจชายหนุ่มผู้นี้มาก ถ้าใครที่มีศีลธรรมมีญาติเช่นนี้ ก็คงมีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจึงถามแกว่า “แล้วทำไมไม่แจ้งให้ผู้รักษากฎหมายทราบแล้วจัดการ ถ้ามีเหตุผลยืนยันเพียง ๒ - ๓ ราย ก็มีหลักฐานเพียงพอแล้ว”

ชายหนุ่มส่ายหน้าช้าๆ แล้วตอบว่า “มันยากครับพี่หมอ คนทุจริตเป็นคนฉลาด มันหาทางหลบเลี่ยง กฎหมายไม่สามารถจะยื่นมือจัดการได้”

ข้าพเจ้าได้ฟังแล้วรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก จึงพูดเป็นเชิงแนะนำว่า “คุณไม่ลองพูดเรื่องมนุษยธรรมกับคุณลุง ขอให้ท่านเห็นแก่ความทุกข์ยากของผู้อื่นบ้าง”

เมื่อข้าพเจ้าพูดแล้ว มองดูรู้สึกว่าหน้าของชายหนุ่มเศร้าลงถนัด เขาพูดว่า “ผมกล้าทำทุกอย่างเพื่อชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล ผมเคยเข้าไปขอร้องหลายครั้งแต่ไม่ได้ผล เพราะคุณลุงไม่ยอมฟัง ครั้งหนึ่งก็มีคนได้รับความเดือดร้อนเข้าไปหาคุณลุง ผมทนที่เห็นเจ้าของที่ดินที่มีอายุแล้วร้องไห้ไม่ไหว จึงขอร้องให้คุณลุงคืนที่ดินผืนนั้นให้พ่อเฒ่าคนนั้นไปเท่ากับราคาจำนองจริง เพราะแกไม่สามารถหาเงินมาเพิ่มหลายเท่าตัวได้ อย่างน้อยก็เพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม เพราะผมรู้สึกว่าคุณลุงกำลังจะสร้างบาปหนักมากยิ่งขึ้น ผมได้พยายามชี้แจงให้เห็นสิ่งผิดชอบชั่วดี ให้ท่านนึกสงสารคนเฒ่าคนแก่บ้าง แต่คุณลุงกลับโกรธผม ตวาดว่า”

“มึงเป็นเด็ก ไม่น่าจะมาสั่งสอนกูซึ่งอาบน้ำร้อนมาก่อน เรื่องบาป บุญ นรก กรรม กูไม่เชื่อ หลอกได้แต่คนโง่ๆ อย่างมึงหลอกคนแก่อย่างกูไม่ได้ สวรรค์ของกูอยู่ที่การมีเงิน มีทรัพย์สมบัติใช้จ่ายได้ตามชอบใจ มีบ้านอยู่อย่างสบาย มีอาหารการกินบริบูรณ์ นึกจะต้องการอะไรก็ได้ตามชอบใจ ส่วนอ้ายพวกที่ไม่มีเงิน ไม่มีบ้านช่องจะอยู่ ไอ้พวกหลักลอยไม่มีจะกิน อ้ายพวกนี้แหละตกนรกละ คิดเสียให้ดี และจำคำพูดของกูไว้ คนอย่างมึงไม่น่าจะเกิดมาเป็นหลานกูเลย มึงเกิดในสวรรค์ยังไม่ชอบ อยากจะไปเกิดในนรก”

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพูดต่อไปว่า “ผมรู้ว่าไม่มีหวังที่จะให้คุณลุงละความชั่วได้ เพราะความชั่วมันติดเป็นสันดานเสียแล้ว ตามธรรมดามนุษย์เราก็ไม่อยากให้ใครสั่งสอน ยิ่งผมซึ่งเป็นหลานของคุณลุง เลยหาว่าผมดูถูก”

ผมจึงตอบคุณลุงไปว่า “ผมรู้ตัวดีว่าผมได้เกิดมาผิดที่ ถ้าผมเลือกที่เกิดได้ ผมจะเลือกเกิดในนรกอย่างคุณลุงว่า ผมคงสบายใจมากกว่านี้มาก ดีกว่าเกิดในสวรรค์จอมปลอมของคุณลุง”

ผมพูดย้อนและโต้เถียงไปหลายคำ ค่อนข้างจะรุนแรง คุณลุงโกรธผมมากตวาดผมว่า “อ้ายคนสันดาน มึงกับกูไม่ควรจะเป็นญาติกัน ออกไปให้พ้นจากบ้านเดียวนี้ อย่าเอาหน้ามึงมาให้กูเห็นอีก”

“ตั้งแต่วันนั้นผมก็รู้ตัวดีว่า ไม่มีอะไรที่จะยับยั้งการกระทำความชั่วของคุณลุงได้”

ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องเศร้าสลดใจอยู่ตลอดเวลา นึกไม่ถึงว่าเมืองไทยนับถือพุทธศาสนาจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น รู้สึกเห็นใจชายหนุ่มผู้มีคุณธรรมสูงนิสัยดีผู้นี้ ที่เข้าใจเรื่องความชั่วและความดี จึงพูดว่า “ทำไมพวกที่ถูกโกงเหล่านั้น ไม่รวมหัวกันจัดการกับคุณลุงของคุณ”

ชายหนุ่มสั่นศีรษะตอบว่า “ไม่สำเร็จหรอกครับ เขาว่าคนมีเงินพูดเสียงดัง มือยาว ตีนยาว คนจนนั้นพูดเสียงไม่ค่อยมีใครได้ยิน มือตีนสั้น นอกจากนั้น ถ้าคุณลุงอยากจะได้ที่ดินที่ไหนซึ่งคิดแล้วว่าต่อไปจะเป็นที่เจริญ และเจ้าของที่ดินก็ไม่ฉลาด ก็จะเดินแต้มใช้ให้คนไปเป็นนายหน้าติดต่อทาบทามขอซื้อ หากว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นไม่ยอมขาย ให้พวกนักเลงหัวไม้คอยก่อกวนความสงบไม่ให้อยู่เป็นสุข มีการขู่เข็ญทำร้ายต่างๆ เมื่อทนไม่ไหวอาศัยอยู่ต่อไปก็ไม่มีความสุข ก็ต้องตกลงจำเป็นขายให้หน้าม้าของคุณลุงด้วยราคาถูกๆ

มิใช่เท่านั้น ถ้าที่ดินของท่านอยู่ติดกับวัด ก็มีหวังที่ท่านจะรุกล้ำถือกรรมสิทธิ์เสียเลย ท่านไม่เคยสะดุ้งสะเทือนบาปกรรมที่กระทำขึ้น เรื่องเหล่านี้ผมยังไม่เคยเล่าให้ใครฟัง เพราะมันเป็นเรื่องของญาติผู้ใหญ่ที่ประกอบกรรมชั่ว เป็นที่น่าอับอายมาก การที่ผมนำมาเล่าให้พี่หมอฟัง ก็เท่ากับสาวไส้ของตัวเองให้ผู้อื่นเห็นของโสมมและของเหม็น แต่สำหรับพี่หมอผมไว้ใจเพราะอย่างน้อยพี่หมอคงเห็นใจผม และผมเองก็จะได้ระบายความรู้สึกที่อัดอยู่ในใจมานานแล้ว ให้มันหายใจสะดวกยิ่งขึ้นบ้าง”

ข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้นก็บอกว่า “ขอบใจมากที่คุณไว้วางใจผม แต่ผมคิดว่าคงมีทางออก ถ้าเราค่อยๆ พิจารณาดูเราก็จะมองเห็นช่องทาง ขอให้ผมมีเวลาสักหน่อย ผมคงคิดหาทางแนะนำชี้แจงได้ แม้จะไม่ได้ผลเต็มที่ แต่ก็คงเบาบางลงบ้าง”

หลังจากวันนั้น ข้าพเจ้าไม่พบชายหนุ่มอีกเป็นเวลาแรมเดือน คิดว่าคงจะไปพักผ่อนหรือไปเที่ยวต่างจังหวัดโดยไม่ได้บอก ข้าพเจ้าจึงไม่ได้ติดใจสงสัย เย็นวันหนึ่งข้าพเจ้ากำลังเล่นบิลเลียดคู่กับเพื่อนอยู่ที่สโมสรอย่างสนุกสนาน ขณะนั้นเรากำลังชิงแดงกันอยู่ ใครตบหลังลงเป็นผู้ชนะ เพราะเราทำแต้มคู่คี่กันมาตลอดเวลา คู่แข่งขันของข้าพเจ้าฝีมือพอกัน กำลังสนุกตื่นเต้น ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ครั้งนี้มีเดิมพันสุราต่างประเทศ โซดาต่างหาก

ทันใดนั้นก็มองเห็นชายหนุ่มขับรถเข้ามาในสโมสร เมื่อหาที่จอดรถเรียบร้อยแล้ว จึงเดินขึ้นมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เมื่อแกเห็นข้าพเจ้าซึ่งคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลา ก็แสดงความดีใจ เดินตรงเข้ามาหา ข้าพเจ้าจึงทักขึ้นว่า

“หมู่นี้ทำไมหายหน้าไป ถ้าจะไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือไปตากอากาศ”

ชายหนุ่มซึ่งมีสีหน้าเศร้าตอบว่า “เปล่าครับพี่หมอ ผมไม่ได้ไปไหน พี่หมอมีเวลาสำหรับผมไหม ผมไม่อยากรบกวนเลยเพราะเห็นพี่หมอกำลังสนุกสนาน แต่ผมมีความจำเป็นจริงๆ”

ข้าพเจ้ามองหน้าชายหนุ่มด้วยความสงสาร แล้วตอบว่า “โอ ! สำหรับคุณผมมีเวลาเสมอ จะให้ทำอะไรบอกมาเลยยินดี”

ชายหนุ่มยิ้มเศร้าๆ ในหน้า แล้วพูดว่า “ผมอยากพูดกับพี่หมอตามลำพัง”

ข้าพเจ้าวางคิวแทงบิลเลียด แล้วหันไปบอกกับคู่แข่งขันว่า “นั่งดื่มเหล้าคอยไปพลางๆ ก่อนนะ ประเดี๋ยวจะมาเล่นต่อ”

ว่าแล้วข้าพเจ้าก็เดินนำหน้าชายหนุ่มออกจากโต๊ะบิลเลียด เมื่อเห็นว่าห่างพอที่ผู้อื่นจะไม่ได้ยินคนสนทนาแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเรื่องว่า “ผมอยากจะรับพี่หมอไปดูไข้ แต่ไม่ทราบว่าพี่หมอจะตกลงหรือ ไม่ ”

ข้าพเจ้าย้อนถามว่า “ทำไมจึงคิดว่าผมจะไม่ไปล่ะ”

ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “เพราะคนป่วยนั้นเป็นคนไม่ดี เป็นคนชั่ว เป็นฆาตกรทางอ้อม”

ข้าพเจ้าปลอบใจว่า “แม้ว่าญาติของผมจะถูกคนไข้ผู้นี้ฆ่าตาย ผมก็จะต้องรักษาเพื่อช่วยชีวิตเอาไว้ เท่าที่สามารถจะช่วยได้ เพราะเป็นหน้าที่ของผมด้วยจรรยาของแพทย์ที่พึงปฏิบัติ ส่วนความชั่วหรือความดีของคนไข้นั้นเป็นคนละส่วน”

ชายหนุ่มได้ฟังก็ถอนใจยาว แล้วพูดว่า “อุดมคติของพี่หมอนั้น ผมขอยกขึ้นเหนือหัวด้วยความเคารพอย่างสูง”

ข้าพเจ้ารีบพูดขึ้นว่า “โปรดอย่ายกย่องผมเลย มันเป็นของธรรมดาสำหรับแพทย์ทั่วไป เอาละ คราวนี้คุณบอกให้รู้ได้หรือยังว่า จะให้ผมไปดูได้ที่ไหน เป็นใคร มีอาการป่วยอย่างไร”

ชายหนุ่มอึกอักอยู่ครู่หนึ่ง จึงโพล่งออกมาว่า “คนป่วยคือคุณลุงของผมเองครับ เป็นโรคอะไรพี่หมอไปดูเอาเองดีกว่า พี่หมอพร้อมจะไปหรือยังครับ ไปรถผม ส่วนรถพี่หมอเอาไว้ที่สโมสรก็แล้วกัน แล้วมาเอาทีหลัง มีอะไรสงสัยก็เอาไว้ถามระหว่างทางเพราะมีเวลาน้อย คนไข้กำลังคอยความช่วยเหลืออยู่”

ข้าพเจ้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “เอา ตกลง อ้อ ประเดี๋ยวต้องไปตกลงกับคู่ต่อสู้เรื่องบิลเลียดก่อน” ตกลงข้าพเจ้ายอมแพ้เมื่อไม่ให้เสียเวลา โดยจัดการจ่ายค่าเหล้าและโซดา แล้วไปเอากระเป๋ายาและเครื่องมือที่รถ ตามชายหนุ่มไปขึ้นรถของเขา

ระหว่างทางข้าพเจ้าได้ซักถามชายหนุ่มถึงอาการคนไข้ ฟังเสียงดูรู้สึกว่า อาการของคนไข้หนักมากเสียแล้ว เคยเปลี่ยนนายแพทย์ที่รักษาไปแล้วถึงสองนาย ทั้งเป็นนายแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคมากกว่าข้าพเจ้า แต่ก็ยังรักษาไม่หาย จึงทำความหนักใจให้แก่ข้าพเจ้าไม่น้อย เพราะข้าพเจ้าไม่ใช่หมอเทวดาหรือว่าวิเศษกว่าหมออื่นๆ กำลังนึกอะไรตามเรื่อง รถยนต์ก็ได้เลี้ยวเข้ามาในเขตบ้านที่ใหญ่โต มีบริเวณกว้างขวาง มองเห็นประตูด้านหน้าตึกปิด มีถนนเลี้ยวรอบตัวตึกใหญ่

แล้วรถก็มาหยุดนิ่งอยู่ที่บันไดขึ้นหลังตึก ยังไม่ทันลงจากรถ พวกคนในบ้านก็วิ่งออกมากระซิบชายหนุ่มสองสามคำ แล้วชายหนุ่มก็ชี้ไปที่หีบกระเป๋าซึ่งอยู่บนเบาะที่นั่งข้างหลัง แล้วก้าวลงจากรถ เดินนำหน้าข้าพเจ้าขึ้นตึก มีคนถือกระเป๋าเครื่องมือเดินตามมาติดๆ เราผ่านห้องมีเครื่องลายครามของเก่ามีทั้งของจีนและของไทย นอกจากนั้นยังมีพระพุทธรูปเก่าแก่ปางต่างๆ อีกจำนวนมาก ข้าพเจ้านึกในใจว่า นี่เห็นจะเป็นห้องที่สะสมของโบราณที่หายากและมีค่ามาก


(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 07 ส.ค. 2004, 8:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่เมื่อเห็นพระพุทธรูปหลายองค์ ไม่ได้ตั้งอยู่ในที่อันสมควรแก่การเคารพสักการะ ใช้เป็นแต่เพียงเครื่องประดับตกแต่งบ้านเท่านั้น นึกเศร้าใจในความเป็นอยู่ของเจ้าของบ้านผู้เป็นลุงของชายหนุ่ม เพราะแกไม่ยอมบูชาอย่างอื่นนอกจากเงินคือพระเจ้าของแก ซึ่งบันดาลสวรรค์ให้แกอยู่อย่างสุขสบาย

ก่อนจะเข้าถึงห้องผู้ป่วย ข้าพเจ้าได้กลิ่นอับๆ สาบๆ ไม่ทราบว่าผู้อื่นจะได้กลิ่นเหมือนข้าพเจ้าหรือไม่ ถ้าเป็นคนโบราณเขาจะว่ามีสาบสางอันเป็นกลิ่นสาบของภูตผีปีศาจ หมายถึงคนไข้ชะตาขาดแน่ ข้าพเจ้าเคยได้ยินหมอโบราณนั้น ก่อนที่จะไปรักษาคนไข้เขาจะต้องนั่งบริกรรมดูก่อน หากมีนิมิตเกิดได้กลิ่นสาบหรือคนที่มาตามหมอมีกลิ่นสางติดมาด้วยแล้วถือว่าเป็นลางร้าย หมอโบราณก็จะเบี่ยงบ่ายไม่ยอมรับรักษา โดยถามวันเดือนปีของคนไข้ ให้ไปหาหมออื่นบ้าง ว่าชะตาคนไข้แรงกว่าผู้เป็นหมอ ฉะนั้นต้องไปหาหมอที่ชะตาแข็งกว่า คนไข้จึงจะรักษาหาย นี่คือทางออกของหมอโบราณที่รู้ว่าคนไข้ที่ตนจะไปรักษานั้นจะถึงจุดจบ

แต่ข้าพเจ้าเป็นหมอปัจจุบันอาศัยวิทยาศาสตร์เป็นหลัก จึงไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็นตัวตน เห็นเป็นสิ่งที่หลงใหลงมงาย แต่ก็มีบางสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะในโลกเรานี้ยังมีสิ่งลึกลับที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้อีกมาก

เมื่อเดินตามชายหนุ่มเข้าไปในห้องคนไข้แล้ว ข้าพเจ้าต้องตกตะลึงห้องนั้นมิใช่เป็นห้องนอนอย่างธรรมดา หากเป็นห้องโถงสำหรับรับแขกเปลี่ยนแปลงเป็นห้องคนเจ็บ แต่สิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าตกตะลึงหาใช่ที่สิ่งนั้นไม่ หากแต่ว่ากลางห้องที่สะอาดสวยงาม แต่ปูด้วยกระสอบป่านซ้อนกันหลายชั้น กว้างขนาดเท่าที่นอนธรรมดา มีเศษผงดินโรยข้างบน เอาน้ำราดให้เปียกเป็นที่นอนประหลาด

มีร่างคนป่วยผอมซีดตัวมอมแมมนอนเกลือกกลิ้งอยู่กลาง เป็นภาพที่พิสดารและน่าทุเรศที่สุด เพียงเอากระสอบป่านปูนอนก็แปลกอยู่แล้ว ยังเอาดินมาโรย เอาน้ำมาราดให้เป็นโคลนตมสกปรก ซ้ำมีคนไข้ที่ป่วยอาการหนัก นอนหายใจระรวยปากแห้งตาฝ้ามัวเพราะพิษไข้สูง เพ้อออกมาอย่างไม่ได้สติ นอกจากนั้นยังมีหญิงชายอีกประมาณ ๗ - ๘ คนนั่งมองดูคนไข้อยู่ห่างๆ ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นหมอมายังไม่เคยประสบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย


ข้าพเจ้าจึงเรียกชายหนุ่มมากระซิบถามอย่างไม่พอใจว่า “ทำไมถึงได้ทำกับคนไข้ด้วยสภาพเช่นนี้ แล้วพวกที่ดูก็เห็นเป็นของธรรมดา อย่าว่าแต่จะให้คนป่วยหนักนอนเช่นนี้เลย แม้คนไข้ที่เป็นน้อยๆ ให้นอนในสภาพเช่นนี้ ก็ต้องกลายเป็นไข้หนักได้ หรือแม้แต่คนธรรมดาที่แข็งแรงให้นอนในสภาพเช่นนี้ ก็คงไม่พ้นเสียสติแน่ นี่เข้าใจว่าคงเป็นหมอทางไสยศาสตร์แนะนำให้นอนเช่นนี้ แล้วคงรดน้ำมนต์สาดไล่ผีไล่สางกันละสิ ช่างงมงายกันจริงๆ”

ข้าพเจ้ายิ่งพูดก็ยิ่งแสดงความไม่พอใจมากขึ้น เพราะมันเป็นการทรมานคนไข้อย่างที่สุด แต่ข้าพเจ้ากลับเข้าใจผิดถนัด เมื่อชายหนุ่มซึ่งเห็นข้าพเจ้าไม่พอใจกล่าวคำรุนแรงออกมาเช่นนั้น ก็หน้าสลด แต่เป็นผู้มีใจเย็นนิ่งฟังจนข้าพเจ้าพูดอย่างไม่พอใจจบลง แกจึงอธิบายว่า

“ขอโทษเถิดพี่หมอ โปรดฟังผมก่อน เรื่องคนป่วยที่นอนอยู่ในสภาพเช่นนี้ ก็เพราะเป็นความประสงค์ของคนไข้เอง คนป่วยเป็นผู้ร้องขอให้พาออกไปนอกบ้าน หาที่ดินที่มีน้ำแฉะๆ ให้นอนบอกว่า มันร้อนรุ่มอยู่ในใจทนไม่ไหวจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทุรนทุรายตลอดเวลา ทรมานเหมือนถูกเอาขึ้นย่างบนกองไฟ แม้จะปลอบโยนเท่าไรก็ไม่ยอมทั้งสิ้น จะออกไปนอนกลางดินท่าเดียว เมื่อไม่มีใครเอาใจใส่ ก็ตะโกนด่าออกมาอย่างหยาบๆ ร้องบอกว่า ทนไม่ไหวอยู่ไม่ได้ เร่งให้พาออกไปเร็ว ถ้าไม่มีใครพาไปก็จะคลานออกไปเอง เมื่อเราเห็นเข้าก็สงสาร จะตามใจก็ไม่ได้ เพราะการที่จะนำคนไข้ไปนอนกลางดิน ใครๆ จะหาว่าเป็นบ้า ทำทารุณคนไข้ แต่ว่าไม่ตามใจก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเป็นการทรมานจิตใจคนไข้ ผมเองก็ได้ทราบจะทำอย่างไรดี จึงไปถามหลวงพ่อที่วัด ท่านก็ได้แนะนำให้จัดการสร้างแผ่นดินเทียมขึ้นในห้องรับแขก ดังที่พี่หมอเห็นนี่แหละ ทีแรกก็ยังไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่เมื่อนำคนป่วยมานอนก็รู้ดีว่าค่อยสงบลงได้บ้าง ค่อยเบาใจลง”

ข้าพเจ้าได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนั้นก็ตะลึงงันไป นึกปลงอนิจจังด้วยหลงเข้าใจตามอารมณ์ตัวเองนึกว่าถูก นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมีเรื่องแปลกประหลาดชนิดนี้เกิดขึ้น ข้าพเจ้าจึงขอโทษที่เข้าใจผิดไป และอารมณ์ออกจะรุนแรงไปหน่อย เมื่อได้มาเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงให้เอาน้ำอุ่นๆ มาเช็ดตัวคนไข้ให้สะอาด โดยวิธีละมุนละม่อมที่สุด เพื่อมิให้คนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนมากเกินไป แล้วจัดหาที่นอนที่สะอาดเรียบร้อยมาเปลี่ยนให้คนไข้นอน ข้าพเจ้ายังไม่ทันจะชี้แจงจบ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงกลางคนซึ่งอยู่ในที่นั้นร้องค้านขึ้นว่า

“ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะคุณหมอ ท่านไม่ยอมเด็ดขาด ถ้าจะให้ท่านนอนดีกว่านี้คงอาละวาดใหญ่ กรุณาปล่อยให้สงบ ปล่อยให้ท่านนอนอย่างที่ท่านต้องการนี่แหละค่ะ มิฉะนั้น จะยุ่งกันทั้งบ้านตลอดคืน”

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องนิ่งอึ้งไป นึกอยู่สักครู่หนึ่งว่าจะทำอย่างไรดี แต่เมื่อได้ยินประวัติผู้เป็นลุงของชายหนุ่มผู้เป็นหลานว่า คนไข้ได้สร้างกรรมชั่วมามากมาย เพื่อนำเงินไม่สุจริตมาบำรุงความสุขสบายของตัวเอง ถือว่านั่นแหละคือสวรรค์ ข้าพเจ้าจึงเล็งเห็นว่าเราจะเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาจัดการก็คงจะไม่ได้ผล แม้ว่าจะไม่เชื่อว่ากรรมตามสนอง แต่เราก็ควรคิดถึงเหตุผลที่เกิดขึ้นกับชายผู้นี้ว่าเป็นไปตามกรรมชั่ว ซึ่งทางวิทยาศาสตร์หาเหตุผลไม่ได้ เมื่อนึกได้เช่นนั้นจิตใจที่ตื่นเต้นก็ค่อยสงบลง

เมื่อจิตใจเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ข้าพเจ้าก็ขอร้องให้ชายหนุ่มเอาผ้ายางปูไว้ให้แกนอนตามสภาพเดิมใหม่ เพราะเวลานี้แกไม่รู้สึกตัว ไม่ช้าชายหนุ่มได้จัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง แล้วข้าพเจ้าก็ลงมือตรวจคนไข้ทันที ช่างแปลกประหลาดที่ไข้หนักขนาดนี้ พิษไข้ขึ้นสูงซ้ำนอนในที่ชื้นแฉะเช่นนี้ คนป่วยธรรมดาเห็นจะทนอยู่ไม่ไหว แต่นี่แกหนักเกินขีดตายอย่างธรรมดา ข้าพเจ้ารู้ดีว่าไม่สามารถช่วยชีวิตคนป่วยรายนี้ไว้ได้อีกนาน จึงหันไปพูดกับชายหนุ่มซึ่งเป็นหลานของคนไข้ว่า

“อาการคุณลุงของคุณหนักมาก ผมคิดว่าควรรีบส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดจะดีกว่า ไม่สมควรจะทิ้งอยู่กับบ้านเช่นนี้ ถ้าไปโรงพยาบาลยังพอมีทางรักษาบ้าง ถ้าอยู่อย่างนี้จะเป็นการเสี่ยงมากเกินไป”

ชายหนุ่มหน้าเศร้าถอนหายใจยาว เมื่อได้ฟังความเห็นของข้าพเจ้าและได้พูดขึ้นว่า “ผมก็มีความเห็นอย่างที่พี่หมอบอกเหมือนกัน ตั้งแต่ท่านเริ่มป่วยแล้ว หมออื่นๆ ก็แนะนำอย่างนี้ แต่คุณลุงท่านไม่ยอมไปอย่างเด็ดขาด ซ้ำแช่งด่าถ้าใครจะเอาท่านไปโรงพยาบาล ทั้งนี้เพราะท่านเป็นห่วงทรัพย์สมบัติในบ้านมากกว่าห่วงตัวเอง ผมเองก็จนปัญญาเห็นจะต้องปล่อยไว้ที่บ้านนี่แหละครับ ตามแต่บุญแต่กรรมเพราะใจของท่านยังนึกว่าไม่ตายแน่”

ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าจะแนะนำอย่างไรให้ดีกว่านี้ ได้แต่ตรวจและจัดการให้ยาที่เห็นว่าสมควรแก่สภาพของไข้ ฉีดยาพอประทังชีวิตไว้ คิดว่าหากจะมีสิ่งใดปาฏิหาริย์ก็อาจทำให้ไข้หายได้ เมื่อจัดการให้ยาคนไข้แล้ว ชายหนุ่มได้เชิญให้ข้าพเจ้าไปในห้องอาหารซึ่งได้จัดเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเราออกจากสโมสรเวลาเย็น อาหารหนักยังไม่มีรองท้อง นอกจากน้ำโซดากับเหล้าเท่านั้น

ข้าพเจ้าเดินตามแกเข้าไปนั่งที่โต๊ะอาหารซึ่งจัดเฉพาะ ๒ ที่ ชายหนุ่มสั่งให้เด็กที่คอยรับใช้ออกไปจากห้อง ไม่ต้องคอยปรนนิบัติ เรามีโอกาสอยู่ตามลำพัง สนทนาซักถามเมื่อมีอะไรสงสัย ข้าพเจ้าได้แจ้งถึงอาการของคนไข้ว่าหนักเกินกว่าที่แพทย์คนใดจะรักษาให้หายได้ ชายหนุ่มมีอาการเศร้าโศกอยู่ในหน้า ข้าพเจ้าซักถามเรื่องราวต่างๆ ของเขากับผู้เป็นลุง เพื่อประกอบเหตุผลนำมาเล่าสู่กันฟัง ข้าพเจ้ายังสงสัยว่า หากข้าพเจ้าไม่ได้เป็นหมอก็คงไม่มีโอกาสได้รู้เรื่องประหลาดของครอบครัวนี้ได้อย่างละเอียด เพราะเท่าที่สังเกตดูเหมือนว่า ไม่มีคนภายนอกที่รู้ว่าเจ้าของบ้านป่วยหนักอยู่ในบ้าน และข้าพเจ้าคิดว่า ท่านเจ้าของบ้านคงไม่เป็นที่เคารพรักใคร่นับถือของคนทั่วไปนัก จึงไม่มีใครสนใจจะมาเยี่ยมได้ หรือมิฉะนั้นคงจะปิดให้รู้แต่คนในบ้านและญาติไม่กี่คน นอกนั้นก็มีแพทย์และผู้รักษาพยาบาล

ถ้าสังเกตดูภายนอกจะเห็นว่าบ้านปิดเงียบ เหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรแปลกกว่าธรมดา ระหว่างรับประทานอาหาร ข้าพเจ้าถามชายหนุ่มว่า “คุณกับคุณลุงมีปากเสียงกันจนคุณถูกห้ามไม่ให้เข้าบ้านไม่ใช่หรือ”

ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วตอบว่า “เรามีการถกเถียงกันหลายครั้ง คุณลุงโกรธขึ้นมาเป็นไฟทุกที และไล่ผมไม่ให้เข้าบ้านทุกครั้ง แต่ผมไม่ได้โกรธตอบ ปล่อยให้คุณลุงโกรธไปข้างเดียว ไม่นานคุณลุงก็หายโกรธให้คนไปตามผมมาอีก เกือบจะเป็นธรรมดาในเรื่องถกเถียงไม่ลงรอยกัน แต่ครั้งหลังนี้ผมเกิดโต้เถียงกับคุณลุงรุนแรงกว่าธรรมดาทุกครั้ง เหตุการณ์ก็คล้ายกับครั้งที่ผมเล่าให้พี่หมอฟังมาแล้วนั่นแหละ เจ้าของนานำเงินมาไถ่ถอนที่นาที่เกินเวลาไปตามสัญญา คุณลุงไม่ยอมให้ไถ่ถอนคืน

เจ้าของที่ดินเป็นคนธรรมะธัมโมทั้งเป็นคนซื่อ ที่ได้พยายามอ้อนวอนที่ล่าช้าก็เที่ยววิ่งหาเงิน ขอให้เห็นความทุกข์ยากต่างๆ ว่า ถ้าไม่ได้ที่นาคืนไปลูกหลานจะแตกแยกกระจายเหมือนแพแตก เพราะไม่มีผืนดินจะอยู่ จะไปหาที่ใหม่ก็ไม่มีเงิน จึงขอความเห็นอกเห็นใจจากคุณลุง แต่ท่านไม่เคยใจอ่อน ไม่เคยสงสารใครมาก่อน แม้เจ้าของที่นาจะพาลูกหลานทั้งชายและหญิงมาให้เห็นสภาพของความยากแค้น เพื่อให้เกิดความสงสารเด็กตาดำๆ แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะจิตใจอันแข็งกระด้างของคุณลุงได้”

ผมได้ทราบว่าคุณลุงได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมหลบหลีกเพื่อจะครอบครองที่นาผืนนี้ หลังจากที่เจ้าของนากลับไปด้วยความผิดหวังแล้ว ผมทนดูคนได้รับทุกข์เพราะคุณลุงอีกต่อไปไม่ไหว ครั้งนี้ขอให้พูดแตกหักกันเลย จึงเข้าไปอ้อนวอนก่อน อ้างเหตุผลและศีลธรรมให้ท่านเกิดความสงสารเมตตา แต่ท่านกลับด่าว่าผมว่าเข้าข้างคนอื่น จะตัดญาติขาดลุงหลาน ท่านโกรธผมมาก ผมรับว่าวันนั้นผมรู้สึกไม่พอใจมากคิดว่าคราวนี้คงถึงที่สุด จึงกล่าวคำรุนแรงออกไปว่า

“คุณลุงมีจิตใจไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดา มีใจเหี้ยมโหดขาดความเมตตาสงสาร ผมอายเหลือเกินที่เป็นหลาน”

คุณลุงตอบด้วยความโกรธจัดว่า “กูจะไม่ยอมยกสมบัติให้แกแม้แต่สตางค์แดงเดียวจำเอาไว้”

ผมตอบคุณลุงไปว่า “ถ้าผมไม่ได้รับมรดกจากคุณลุงก็นับว่าเป็นบุญมาก และเป็นความพอใจของผมด้วย เพราะทรัพย์สินของคุณลุงได้มาโดยไม่บริสุทธิ์ ต้องทำลายความสุขเลือดเนื้อชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ผมขอเตือนด้วยหวังดี ระวังสวรรค์ของคุณลุงจะพังลงมากลายเป็นนรก ผมไม่ต้องการทรัพย์สมบัติ แม้ผมจะมีสิทธิ์ได้ในส่วนของผม ผมกลัวกรรมจะตามสนองภายหลัง”

พอผมพูดยังไม่ทันจบ คุณลุงโกรธจนตัวสั่น ตะโกนด่าเสียงสั่นว่า “กูกับมึงขาดญาติขาดเป็นลุงหลานกันแต่วันนี้ อ้ายคนจัญไรออกจากบ้านกูเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องมาให้กูเห็นหน้ามึงอีกต่อไป กูจะตายมึงก็ไม่ต้องมาดูผี”


(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:09 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

วันนั้นผมนึกในใจว่า คราวนี้สิ้นสุดกันเสียที คุณลุงคงจะตัดเราขาดแน่เพราะไม่เคยโกรธมากเช่นนี้มาก่อน แต่สบายใจดีเหมือนกันที่ได้พูดความจริงที่อัดอยู่ในใจมานานแล้ว ทำให้คนในบ้านหลายคนรวมทั้งภรรยาเล็กๆ ของคุณลุงสบายใจขึ้น เพราะเขารู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริงและรักษาคำพูด และผมก็เป็นคนมีสิทธิในทรัพย์สมบัติของคุณลุงในส่วนที่เป็นของบิดาผม แต่ผมเองก็มีความพอใจในความเป็นอยู่ของผม แม้จะไม่มีเงินมากมาย แต่ก็มีพอใช้ไม่เดือดร้อนอะไร ผมตั้งใจไว้แล้วว่าไม่ต้องการสมบัติของคุณลุง แม้ว่าผมควรจะได้ในส่วนของบิดาผมก็ตาม เพื่อความสบายใจไม่ต้องคอยนั่งวิตกกังวล

ผิดกับคุณลุงที่มั่งมีมากมายที่ได้มาจากความทุจริต ทั้งที่ดินเงินทองทรัพย์ต่างๆ ใช้ไม่หมดชั่วชีวิตนี้ แต่ท่านก็ยังไม่สำนึกตัวรู้จักอิ่ม โลภไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้คุณลุงหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ท่านรู้ดีว่าได้ทำกรรมชั่วไว้มาก มีคนคอยจองล้างแค้นคอยติดตามที่จะทำร้ายด้วยความเจ็บใจ ท่านต้องคอยระวังตัว จิตใจก็ไม่สงบหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แต่คุณลุงเป็นคนถือทิฐิ จึงปกปิดความไม่สงบภายในใจไว้ไม่ให้ใครล่วงรู้ โดยเฉพาะผมผู้เป็นหลานชาย เพราะคุณลุงเคยพูดว่า

“การมีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติ ต้องการสิ่งใดก็หาได้นั้นคือสวรรค์ของท่าน”

เมื่อมองดูภายนอกก็ดูเหมือนว่าจะมีความสุขจริงเพราะอยู่อย่างเศรษฐี แต่ภายในจิตใจคือนรก ความสุขมันเป็นแต่เพียงความนึกฝันเท่านั้น ความจริงความชั่วมันคอยหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ความกลัวตายจากการถูกลอบปองร้าย ทำให้คุณลุงคอยระวังตัวอยู่เสมอไม่ประมาท แอบสั่งชื้อเสื้อเกราะอ่อนกันกระสุนมาใส่ไว้ข้างใน เอาเสื้อใส่ทับไว้ข้างนอกตลอดเวลา ใช้คนขับรถที่ร่างกายแข็งแรง เป็นมวย เป็นกระบี่กระบอง ยิงปืนเก่ง มาเป็นทั้งผู้ขับรถและผู้คุ้มกัน

ตามปกติคุณลุงไม่ใคร่จะออกจากบ้านไปไหน นอกจากจำเป็นจริงๆ เท่านั้น เพราะกลัวจะถูกลอบทำร้าย สำหรับครอบครัวของคนขับรถ ก็ให้เข้ามาอยู่ในบ้านทั้งหมด และได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่เป็นอย่างดีเป็นการเอาใจ เพื่อป้องกันการหักหลังหรือทรยศ พี่หมอก็เห็นว่าคุณลุงหาความสุขไม่ได้ผิดกับคนธรรมดาที่บริสุทธิ์

ข้าพเจ้าจึงพูดว่า “ผมเห็นด้วยกับคุณ จริงอย่างที่คุณว่า ภายนอกเห็นว่ามีความสุข คือมีบ้านใหญ่โตอยู่ มีของใช้ทุกอย่างล้วนราคาสูงอย่างดี แต่ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความทุกข์ ความกังวล ความหวาดกลัว ถ้าจะพูดให้ตรงก็คือ ข้างนอกเป็นไปตามความเข้าใจของท่าน แต่ภายในจิตใจไม่มีความสุขคือนรกอย่างคุณว่า”

ชายหนุ่มยิ้มเศร้าๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณที่พี่หมอมีความเห็นตรงกับผมในข้อนี้”

ข้าพเจ้าจึงถามว่า “คุณลุงไล่คุณออกจากบ้านครั้งนั้น โกรธมากถึงกับตัดเป็นตัดตาย แล้วยังไงคุณจึงเข้ามาอยู่บ้านอีกละ”

ชายหนุ่มตอบว่า “คุณลุงโกรธผมมากกว่าทุกครั้ง แต่ผมก็ไม่เคยโกรธตอบท่าน เพราะท่านเป็นญาติผู้ใหญ่ แต่การที่จะทำให้คุณลุงหายโกรธนั้นยังมองไม่เห็นและคิดว่าไม่มีหวัง ต่อมาผมก็ได้ทราบว่า ก่อนที่คุณลุงจะป่วย คืนหนึ่งนั้นท่านนอนหลับแล้วฝันเห็น คนแก่เคยถูกท่านโกงหลายคนที่ตายไปแล้ว ต่างมารุมชี้นิ้วด่าท่านด้วยท่าทางดุร้ายโกรธแค้นมาก กล่าวหาว่าท่านโกงที่ดินไร่นา ทั้งกล่าวคำอาฆาตไว้ว่า ถึงเวลาแล้วที่จะคิดบัญชีเอาชีวิตไปให้ได้ แล้วต่างก็ดาหน้ากันเข้ามาทำท่าจะทำร้าย บางคนจะมาฉีกเนื้อ ฉีกขน ฉีกขา บางคนเอื้อมมือจะมาบีบคอให้ตายคามือ

ท่านเล่าว่าท่านกลัวจนตัวสั่น จะตะโกนให้คนช่วยก็ร้องไม่ออก จะร้องขอชีวิตอย่างไร พวกนั้นก็ไม่ยอมฟังเสียง พยายามทำท่าจะเข้าทำร้ายให้ได้ ท่านต้องคอยหลบ ที่สุดกำลังจะถูกบีบคอ ในฝันนั้นว่าพอดีผมเดินเข้าไปในห้องที่ท่านนอนได้ทันเวลา ท่านจึงร้องเรียกให้ช่วย ในฝันท่านบอกว่าผมก็ร้องห้ามพวกเหล่านั้นไว้ บอกว่าอย่าทำอันตรายคุณลุงเลยปล่อยให้กรรมตามสนองดีกว่า พวกเหล่านั้นก็ยอมหยุดเชื่อฟังผมห้ามโดยดี แต่ก็ตวาดคุณลุงว่า ที่นี่เป็นเคราะห์ดีของแกที่มีคนดีมาห้าม มิฉะนั้นแกจะต้องใช้หนี้กรรมวันนี้”


แต่ก็แปลกประหลาดอัศจรรย์ คือ คืนเดียวกันนั้นบังเอิญผมก็ฝันว่าได้ยินเสียงคุณลุงร้องเรียกให้ช่วย ตามที่คุณลุงเล่าให้ฟังทุกอย่างทุกประการ แล้วคุณลุงก็ตกใจตื่น ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความฝัน ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาคุณลุงก็มีแต่ความหวาดกลัวมาก ขวัญเสียจนแทบเสียสติประสาท ปั่นป่วน และเริ่มป่วยเป็นไข้เรื่อยมา

ท่านคงรู้สึกตัวดีจึงรีบให้คนไปตามตัวผม ขอร้องอ้อนวอนให้ผมมานอนเป็นเพื่อนอยู่ด้วยตั้งแต่วันนั้น ต่อมาท่านก็บอกผมว่า พอหลับตาทีไร ก็เห็นแต่พวกอมนุษย์มาทวงที่ดินบ้าง มาทวงเงินทองบ้าง อมนุษย์เหล่านี้มีท่าทางโกรธแค้นและดุร้าย พูดจาขู่เข็ญคุกคามจะเอาชีวิต แต่ก็ไม่เข้ามาทำร้ายเหมือนวันแรก

คุณลุงกลัวจนบอกว่าไม่อยากนอนไม่อยากหลับ เพราะหลับตาทีไรก็เห็นอมนุษย์มายืนชี้หน้าตลอดเวลา แต่ก็จำเป็นต้องทนเพราะไม่มีแรงลุกหนีไปไหนได้ แม้จะหลบหนีไปก็คงไม่พ้นจากพวกอมนุษย์ไปได้ คุณลุงบอกว่าตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ยังไม่เคยกลัวอะไรมากจนใจเสียจะเป็นบ้าเช่นนี้เลย บางครั้งก็ตะโกนโวยวายกลางดึกก็มี ท่านขอให้ผมอยู่ข้างๆ ท่าน และผมก็ใช้เวลาว่างที่มีอยู่ทั้งหมดมาอยู่เป็นเพื่อนท่าน นอกจากเวลาที่มีงานจำเป็นเท่านั้น

อาการไข้ของคุณลุงหนักลงทุกวัน ไม่มีท่าว่าจะเบาลงเลย มีบางเวลาที่สร่างไข้ได้สติพูดจารู้เรื่อง แต่ไม่ช้าพิษไข้ก็สูงอีก มีอาการหายใจหอบถี่ บางครั้งต้องอ้าปากหายใจ ความเจ็บปวดและหวาดกลัว ผมเห็นท่านทรมานแล้วอดสงสารไม่ได้

แม้ว่าจะได้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญมารักษาพยาบาล แต่ก็ไม่ทำให้อาการดีขึ้น ฉะนั้นจึงต้องเปลี่ยนหมอถึงสองคน แล้วพี่หมอเป็นคนที่สาม บางครั้งท่านมีสติดีสร่างพิษไข้ ท่านก็เล่าถึงความรู้สึกความทรมานในพิษไข้ครั้งนี้ คุณลุงบอกว่าไม่รู้จะบอกอย่างไรจึงจะตรงกับความรู้สึกที่เป็นอยู่ เวลาพิษไข้ขึ้นนั้นมันร้อนแทบจะเผาตัวไหม้เป็นผง หายใจหอบเหนื่อยแทบจะขาดใจ เวลาหนาวก็หนาวจับใจปวดกระดูกแทบจะแตก หัวแทบจะระเบิด

ถ้าจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง ก็คล้ายกับมียักษ์ใหญ่จับข้อเท้าท่านไว้ทั้งสองข้าง เอาศีรษะห้อยลง ยกขึ้นสูงแล้วเอาศีรษะจุ่มลงไปในน้ำเดือดๆ ครึ่งตัว น้ำร้อนเข้าปากเข้าจมูกปวดแสบปวดร้อน หูอื้อไม่ได้ยินอะไร แสบตาจนลืมไม่ขึ้น หายใจไม่ออก เหนื่อยแทบขาดใจ หัวใจเหมือนกับจะหยุดเต้นอยู่แล้ว ก็รู้สึกเหมือนกับเจ้ายักษ์ใหญ่มันแกล้งทรมานยกขาขึ้นให้หัวพ้นน้ำ ได้มีโอกาสเริ่มสูดลมหายใจเข้าไปอีกครั้งหนึ่งพอรอดตาย หัวใจเริ่มเต้นพอมีกำลังขึ้นบ้าง แล้วมันก็ยกขาลงจุ่มหัวลงไปในน้ำอีก แต่คราวนี้เป็นน้ำเย็นจัดซึ่งสำลักเข้าปากเข้าจมูกจนหายใจไม่ออก หูอื้อ สั่นเพราะหนาวจับใจจับกระดูกเข้าไปถึงข้างใน หนาวจนทนไม่ไหว อยากจะให้เอาตัวขึ้นไปย่างบนกองไฟให้หายหนาว แล้วเจ้ายักษ์ก็ยกขาให้หัวพ้นน้ำ มีโอกาสหายใจให้มีชีวิตรอดขึ้นมาอีก มันสลับอย่างนี้อยู่เสมอ แล้วมันปล่อยให้มีสติเป็นบางเวลา

ลุงขอโทษที่ไม่เชื่อหลาน กรรมจึงตามสนอง เมื่อคุณลุงเล่าให้ฟังแล้วผมรู้สึกสงสารท่านมาก เรื่องที่ท่านเล่าและเปรียบเทียบให้ฟังนี้ พี่หมอรู้สึกว่าเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมคุณลุงถึงพบกับสภาพเช่นนี้ มันเป็นการทรมานจิตใจอย่างแสนสาหัส ผมไม่เคยได้พบหรือได้ยินมาก่อนเลย พี่หมอพอจะช่วยอธิบายให้ผมทราบบ้างได้ไหม”

ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตอบออกไปว่า “ผมเองก็เพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการแพทย์ รักษาไข้ได้ไม่กี่ปี นับว่ายังใหม่ยังไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์ของคนไข้ มีอาการแปลกเช่นนี้มาก่อน ฉะนั้นจะชี้แจงอะไรให้แจ่มแจ้งไม่ได้ ปัจจุบันนี้เป็นสมัยวิทยาศาสตร์ไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ หากมีสิ่งใดสงสัยก็ต้องพิสูจน์ช้าๆ ซ้ำๆ กันหลายครั้งหลายหนให้แน่ใจเสียก่อนจึงจะเชื่อ สำหรับผมเป็นผู้ที่ไม่เชื่อในเรื่องภูตผีปีศาจที่พิสูจน์ไม่ได้ การที่คุณลุงฝันเห็นพวกอมนุษย์เข้ามาทำร้ายก็ดี มาทวงหนี้สินก็ดี ตามความเห็นของผมคิดว่า เป็นอุปาทานเนื่องมาจากรู้ตัวว่าทำความชั่วไว้มาก จึงทำให้เกิดภาพมายาขึ้นในจิตใต้สำนึก เพราะตลอดเวลาที่คุณลุงได้ปฏิบัติมา จะรู้สึกผิดชอบก็คราวนี้

ทรัพย์สมบัติที่ท่านได้มาด้วยการนำความเดือดร้อนมาสู่คนอื่นนั้นคือ กิเลสตัณหาที่ทำให้เกิดความโลภในทางผิด ซึ่งเข้าครอบงำจิตใจตลอดเวลา เรื่องนี้ท่านรู้ผิดเมื่อสายเกินแก้ การที่คุณผู้เป็นหลานไปทักท้วงตักเตือน แม้ท่านจะรู้ว่าคุณผู้เป็นฝ่ายถูก แต่ด้วยทิฐิมานะในทางที่ผิดเพราะถือดี ไม่พอใจที่คุณมาอวดดีตักเตือนสั่งสอนท่าน ท่านมีความหยิ่งในตัว ความเป็นผู้ใหญ่ และฐานะที่เป็นลุงของคุณ

แทนที่ท่านจะมองเห็นความหวังดีของคุณ แต่เนื่องจากคุณพูดตรงเกินไปท่านจึงโกรธอยากลองดีกับคุณ โดยมุทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่คุณตักเตือน หากว่าคุณใช้อุบายตักเตือนโดยทางอ้อมโดยท่านไม่รู้ตัว และมีเหตุผลพอที่จะทำให้ท่านรู้สึกผิดชอบชั่วดีขึ้นเองโดยท่านไม่รู้ดีว่าเป็นการเตือน สิ่งที่เกิดขึ้นเองย่อมจะได้ผลดี

บางคนทำชั่วเมื่อมีผู้ตักเตือนด้วยความหวังดีกลับโกรธ พยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้ามด้วยความอวดดีและเพื่อลองดีหนักขึ้น คนเราที่ชั่วมันนึกไปเสียว่า ไหนๆ ก็ทำชั่วไปแล้ว ทำต่อไปมันก็ไม่แปลกอะไร ไม่นึกว่าเมื่อรู้ตัวว่าทำชั่วแล้วรีบถอนตัวออกจากความชั่ว ตั้งหน้าสร้างความดีจะได้ชื่อว่า ต้นร้ายปลายดี ยังมีผู้เคารพนับถือ

หากปล่อยตัวเลยตามเลยไม่ถอนตัวออกตั้งแต่เริ่มต้น ปล่อยให้ความชั่วเกาะกินลึกเข้าไปทุกทีแล้วก็ไม่สามารถจะถอนตัวได้ เวลาที่คุณลุงยังแข็งแรง ท่านก็สามารถควบคุมจิตใจไว้ได้ เมื่อมีความเจ็บไข้เกิดขึ้น ความหวาดกลัวในเรื่องบาปกรรมทำชั่วเป็นอัตโนมัติ ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดอุปาทานขึ้นตามความรู้สึกที่แฝงอยู่ในจิตใจ

เหมือนคนกลัวผี เมื่อมองไปในที่มืดๆ เห็นกิ่งไม้ใบไม้ถูกลมพัดไหว จิตใจซึ่งหวาดกลัวอยู่แล้วก็คุมสติประสาทไม่อยู่ จึงมองเห็นเป็นผี ความจริงไม่มีผีสางอะไรเลย นี้เพราะจิตหวาดกลัวจึงเกิดอุปาทานหลอกความรู้สึก ฉะนั้นคนที่ไม่มีความกลัวอย่างงมงาย มีสติ ไม่ประมาทไม่ประกอบกรรมชั่วจึงไม่ประสบกับความรู้สึกอย่างนี้ เพราะมีศีลธรรมไม่ทำให้ใครเดือดร้อนฉิบหาย ประกอบกรรมดีมีความบริสุทธิ์ ประกอบด้วยผลบุญกุศลทานมีจิตใจเมตตากรุณา ย่อมนึกแต่สิ่งที่ดีที่ชอบ ประสบแต่สิ่งที่เป็นมงคล แม้จะฝันก็ฝันเห็นแต่สิ่งที่ดี

อันบุคคลใดที่ประกอบกรรมทำชั่วหรือดี ไม่มีผู้ใดจะรู้ดีกว่าตัวของตัวเอง เพราะมันฝังอยู่ในส่วนลึกของความรู้สึก เช่นคำโบราณที่ว่า “สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ” ในทางพุทธศาสนาเห็นจะตรงกับคำว่ากฎแห่งกรรม ผู้ใดทำกรรมดีหรือกรรมชั่วย่อมหนีไม่พ้น ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะได้ยินได้ฟังมาจากบุรพาจารย์ เห็นว่าตรงกับเรื่องของคุณลุง แต่จะถูกต้องกับความจริงหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ เพราะเป็นความเห็นของผมคนเดียว แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด”


(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ชายหนุ่มนิ่งฟังข้าพเจ้าอย่างสนใจ เขาคิดอยู่สักครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า “ที่พี่หมอพูดมาก็มีเหตุผลน่าฟัง น่าคิดมาก ต้องนึกว่าอาจมีส่วนถูกและส่วนผิดบ้างเหมือนกัน เช่นเหตุใดคุณลุงจึงอยากนอนที่ดินที่มีน้ำชื้นแฉะ ทั้งๆ ที่มีห้องนอนอย่างสบาย ข้อนี้ผมไม่อยากจะรบกวนขอความคิดคำตอบจากพี่หมอ เพราะพี่หมอพูดตามหลักวิทยาศาสตร์ อยากจะคิดเอาเองว่า นี่คือกรรมตามสนอง ที่ท่านก่อกรรมทำให้คนอื่นไม่มีที่อยู่อาศัยต้องได้รับความลำบาก

ที่ผมเล่ามาแล้วว่า บางคืนบ่อยครั้งที่คุณลุงร้องโวยวายขึ้นกลางดึก บอกว่าอยู่ไม่ได้แล้ว มีคนจะมาฉุดเอาตัวไป พูดเพ้อเจ้อชี้มือไปทางโน้นทางนี้ เรียกชื่อคนโน้นคนนี้ ล้วนแต่ที่ตายไปแล้วทั้งสิ้น แล้วก็เอาศีรษะซุกซ่อนกลัวจนตัวสั่น มือก็ปัดดิ้นรนคล้ายกับว่ามีผู้จะมาฉุดเอาไปจริงๆ เล่นเอาคนที่เฝ้าไข้พลอยกลัวขึ้นมาบ้าง จนเกือบไม่มีใครกล้ามาอยู่เป็นเพื่อนตอนดึกๆ ยามเงียบสงัด

เคราะห์ดีที่มีคนเฝ้าไข้ ๔ - ๕ คน ถ้าเพียงคนเดียวหรือสองคนคงหนีไปแล้ว ผมจึงคิดว่าจะทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้เฝ้าไข้ มิฉะนั้นถ้าหากพวกนี้กลัวไม่กล้าเฝ้าไข้ก็จะลำบาก เงินบางครั้งก็ไม่สามารถจะซื้อความกลัวให้เป็นความกล้าขึ้นมาได้ พอรุ่งเช้าคุณลุงสร่างไข้มีสติ ท่านปรับทุกข์ถึงความทรมานในการเจ็บป่วยของท่าน ผมก็ได้แต่ปลอบโยน ให้ท่านทำจิตใจให้เข้มแข็ง และสงบเอาไว้เพื่อต่อสู้กับความรู้สึกให้หมดไป

ผมแนะนำคุณลุงว่า ผมจะนิมนต์พระมาสวดมนต์ ฉันเพล ทำสังฆทานเพื่อจะได้อุทิศส่วนกุศลให้ผู้ที่ท่านเคยทำความโกรธแค้นมาก่อน และนิมนต์พระผู้ทรงศีลบริสุทธิ์เจริญทางภาวนาที่มีผู้เคารพนับถือ เพื่อทำพิธีปัดรังควาน คุณลุงเปลี่ยนไปคนละคน ว่าง่ายเชื่อถือผมทุกอย่างตามที่ผมแนะนำ ให้ทำได้ทุกสิ่งที่ผมเห็นดีเห็นชอบ ผิดกับเมื่อก่อน ถ้าผมพูดถึงพระก็หัวเราะเยาะดูถูกว่างมงาย

ฉะนั้น ผมรีบจัดการทำสังฆทาน เลี้ยงพระสวดมนต์ ถวายภัตตาหารเพล นิมนต์ท่านสมภารมาปัดรังควาน พี่หมอคงเห็นว่าตามประตูหน้าต่างช่องลมมีใบหนาดเสียบเอาไว้ เพื่อป้องกันภูตผีปีศาจตามอย่างโบราณเชื่อถือกันตลอดมา ผมคิดว่าหากใบหนาดยังไม่ได้ผล ก็จะเอาต้นกระเทียมหัวกระเทียมมาแขวนไว้ตามประตูหน้าต่างแบบฝรั่งเขาเชื่อถือกันดูบ้าง หลังจากนั้นดูเหมือนจะได้ผล เพราะท่านไม่ค่อยจะร้องโวยวายชี้หน้าชี้ตาทำท่าทางกลัวกลางดึก คนเฝ้าไข้ค่อยหายกลัวขวัญดีขึ้น แต่อาการไข้คงอยู่มี บางเวลาสติดี รู้สึกตัวพูดรู้เรื่อง นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างหาเหตุผลไม่ได้จริงไหมครับพี่หมอ”

ข้าพเจ้าพยักหน้า แต่ไม่ออกความเห็นอะไร แต่แล้วก็นึกขึ้นได้จึงถามว่า “เมื่อครั้งก่อนคุณเคยพูดว่า การทำชั่วของคุณลุงต้องพัวพันมาถึงลูกหลาน ข้อนี้ผมยังสงสัยและนึกไม่ออก”

ชายหนุ่มหันมามองหน้าข้าพเจ้าแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หมอยังไม่ลืมเรื่องนี้ก็ดีแล้ว ผมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง การกระทำของคุณลุงนั้นทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องได้รับความเดือดร้อนดังที่กล่าวมาแล้ว ความแค้น ความเจ็บใจ คอยจองเวรอาฆาต เมื่อการทำร้ายผู้ต้องการไม่ได้คราวนี้ก็เพ่งเล็งมายังผู้ใกล้ชิดของตัวการ เช่น ลูกหลานซึ่งเป็นที่รักใคร่ ถ้าได้ทำลายผู้ใกล้ชิดก็เป็นการแก้แค้น เป็นการทำลายจิตใจไปด้วย และทรมานความรู้สึกทางอ้อม แต่บังเอิญคุณลุงไม่มีบุตร และมีผมคนเดียวเป็นหลานที่สนิทใกล้ชิด ฉะนั้นจุดที่จะรับการแก้แค้นที่เป็นเป้าหมายต่อจากคุณลุงก็คือ ผม ผู้เป็นหลานคนเดียวของท่าน”

เมื่อชายหนุ่มเล่ามาถึงตอนนี้ ข้าพเจ้าก็เกิดสงสัยขึ้นมาจึงถามว่า “คุณรู้ได้อย่างไรที่บอกว่า คุณเป็นเป้าหมายรองจากคุณลุง”

ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆ ว่า “ความจริงผมก็ไม่เคยฝันว่าตัวผมเองจะมีศัตรูคอยปองร้ายหมายชีวิตเหมือนกัน แต่ต้นเหตุไม่ได้เกิดจากการกระทำของผมเอง มันเป็นการกระทำของคุณลุงที่โยงติดต่อมายังผมอย่างคิดไม่ถึงเลย”

ข้าพเจ้าได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นก็เพิ่มความสงสัยเป็นกำลัง เพราะข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินว่าชายหนุ่มถูกทำร้ายที่ไหน จึงพูดว่า “คุณช่วยกรุณาเล่าให้ผมฟังได้ไหมว่า คุณรู้ได้อย่างไร ผมอยากทราบ”

ชายหนุ่มมองดูหน้าข้าพเจ้าสักครู่จึงตอบว่า “ครับ ผมทราบว่าพี่หมอใจร้อน การที่ผมทราบเรื่องนี้ก็ตอนหลังจากที่ผมผิดใจกับคุณลุง ถึงกับท่านตัดญาติขาดลุงหลานกับผมและก่อนหน้าที่ท่านจะล้มป่วยลง มีเพื่อนคนหนึ่งของผมเขาเป็นคนนิสัยค่อนข้างไปทางนักเลงหัวไม้สักหน่อยแต่เป็นคนซื่อ วันหนึ่งเขาโทรศัพท์มาหาผม เพื่อนคนนี้เขาไม่ค่อยจะคิดหน้าคิดหลัง อยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆ ตามภาษาซื่อ เมื่อผมรับโทรศัพท์และทราบว่าเป็นใครแล้ว เขาก็หัวเราะและพูดว่า

“อั๊วมีเรื่องสำคัญจะเล่าให้ลื้อฟัง”

ผมจึงถามไปว่า “เกี่ยวกับอั๊วหรือเปล่า เรื่องของลื้อน่ะ”

เพื่อนผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “มันเกี่ยวกับลื้อโดยตรงทีเดียว ถ้าไม่เกี่ยวอั๊วจะบอกลื้อหาหอกอะไรล่ะ”

ผมยิ่งอยากทราบจึงถามไปว่า “ไหนลองบอกมาซิมันเรื่องอะไร”

เสียงเขาพูดมาว่า “ลื้อโชคดีแท้ๆ เพราะความดีของลื้อได้ทำให้ลื้อพ้นเคราะห์ร้ายไปได้”

ผมฟังแล้วก็งงไม่เข้าใจ จึงถามว่า “ไหน เรื่องอะไรที่ว่าความดีทำให้พ้นเคราะห์ ฟังดูแล้วยังไม่เห็นรู้เรื่อง ลองอธิบายให้ชัดเจนซิว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”

เสียงหัวเราะในโทรศัพท์แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งใจร้อนสิ ไอ้เพื่อนยาก ฟังให้ดีนะ คือ อั๊วมีเพื่อนคนหนึ่งเขามาถามถึงลุงของลื้อว่า มีหลานสนิทอยู่คนหนึ่ง ถามอั๊วว่ารู้จักดีไหม อั๊วบอกว่ารู้จักดีเพราะเป็นเพื่อนกัน อ้ายหมอนั่นมันถามอีกว่า นิสัยใจคอเป็นอย่างไร อั๊วบอกว่าวิเศษเลย คนอย่างนี้หายาก มันมีแต่คอยช่วยเหลือเพื่อนและคนยากจนเสมอ ผิดกับลุงของมันฟ้ากับดินทีเดียว ลุงมันคอยแทะกระดูกคนจนเสมอ ชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อน อ้ายลุงหลานมันเลยไม่ค่อยลงรอยกัน เพราะมันเดินกันคนละทาง ดูเหมือนเจ้าหลานชายถูกเฉดไม่ให้เหยียบบ้านของลุงมันอีกต่อไป

เจ้าหมอนั่นมันถามอั๊วอีกว่า ที่พูดมานี่เป็นความจริงหรือ จะเห็นว่าเป็นเพื่อนกันจึงยกย่องเกินความจริง ตอนนี้อั๊วชักจะไม่พอใจ จึงบอกว่าอั๊วเป็นคนขวานผ่าซากชอบพูดตรงไปตรงมา ใครดีอั๊วก็ว่าดี ใครชั่วก็ว่าชั่ว ไม่สนใจว่าลื้อจะเชื่อหรือไม่ ใครถามอั๊วก็บอก และอั๊วก็ไม่รู้ว่าลื้อจะมีเจตนาอย่างไรที่ถามอั๊ว แต่ถ้าจะให้อั๊วพูดให้ถูกละก็ ที่อั๊วพูดว่าดีนั้นยังน้อยกว่าความเป็นจริง ลื้อจะเชื่อหรือไม่เชื่อไม่สำคัญ ใครๆ ก็รู้นิสัยอั๊วดีว่าชอบพูดตรงๆ”

แล้วเสียงที่พูดโทรศัพท์ก็หยุดไป ผมจึงพูดว่า “ขอบใจที่ลื้อยกย่องอั๊วมาก แล้วเพื่อนของลื้อคนนั้นเขาว่าอย่างไรล่ะ”

เสียงเพื่อนของผมกระซิบในโทรศัพท์ว่า “ที่อั๊วพูดต่อไปนี้เป็นความลับนะ”

ผมต้องหัวเราะแล้วพูดเย้าไปว่า “คนอย่างลื้อมีความลับด้วยหรือ เมื่อครู่นี้เห็นตะโกนหัวเราะลั่น มาตอนนี้เกิดมีความลับ ไหนบอกมาซิความลับมากแค่ไหน”

เสียงตอบมาตามสายว่า “พออั๊วพูดเสร็จเขาก็หน้าเศร้ารำพึงออกมาว่า เกือบทำลายคนดีๆ เสียแล้วซิ ถ้าไม่ถามให้รู้เรื่องเสียก่อน ก็คงจะเสียใจทรมานจิตใจไปตลอดชีวิต ต้องรับบาปหนักที่ไปทำลายคนดี อั๊วถามได้ความว่า เขาจะทำร้ายคุณลุงของลื้อ แต่ไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะระวังตัวตลอดเวลา มีทั้งปืนยาวปืนสั้นติดตัวเตรียมพร้อมอยู่เสมอ อั๊วเลยบอกว่า ถ้าใครทำอะไรลื้อก็เท่ากับช่วยให้ลุงลื้อสบายขึ้น ส่วนที่แกจะเสียใจ ก็คงดีใจแน่” เขาพูดแล้วก็หัวเราะอย่างขบขัน

“ส่วนผมนั้นงงเพราะไม่เคยนึกมาก่อนเลย ต่อมาผมได้ทราบว่าพ่อของชายผู้นั้นได้ถูกคุณลุงทำเสียป่นปี้ ไม่มีบ้านช่องจะอยู่ ก็น่าจะให้เขาแก้แค้นหรอกนะครับ นี่แหละครับพี่หมอก็เห็นแล้วว่ามันพัวพันมาถึงลูกหลานได้อย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ใครๆ เขาก็รู้แล้วว่าผมกับคุณลุงได้ถกเถียงกัน ไม่ลงรอยกันจนถูกท่านไล่ไม่ให้เข้าบ้าน แต่ก็ดีอย่างที่ทำให้ผมรอดพ้นจากการเป็นเป้าหมายของความแค้น”

ข้าพเจ้าได้ฟังชายหนุ่มเล่าอย่างยืดยาวแล้ว ก็นึกในใจว่า ชายหนุ่มผู้นี้สูงทั้งศีลธรรมและความรู้ ทั้งได้ละแล้วซึ่ง โลภ โกรธ หลง อย่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ หากได้อุปสมบทคงจะเข้าถึงรสพระธรรมได้ง่ายกว่าบุคคลธรรมดา

ข้าพเจ้าจึงพูดขึ้นว่า “การที่คุณว่ามรดกทรัพย์สินของคุณลุงนั้น เป็นของบิดาคุณครึ่งหนึ่ง ซึ่งอย่างน้อยคุณก็ควรได้ส่วนของคุณพ่อคุณตามความเป็นธรรมความจริงเรื่องนี้ผมไม่ควรพูด แต่ผมเห็นว่าคุณได้พูดว่าไม่ต้องการอะไรเลยเช่นนี้ ก็อดประหลาดใจไม่ได้”

ชายหนุ่มยิ้มอย่างเศร้าๆ แล้วพูดว่า “พูดตรงๆ ว่าผมรังเกียจแม้ผมจะมีสิทธิ์ในส่วนของคุณพ่อ แต่ผมไม่ต้องการเพราะเงินเหล่านี้ไม่บริสุทธิ์ ในเวลานี้ผมเองก็ไม่ได้ยากจน ยังมีคนอีกไม่น้อยที่กำลังจ้องจะถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของคุณลุง พี่หมอผ่านมาทางห้องไว้ของโบราณ มีเครื่องลายครามของเก่าๆ และพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่เก่าแก่หายาก คุณลุงได้สะสมไว้เป็นจำนวนมากโดยใช้เวลานาน แต่ละชิ้นมีกว่าสูง ผมอยากจะบอกกับพี่หมอว่า เท่าที่เห็นนี้เหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อนที่คุณลุงจะป่วย

ต่อมาเมื่อคุณลุงล้มป่วยลง ของมีค่าต่างๆ ก็ค่อยๆ หายไปจากห้องวันละหลายๆ ชิ้น เพราะมีคนโลภหรือโจรอยู่ในบ้านนี้ ต่างคนต่างก็ถือสิทธิ์แย่งกันลำเลียงออกไปซุกซ่อน ไม่ช้าคงหมดบ้าน เพราะรู้ว่ายังไงเสียคุณลุงก็ไม่มีโอกาสหายแน่ บางครั้งก็ค้นหากุญแจไขตู้นิรภัยในห้องนอนของคุณลุง ความโลภทำให้ขาดความนับถือ ขาดความกตัญญู เขาต่างก็รู้ว่าในตู้นั้นต้องมีเงินสดอย่างน้อยก็เป็นหมื่นๆ

เขาไม่มีความยำเกรงคุณลุงเหมือนแต่ก่อน คุณลุงนั้นถึงจะรู้จะเห็นก็ลุกขึ้นมาทำอะไรไม่ได้ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนท่านเป็นคนดุมีอำนาจ ไม่ชอบใจใครก็สั่งจัดการได้ แต่บัดนี้แม้แต่คนในบ้านก็หมดความเกรงกลัว ทั้งนี้เพราะต่างก็รู้ความชั่วด้วยกัน ท่านไม่มีความดีคอยจูงใจให้คนเคารพนับถืออยู่ตลอดไป ที่อยู่ก็เพราะเกรงกลัวอำนาจเงิน บ้านกำลังจะปั่นป่วน นี่แหละพี่หมอ ผมมองเห็นแล้วว่า คุณลุงเป็นตัวอย่างที่ทำให้นึกคิดไปได้หลายแง่หลายทาง”


(มีต่อ 5)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:22 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้ากำลังจะพูดออกความเห็นต่อไป ก็พอดีมีเด็กเข้ามาในห้องบอกว่า คนไข้ได้สติและเรียกหาหลานชาย เราจึงต้องยุติเรื่องที่สนทนาไว้ชั่วคราว รีบพากันเข้าไปในห้องคนป่วยทันที สิ่งที่ข้าพเจ้ามองเห็นคือ คนไข้นั้นได้ลงนอนเกลือกกลิ้งอยู่กับกระสอบปนดินที่ชื้นแฉะตามเดิม ไม่ยอมนอนที่ซึ่งปูไว้ด้วยผ้ายาง และได้สั่งเอาผ้ายางที่ปูนั้นออกอ้างว่าร้อนจนจะเผาตัวไหม้อยู่แล้ว ทนไม่ไหว เห็นแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ

เมื่อชายหนุ่มเข้าไปใกล้คนไข้แล้ว ก็พยายามก้มลงใกล้หู แล้วพูดว่า “คุณลุงครับได้ยินผมพูดหรือเปล่า ผมพาหมอมารักษาคุณลุง และกำลังจะรักษาคุณลุงอยู่เดี่ยวนี้ คุณลุงได้ยินผมพูดหรือเปล่า”

คนไข้ค่อยๆ ได้สติ เราจึงได้ยินเสียงพูดมาจากในลำคอว่า “ลุงได้ยินแล้วหลาน ไหน หมออยู่ไหน”

คนป่วยยื่นมือออกไขว่คว้ามือหลานชายไว้แล้วพูดว่า “ไหนหลาน ขอให้หมอเข้ามาใกล้ๆ ลุงหน่อย”

ชายหนุ่มผู้หลานจับมือข้าพเจ้ายื่นให้คนไข้รับรับมือข้าพเจ้าไปกุมไว้ เพ่งมองด้วยสายตาที่ฝ้าฟางพลางถามว่า “คุณเป็นหมอรักษาผมใช่ไหม” เสียงคนไข้แผ่วเบา คนที่นั่งใกล้ๆ เท่านั้นจึงได้ยิน ข้าพเจ้าก้มลงตอบข้างๆ หูว่า

“ครับ ผมเป็นหมอ กำลังรักษาท่าน เวลานี้ผมเป็นเพื่อนกับหลานชายของท่าน”

เสียงคนไข้บ่นในลำคอว่า “หลานของผมเป็นเด็กดี ผมมันไม่ดีเอง”

ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “จริงครับ หลานท่านเป็นเด็กดีจริงๆ เสียงของคนไข้ค่อยดังขึ้นกว่าเดิม ถามว่า “แล้วผมจะหายไหมหมอ บอกผมซิ”

ข้าพเจ้าตอบว่า “ผมจะพยายามรักษาท่าน อย่าเป็นห่วงเลยทำใจให้สงบ จะได้เป็นกำลังแรงช่วยให้หายเร็วขึ้น”

เมื่อข้าพเจ้าพูดแล้วก็ได้ยินเสียงคนไข้สะอื้น มองดูข้าพเจ้าด้วยสายตาวิงวอน น้ำตาไหลพราก “หมอต้องช่วยผมนะหมอ อย่าทิ้งผมไป ผมยังไม่อยากตาย ผมต้องไม่ตาย หมอสัญญาซิว่าจะไม่ทิ้งไป ต้องรักษาให้หาย ผมมีเงินมากผมยังไม่อยากตาย ถ้าผมหายหมอต้องการเท่าไรบอก ผมมีเงิน ผมไม่อยากตาย”

เสียงคนไข้พูดคล้ายกับเพ้อพร้อมกับสะอื้นถี่ๆ รำพันต่อไปว่า “ผมมีที่ดินมาก มีนา มีสวน แต่ผมจะหาที่นอนให้สบายก็ไม่มี มันมีแต่ที่ร้อนเป็นไฟทั่วทุกหนทุกแห่ง ต้องนอนที่ดินที่ชื้นๆ แฉะๆ เพื่อให้โคลนช่วยดูดความร้อนออกไป หมอต้องช่วยผม ผมไม่อยากตาย อย่าให้ผมตายนะหมอ”

คนไข้พยายามลืมตามองหน้าข้าพเจ้า พูดช้าๆ อยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกกลัวตาย กอดมือข้าพเจ้าไว้แน่น ข้าพเจ้ารู้สึกสะเทือนใจด้วยความสงสารได้แต่ปลอบโยนคนไข้ว่า “ท่านนอนพักเถิดครับ ถ้าพูดนานจะเหนื่อยมาก ผมจะช่วยจนสุดความสามารถ และไม่หนีท่านไปไหน”

คนไข้พูดด้วยเสียงเครือๆ ว่า “ขอบใจหมอมาก” แล้วก็ค่อยๆ คลายมือที่กุมมือข้าพเจ้าออก

ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็สั่งผู้พยาบาลให้ยาตามชั่วโมงที่กำหนดไว้ และให้คนไข้ได้พักผ่อนมากขึ้น ตลอดเวลาสามสี่วันที่ข้าพเจ้าเข้าไปรักษาคนไข้นั้น อาการไม่มีอะไรเป็นที่น่าพอใจเลย มีแต่ทรงกับทรุด เหตุการณ์ในบ้านนั้นก็มีเคลื่อนไหวแปลกๆ แต่เท่าที่สังเกตดู ชายหนุ่มผู้เป็นหลานไม่ได้สลดใจกับสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในบ้านเลย มุ่งเอาใจใส่คนไข้ผู้เป็นลุงเท่านั้น สิ่งที่ข้าพเจ้าสลดใจก็คือเมื่อต้องเดินผ่านห้องพระ และห้องไว้เครื่องลายครามของเก่าครั้งใดก็รู้ดีกว่าของในห้องน้อยลงทุกทีจนเห็นได้ชัด การที่ต้องเดินผ่านนั้นเพราะประตูด้านหน้าที่ผ่านเข้าทางห้องรับแขกปิดตาย ไม่เปิดให้ใครเข้าออก ฉะนั้นผู้ที่จะเข้าไปในห้องรับแขกที่คนป่วยนอนอยู่ จึงต้องผ่านห้องไว้ของเก่า

คนเราจะคุ้มครองของรักของตนได้ก็ยามปกติเท่านั้น ถ้าเจ็บไข้นอนรอความตายแล้ว ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ของผู้ที่ใกล้ชิดแวดล้อมตามนิสัยดีหรือชั่ว อาการของคนป่วยหนักลงทุกวัน ข้าพเจ้าได้บอกกับหลานชายของท่านว่า ถ้าเห็นหมอที่ไหนดีก็เชิญเขามาช่วยกันรักษาดีกว่า เพราะข้าพเจ้าหมดความสามารถที่จะเยียวยารักษาให้หายเป็นปกติได้ ชายหนุ่มได้ฟังเช่นนั้นก็สั่นศีรษะพูดว่า “เห็นจะไม่ต้องเปลี่ยนละครับพี่หมอ เพราะถึงอย่างไรคุณลุงก็คงไม่มีโอกาสหายแน่”

ข้าพเจ้าสงสัยจึงถามว่า “คุณทราบได้อย่างไรว่าหมดโอกาสหาย”

ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ผมได้ติดต่อกับสมภารที่วัดข้างบ้าน ท่านเป็นผู้ทรงคุณในทางวิปัสสนากรรมฐาน ผมศรัทธาในความสามารถของท่าน ได้รับความรู้ที่น่าคิดจากท่านหลายอย่าง ท่านบอกว่าคุณลุงชะตาขาดหมดทางที่จะช่วยได้ ท่านได้พยายามต่ออายุให้หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถต่อได้”

ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “ท่านสมภารเคยต่ออายุคนไข้ที่มีอาการหนักไม่รอดมาแล้วหรือ”

ชายหนุ่มตอบว่า “ท่านสมภารเคยต่ออายุให้คนป่วยหนัก ที่หมอหมดทางรักษามาแล้วหลายคน พี่หมอคงไม่เชื่อ เพราะมันเป็นเรื่องลึกล้ำไม่มีต้นเหตุที่เกิดผล”

ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “แล้วทำไมท่านสมภารจึงไม่สามารถต่ออายุให้คุณลุงได้ ในเมื่อท่านสามารถต่อให้คนอื่นได้”

ชายหนุ่มตอบด้วยเสียงท้อแท้ว่า “การต่ออายุนั้นท่านสมภารท่านต่อเองไม่ได้ ท่านต้องไปขอผู้มีอำนาจลี้ลับ เมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงต่อได้ หากไม่อนุญาตก็หมดหวัง ผู้ที่ได้รับอนุญาตต้องเป็นผู้มีบุญกุศลมีบารมี เป็นผู้อยู่ในศีลในธรรม ทำการกุศลสาธารณประโยชน์ ไม่หวังสิ่งใดเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนตอบแทน และเป็นผู้ที่มีชีวิตต่อไปเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวม สิ่งเหล่านี้คุณลุงท่านไม่เคยมีเลย มีแต่ตรงกันข้าม ฉะนั้นท่านสมภารจึงไม่สามารถช่วยได้ เพราะไม่มีบุญกุศลบารมีให้เกาะเกี่ยวยืดยาวต่อไปได้”

เมื่อชายหนุ่มอธิบายแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่เช่นเดิม จึงบอกว่า “ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ เพราะมองไม่เห็นเหตุผล ไม่ใช่จะขัดกับความเชื่อถือของคุณหรอกนะ หากว่าท่านสมภารต่ออายุให้ผู้ป่วยหนักจวนจะตายซึ่งสร้างความดีมีศีลธรรม บุคคลผู้นั้นก็ไม่ต้องตายเพราะมีผู้ต่ออายุให้ ผมว่าผิดหลักธรรมชาติ ผิดทางหลักพุทธศาสนา เพราะศาสนาของเราพูดกันแต่หลักของความจริง พร้อมที่จะพิสูจน์ได้ ผมหวังว่าคุณคงไม่ว่าผมขัดคอนะ เพราะมันเป็นแต่เพียงความเห็นของผมที่พยายามจะพิสูจน์ เพราะเมื่อพิสูจน์ไม่ได้ก็ยากจะเชื่อถือ”

ข้าพเจ้าเห็นชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ขอบคุณพี่หมอที่เตือนสติผม ไม่ให้งมงายในสิ่งที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ ผมว่าในโลกเรานี้ยังมีสิ่งลึกลับประหลาดมหัศจรรย์อีกมากมาย ที่นักวิทยาศาสตร์ยังเรียนไม่ถึงพิสูจน์ไม่ได้ แม้แต่สิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยไม่มีเหตุผล ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังหาหลักอะไรมาลบล้างไม่ได้ วิทยาศาสตร์ยังต้องค้นคว้าหาหลักมาพิสูจน์อีกมากมาย ยังต้องค้นคว้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทางพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าท่านค้นคว้าสิ้นสุดลงนานแล้ว สุดทางไม่มีอะไรจะค้นหาอีกต่อไปนั่นแหละ ก็คือพระนิพพาน นั่นแหละครับพี่หมอ ผมได้รับความรู้หลายอย่างจากท่านสมภาร

ครั้งแรกผมก็มีความรู้สึกเหมือนพี่หมอ แต่เมื่อท่านให้ความแจ่มแจ้ง ผมก็เข้าใจ พี่หมอลองพิจารณาดูในหมู่มนุษย์ คนเราต่างคนต่างเกิด ต่างพ่อต่างแม่ ต่างตระกูล ที่ยากจนเข็ญใจก็มี ที่เกิดในกองเงินกองทองมีอำนาจราชศักดิ์ก็มี บางคนก็รูปร่างสวยงามแข็งแรงไม่เจ็บป่วย บางคนก็เกิดมามีรูปร่างหน้าตาขี้ริ้ว ขี้โรค ผอมโซ บางคนหูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ ขาเก แขนด้วนก็มี เราจะโทษว่าธรรมชาติลำเอียงแกล้งให้มาเกิดเช่นนี้ก็ไม่ได้

แต่มันเป็นสิ่งลี้ลับซึ่งวิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบ แต่ทางศาสนาเรียกว่า “กฎแห่งกรรม” ผลแห่งการกระทำของเรา นำเราไปเกิดในที่ดีและที่ชั่ว เหตุนี้ผมจึงเชื่อถือผลแห่งกรรม เราจะเปรียบเทียบมองดูมนุษย์ทุกวันนี้เป็นตัวอย่าง คนเราเกิดมามีกำหนดอายุขัยเหมือนทางราชการมีกำหนดอายุผู้รับราชการให้ปฏิบัติงานได้จนถึงกำหนด ก็ปลดเกษียณออกจากราชการ

แต่หากว่าท่านผู้นั้นได้ปฏิบัติงานมาด้วยความเรียบร้อย ได้รับความนิยมยกย่องจากบุคคลทั่วไปว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ไม่เห็นแก่ลาภยศในทางที่ผิด ไม่เคยมีชื่อเสียงทางเสียหาย เมื่อถึงคราวปลดเกษียณก็ได้รับการพิจารณาต่ออายุราชการได้ต่อไป นี่ก็เพราะความดี หรือถ้าหากว่าถูกปลดเกษียณตามอายุก็ยังมีงานอื่นสำรองรออยู่ เพราะใครๆ ก็อยากได้คนดีๆ ไปร่วมงานกับตน แต่หากผู้นั้นมีความประพฤติไม่ดี มีชื่อเสียงในทางเสียหาย อย่าว่าให้ต่ออายุราชการเลย มีหวังอาจถูกปลดก่อนยังไม่ทันครบเกษียณก็ได้ เมื่อถูกปลดแล้วก็ไม่มีใครต้องการอีก เพราะมีความไม่ดีติดตัว พี่หมอเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องการเหตุผล แต่หาเหตุผลไม่ได้ แต่เท่าที่เปรียบเทียบมาก็พอจะใช้พิจารณาดูได้บ้าง เพราะวิทยาศาสตร์ก็อยู่ใต้กฎแห่งกรรม”

ข้าพเจ้าต้องใช้ความคิด เพราะสิ่งที่หาเหตุผลไม่ได้ยังมีอีกมาก และยังไม่อยากขัดคอชายหนุ่มในขณะที่เขามีความเศร้าโศกอยู่ จึงพยักหน้าเห็นด้วย เมื่อแกเห็นว่าข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไร จึงพูดต่อไปว่า

“เมื่อพี่หมอได้พบท่านสมภารคงจะเคารพท่าน และเลื่อมใสในตัวท่าน ผมเรียกท่านว่าหลวงพ่อ ผมนิมนต์ท่านมาฉันอาหารเพล และสวดมนต์ และขอให้ท่านพูดสั่งสอนให้สติคุณลุงหลายครั้ง ท่านเคยมาเยี่ยมดูเสมอ แต่ก่อนๆ คุณลุงไม่เคยสนใจเรื่องพระ ไม่ชอบเรื่องบุญเรื่องธรรมเรื่องทาน ตั้งแต่ผมได้นิมนต์ท่านมาสวดมนต์เลี้ยงพระแล้ว เมื่อได้พบหลวงพ่อ รู้ว่าคุณลุงสนใจไปในทางดี หากท่านได้มีโอกาสเป็นปกติคราวนี้ คุณลุงคงจะเปลี่ยนแปลงผิดไปเป็นคนละคนเป็นแน่ แต่ท่านก็ไม่มีโอกาสจะหาย น่าเสียดาย กว่าจะทราบว่าสิ่งใดดี สิ่งใดชั่ว ก็หมดเวลาที่จะสร้างความดีเพื่อชดใช้ความชั่วต่อไปเสียแล้ว”

ผมได้นมัสการถามหลวงพ่อท่านว่า มีทางใดที่จะให้คุณลุงพ้นความทุกข์เวทนาเพราะความเจ็บไข้ได้ป่วย ทางธรรมมีทางใดที่จะปฏิบัติเพื่อต่อต้านควานทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง ให้คลายความกระสับกระส่ายทุรนทุรายลงได้บ้าง หลวงพ่อท่านบอกว่า

“เมื่อก่อนคนไข้ไม่เคยเลื่อมใสในทางพระศาสนา ฉะนั้นจึงไม่มีพื้นเดิมทางเจริญภาวนา เปรียบเหมือนการเริ่มต้นเรียนโดยไม่มีเวลาปฏิบัติฝึกฝน เพราะความเจ็บป่วยทำให้ความรู้สึกทุกส่วนทางร่างกายเปลี่ยนแปลงไป ความร้อนสูงจึงกระสับกระส่ายทนทุกข์เวทนา จิตใจฟุ้งซ่านไม่มีสติจะคิดอย่างอื่น นอกจากจุดรวมจะอยู่ที่ความเจ็บป่วยเท่านั้น

คุณลุงเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับบุคคลธรรมดาทั่วไปว่า หากเรายังมีร่างกายปกติและมีสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ควรจะพิจารณาด้วยปัญญา ควรจะฝึกฝนธรรมโอสถที่สามารถจะช่วยให้ภายในไม่ต้องทนทุกข์เวทนา เพราะยังมีหลักธรรมที่ยึดเหนี่ยว ด้วยเจริญภาวนาปฏิบัติ โดยทำจิตใจให้คุ้นกับพระพุทธคุณอันล้ำเลิศ ด้วยเหตุนี้เองครับพี่หมอ ผมจึงเคารพในคำสอนของหลวงพ่อท่าน”

เมื่อชายหนุ่มหยุดพูด ข้าพเจ้าต้องนึกชมเชยชายหนุ่มผู้นี้ว่าเป็นคนถือสันโดษ ไม่มีโลภ แม้แต่ทรัพย์สินที่ตนควรจะได้ก็ไม่สนใจ แล้วยังสนใจในทางพระศาสนา เพียงใช้เวลาศึกษาเล็กน้อยก็ได้ความรู้ในทางธรรมมาก แม้แต่ตัวข้าพเจ้าซึ่งมีอายุมากกว่าหลายปี ยังไม่สามารถเข้าใจได้แจ่มแจ้งเหมือนชายหนุ่มผู้นี้


(มีต่อ 6)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าถามต่อไปว่า “หลวงพ่อได้บอกคุณหรือเปล่าว่า คุณลุงของคุณท่านจะอยู่ต่อไปได้อีกเท่าใด”

ชายหนุ่มเมื่อได้ยินข้าพเจ้าถามเช่นนั้น ก็มีสีหน้าสลดลงพูดเสียงเบาว่า “หลวงพ่อท่านบอกว่าอยู่ต่อไปอีกสามวันนับแต่วันนี้ และเมื่อถึงเวลานั้นหลวงพ่อท่านจะมา บางทีท่านจะช่วยให้สติก่อนหมดลม เท่าที่ท่านพอจะช่วยให้ความทุกข์เวทนาเบาบางลงบ้าง”

ข้าพเจ้าได้ยินแล้วก็สะดุ้ง เพราะท่านกล้ากำหนดวันแน่นอน จึงคิดว่าเวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์

ชายหนุ่มพูดต่อไปว่า “ท่านบอกอีกว่ามนุษย์ผู้ใกล้จะตายนั้น ย่อมจะเกิดนิมิตมองเห็นเหตุการณ์ในอดีตที่ตนได้เคยประกอบกรรมชั่วอันเป็นอกุศลกรรม ทำให้เห็นมีรูปร่างเจ้าทุกข์เป็นโจทก์ฟ้อง มีพยานยืนยันหรือมองเห็นยมบาลที่คอยจ้องจะคุกคามเอาตัวไปสู่ทุคติภูมิ พอจิตดับก็จุติไปสู่นรก อบายภูมิแห่งอสุรกาย หรือเปรตใช้หนี้กรรมซึ่งตนทำไว้ ด้วยอำนาจแห่ง โลภ โกรธ หลง ผู้ที่ไม่รู้จักบาปบุญคุณโทษเห็นแก่ตัว ให้ผู้อื่นรับทุกข์อกตัญญูไม่รู้คุณ เมื่อจิตดับแล้วก็จะปฏิสนธิในภูมิเดียรัจฉาน เรียกว่า เหฏฐิมสังสระ เป็นที่อยู่ของหมู่สัตว์ปราศจากความสุขความสบาย ต้องทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม

หลวงพ่อท่านเป็นสงฆ์ผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ เป็นที่เคารพของชาวพุทธทั่วไป ท่านได้ผ่านประสบการณ์เช่นนี้มามาก เมื่อผมไปเล่าให้ท่านฟัง ดูเหมือนท่านจะทราบล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้ว ผมได้แสวงหาพระสงฆ์ผู้มีศีลบริสุทธิ์จริงๆ ผู้ห่างจากกิเลสตัณหาไม่มีอคติใดๆ เคลือบแฝงอยู่ ไม่หวังลาภยศสรรเสริญ เป็นพระสงฆ์ที่เพียบพร้อมไปด้วยความเมตตากรุณา ไม่ยกย่องตัวเองว่าดีกว่าองค์อื่น ไม่เหยียบย่ำทับถมนินทา หรือหัวเราะเยาะดูถูกผู้อื่นว่าปฏิบัติผิดปฏิบัติไม่ชอบ ท่านเป็นสงฆ์ที่เดินสายกลาง ใครจะยกย่องสรรเสริญหรือนินทากล่าวร้ายประการใดท่านก็ไม่สนใจ

ท่านมีขันติ คือ ความอดทน มุ่งหวังแต่จะช่วยผู้อื่นให้มองเห็นธรรม ช่วยชี้ทางให้พ้นทุกข์โดยทางปฏิบัติ เจริญรอยตามคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่คำสอนของท่านก็ไม่ให้เชื่อท่านอย่างงมงาย ให้พิจารณาดูเหตุผลและหลักของความจริงไม่มีข้อสงสัยเสียก่อน ท่านได้ตัดแล้วซึ่งโลภ รัก โกรธ หลง ความอิจฉาริษยา ไม่ต้องการคนเอาใจ

พระสงฆ์เช่นนี้แหละพี่หมอ ที่ผมแสวงหามานานแล้ว ผมหวังจะเรียนพระธรรมอันบริสุทธิ์จากท่าน ผมเคยพบพระอาจารย์ที่ยังตัดกิเลสไม่ได้ ยังอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง ยังนิยมทางโลกอีกมาก ยกย่องตัวเองว่าเป็นผู้ทรงธรรมสูง มีระเบียบปฏิบัติอันถูกต้อง ส่วนสำนักอื่นนั้นปฏิบัติมิชอบ ได้ฟังแล้วทำให้ผมท้อใจ แต่ก็ยังไม่ละความพยายามที่จะหาต่อไป และก็เป็นบุญกุศลของผม จึงได้พบหลวงพ่อผู้มีคุณสมบัติตามความฝัน ตามจุดประสงค์ของผมทุกประการ”

เมื่อได้ฟังชายหนุ่มเล่าความรู้สึกของตนเองอย่างยืดยาวด้วยความตั้งใจจบแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ออกความเห็นทักท้วงแต่อย่างใด เท่าที่สังเกตดูรู้ดีว่าชายหนุ่มผู้นี้มุ่งความสนใจไปในทางธรรมมากขึ้น เงียบกันไปสักครู่ชายหนุ่มจึงกล่าวขึ้นว่า

“ไม่ทราบจะขอบคุณพี่หมออย่างไรถูก ที่อุตส่าห์สละเวลามาเฝ้าไข้ นอกจากงานทางโรงพยาบาลแล้ว พี่หมอก็ใช้เวลาส่วนมากหมดเปลืองไปในการขอร้องของผม ไม่มีโอกาสจะไปหย่อนใจตามสโมสรเหมือนอย่างแต่ก่อน นับว่าเป็นพระคุณต่อผมเป็นอย่างมาก”

ข้าพเจ้ายิ้มแล้วตอบว่า “ขออย่าได้นึกว่าเป็นบุญคุณอะไรให้มากไปเลย ผมเป็นแพทย์ ธุระในเรื่องการรักษาคนไข้สำคัญกว่าการที่จะไปหาความสุขส่วนตัวตามสโมสร ฉะนั้นขอให้นึกว่าตามธรรมดาเป็นหน้าที่ของหมอที่จะต้องปฎิบัติต่อคนไข้ก็แล้วกัน”

หลังจากวันที่สนทนากันผ่านไปได้สามวันพอดี ในตอนเย็นวันนั้นข้าพเจ้าอยู่ที่โรงพยาบาลกำลังล้างมือ เตรียมตัวจะกลับบ้าน มีนางพยาบาลบอกว่ามีโทรศัพท์มาขอพูดด้วย ข้าพเจ้ารีบล้างมือแล้วเดินไปรับโทรศัพท์ ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นผู้โทรมา เขาบอกกับข้าพเจ้าว่า

“วันนี้ที่หมอรีบมาหน่อยนะครับ ผมสั่งเตรียมอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว วันนี้เป็นวันที่หลวงพ่อกำหนดไว้ด้วย”

ข้าพเจ้าถามไปว่า “แล้วหลวงพ่อท่านบอกหรือเปล่าว่า คุณลุงจะไปเวลาไหน”

เขาตอบมาด้วยเสียงเครือๆ ว่า “ตอนค่ำระหว่างทุ่มหนึ่งถึงสองทุ่มครับ”

ข้าพเจ้าเองก็อยากจะพิสูจน์ ท่านสมภารท่านจะสามารถกำหนดเวลาได้แม่นยำถึงเพียงนั้นจริงหรือไม่ จึงตอบไปว่า “ตกลง ผมออกจากโรงพยาบาลแล้วจะตรงไปเลย หลวงพ่อท่านจะไปถึงเมื่อไหร่”

เสียงตอบมาทางโทรศัพท์ว่า “ท่านจะไปถึงบ้านเวลาย่ำค่ำ”

เมื่อข้าพเจ้าไปถึงบ้านคนไข้ ชายหนุ่มได้ออกมารับที่รถแล้วพาเข้าไปตรวจอาการไข้ ทุกอย่างไม่มีอะไรดีขึ้น อาการยังคงทรงกับทรุด ห่างจากที่นอนซึ่งชื้นแฉะซึ่งคนป่วยนอนอยู่ เห็นจัดที่ไว้สำหรับอาสนะสงฆ์ ข้าพเจ้าเห็นว่ายังมีเวลาอีกมากกว่าหลวงพ่อจะมา จึงถือโอกาสสนทนากับชายหนุ่ม ถามถึงหลวงพ่อซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชายหนุ่ม ถึงกับได้ขอศึกษาธรรมจากท่าน

การสนทนาธรรมซึ่งเขาได้รับการถ่ายทอดจากหลวงพ่อนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกกว่าชายหนุ่มพอใจมาก โดยเฉพาะเขาได้มีโอกาสพูดกับข้าพเจ้า ซึ่งเขาคิดว่ายังไม่มีความสนใจพอ เขาจึงอยากให้ข้าพเจ้าได้มีความรู้ความสนใจเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าทราบจิตใจของเขาได้ดี ระยะหลังๆ นี้ข้าพเจ้าไม่อยากขัดความรู้สึกของชายหนุ่ม เพราะข้าพเจ้าเองก็เป็นชาวพุทธ มีความเคารพพระสงฆ์ผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และข้าพเจ้าก็คอยรอดูผลว่า หลวงพ่อท่านจะบรรเทาความทุกข์ทรมานของคนไข้ให้เบาบางก่อนที่จะดับจิตได้อย่างไร เมื่อเข้าไปในห้องอาหารเราก็ใช้เวลาระหว่างรับประทานอาหารสนทนากัน โดยข้าพเจ้าเป็นผู้เริ่มขึ้นก่อนว่า

“คุณคงหาโอกาสติดต่อกับหลวงพ่ออยู่เสมอใช่ไหม”

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดูข้าพเจ้าตอบว่า “ผมติดต่อกับท่านอยู่เสมอครับ พี่หมอ”

“คราวก่อนคุณได้พูดถึงคนที่รู้ว่าตัวได้ทำความชั่วไว้มาก เมื่อจิตจะดับนั้น จะเกิดนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ไม่เป็นมงคล แล้วผู้ที่สร้างกุศลมีศีลธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาเหล่านี้ เวลาใกล้จิตดับนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง หลวงพ่อท่านบอกให้ทราบหรือเปล่า”

ชายหนุ่มนิ่งมองดูข้าพเจ้าอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า “หลวงพ่อท่านพูดถึงหลักธรรมชาติอย่างที่พี่หมอพูด คืออัตโนมัติใครสร้างความชั่ว ความชั่วก็สิงอยู่ในใจ ใครสร้างความดี ความดีก็สิงอยู่ในใจเช่นเดียวกัน แม้ผู้สร้างจะลืมไปจำไม่ได้ว่าตัวทำชั่วหรือทำดีอะไรบ้าง แต่จิตใต้สำนึกก็ไม่ลืมเลย คล้ายกับปัจจุบันในการสะกดจิตบังคับให้พูดถึงเรื่องในอดีต โดยผู้พูดไม่รู้สึกตัวเช่นเดียวกัน เมื่อจิตจะดับก็มีนิมิตออกมาให้เห็น เช่น ผู้สร้างกรรมชั่ว ส่วนมากเป็นผู้ที่กลัวตายไม่อยากตาย เพราะรู้สึกว่าความตายเป็นของที่น่ากลัว น่าขยะแขยงที่สุด นี่ก็เพราะนิมิตเห็นแต่สิ่งที่เป็นความชั่วที่ทำไว้ผุดขึ้นมา ต่างก็รู้ตัวดีว่าถ้าตายไปแล้วต้องไปสู่อบายได้รับความทุกข์ยากเพราะกรรมตามสนอง

ส่วนผู้สร้างกรรมดีนั้น ส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่กลัวตาย เพราะมองเห็นความจริงอันเป็นไปตามธรรมชาติ รู้ว่าไม่มีใครหนีความตายพ้น มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมและความรู้สึกมีนิมิตให้เห็นว่า เมื่อจิตดับไปแล้ว จะไปสู่เบื้องสูงที่ซึ่งมีความสุขยิ่งกว่าอยู่ในโลกมนุษย์ ฉะนั้น ท่านเหล่านั้นจึงมีจิตใจอยู่กลางๆ ไม่ดีใจไม่เสียใจ ไม่รู้สึกว่าความตายเป็นของน่ากลัวเหมือนผู้สร้างกรรมชั่ว จะรู้สึกเพียงแต่เปลี่ยนจากที่ต่ำไปสู่ที่สูง

พี่หมอพิจารณาดูซิครับ นี่แหละหลักธรรมชาติที่จะเปรียบเทียบได้กับโลกมนุษย์ในทุกวันนี้ ใครทำความดีสร้างความดีก็มีความสุขอยู่อย่างสบาย ถ้าใครทำความชั่วก็มีกฎหมายนำตัวไปให้ห่างจากความสุขหมดอิสระ แม้ว่าบางครั้งกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถเอาโทษหรือนำไปสู่ที่คุมขังได้ แต่กรรมนั้นมิใช่จะหมดไป เมื่อจิตจะดับจะรู้ว่ากรรมนั้นจะนำไปที่ไหน”


(มีต่อ 7)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:30 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ชายหนุ่มหยุดเพื่อจะฟังความเห็นจากข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงถามว่า “นอกจากที่เล่ามานี้แล้ว มีอะไรอีกที่แปลกๆ ซึ่งคุณได้ทราบจากหลวงพ่อที่พอจะถ่ายทอดให้ผมทราบได้บ้าง ผมรู้สึกสนใจมาก”

ชายหนุ่มนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดว่า “หลวงพ่อท่านบอกว่ามนุษย์เราทุกวันนี้ ถ้ามีใครได้ญาณทางตาทิพย์แล้วก็จะมองเห็น รู้ว่าคนที่เดินตามถนนหนทาง ไม่ว่าบุคคลที่เดินข้ามถนนหรือนั่งรถเป็นสง่าท่าทางมีอำนาจ จะมองเห็นได้ว่าคนเหล่านั้นมีทั้ง อสุรกาย พรหม เปรต เทวดา สัตว์นรก และพระโพธิสัตว์ในร่างของมนุษย์ ตลอดทั้งภายในบ้านช่องใหญ่โตหรูหรา หรือบ้านเล็กบ้านน้อย มั่งมีหรือยากจนก็มีทั้ง อสุรกาย เปรต สัตว์นรก พรหม และเทวดา พระโพธิสัตว์อาศัยปะปนอยู่ด้วย เช่นเดียวกันมนุษย์ไม่ได้ญาณจะเห็นได้ยาก คำพูดของหลวงพ่อท่านเป็นสิ่งที่น่าคิดเหมือนกันนะครับพี่หมอ พี่หมอเห็นเป็นอย่างไรบ้าง”

ข้าพเจ้านิ่งคิดอยู่สักครู่หนึ่งจึงตอบว่า “เรื่องนี้น่าคิดมากในเรื่องญาณชั้นตาทิพย์ หรือญาณที่ทำให้สามารถมองเห็นได้ว่า คนไหนเป็นอสุกาย คนไหนเป็นพระโพธิสัตว์ เป็นเรื่องลึกลับทางญาณซึ่งวิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง ไม่สามารถอธิบายได้อย่างแจ่มแจ้ง นอกจากจะเป็นผู้ได้ญาณเท่านั้น แต่เมื่อพูดถึงทางโลกเราก็พอจะมองเห็นได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องอาศัยทางดวงตาทิพย์และความรู้สึกทางจิต แต่เรามองเห็นได้ด้วยสามัญสานึก

ถ้าเรารู้ว่าผู้ใดเป็นผู้บริจาคทรัพย์สินเพื่อสร้างสาธารณกุศล โดยมิได้หวังเอาหน้าหรือชื่อเสียงในทางการเมือง เป็นผู้หวังในบุญกุศลด้วยใจบริสุทธิ์หรือผู้บำเพ็ญทานอยู่ในศีลธรรม ผู้มีความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ ท่านเหล่านี้ก็คือ พระโพธิสัตว์ พรหม หรือเทวดา ส่วนพวกโจร พวกฉ้อโกง พวกแอบแฝงรีดไถ เห็นแก่ตัวเบียดเบียนผู้อื่น ผู้ที่ขาดความกตัญญูรู้คุณบิดามารดาครูบาอาจารย์ และท่านผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์ยาก พวกนี้อยู่ในพวกเปรตหรืออสุรกาย เป็นพวกสัตว์นรกอย่างหลวงพ่อท่านว่าไม่มีผิด ผมเห็นด้วยกับท่านในเรื่องเหล่านี้”

เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว เราก็ยังใช้เวลานั่งในห้องอาหารสนทนาถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างเพลิดเพลิน จนเด็กเข้ามาบอกว่า คนไข้อาการหนักมาก กำลังกระวนกระวาย ชายหนุ่มกับข้าพเจ้าจึงรีบออกจากห้องอาหารทันที เมื่อข้าพเจ้าตรงเข้าไปตรวจหัวใจและชีพจรของคนไข้รู้สึกอ่อนลงมาก ใบหน้าบูดเบี้ยวแสดงความเจ็บปวดกระสับกระส่ายมากขึ้น ข้าพเจ้าจัดการให้ยาฉีดระงับความเจ็บปวดแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าใดนัก เพราะการเจ็บปวดเกินกว่าฤทธิ์ยาจะระงับได้ ทำให้ข้าพเจ้านึกได้ว่าคำของหลวงพ่อใกล้ความจริงเข้าไปแล้ว

ขณะนั้นคนในบ้านบอกว่าหลวงพ่อได้มาถึงแล้ว ดูช่างเหมาะกับเวลา ชายหนุ่มได้ไปนิมนต์ท่านเข้ามานั่งในที่ซึ่งจัดไว้ เมื่อท่านนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ประเคนของที่จัดเตรียมไว้ มีน้ำสุกลอยดอกมะลิใส่ในขันเงินและธูปเทียน เมื่อท่านรับประเคนแล้ว ก็จุดธูปเทียนบริกรรมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอาช้อนเล็กๆ ตักน้ำจากขันเงินหยดใส่ในปากคนไข้ เมื่อน้ำหยดถูกปากคนไข้ขมุบขมิบ เมื่อน้ำเข้าไปถึงลำคอ ความกระวนกระวายก็ค่อยสงบลงคล้ายกับจะหลับไป

ท่านสมภารบอกว่า “ประเดี๋ยวคงได้สติ ปล่อยไว้ให้พักสักครู่ ท่านกลับมานั่งที่อาสนะที่จัดไว้ ชายหนุ่มจึงแนะนำให้ข้าพเจ้ารู้จักกับท่าน หลวงพ่อยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดว่า “อาตมาได้ทราบว่า หมอได้พยายามช่วยเหลือจนสุดความสามารถแล้วมิใช่หรือ”

ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ครับหลวงพ่อ แต่อาการหนักมากเกินกว่าความสามารถของกระผมที่จะรักษาได้ กระผมรู้สึกเสียใจครับ”

ท่านตอบด้วยเสียงที่แสดงความกรุณาว่า “อาตมาทราบว่าอาการไข้รายนี้หนักมาก เกินกำลังความรู้ความสามารถของหมอธรรมดาที่จะรักษาให้หายเป็นปกติ เหตุก็เพราะกรรม กรรมอันนี้มีน้ำหนักมากถ่วงให้จมดิ่งลงไปสู่ที่ลึก ไม่สามารถจะงมขึ้นมาจัดการแก้ไขอย่างไรได้ ฉะนั้น ไข้อันนี้จึงหมดทางที่จะรักษา หมอคงจะเห็นด้วยกับอาตมาใช่ไหม อันพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ได้ค้นพบมาสองพันกว่าปีแล้วจนถึงปัจจุบันนี้ ทางวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่ทันและเข้าไม่ถึง ขอให้ทราบด้วยว่า อาตมาไม่ได้รักษาไข้รายนี้หรอก เพราะอาตมาไม่ใช่หมอและไม่มียา แต่อาตมาก็รู้ว่าไข้รายนี้รักษาไม่หาย อาตมาทายใจหมอว่า หมอวินิจฉัยว่าคนไข้นี้เป็นโรคอะไร หมอว่าเป็นโรคกรรมใช่ไหม”

ข้าพเจ้าสะดุ้งเพราะหลวงพ่อทายตรงกับความเข้าใจของข้าพเจ้า จึงตอบท่านไปว่า “ถูกแล้วครับหลวงพ่อ ที่หลวงพ่อพูดว่าเป็นกรรมของผู้ประกอบ จึงได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสเช่นนี้”

หลวงพ่อยิ้มแล้วพูดว่า “มิได้ โรคนี้เป็นกับคนทุกชั้น แม้แต่คนที่มีศีลธรรม มีจิตใจเป็นกุศล ส่วนความรู้สึกนั้นย่อมผิดกันมาก เพราะผู้มีศีลธรรมสร้างคุณงามความดีนั้นย่อมมีสติดีไม่กลัว และจิตใจที่เป็นกุศลคอยต่อต้านความทุกขเวทนาได้ดีกว่า เหตุที่ต้องมาประสบกับความยากลำบากเช่นนี้ ก็เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติตามสนอง จึงทำให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมหนีไม่พ้น”

เราสนทนากันมาได้เพียงนี้ คนไข้ก็ฟื้นคืนสติเรียกหาน้ำดื่มและเรียกหาหลานชาย เมื่อชายหนุ่มเข้าไปหาและแจ้งต่อคนไข้ว่าหลวงพ่อท่านมาอยู่ที่นี่แล้ว คนไข้ขอร้องให้นิมนต์ท่านเข้าไปใกล้ๆ ก่อนที่หลวงพ่อจะลุกเข้าไปหาคนเจ็บ ท่านหันมาบอกกับข้าพเจ้าว่า “นี่จวนได้เวลาแล้วหมอ”

ข้าพเจ้างงไม่ทันได้ถามท่านว่า ได้เวลาอะไร ท่านก็เดินไปหาคนไข้ ซึ่งขณะนี้ได้สติพูดจารู้เรื่องดี ท่านพูดกับคนไข้ว่า “โยม อาตมาอยู่นี่แล้ว ขอให้โยมทำจิตใจให้สงบ”

คนป่วยไขว่คว้าเพื่อหาท่าน หลวงพ่อได้กรุณายื่นมือไปให้จับ คนไข้รีบคว้าไว้พูดหอบๆ เสียงแผ่วเบาว่า “หลวงพ่อเมตตาผมมาก ผมไม่ควรจะได้รับความเมตตาเช่นนี้เลย ผมมันชั่ว คิดแล้วเจ็บใจตัวเองเพราะไม่เคยคิดถึงพระเหมือนคนหลักลอยไม่มีศาสนา เมื่อเวลาป่วยหลวงพ่อก็ยังอุตส่าห์มาให้กำลังใจผม” พูดแล้วคนไข้ก็น้ำตาไหลหยดลงบนมือหลวงพ่อ

ท่านปลอบว่า “จงสงบใจก่อนเถิดโยม อย่านึกอะไรมาก พระย่อมมีความเมตตากรุณาเสมอไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใคร มีบุญบาปอย่างไร พระก็โปรดให้พ้นทุกข์เหมือนกันทุกคน”

คนไข้ค่อยๆ ดึงมือพระไปกอด แล้วยกมือลูบไปตามแขนของท่านจนมือไปโดนจีวรที่หลวงพ่อครองอยู่ ดึงจีวรเข้าไปเกลือกกลิ้งที่หน้า แล้วก็จูบผ้าเหลืองอย่างซาบซึ้งจับใจ ทุกคนที่เห็นภาพนี้แล้วต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่สามารถจะทนดูอยู่ได้ เมื่อจูบผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว คนไข้ก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ชัดเจนว่า

“ผมเกิดมาอยู่ใกล้พระพุทธศาสนา แต่เป็นคนโง่เง่า ถือดี อวดดีเหมือนอยู่ห่างไกลคนละโลกกับพระพุทธศาสนา แต่บัดนี้ผมรู้สึกตัวแล้วได้เห็นหลวงพ่อผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กลิ่นผ้ากาสาวพัสตร์ ได้แตะต้องผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ กระผมเกิดศรัทธาแต่มันก็สายเสียแล้ว มันสายเกินไปที่จะมีโอกาสสร้างบุญกุศล หลวงพ่อครับผมยังไม่อยากตาย ผมยังไม่อยากตาย ผมอยากมีชีวิตอยู่เพื่อทำความดีแก้ตัว” คนไข้พูดได้เท่านั้น ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาไหลพราก

หลวงพ่อเองก็คงตื้นตันใจเหมือนกัน ท่านไว้แต่ปลอบใจเตือนสติคนไข้ว่า “โยมทำใจดีๆ ไว้ ตั้งสติให้ดี แล้วฟังอาตมาว่า อันมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากโลกนี้ไปทุกรูปทุกนาม ไม่มีใครจะมีชีวิตอยู่ยั่งยืนถาวร หนีพ้นความตายไปได้ อันตัวอาตมาก็ดี หมอที่รักษาพยาบาลโยมก็ดี ทั้งหลานชาย และบุคคลที่อยู่ในห้องนี้ทุกคน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หญิงหรือชาย ย่อมจะถึงเวลาสิ้นสุดด้วยกันทั้งนั้นในวันหนึ่งข้างหน้า ผิดกันแต่เวลาที่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ขอให้โยมพิจารณดูความจริงข้อนี้ซึ่งเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ตามธรรมชาติทุกรูปทุกนามต้องประสบเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันหมด ฉะนั้น จงสงบใจตั้งสติพิจารณาให้รู้ถึงความจริง การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นของธรรมดา ฟังอาตมาให้ดีฟังให้เข้าใจ จะได้เป็นทางที่จะช่วยได้ในบั้นปลายของชีวิตเป็นครั้งสุดท้าย หากมีบารมีสร้างไว้แต่อดีตชาติก็อาจจะหลุดพ้นไปได้”


(มีต่อ 8)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 08 ส.ค. 2004, 11:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คนไข้ยกมือที่จับผ้าเหลืองอยู่ขึ้นพนม แล้วพูดเบาๆ ว่า “ครับหลวงพ่อ ผมจะทำตาม”

หลวงพ่อรู้สึกว่าจะพอใจ ท่านจึงพูดต่อไปว่า “ต่อไปนี้โยมต้องทำจิตใจให้สงบ ไม่ต้องนึกถึงความดีความชั่ว อย่านึกถึงสมบัติที่มีในมนุษย์โลก มันไม่ใช่ของเรา อย่านึกถึงสังขารร่างกาย ตัดความห่วงกังวลความทุกข์ ทำจิตใจให้ว่างเปล่า ไม่ต้องนึกถึงสิ่งใดทั้งสิ้น วางให้หมดทุกอย่าง เพ่งส่วนลึกในความรู้สึกให้แน่วแน่ เหลือแต่คำภาวนาว่า อรหันต์ อรหันต์ อรหันต์ เท่านั้น พระอรหันต์ท่านได้หลุดพ้นจากความทุกข์ หลุดพ้นจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย โยมจงตั้งสติให้ดี ทำตามที่อาตมาบอกทุกอย่าง จะทำให้ทุกขเวทนาหมดสิ้นไป”

คนป่วยจับจีวรของหลวงพ่อ ยกมือขึ้นพนมเหนือหัว พูดด้วยเสียงแผ่วเบา พอได้ยินในหมู่พวกที่นั่งอยู่รอบๆ ว่า “สาธุ ผมเข้าใจตามที่หลวงพ่อบอกให้สติทุกประการแล้ว” แล้วก็ยกมือขึ้นพนมไหว้นมัสการหลวงพ่อสามครั้ง แล้วก็ทำปากขมุบขมิบว่า

“พระอรหันต์ พระอรหันต์ พระอรหันต์” เสียงที่พูดค่อยลงทุกที จนในที่สุดคอตกมือตกตาหลับสนิทแน่นิ่งไป ข้าพเจ้ารีบตรงเข้าไปจับชีพจรและฟังหัวใจ ก็ทราบว่าหัวใจหยุดเต้นเสียแล้ว ทุกสิ่งแสดงว่าจิตดับหมดลมไปแล้วอย่างสงบ ข้าพเจ้ามองดูหน้าหลวงพ่อท่าน เหมือนจะบอกใบ้ว่าหมดหวังเสียแล้ว หลวงพ่อท่านพยักหน้าน้อยๆ เหมือนจะรับทราบ ในห้องนั้นเงียบสงัดไม่มีเสียงพูด ไม่มีเสียงร้องไห้ มีแต่ก้มหน้าเก็บความรู้สึกไว้ในใจ เห็นจะเป็นเพราะว่าที่หลวงพ่อให้สติแก่คนป่วยเป็นครั้งสุดท้ายก่อนหมดลม เป็นข้อคิดที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในที่นั้นด้วย

บัดนี้ทุกคนก็ได้เห็นภาพเฉพาะหน้าชายผู้นอนนิ่งวิญญาณเพิ่งจะออกจากร่าง ล่องลอยไปตามกฎแห่งกรรม ต่อไปจะถูกจัดการทำความสะอาดและคลุมด้วยผ้าขาว คอยเวลาที่จะเชิญแขกมารดน้ำตามประเพณีเป็นครั้งสุดท้าย เพราะในไม่ช้าหลังจากหมดลมแล้ว ซากศพก็จะมีกลิ่นเหม็นเน่า เป็นที่รังเกียจของคนส่วนมาก สิ่งที่เหลือไว้ก็คือความชั่วและความดีเท่านั้น หากสร้างแต่ความชั่วไว้ แม้ตัวตายไปแล้วก็มีแต่คนสาปแช่งส่งท้าย หัวเราะเยาะและดีใจ วิญญาณจะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่มีความสุข

ส่วนผู้ที่ประกอบกรรมดี เมื่อตายไปแล้วก็จะมีแต่ผู้รักใคร่อาลัยหา รู้ถึงไหนก็มีแต่ความเศร้าโศกและเสียน้ำตา มีแต่ผู้ยกย่องสรรเสริญเสียดาย เหลือความดีไว้เห็นอนุสรณ์แก่ผู้อยู่ข้างหลังให้ระลึกถึงอยู่ไม่วาย ส่วนทรัพย์สินเงินทองมากมายนั้นก็กระจัดกระจายออกไปเป็นสมบัติของโลกต่อไป นี่เป็นประสบการณ์ที่ข้าพเจ้าได้รู้เห็นมา และยังนึกถึงอยู่เสมอ

สิ่งที่ข้าพเจ้าสนใจและจำได้ ก็คือ หลวงพ่อท่านได้สอนให้คนป่วยที่ได้มีสติดีก่อนจะสิ้นใจ ให้ทำสมาธิตัดความรู้สึกต่างๆ ให้สูญไป ตรงกับคนสมัยก่อนบอกทางให้คนก่อนจะสิ้นใจให้นึกถึงพระอรหันต์เท่านั้น อดคิดไม่ได้ว่าคนโบราณคงจะแนะให้ทำสมาธิแบบของหลวงพ่อ แต่นานวันก็คงลืมคำปฏิบัติ คงเหลือแต่เพียงคำว่าให้ระลึกถึงพระอรหันต์เท่านั้น

ที่เล่ามานี้เป็นเรื่องประสบการณ์ในชีวิตจริงของนายแพทย์ผู้เป็นแขกคนที่สองของคุณพี่ เมื่อท่านเล่าจบลงแล้ว ผู้เขียนคือข้าพเจ้าก็อดคิดไม่ได้ว่า ก่อนหน้าที่ข้าพเจ้าจะเขียนเรื่องนี้ ได้พบกับนายแพทย์ผู้มีอาวุโสผู้หนึ่งท่านมีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนามาก ได้พิมพ์หนังสือธรรมะแจกเป็นธรรมทานมาตลอดเวลา เป็นที่รู้จักในหมู่ชาวพุทธทั่วไป ท่านได้ให้เกียรติมาสนทนากับข้าพเจ้าที่บ้านหลายครั้ง ตอนหนึ่งท่านได้พูดว่า

“เรื่องกฎแห่งกรรมนี้ผมเชื่อ ใครทำชั่วก็ได้ชั่วตอบแทน ผมได้ประสบการณ์เรื่องจริงมากับตนเองแล้ว คือว่าที่จังหวัดพระนครเหนือ มีแม่ค้าขายข้าวอยู่ร้านหนึ่ง การค้าของร้านนี้อยู่ในสภาพซื้อง่ายขายคล่อง แต่มีวิธีเพิ่มกำไรให้มากขึ้นโดยทางไม่สุจริตคือ ตักข้าวสารออกกระสอบละหนึ่งถ้วย แล้วใส่รำข้าวลงไปแทน ข้าวเป็นจำนวนมากกระสอบด้วยกัน ก็ทำให้ร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้เหมือนกัน

ฉะนั้น การค้าจึงร่ำรวย มีตึกแถวทรัพย์สินเงินทองมากมาย ต่อมาภายหลังเมื่อถึงอายุขัยก็ล้มป่วยลง กรรมตามสนอง รับประทานอะไรไม่ถูกปากกินอะไรไม่ได้ ไม่ว่าอาหารนั้นจะดีสักปานใด อยากกินแต่รำเท่านั้น ฉะนั้นอาหารทุกชนิดที่ปรุงมาต้องใส่รำปนลงไปจึงกินได้ แม้แต่น้ำใสสะอาดก็ต้องปนรำ มิฉะนั้นก็ดื่มไม่ได้ แม้กระทั่งยารักษาโรคก็เช่นกัน นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าคิดมาก การปนรำลงไปในข้าวสารนั้นนับเป็นบาปชั้นเบา เมื่อเทียบกับการสร้างบาปในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีกรรมตามสนองทันตา เห็นเป็นสิ่งที่น่าคิดมาก”

และข้าพเจ้าเองก็มีความสนใจในเรื่องพระภิกษุสงฆ์ผู้ทรงศีลที่มีคุณธรรมสูง ได้พยายามถามหากับท่านผู้เล่าเรื่องนี้ แต่ก็น่าเสียใจเพราะเรื่องเหล่านั้นมันเกิดขึ้นนมนานมาแล้ว และพระภิกษุสมภารนั้นท่านก็มรณภาพ และชายหนุ่มผู้นั้นก็ได้สละโลกีย์เข้าสู่ในร่มโพธิ์องค์พระพุทธศาสนา ท่องเที่ยวธุดงค์ไปในส่วนต่างๆ ของประเทศไทย



..................... เอวัง .....................
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
^^^
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 09 ส.ค. 2006, 6:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สาธุ สาธุ สาธุ
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง