Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ความดี (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 4:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ความดี
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



ชีวิตของสัตว์โลกที่เกิดมาใต้ดวงอาทิตย์ ย่อมจะมีเรื่องแปลกประหลาดมหัศจรรย์เกิดขึ้นได้ทุกยุคทุกสมัย ทุกวันทุกเวลามีทั้งเรื่องดีและเรื่องชั่ว มีทั้งผู้ประกอบความดีด้วยคุณธรรมสูง และผู้ประกอบกรรมชั่วด้วยจิตใจต่ำเหี้ยมโหดดุร้าย มีเรื่องแปลกมหัศจรรย์เกิดขึ้นเสมอตลอดมา หากบางเรื่องเกี่ยวกับคนใหญ่คนโตก็เป็นสิ่งที่สนใจของประชาชน เรื่องก็แพร่ออกไปรู้กันทั่วเมืองทั่วประเทศ หากบางเรื่องเกิดขึ้นในหมู่บ้านหรือในหมู่คณะประชาชนก็ไม่สนใจนัก เรื่องก็รู้อยู่ในวงแคบๆ แม้จะได้เล่าสู่กันฟังก็อยู่ในวงจำกัด

เมื่อผู้ประสบการณ์ได้จากโลกนี้ไปเมื่อสิ้นอายุขัย เรื่องราวต่างๆ ที่น่ารู้น่าศึกษาก็สูญสิ้นไปด้วยเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง อนุชนรุ่นหลังไม่มีโอกาสที่จะรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครบันทึกจดจำเอาไว้เป็นอักษรเผยแพร่

หากจะมีผู้นำมาเล่าสู่กันฟังและก็เป็นธรรมดาการเล่าด้วยปากเปล่า ย่อมจะมีขาดตกบกพร่องในข้อความสำคัญ หรืออาจต่อเติมเปลี่ยนแปลงผิดจากความจริงกัน ต่อๆ ไป เหลือความจริงน้อยลง แล้วค่อยๆ เลือนลาง ไม่ช้าก็ลืมเหตุการณ์ที่ควรจะสนใจ ไม่ถาวรยั่งยืน เพื่อเป็นอนุสรณ์สมบัติของอนุชนรุ่นหลัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนักหากท่านผู้ใดได้ประสบการณ์ที่ประหลาดมหัศจรรย์ พอจะเป็นเรื่องเตือนในศีลธรรม ขอให้ช่วยกันบันทึกไว้ อาจเป็นประโยชน์แก่เยาวชนในอนาคตข้างหน้า

เรื่องที่ข้าพเจ้าจะบรรยายต่อไปนี้ เป็นเรื่องของท่านผู้เป็นทนายความ เป็นแขกของคุณพี่ผู้หนึ่ง ซึ่งท่านผู้นี้มีจิตใจเมตตาปรานี เมื่อเห็นผู้ใดได้รับความทุกข์ก็มีจิตใจสงสาร เมื่อรู้ว่าผู้บริสุทธิ์กำลังตกอยู่ในอันตราย ก็พยายามช่วยให้พ้นทุกข์ เมื่อมีโอกาสก็จัดการช่วยเหลือ โดยไม่ต้องให้ผู้ใดออกปากร้องขออ้อนวอน และไม่หวังสินจ้างรางวัลใดๆ ทั้งสิ้น ทำเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เพื่อมนุษยธรรม และเมื่อได้ช่วยเหลือให้พ้นจากภัย สิ่งที่ได้รับก็คือความปีติยินดีเกิดขึ้นทางจิตใจ เป็นเครื่องตอบแทน เป็นความรู้สึกอันสูงค่ายิ่งกว่าทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น

ต่อมาท่านผู้นั้นก็ลืมเรื่องเหล่านี้กลายเป็นเหตุการณ์ในอดีต ดังท่านผู้นั้นได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ข้าพเจ้าฟังภายหลังว่า วันหนึ่งผมได้ขับรถส่วนตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดพร้อมด้วยครอบครัว มีภรรยาและบุตรชายที่ยังเด็กอีก ๒ คน ขากลับเมื่อมาถึงหมู่บ้านริมทาง มีร้านค้าอาหารและขายของใช้ บุตรชายของผมเกิดอยากจะกินฝักบัวซึ่งชาวบ้าน และเด็กๆ นำใส่กระจาดมาขายผม จึงหยุดรถริมทางหน้าร้านขายอาหาร ผมเร่งให้ภรรยารีบเลือกซื้อฝักบัวให้เด็ก เพราะตั้งใจจะรีบกลับ ไม่อยากกลับถึงบ้านดึกเกินไป เพราะระยะทางอีกประมาณสองชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ และฝนก็ตั้งเค้ามาแล้ว

การขับรถกลางคืนเวลาฝนตกนั้นไม่มีความสะดวก ระหว่างภรรยาผมกำลังเลือกซื้อและต่อราคากันนั้น ผมได้มองเข้าไปในร้านอาหาร ก็บังเอิญมองไปเห็นชายผู้หนึ่ง อายุประมาณ ๔๐ เศษ กำลังจ้องมองดูผมอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อผมไปสบตาเข้า แกก็รีบหลบสายตาไปทางอื่น แสดงกิริยาพิรุธ ผมจึงมีความสงสัย ได้พยายามดูหน้าตารูปร่างของแกแล้ว เป็นผู้ที่ไม่เคยรู้จักและเคยเห็นมาก่อน พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก จึงแน่ใจว่าชายผู้นี้ไม่เคยพบและรู้จักกันมาก่อน เมื่อตัดความไม่เคยรู้ออกแล้ว คราวนี้ก็มีปัญหาที่จะพิจารณาดูว่าชายผู้นี้มีความหวังดีหรือหวังร้าย

การที่จ้องหน้าผู้ที่ไม่เคยรู้จักโดยไม่มีเหตุผลนั้นไม่ได้ ถ้าหวังร้ายก็ต้องมีผู้จ้างมาคอยดักทำร้ายแต่ข้อนี้ก็มองไม่เห็น เพราะผมไม่เคยมีเรื่องกับใครพอที่จะสร้างความเจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้ผู้อื่นทุกข์ยากลำบาก ได้ทราบแต่ผู้ที่มีศัตรูคอยอาฆาตก็คือพวกที่หักหลังหรือฉ้อโกง เป็นชายชู้กับภรรยาของผู้อื่นซึ่งเป็นที่รักหวงแหน เป็นการย่ำเกียรติและหยามหน้ากัน ทำให้เจ็บแค้นแสนสาหัส ทำให้เกิดพยาบาทคอยจองเวรกันตลอดไป สิ่งเหล่านี้ผมไม่เคยประพฤติเรื่องเช่นนี้ ไม่มีใครรู้ดีเท่าตัวของตัวเอง

ฉะนั้น ปัญหาเรื่องมีศัตรูคอยปองร้ายจึงแน่ใจว่าไม่มี และคราวนี้ก็คงเหลือปัญหาเดียว ก็คือคนร้ายคอยปล้นคอยจี้ พวกนี้ไม่เลือกว่าเหยื่อของตนนั้นจะเป็นใคร ถ้ามีทรัพย์สินพอที่จะจี้ได้ก็ไม่สนใจ ใครดีใครชั่วแม้แต่ผู้ทรงศีลก็ไม่ละเว้น แม้แต่พระพุทธรูปก็ยังตัดพระเศียรได้ เมื่อนึกถึงเพียงนี้ก็ไม่สบายใจ

แล้วพิจารณากิริยาท่าทางของชายผู้นั้นดูอีกครั้ง ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้มีลักษณะเช่นนี้คงไม่เป็นผู้ร้ายแน่ และคงเหลือปัญหาข้อเดียวคือ แกคงจำคนผิด ฉะนั้นจึงจ้องมองดูอย่างไม่แน่ใจ ที่สุดปัญหาต่างๆ ก็คลี่คลายไปในทางที่ดี เมื่อมองดูบริเวณนั้นก็เห็นรถบรรทุกใช้งานอยู่สองคัน จึงคิดว่าคงจะเป็นคนงานหรือคนขับรถ ฉะนั้นความสงสัยแต่แรกก็สิ้นสุดลงด้วยความสบายใจ

เมื่อภรรยาผมได้ซื้อของตามที่ต้องการแล้ว ผมก็ขับรถวิ่งตรงเข้ากรุงเทพฯ ทันที เวลานั้นฝนตกกำลังลงเม็ด แม้จะไม่ตกมากนักแต่ก็พอทำให้ถนนเปียก ทำให้ขับรถต้องระวังเพราะถนนลื่น ยิ่งเป็นถนนที่ราดยางก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น เมื่อรถออกวิ่งมาได้ประมาณ ๒๐ นาที ถนนตอนนั้นลื่นมาก เพราะรถขนดินได้ทำดินตกหล่นไว้กลางถนน เมื่อถูกฝนละลายเป็นโคลน ทำให้ถนนซึ่งลื่นอยู่แล้วเพิ่มความลื่นมากขึ้น ทำให้ท้ายรถปัดไปปัดมาผมคุมพวงมาลัยไม่อยู่ เพราะกลัวจะคว่ำเป็นอันตรายแก่เด็ก ผมก็จำเป็นต้องปล่อย เพียงแต่คอยประคองพวงมาลัยให้มันค่อยๆ ไหลลงในที่นาที่ดินชื้นแฉะ

เวลานี้ผมใจหายหมดเพราะกลัวรถจะคว่ำจะเป็นอันตรายแก่เด็กและผู้หญิง เมื่อรถไหลลงไปถึงที่ก็จอดนิ่งอยู่ที่นา ข้างล่างคันนากับพื้นถนนที่รถไหลลงไปนั้นสูงพอใช้ เมื่อผมดูคันนากับขอบถนนก็รู้ดีว่า ผมหมดปัญญาหมดความสามารถที่จะนำเอารถขึ้นสู่ถนนได้โดยปลอดภัย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมก็เริ่มตกหนาเม็ดขึ้น เมื่อจะลงจากรถก็ไม่รู้ว่าจะไปหลบฝนที่ไหน จะเปิดประตูรถออกมาก็ต้องย่ำลงไปในดินโคลนท้องนา จะต้องถอดรองเท้า จะนั่งอยู่เฉยๆ รอเวลาก็คงไม่มีวันที่จะนำรถขึ้นมาจากท้องนาได้ ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด

แต่ก็ลองติดเครื่องเข้าเกียร์หนึ่ง แล้วเร่งเครื่องเพื่อจะให้รถหลุดพ้นจากหล่มโคลน ยิ่งเร่งเครื่องล้อหมุนอยู่กับที่ รถยิ่งจมลึกลงไปในโคลน แม้จะเข้าเกียร์ถอยหลังแล้ว เดินหน้าเท่าใดรถก็ไม่เขยื้อนจากที่ได้ กลับยิ่งจมลึกลงไปในดินมากขึ้น เกือบจะติดตัวถังใต้ประตู ผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เหงื่อออกชุ่มเสื้อแข่งกับน้ำฝน หมดปัญญาแก้ปัญหาไม่ตก เมื่อรู้ว่าตัวเองหมดความสามารถ จึงคิดว่าจะพึ่งรถที่วิ่งผ่านไปมา คงจะมีคนเห็นอกเห็นใจบ้าง

เมื่อมองดูสภาพของรถแล้วก็เห็นอาการหนัก โคลนดูดเข้าไปตั้งครึ่งคัน ยังไม่เห็นว่าเขาจะช่วยเราได้อย่างไร ยิ่งฝนตกก็ยิ่งเป็นหล่มมากขึ้น เมื่อเป็นว่าฝนซาลงจวนจะหยุด ผมก็จัดแจงถอดรองเท้าไว้ในรถ และสั่งคนในรถ บอกว่าให้นั่งอยู่เฉยๆ ผมจะไปขอร้องให้คนเขามาช่วย เสร็จแล้วผมก็เปิดประตูรถบุกขึ้นมาบนถนน เมื่อมายืนบนขอบถนนแล้ว ก็คอยว่าเมื่อไหร่จะมีรถวิ่งผ่านมาจะได้โบกมือให้หยุด แล้วขอความช่วยเหลือ แต่รออยู่ไม่ช้าก็มองเห็นรถแล่นมาแต่ไกลจะเข้ากรุงเทพฯ



(มีต่อ 1)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 4:40 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมจึงโบกมือตั้งแต่รถยังอยู่ไกล เพื่อให้คนขับมีเวลาเบาเครื่อง แต่รู้สึกว่าไม่ได้ผล เพราะรถคันนั้นไม่ยอมเบาเครื่อง กลับเร่งเครื่องผ่านไปอย่างรวดเร็ว ซ้ำคนที่นั่งมาข้างคนขับโบกมือส่ายไปส่ายมา คล้ายกับว่าไม่ใช่ธุระของเขา เมื่อยืนนึกว่าเมื่อรถเขาไม่ช่วยแล้วเราจะทำอย่างไรดี

มองดูบ้านชาวนาเห็นอยู่ไกลลิบๆ ถ้าเราบุกเข้าไปที่บ้านชาวนากว่าจะถึงก็คงเสียเวลานาน ซึ่งไม่สามารถจะกำหนดแน่นอน ถึงไปถ้าหากไม่มีใครเขายอมมาช่วยก็คงเสียเวลาเปล่า และก็ไม่รู้จะให้ช่วยอย่างไร นอกจากจะช่วยเกณฑ์คนมาสัก ๑๐ คนก็พอจะมีทาง และจะทิ้งเด็กและผู้หญิงไว้ในรถในสถานที่เวิ้งว้างเช่นนี้ก็ไม่ควร

ถ้าไม่รีบนำรถขึ้นจากนาในไม่ช้าก็จะค่ำ พวกเด็กคงหิวเพราะในรถไม่มีอาหารหนัก กำลังคิดแก้ปัญหาไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี ฝนก็ตกลงมาหนาขึ้นจะลงไปหลบฝนในรถก็ใช่ที่ ครั้นจะยืนอยู่บนถนนก็ไม่มีที่หลบฝน ก็พอดีเห็นรถงานอีกคันหนึ่งวิ่งมาทางจะเข้ากรุงเทพฯ ฝนก็ตกผมกำลังคิดว่าจะยกมือขอความช่วยเหลือดีไหม กลัวเขาจะผ่านไปโดยไม่ใยดี เพราะฝนกำลังตกหนาเม็ด เมื่อครู่ฝนหายรถผ่านมาขอความช่วยเหลือ เขาก็ไม่สนใจจะช่วยโดยผ่านไป แต่บัดนี้ฝนกำลังตกแล้วจะมีใครบ้างจะใจดีหยุดรถช่วยในเวลาฝนตกเช่นนี้ เขาคงจะผ่านไปเหมือนคันที่แล้วมาเป็นแน่

กำลังนึกงงไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี ก็พอดีรถคันนั้นกำลังผ่านหน้าไป มองเห็นชายที่มองผมที่ร้านอาหารนั่งมาข้างหน้ารถ และมีชายร่างกายล่ำสันหลายคนนั่งอยู่ในกระบะ โดยเอาผ้าน้ำมันผืนใหญ่บังหัวไว้คลุมไม่ให้เปียกตลอดทุกคน กันฝนที่ตกลงมาและต่างก็เอามือยันผ้าขึ้นเพื่อให้อากาศเข้าและมองเห็นข้างทาง ผมมองดูรถที่ผ่านไปด้วยความหมดหวัง นึกติตัวเองที่ไม่โบกมือขอความช่วยเหลือ เขาจะช่วยหรือไม่ช่วยมันอีกเรื่องหนึ่ง ควรจะลองดู นึกเสียใจที่ยืนงงตัดสินใจไม่ถูก ที่ปล่อยให้รถคันนั้นผ่านไปโดยไม่ได้ขอความช่วยเหลือ

กำลังนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ก็พอดีเห็นรถคันที่ผ่านเลยไปแล้วเหยียบห้ามล้อหยุดรถห่างจากที่ผมยืนประมาณ ๒๐–๓๐ วา แต่แล้วก็ถอยหลังมาหยุดรถตรงที่ผมยืนอยู่พอดี ทันใดนั้นชายผู้ที่จ้องหน้าผมที่ร้านอาหาร ก็กระโดดลงจากรถอย่างว่องไวแล้วก้มหัวยกมือไหว้นอบน้อม ผมเองก็งงบอกไม่ถูกว่า ผมรู้สึกอย่างไรในเวลานั้น เสียงผู้ชายผู้นั้นพูดว่า

"ท่านจะให้ผมทำอะไร โปรดใช้มาเถิดครับ"

ผมยังไม่หายงงและเกิดตื้นตันใจ เหมือนมีอะไรจุกอยู่ในลำคอสะอื้นอยู่ในอก ได้แต่ชี้มือลงไปข้างทางเหมือนคนใบ้พูดอะไรไม่ออก แต่ชายผู้นั้นรู้ความหมายดี นี่ก็แสดงให้เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อครู่นี้หลังจากผมได้โบกมือ ขอให้รถงานคันนั้นหยุดขอความช่วยเหลือ แต่แล้วความหวังก็สูญสิ้นไป

แต่แล้วก็มีรถงานเช่นเดียวกันผ่านมา แต่ผมไม่กล้าขอความช่วยเหลือเพราะเข็ด แต่แล้วสิ่งที่ไม่นึกไม่ฝันก็เกิดขึ้น รถคันที่ไม่ได้ขอความช่วยเหลือกลับยินดีช่วยเหลือด้วยความเต็มใจ แม้แต่ฝนกำลังตกก็ไม่ย่อท้อ ผมเห็นชายรูปร่างล่ำสัน ๘ คน ได้รีบลงจากรถพร้อมทั้งคนขับด้วยความว่องไว เมื่อชายผู้นั้นบอกว่า

"พวกเรามาช่วยกันนำรถของท่านขึ้นจากท้องนาหน่อย"

แต่แล้วผมก็เห็นเหล่าชายฉกรรจ์พวกนั้น หยิบเชือกยาวออกมาจากรถคันนั้น แล้วก็ถอยรถงานคันนั้น เอาท้ายรถจ่อข้างถนนให้ใกล้กับรถของผม แล้วก็ผูกไว้ท้ายรถบรรทุกอีกข้าง เขาก็บุกลงไปผูกไว้ใต้หน้าหม้อน้ำที่รถของผม เมื่อผูกเสร็จเรียบร้อย ชายผู้เป็นหัวหน้าสั่งงานเปิดประตูขึ้น ไปนั่งบนรถเก๋งของผม โดยไม่ต้องให้เด็กและผู้หญิงลงจากรถ ผมจะเข้าไปช่วย ชายผู้นั้นพูดว่า.....

"ท่านไม่ต้องลำบากหรอกครับ ปล่อยให้พวกผมทำประเดี๋ยวก็เรียบร้อย ไม่ยากเย็นอะไร อย่าว่าแต่รถเก๋งเบาๆ เลยครับ รถกุดังใหญ่ๆ หนักกว่านี้มากพวกผมก็เอาขึ้นมาได้ โดยไม่ลำบากนัก"

ผมได้แต่ยืนดู ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาจัดการ รู้สึกว่าคนเหล่านั้นทำงานกันด้วยความสามัคคีประสานงานกันอย่างรวดเร็ว และทุกคนทำงานด้วยความเต็มใจและว่องไว ผมเองก็อดชมไม่ได้ เมื่อผูกเชือกเรียบร้อยเพื่อใช้รถบรรทุกลากรถของผม ทันใดนั้นชายฉกรรจ์อีก ๗ คน ก็บุกลงไปในนาคอยเข็นหลังรถเก๋งผม

เมื่อรถบรรทุกเริ่มดึงรถของผมขึ้นจากหล่ม ชายผู้นั่งถือพวงมาลัยอยู่ในรถของผมก็เดินเครื่อง แล้วใช้เกียร์หนึ่งเข้าช่วยแรงชายทั้ง ๗ คนช่วยยกและดันช่วยแรงทางท้ายรถ แต่แล้วรถของผมก็ถูกลาก และถูกยกและถูกดันก็เคลื่อนจากที่ติดหล่มในนา ก็ค่อยๆ ถูกดึงถูกดันขึ้นมาอยู่บนถนนอีกครั้งหนึ่ง และเตรียมพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้

ผมเห็นชายเหล่านั้นเปื้อนโคลนเปียกฝน ไม่เห็นมีใครบ่นว่ายากลำบาก มีแต่หน้าตายิ้มแย้มหัวเราะ และทำงานด้วยความสนุกสนานด้วยสมัครใจ ผมอดนึกชมเชยไม่ได้ ผมได้พูดกับชายผู้เป็นหัวหน้าสั่งงานว่า

"ผมไม่รู้ว่าจะพูดขอบใจอย่างไรถูก เพราะผมดีใจจนน้ำตาไหล พูดไม่ออกที่พวกคุณได้มีน้ำใจ ให้ความกรุณามาช่วยเหลือนำรถของผมขึ้นมาอยู่บนถนนได้ โดยผมไม่ทันได้ร้องขอ ผมนึกว่าจะแย่เสียแล้ว คิดว่าวันนี้คงหมดหวังจะนำรถกลับบ้าน นับว่าเป็นบุญคุณที่ผมไม่สามารถจะลืมได้ ที่พวกคุณได้เห็นอกเห็นใจผมช่วยเหลือผมในเวลาลำบากเช่นนี้ และมิได้นึกถึงความยากลำบากแค้น ต้องเปียกต้องเปื้อนโคลนก็ไม่นึกรังเกียจ"

เสียงผู้ชายผู้ที่จ้องมองดูผมที่ร้านอาหารพูดขึ้นว่า "คนทำความดีอย่างท่านไม่ถึงที่อับจนง่ายๆ หรอกครับ"

ผมได้ยินชายผู้นั้นพูดเป็นนัย ก็ชักสงสัย แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไร เพราะทุกสิ่งมันคล้ายกับฝันร้าย และเวลานี้กำลังตื่นจากฝันร้าย ผมก็ยังงงๆ มองดูบางคนก็เอากระป๋องจากรถบรรทุกลงไปตักน้ำในคูข้างทางอีกฝั่งหนึ่ง ช่วยล้างรถล้างโคลนที่ติดล้อและต่างก็ช่วยกัน บางคนก็แก้เชือกที่ผูกรถออก เพราะหมดความจำเป็นที่จะใช้แล้ว

ผมยืนนึกว่าชายเหล่านี้เป็นผู้ที่หาเช้ากินค่ำ อุตส่าห์ช่วยเหลือทำงานอย่างเต็มใจเช่นนี้ ก็ควรจะได้รับการตอบแทนอย่างงามบ้าง ถ้าไปจ้างอู่มายกขึ้นก็คงจะเสียเงินอย่างน้อยก็หลายร้อยบาท และทั้งเสียเวลาต้องลำบากไปอีกนาน จึงคิดว่าผมจะให้เงินชายใจดีเหล่านี้คนละ ๒๐ บาท เพื่อเป็นสินน้ำใจ เพราะคนที่มีน้ำใจดีในกลุ่มกรรมกรหาเช้ากินค่ำเช่นนี้หาได้ยาก และแล้วผมก็หยิบธนบัตรฉบับละยี่สิบบาทยื่นส่งให้เป็นรายตัว พลางพูดว่า

"ขอให้รับไว้ อย่านึกว่าเป็นค่าสินจ้างเลย พร้อมทั้งขอขอบใจอย่างสูงจากผมด้วย"

แต่ผมก็ได้รับความแปลกประหลาดใจอีกครั้งหนึ่ง เพราะผมได้ยื่นเงินให้คนไหน เขาก็ก้มศรีษะลงยกมือไหว้ยิ้มอย่างมีความสุข สั่นศรีษะไม่ยอมรับเงินที่ผมยื่นให้แล้วพูดว่า

"ขอให้ผมรับใช้ท่านโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนดีกว่าครับ"



(มีต่อ 2)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 5:17 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมงงเพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่ชายเหล่านี้คล้ายกับนัดกันไว้ไม่ยอมรับเงินที่ยื่นให้ ถ้าไม่ประสบกับตัวเองแล้ว ผมก็คงจะไม่เชื่อว่า กรรมกรหาเช้ากินค่ำจะมีน้ำใจยอมทำงานให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ผมจึงถามชายผู้เป็นหัวหน้าและเป็นชายคนเดียวกันกับคนที่มองดูผมที่ร้านขายอาหาร ซึ่งเป็นผู้ที่ผมไม่ไว้ใจมาแต่แรก บัดนี้รู้ชัดแจ้งแล้วว่าชายผู้นั้นเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ เป็นหัวแรงนำรถของผมขึ้นจากท้องนาว่า

"ทำไมพวกคุณจึงไม่ยอมรับค่าตอบแทนที่ผมได้ให้ด้วยความเห็นอกเห็นใจ"

แต่แล้วผมก็เห็นชายผู้นั้นยกมือไหว้ แล้วพูดด้วยเสียงเครือๆ คล้ายจะร้องไห้แสดงความตื้นตันใจว่า "ท่าน..... ท่าน..... จำผมไม่ได้หรือครับ ท่านได้เคยช่วยชีวิตผมไว้ครั้งหนึ่ง"

ขณะที่พูดน้ำตาของแกไหลออกมาจากเบ้าตา ผมเห็นกิริยาท่าทางของแกเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้น ก็สงสัย และงงเพราะยังไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ได้พิจารณาดูแกเท่าไรก็นึกไม่ออก จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเคยพบเคยช่วยชีวิตแกที่ไหนมาก่อน นึกว่าชายผู้นี้คงจะเข้าใจผิดไปว่าผมเหมือนกับใครคนหนึ่งที่แกเคยรู้จัก และมีบุญคุณต่อแกอย่างใหญ่หลวง และผู้นั้นคงมีรูปร่างเหมือนผมแน่ ผมจึงพูดกับแกว่า

"คุณคงจะเข้าใจผิด และจำคนผิดก็ได้ ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่เคยพบเห็นคุณมาก่อนเลย ขอโทษที่ผมพูดความจริงเพื่อให้คุณหายเข้าใจผิด"

แต่ความจริงผมก็ไม่ควรตัดสินใจ พูดตรงๆ เช่นนั้น เพราะจำทำให้แกเสียน้ำใจ แต่ผมก็เป็นผู้เคารพความจริง เพราะผมจำไม่ได้และไม่อยากให้ผู้อื่นเข้าใจผิดด้วย แต่ชายนั้นกลับพูดอย่างแน่ใจอีกครั้งว่า

"ไม่ผิดครับ ผมจำท่านไม่ผิดแน่ แม้เวลาจะล่วงเลยไปนานแล้วก็ดี แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก ผมเห็นท่านเมื่อท่านจอดรถซื้อของที่ตลาดแล้ว ผมตั้งใจจะเข้าไปแสดงความเคารพท่าน แต่ไม่กล้า เพราะผมรู้ว่าท่านจำผมไม่ได้แน่ แต่ผมจำหน้าท่านได้ และนึกถึงตลอดมาไม่เคยลืมเลย นึกถึงพระเดชพระคุณที่ท่านได้เคยช่วยในครั้งนั้น เพราะถ้าไม่ได้ท่านในคราวนั้น ผมก็ไม่แน่ใจว่าผมจะได้อยู่เป็นคนถึงบัดนี้หรือไม่ คนที่มีบุญคุณกับผมนั้นผมไม่เคยลืมเลย ผมจึงจำได้อย่างแม่นยำไม่ผิดแน่"

ผมได้ฟังแล้วยังงงนึกเท่าไรก็นึกไม่ออก มองดูรอบตัวก็เห็นพวกของชายผู้นั้นมายืนสงบ คอยฟังคำโต้ตอบของผมกับชายแปลกหน้าผู้นั้นอยู่อย่างสนใจ เวลานี้ฝนหยุดตกแล้ว ผมคิดว่าควรจะซักถามความจริง เพื่อให้แจ่มแจ้งแน่ใจว่า ชายผู้นี้ไม่เข้าใจผิดในตัวผมจึงบอกว่า

"ไหนคุณลองเล่าเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งทำให้ผมเข้าไปพัวพันช่วยเหลือคุณไว้ บางทีอาจทำให้ผมรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ขึ้นมาได้บ้าง เพราะผมอาจลืมไปอย่างที่คุณว่าก็ได้"

ชายนั้นกลืนน้ำลายแล้วก็เริ่มเล่าเรื่องว่า "เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ เวลานั้นญี่ปุ่นยังไม่เข้าสู่สงคราม เรากำลังเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ผมมีพี่น้องสามคนด้วยกัน ผมเป็นพี่คนโต และมีน้องชายอีกสองคน นอกจากนั้นยังมีแม่ที่อยู่ในวัยชราอยู่คนหนึ่ง มาขอร้องให้ผมบวช เพื่อแม่จะได้เห็นชายผ้าเหลืองของลูก ผมเป็นคนเคารพพ่อแม่ ผมจึงบวชเป็นพระสงฆ์เพื่อตามใจแม่ และเพื่ออุทิศบุญกุศลให้ท่านและให้บิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว และยังเห็นว่าน้องชายอีกสองคนพอจะทำงานได้เงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขได้ตามสมควร ผมก็พอนอนใจได้ไม่ต้องเป็นห่วง"

ต่อมาเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เพราะประเทศไทยเวลานั้น มีผู้นำได้เรียกร้องดินแดนที่เคยเสียไปเมื่อ ร.ศ. ๑๑๒ คืนจากฝรั่งเศส ถึงกับประชาชนเดินขบวนสนับสนุน ในที่สุดก็ส่งทหารบุกเข้าอินโดจีนเข้ายึดดินแดนที่เสียไปคืนมา

ในที่สุด น้องชายของผมทั้งสองคนก็ถูกเกณฑ์เข้ารับราชการทหาร และได้ถูกส่งไปสงครามชายแดน ทางบ้านผมคงมีมารดาผมคนเดียว แต่บังเอิญมีหลานสาวห่างๆ มาอยู่เป็นเพื่อนคอยหุงหาอาหารให้กิน ต่อมาทหารญี่ปุ่นก็ขึ้นประเทศไทย ทำให้ประเทศไทยต้องประกาศสงครามกับมิตรประเทศด้วยความจำเป็น เวลานั้นผมยังบวชเป็นพระ แต่การจำศีลภาวนาเล่าเรียนพระธรรมวินัยไม่สะดวกด้วยจิตใจไม่สงบไม่มีสมาธิ ตั้งแต่น้องชายเป็นทหารไปราชการสงครามชายแดน จิตใจผมเป็นห่วงแม่อยู่ตลอดเวลา

ต่อมาทางพันธมิตรก็ส่งเครื่องบินเข้าโจมตีพระนคร และหลานสาวห่างๆ ก็จัดการแต่งงานไปอยู่กับสามี ความเป็นห่วงแม่จนไม่สามารถจะบวชเป็นพระอยู่ต่อไปได้ จึงตกลงตัดสินใจลาอาจารย์ขอสึกออกมาเพื่อเลี้ยงดูมารดาแทนน้องชายทั้งสองคน

หลังจากได้สละเพศพรหมจรรย์ได้เพียงสามวัน เมื่อผมออกจากวัดในวันที่สามนั้นเอง ผมได้เดินทางผ่านมาทางค่ายพักของทหารญี่ปุ่นที่ยึดโกงดังสินค้าของฝรั่งไว้ ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงเอะอะได้ยินเสียงคนวิ่ง ผมเองก็ตกใจคิดว่าคงจะมีพวกใต้ดินของไทย ได้เริ่มทำการลุกขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นตามที่ผมเคยทราบมาทางลับ ทำให้ผมเกิดเป็นห่วงวิตกถึงแม่ กลัวจะไม่ปลอดภัย คิดว่าพวกใต้ดินเริ่มงานต่อต้านแล้ว

ผมก็ตั้งใจจะพาแม่ไปหลบหาที่พ้นภัย ผมวิ่งไปคิดไปแต่วิ่งไปได้ไม่ไกลนัก ก็ถูกทหารญี่ปุ่นสองคนซึ่งวิ่งมาทางไหนผมก็ไม่ทราบ ใช้มือรัดคอจับผมได้ และคุมตัวผมนำมาหานายทหารญี่ปุ่นที่ค่ายพัก ระหว่างทางที่คุมตัวผมมานั้นมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ทั้งชายทั้งหญิงออกมายืนดู และต่างก็วิจารณ์ความคิดเห็น มีชายสูงอายุผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า

"น่าสงสารอ้ายทิดที่สึกออกมา ผมยังไม่ทันยาวก็มางัดโกดังญี่ปุ่น ประเดี๋ยวก็โดนกรอกน้ำสบู่หรอกวะ ถ้ามันจับได้แล้วไม่มีใครหนีพ้นดื่มน้ำสบู่ไปได้"

เสียงที่พูดนั้นแสดงความเห็นใจและสงสาร ผมได้ยินแล้วตกใจเราจะทำอย่างไรดี นึกถึงแม่เป็นห่วงแม่ ถ้าเราเป็นอะไรไป แม่จะลำบากยากเย็นเพียงไหน เมื่อนึกแล้วผมก็มีความกลัวยิ่งนักผมเป็นคนบริสุทธิ์ แต่จะทำอย่างไรดี

จะบอกทหารญี่ปุ่นได้อย่างไรว่า ผมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขโมยงัดโกดังในครั้งนี้ การที่ผมวิ่งไปหาแม่นั้น ทำให้ทหารญี่ปุ่นคงเข้าใจผิดคิดว่าผมคงวิ่งหนี คงเป็นคนร้ายแน่ และคิดว่าคนร้ายตัวจริงก็คงวิ่งมาทางเดียวกับผม ยิ่งคิดก็ทำให้เป็นห่วงแม่ยิ่งขึ้น ถ้าทหารญี่ปุ่นนำไปทรมานจนตายแม่ก็คงไม่รู้เรื่อง แม่คงหลงเข้าใจผิดว่าลูกหนีแม่ไป

แต่ถ้าแม่รู้เรื่องแม่คงตกใจและเสียใจมาก อุตส่าห์สึกออกมาตั้งใจจะทำงานหาเงินมาเลี้ยงแม่ให้มีความสุขแทนน้องชาย แต่ไม่นึกว่าเคราะห์กรรมมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้จะทำอะไรดี ได้แต่อธิษฐานว่า ผลของการกตัญญูต่อแม่บังเกิดเกล้า และความบริสุทธิ์ไม่มีความผิด ด้วยอำนาจทั้งนี้ ขอให้พระคุ้มครองให้พ้นจากภยันตรายด้วย

ทหารญี่ปุ่นทั้งสองคนก็คุมตัวผมเข้าไปมอบให้นายทหารในที่ทำการ ผมก็เห็นท่านนั่งอยู่ในนั้นด้วย และกำลังนั่งสนทนากับนายทหารญี่ปุ่น เมื่อนายทหารหันมาพูดกับทหารที่คุมตัวผมมา ท่านก็หันมามองดูผมด้วยสายตาที่บอกถึงความสงสารและเมตตา เมื่อท่านถามผมก็เล่าความจริงให้ท่านฟัง เมื่อนายทหารญี่ปุ่นคนนั้นสั่งให้นำผมเข้าไปในห้องทรมาน ท่านเป็นผู้ห้ามไว้ เท่านั้นท่านพอที่จะจำได้หรือยังครับ ?



(มีต่อ 3)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 5:20 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมได้ฟังตั้งแต่ชายผู้นั้นเริ่มเล่า ความทรงจำเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านไปในอดีตที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ก็ค่อยผุดขึ้นมาในความทรงจำอีกครั้งหนึ่ง ค่อยๆ มองเห็นภาพเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อแกถามผมว่า "ท่านจำผมได้หรือยังครับ" ผมได้ฟังเรื่องราวดูแล้ว ก็จำได้ถูกต้อง จึงพูดว่า

"คุณเล่าให้ผมฟังเช่นนี้ ผมก็นึกออกแล้ว ผมยังจำเรื่องราวต่อไปได้ดี ครั้งนั้นบังเอิญผมมีธุระกับนายทหารญี่ปุ่นที่ในค่าย ได้เห็นทิดสึกใหม่ผมยังสั้น คิ้วยังไม่ทันขึ้น ถูกทหารญี่ปุ่นคุมตัวเข้ามา ผมเห็นหน้าก็เกิดสงสาร เพราะหน้าซื่อๆ ไม่น่าจะเป็นขโมยงัดโกดัง เมื่อซักถามเรื่องราวดู ก็รู้สึกว่าเขาคงเจ้าใจผิดกันแน่"

ผมจึงถามนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นเป็นภาษาอังกฤษว่า "ท่านจับคนไทยคนนี้มามีโทษทำอะไรผิด"

นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นเป็นผู้มีนิสัยดี ได้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกรุงโตเกียวมาแล้ว เป็นคนมีความรู้และมีเหตุผล จึงบอกว่า "พวกนี้เป็นนักก่อกวน ได้ทำการงัดโกดังเก็บของขโมยเครื่องใช้สงครามไป เป็นการทำลายกำลังของมหาจักรพรรดิ เมื่อพูดถึงกฎอัยการศึกในเวลาสงครามแล้ว ชายผู้นี้ต้องมีโทษถึงประหารชีวิต"

ผมจึงถามว่า "ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านจับคนที่บริสุทธิ์ไม่มีความผิดมาลงโทษ เพราะเราคนไทยถือว่า การลงโทษคนที่ไม่มีความผิดบาปหนักมาก"

นายทหารผู้นั้นพูดว่า "จริง เราถือว่าถ้าลงโทษผู้ไม่มีความผิดนั้นเป็นบาป แต่คนนี้เห็นจะจับตัวมาไม่ผิดแน่"

นายทหารผู้นั้นตอบว่า "ก็ทหารของเรามารายงานว่าเขาวิ่งไล่ชายผู้นี้ออกไป ที่สุดก็ตามทัน ฉะนั้นคงจับตัวไม่ผิดแน่"

ผมจึงพูดว่า "ทหารของมหาจักรพรรดิเป็นทหารที่มีระเบียบวินัยดี มีความรักชาติยิ่งชีวิต เพราะทุกคนสละชีวิตเพื่อชาติและรักความเป็นธรรม เคารพเหตุผลเป็นที่ชมเชยกันทั่วโลก ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูจริงไหม"

นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ "พวกเราทหารของพระมหาจักรพรรดิทุกคน รักษาระเบียบวินัยและรักความยุติธรรมยิ่งชีวิต"

ผมจึงพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น ท่านจะอนุญาตให้เราสอบปากคำผู้ที่ท่านจับมานี้ เพื่อให้แน่ใจว่าท่านไม่ลงโทษคนบริสุทธิ์ได้ไหมและผมก็ไม่เคยรู้จักชายผู้นี้มาก่อน แต่ผมไม่อยากจะเห็นคนบริสุทธิ์ได้รับโทษ ถ้าเขาทำผิดจริง ผมก็ไม่ขัด เพราะผมไม่ชอบคนทุจริต"

นายทหารญี่ปุ่นคนนั้นรักษาความเป็นธรรม เป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือคนหนึ่งที่ผมเคยพบมา แกอนุญาตให้เวลาผม ๒๐ นาที เพื่อหาเหตุผลว่าชายผู้นี้บริสุทธิ์ ถ้าพิสูจน์ได้เป็นความจริง ก็จะปล่อยตัวไป เวลานั้นผมก็ยังไม่แน่ใจจะหาเหตุผลอันใด มาลบล้างข้อหาในเวลาจำกัดเช่นนี้ แต่ก็ต้องเสี่ยงดู ถ้าเป็นบุญกุศลก็คงช่วยได้ เมื่อผมสอบถามได้ความตามที่ชายผู้นั้นเล่ามาข้างต้นแล้ว ผมก็ยื่นมือไปจับมือแกเป็นการตกลงว่าผมจะช่วย และปลอบใจแกไม่ให้กลัว ก็รู้ว่าแกเป็นคนบริสุทธิ์แน่นอน ผมจึงพูดว่า

"คุณเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ต้องตกใจ คนมีความกตัญญูคงจะกลับไปหาแม่ของคุณได้ในวันนี้"

สายตาของชายผู้นั้นแสดงความหวังขึ้นมาพลางพูดว่า "ถ้าผมหลุดพ้นข้อหาไปได้ ผมก็เป็นหนี้บุญคุณของท่านไปตลอดชาติ ผมจะไม่ลืมเลย"

ผมจึงบอกกับชายผู้นั้นว่า "อย่าไปพูดถึงบุญคุณเลย ที่ช่วยนี่ก็เพราะคุณมีความกตัญญูต่อแม่ ซึ่งเป็นเพื่อนมนุษย์ที่กำลังได้รับทุกข์จึงอยากช่วย"

เวลานั้นไม่มีใครรู้ ผมมีหลักฐานเพียงพอแล้ว จึงบอกกับนายทหารญี่ปุ่นว่า อยากจะพบกับทหารญี่ปุ่นคนที่พบคนร้ายกำลังเข้างัดโกดัง ซึ่งเป็นเวลากลางวันแสกๆ อย่างกล้าหาญมาก เพราะรู้ว่ากลางวันทหารญี่ปุ่นไม่ค่อยกวดขันมาก ไม่ช้าทหารญี่ปุ่นผู้นั้นก็ถูกตามตัวมาให้ผมสอบ โดยผ่านนายทหารเป็นผู้แปลจากคำอังกฤษเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกทอดหนึ่ง ได้ความว่าทหารญี่ปุ่นผู้นี้เห็นคนร้ายทั้งสามคนรูปร่างล่ำสัน ถือชะแลงเหล็กคนละอันช่วยกันงัดประตูโรงเก็บของ แต่เมื่อเห็นเข้าก็เป่านกหวีดเรียกเพื่อนๆ มาสกัดจับ

แต่พวกขโมยมีแผนการรู้ทางหนีดี กว่าทหารญี่ปุ่นจะมาถึงต่างก็หลบหนีทิ้งชะแลงไว้ทั้งสามอัน ผมจึงขอให้เขานำชะแลงเหล็กที่พวกผู้ร้ายทิ้งไว้นำมาพิจารณาทั้งสามอัน ทหารญี่ปุ่นมีความสงสัยว่ามันไม่เกี่ยวกับการหาหลักฐาน แต่ผมว่ามันเกี่ยวแน่ แล้วผมก็ให้นายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นจดบันทึกไว้เป็นหลักฐานในเรื่องที่ผมได้ซักถาม และแกก็ตามผมอดนึกชมเชยนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นไม่ได้ว่า แกเป็นผู้รักความยุติธรรมอย่างน่านับถือ เพราะถ้าหากแกไม่ยอมเสียเวลาให้ผมสอบสวน โดยเอาอำนาจของแกตามอารมณ์เป็นใหญ่ แล้วเรื่องก็จะลงเอยกันด้วยความเศร้า

ผมถามย้ำกับนายทหารยามผู้นั้นว่า เห็นคนร้ายกำลังยกชะแลงเหล็กขึ้นงัดประตูทั้งสามคนนั้นแน่หรือ ก็ได้รับการยืนยันว่าแน่ไม่ผิด และว่าชายสามคนนั้นท่าทางแข็งแรงมาก เมื่อผมถามว่า เขาแน่ใจหรือเปล่าว่าชายผู้ที่ถูกจับมานี้ได้ร่วมการงัดโกดังด้วยชะแลงคนหนึ่งในสามคน แต่เมื่อนายทหารญี่ปุ่นคนนั้นพิจารณาดูก็เกิดความลังเลใจ แต่ก็ตอบว่า

"ถ้าเขาวิ่งหนีก็ต้องร่วมงัดโกดังด้วย ส่วนรูปร่างเขาไม่แน่ใจ เพราะเห็นแต่ไกลจำหน้าไม่ได้"

ผมจึงถามว่า "เคยมีผู้ร้ายมางัดโกดังมาก่อนหรือเปล่า"

ก็ได้รับคำตอบว่าประมาณยี่สิบวันมานี้ ก็มีคนร้ายมางัดโกดังครั้งหนึ่ง และรู้สึกว่าจะเป็นพวกเดียวกับพวกที่หนีไปวันนี้ ของที่ถูกขโมยไปวันนี้ มียางนอกยางในรถบรรทุกหายไปหลายเส้น เมื่อถามมาถึงเพียงนี้ก็หมดเวลาที่ได้อนุญาตนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้น จึงขอให้ผมอ้างหลักฐานเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ เพื่อจะให้ชายผู้นี้พ้นข้อหาไป ผมขอเสนอให้พิจารณาหลักฐานเพียง ๓ ข้อ และขอให้พิจารณาให้เที่ยงธรรม นายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นก็รับคำ

ข้อ ๑. ชายผู้นี้ได้บวชเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ย่อมได้รับการอบรมศึกษาาในศีลธรรมและระเบียบวินัยตามศาสนา ย่อมจะไม่ประพฤติสิ่งที่ชั่วร้ายผิดศีลธรรม การที่บุคคลผู้นี้สึกจากพระออกมาเป็นฆราวาส ก็เพราะความกตัญญูต่อมารดาผู้บังเกิดเกล้า ซึ่งมีวัยชราไม่มีใครดูแลหาเลี้ยง เพราะน้องชายสองคนที่เคยทำงานหาเงินเลี้ยงดูมารดาก็ถูกเกณฑ์เป็นทหารไปราชการสงคราม จำเป็นที่พี่ชายผู้นี้จะต้องรับภาระเลี้ยงดูมารดาผู้ชราต่อไป การที่แกวิ่งหนีมิได้หมายความว่าวิ่งหนี หากแต่แกเห็นเอะอะไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงวิ่งไปหามารดาเพราะเป็นห่วง

ข้อ ๒. ทางโกดังก็เคยถูกงัดมาแล้วเมื่อประมาณ ๒๐ วัน และความเข้าใจของทหารยามว่า คงเป็นพวกเดียวกันกับคนร้ายมาทำโจรกรรมในวันนี้ แต่ชายผู้นี้เพิ่งจะสึกมาได้เพียงสามวัน ไม่มีข้อสงสัยว่าชายผู้นี้จะมีการร่วมทำการโจรกรรมครั้งนี้ด้วย

ข้อ ๓. ตามที่ทหารยามบอกว่า คนร้ายได้ใช้ชะแลงเหล็กงัดโกดังทั้งสามคน ฉะนั้นขอรับรองว่าชายผู้นี้ไม่เคยแตะต้องชะแลงเหล็กมาก่อนเลย อย่างน้อยก็เป็นเวลาสามเดือน จะพิสูจน์ได้ก็ที่ฝ่ามือของชายผู้นี้อ่อนนุ่มนิ่ม เพราะมิได้ทำงานหนักมาก่อน



(มีต่อ 4)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 06 ส.ค. 2004, 5:25 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ฉะนั้น ขอให้พิจารณาว่าชายผู้นี้ไม่เกี่ยวข้องกับโจรกรรมรายนี้อย่างเด็ดขาดแน่นอน ขอให้ปล่อยตัวพ้นข้อหาไป นายทหารญี่ปุ่นคนนั้น พอได้ยินผมชี้แจงเหตุผล ๓ ข้อ ขึ้นมาอ้าง ก็รู้สึกสีหน้าของแกสลดลงทันที แต่แล้วก็ขอเวลาเพื่อพิจารณาดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อนจึงจะแจ้งให้ทราบ

ว่าแล้วก็เรียกนายทหารชั้นรองลงมาอีกสามคน ต่างก็เข้านั่งโต๊ะพิจารณาคำปรึกษาในคำให้การของทหารยามที่เห็นเหตุการณ์ และคำแก้ข้อหาของผม ๓ ข้อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงโต้ตอบถกเถียงกันเป็นภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าหลักฐานของผมพอที่จะช่วยเหลือพ้นข้อหาไปได้ก็จริง และผมเองก็ไม่แน่ใจว่านายทหารญี่ปุ่นผู้มีใจเป็นธรรมผู้นั้นจะเห็นด้วยกับข้อเสนอทั้ง ๓ ข้อของผม

หากนายทหารรองๆ ลงไปต่างไม่เห็นด้วยให้ใช้อำนาจ ไม่สนใจต่อเหตุผลและหลักฐานแล้วผมจะทำอย่างไร เมื่อผมคิดแล้วและได้ยินโต้ตอบกัน ผมก็หายใจไม่ทั่วท้อง เกิดความวิตกว่า ถ้าหากเขาไม่เห็นด้วยนำตัวชายผู้นี้ไปทำโทษทรมาน ผมจะทำอย่างไรดี

ผมจะรีบไปติดต่อหน่วยประสานงาน หรือผมอาจจะร้องเรียนไปยังแม่ทัพงิ ซึ่งผมพอที่จะรู้จักดีว่า ท่านผู้นี้เป็นคนตรง รักความยุติธรรม มีคุณธรรมสูงเห็นอกเห็นใจชาวไทยมาก การที่ชาวเราอยู่ได้ด้วยความสงบในยามสงครามได้ ก็เพราะท่านแม่ทัพผู้นี้มีระเบียบวินัย มีศีลธรรม แต่ถึงเช่นนั้นก็คงไม่ทันเวลากว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้เสียก่อน

ผมก็จะต้องรอเวลาตัดสินใจของนายทหารญี่ปุ่นอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ เวลากว่าจะผ่านไปแต่ละนาทีดูมันช่างนานเหลือเกิน เป็นเวลาที่ทรมาน ที่สุดความจริงการตัดสินจะปล่อยหรือจะต้องโทษทรมานของชายผู้นี้ ผมก็ไม่ต้องไปรับผิดชอบหรือไปรับโทษด้วย เพียงแต่ช่วยแก้ข้อหาให้ด้วยความสงสารเท่านั้น แต่ผมมีความรู้สึกทางจิตใจเหมือนตกเป็นจำเลยด้วย ถ้าชายผู้นี้ต้องโทษทรมาน ใจของผมก็ได้รับโทษด้วย เพราะผมรู้ว่าชายผู้นี้เป็นคนบริสุทธิ์แน่

ถ้าต้องโทษทรมาน ผมก็ไม่มีความสุข แต่แล้วการถกเถียงโต้ตอบกันก็สงบลง นายทหารญี่ปุ่นต่างก็ลุกขึ้นไปพิสูจน์ฝ่ามือซ้ายของผู้ต้องหา ทำให้ผมมีความสบายใจมากขึ้น เพราะการกระทำเช่นนั้นย่อมจะหมายความว่าพวกนายทหารญี่ปุ่นได้เชื่อถือการแก้ข้อหาของผมแล้ว

เมื่อนายทหารญี่ปุ่นพิสูจน์จนพอใจแล้วก็กลับมานั่งปรึกษากันอีกพักหนึ่ง นายทหารผู้เป็นประธานก็สั่งให้พลทหารไปตามตัวทหารทั้งสองที่เป็นผู้จับกุมชายหนุ่มผู้นั้นมาโดยด่วน เมื่อทหารทั้งสองมายืนระวังตรง ยกมือขึ้นคำนับตัวแข็งอยู่ตรงหน้านายทหารผู้นั้นได้ยินเสียงถามโต้ตอบกัน แต่คงได้รับคำตอบไม่เป็นที่พอใจ

นายทหารผู้นั้นจึงโกรธมากยกมือขึ้นแล้วก็ใช้ฝ่ามือตบหน้าทั้งซ้ายและขวาอย่างรวดเร็วทั้งสองคน รู้สึกว่าทหารของพระมหาจักรพรรดินั้นมีระเบียบวินัยดี แม้จะถูกตบจนเซไปเซมา แต่มือที่ยกขึ้นคำนับนั้นยังแข็งทื่อ ระวังตรงมิยอมให้ตกลง เมื่อลงโทษพลทหารพอสมควรแล้ว ก็ไล่ให้ออกไปจากที่นั่น

หลังจากนั้นก็เดินตรงเข้าไปโค้งคำนับอย่างอ่อนน้อมต่อชายผู้นั้น เป็นการขอโทษผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ถูกจับผิดตัวมา แล้วก็หันมาโค้งให้ผมฐานเป็นผู้ช่วยหาหลักฐานแสดงให้เห็นว่าชายผู้นั้นบริสุทธิ์ ผมเห็นชายผู้ต้องหาเข้าใจดีแกจ้องดูหน้าผมแล้วน้ำตาไหลออกมาด้วยความดีใจ ผมเห็นนายทหารญี่ปุ่นผู้นั้นหยิบธนบัตรจำนวนหนึ่งออกจากข้างในเป็นจำนวนเท่าใดผมไม่ทราบ ยื่นให้ชายผู้นั้นเป็นค่าทำขวัญ และให้ผมแปลคำพูดให้ผู้นั้นฟังว่า เสียใจอย่างสุดซึ้งที่จับผิดตัวมา เขาต้องขอโทษในความผิดพลาดครั้งนี้ ชายผู้นั้นเหมือนตายแล้วเกิดใหม่ สิ่งแรกที่คิดถึงก็คือ แม่

ฉะนั้นเมื่อปล่อยเป็นอิสระก็รีบไปหาแม่ทันทีด้วยความดีใจ นี่เป็นเหตุการณ์ผ่านมาแล้วสิบกว่าปี บัดนี้ชายผู้นั้นได้พาพรรคพวกมาช่วยนำรถของผมขึ้นจากข้างทาง และพวกเขาทุกคนก็ไม่ยอมรับค่าสินจ้างใดๆ ทั้งสิ้น ผมจึงถามว่า

"พวกคุณมีเหตุผลอะไรที่พลอยไม่รับค่าสินน้ำใจ" ชายเหล่านั้นมีคนหนึ่งตอบแทนว่า

"พวกผมได้ฟังเรื่องราวของท่านจากปากคำของพี่ทิดมานานแล้ว ก็เกิดมีจิตใจเคารพท่าน โดยยังไม่เคยรู้จักท่านมาก่อน และพี่ทิดยกย่องพูดถึงคุณงามความดีเคารพบูชาท่านอยู่เสมอ พวกเรานับถือพี่ทิดมากเพราะเป็นคนมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ พวกผมก็พากันติดนิสัยพี่ทิดไปด้วย และพลอยเคารพนับถือบูชาคุณงามความดี ทั้งที่ไม่เคยพบท่านเลย เมื่อครู่นี้พี่ทิดเขาก็เล่าให้พวกผมที่มาในรถให้ฟังว่า เขาได้พบท่านแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปทักเพราะรู้สึกว่าท่านจะจำเขาไม่ได้

แต่ก็ได้พยายามแอบจดเบอร์รถของท่านไว้แล้ว เขาตั้งใจเมื่อไปถึงกรุงเทพฯ ก็จะไปสืบหาและจะไปกราบเท้าท่านที่บ้าน เมื่อรถผ่านมาเห็นท่านยืนอยู่ข้างถนน ก็สงสัยจึงนึกรู้ว่าต้องมีเหตุเกิดขึ้น เมื่อมองไปข้างทางเห็นรถท่านตกลงไป พวกผมจึงเต็มใจที่จะรับใช้ท่าน แม้จะลำบากกว่านี้สัก ๑๐ เท่า พวกผมก็เต็มใจ ทำเพื่อบูชาความดีของท่านโดยไม่หวังสินจ้างใดๆ ทั้งสิ้น"

ผมได้ยินเช่นนั้นก็ตื้นตันใจ นึกอยู่ในใจว่าคนเรานี่ถ้าอยู่กับคนดีเห็นความดีก็พลอยเป็นคนดีไปด้วย ถ้าอยู่กับคนชั่วก็คงพลอยชั่วไปด้วย ผมจึงเรียกชายผู้นั้นมาแล้วขอโทษที่แต่แรกจำไม่ได้ เพราะเมื่อครั้งที่ผมเห็นในค่ายทหารญี่ปุ่นนั้นหัวยังโล้นผมยังไม่ยาว คิ้วยังไม่ขึ้นซึ่งหน้าตาจึงแปลกกับปัจจุบันนี้ เพราะผมก็ขึ้นคิ้วก็ดก เวลาก็ผ่านไปนานแล้วจึงจำเค้าหน้าไม่ได้ และต่อไปนี้คงจะจำได้แม่นยำเพราะได้ทำบุญคุณไว้ เป็นธรรมดาผู้ที่ได้ให้ความช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์นั้น มิได้จดจำว่าช่วยเหลือใครบ้าง เพราะไม่มีความประสงค์สิ่งใดตอบแทน

ส่วนผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือในยามทุกข์ หากเป็นผู้ที่ดีมีจิตใจสูงย่อมจะไม่ลืมและนึกถึง และผมก็ได้เล่าให้ชายผู้นั้นฟังว่า ก่อนหน้าที่รถเขาจะมาช่วยนั้น ได้มีรถงานผ่านมาคันหนึ่ง ผมได้ยืนโบกมือเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่รถคันนั้นก็ผ่านไปโดยไม่สนใจ กลับโบกมือไม่ทราบความหมายอย่างไร และชายผู้นั้นก็ใช้ความตริตรองแล้วพูดว่า

"รถคันนั้นก็เป็นพวกเดียวกัน ออกมาก่อนหน้าผมเล็กน้อย ธรรมดาพวกเราเคยช่วยคนที่ต้องการให้เราช่วยเสมอ เพราะผมเคยได้บทเรียนจากท่านมาแล้ว และพยายามอบรมให้เพื่อนๆ เสมอว่า การช่วยเหลือเป็นการกุศลในทางทำดี แต่ผมสงสัย ทำไมเขาจึงไม่หยุดช่วยเหลือท่าน ขอให้ผมนึกดูก่อน อ้อ ! ผมนึกออกแล้วเขาได้รับคำสั่งทางนายงานให้รีบนำรถเข้ากรุงเทพฯ ด่วน และรีบให้ไปถึงก่อนหนึ่งทุ่ม เพราะฉะนั้นเขาจึงหยุดช่วยท่านไม่ได้ การโบกมือเขาคงหมายความว่าจะมีรถตามมาข้างหลังอีกคันหนึ่งที่ช่วยได้คือรถของผม เมื่อท่านทราบเช่นนี้แล้วก็คงทำให้ท่านหายข้องใจได้บ้าง"

ผมบอกว่าผมเข้าใจดีแล้วไม่มีอะไรสงสัย และผมก็ไม่ลืมบอกตำบลบ้านที่อยู่ของผม และเชิญให้พวกเขาไปพบ บางทีผมอาจมีโอกาสตอบแทนบุญคุณของเขาได้บ้าง นี่ก็เป็นเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่ง

เรื่องของท่านผู้นี้ ข้าพเจ้าได้เขียนเพราะท่านเจ้าของเรื่องได้เล่าให้ฟังและก็ได้เรียบเรียงขึ้นใหม่ เพราะระยะเมื่อรถตกข้างถนนแล้วมีผู้มาช่วยนำรถขึ้นมาจากข้างถนนนั้นเป็นระยะสั้นเวลาน้อย การสนทนาเล่าเรื่องก็ไม่ได้ใจความนัก เพราะทุกคนกำลังเปียกทั้งฝน เปื้อนทั้งโคลน จึงต้องรีบกลับไปทำความสะอาดตัวตน เพราะอาจป่วยเป็นไข้หวัดได้

ข้าพเจ้าจึงได้เรียบเรียงตั้งแต่เริ่มต้นจนเกิดผลภายหลัง เพื่อได้ข้อความและเรื่องราวพอที่จะนำมาพิจารณาถึงเหตุผล ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดได้เสมอไม่ว่าสมัยใดเวลาใด หากท่านผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เห็นว่าข้อความสำคัญตอนหนึ่งตอนใดยังขาดตกบกพร่อง ข้าพเจ้าผู้เขียนขอรับผิดแต่ผู้เดียวและโปรดได้ให้อภัยด้วย



...................... เอวัง......................
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
new
บัวบานเต็มที่
บัวบานเต็มที่


เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 532

ตอบตอบเมื่อ: 18 ส.ค. 2004, 5:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ด้วยคุณงามความดีประจำจิต
เคยได้ช่วยชีวิตมิตรแปลกหน้า
ให้รอดพ้นโทษทัณฑ์ลงอาญา
จากญี่ปุ่นทหารกล้าคนกลัวเกรง
เมื่อเหตุการณ์ผ่านไปเป็นทศวรรษ
เกิดอุบัติเหตุภัยเพราะรีบเร่ง
รถเสียหลักตกหลุมแสนวังเวง
พบคนเก่งมิตรเก่าช่วยทันการ

ท.เลียงพิบูลย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แมวขาวมณี
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 28 ก.ค. 2006
ตอบ: 307

ตอบตอบเมื่อ: 24 ส.ค. 2006, 4:51 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมตตาธรรมค้ำจุนโลก

คนดี มีความกตัญญูรู้คุณ ทำให้สังคมน่าอยู่ สังคมมีความสงบสุข

ขอให้ความดีทั้งหลายจงอยู่คู่สังคมไปตลอดกาล
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Email
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง