Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 รักวัวให้ผูก (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2006, 7:43 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

รักวัวให้ผูก
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๒



เย็นวันหนึ่ง ดิฉันออกจากบ้านเพราะมีนัดว่าจะไปทานอาหารค่ำกับเพื่อน วันนั้นกว่าจะถึงบ้านเพื่อนก็เสียเวลาล่าช้าไปมากเพราะดิฉันไม่มีรถส่วนตัว ไม่อยากนั่งแท็กซี่ ไม่ใช่ว่าจะเสียดายเงินเพราะบางครั้งไปพบคนขับดีก็ดีไป แต่บางครั้งก็ไปพบคนขับที่มีนิสัยกิริยาหยาบคาย พูดจาก่อกวนให้อารมณ์เสีย และส่วนมากไม่ยอมคิดราคาตามมาตรวัดระยะทาง ดิฉันจึงต้องนั่งรถประจำทางซึ่งจะเอาตามใจเราไม่ได้ ช้าบ้างเร็วบ้าง หยุดบ้างไปบ้าง เพียงแต่รอรถผ่านมาแต่ละคันก็เสียเวลาไม่น้อย กว่าจะขึ้นได้ต้องมีความอดทน เพราะส่วนมากคนแน่น ฉะนั้น เมื่อดิฉันลงรถหน้าปากซอยเข้าบ้านเพื่อนก็ล่าช้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง แล้วยังต้องเดินเข้าซอยอีกไกล

เมื่อดิฉันไปถึงหน้าบ้านเพื่อนก็เป็นเวลาย่ำค่ำ เข้าไต้เข้าไฟแล้ว ก่อนจะเข้าบ้าน ก็มองเห็นเด็กชายวัยรุ่นยืนร้องไห้อยู่ข้างรั้วกระซิกๆ เมื่อเดินเข้าไปใกล้พอมองเห็นรางๆ ก็จำได้ว่าเป็นลูกชายของเพื่อน ครอบครัวนี้ดิฉันรู้จักดีทุกคนเพราะเราไปมาหาสู่กันเสมอ ดิฉันจึงถามว่า

"ทำไมหลานมายืนร้องไห้อยู่ข้างรั้ว ทำไมไม่เข้าไปในบ้านล่ะ หลานถูกคุณแม่ตีหรือ"


เด็กสะอื้นแล้วบอกว่า "เปล่าครับคุณป้า ผมไม่ได้ถูกตี แต่ผมเข้าบ้านไม่ได้"

ดิฉันจึงบอกว่า "ทำไมเข้าบ้านไม่ได้ ดูซิเนื้อตัวมอมแมมสกปรก หลานไปทำอะไรมา ป้าจะเข้าไปในบ้านหาคุณแม่ มาไปกับป้าเถิด"

พูดแล้วดิฉันก็เดินตรงเข้าไปคว้าข้อมือแก หวังจะจูงเข้าไปในบ้าน แต่แกคอยถอยหลังหลบออกห่าง ไม่ยอมให้ดิฉันเข้าใกล้ ปากแกก็บอกว่า "ไม่ครับ ไม่ครับ คุณป้าผมเข้าไม่ได้ ผมไม่เข้า ผมเข้าไม่ได้" แล้วแกก็ร้องไห้สะอื้นพลางพูดทั้งน้ำตาว่า

"คุณป้าช่วยบอกคุณแม่ด้วย ผมขอลาแล้ว"

ดิฉันก็สะดุ้ง นึกแปลกใจที่เห็นกิริยาท่าทางคำพูด คิดว่าเกิดเรื่องร้ายแรงจึงไม่ยอมเข้าบ้านพร้อมกับดิฉัน คงกลัวจะถูกคุณแม่ดุหรือถูกเฆี่ยนตี แต่ก็คิดสงสัยว่าเพื่อนดิฉันคนนี้เป็นคนรักลูกตามใจลูกมาก ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย แต่ก็คิดว่าเมื่อดิฉันได้พบกับแม่ของเด็ก แล้วจะบอกให้คนออกมารับแกเข้าบ้าน คงจะรู้เรื่องดี

เมื่อเข้าในบ้านก็ได้พบกับเพื่อนเก่าๆ ๕ - ๖ คน มาอยู่พร้อมหน้ากันแล้ว เราเคยเรียนร่วมชั้นมาก่อน เมื่อได้พบกันก็มีความดีใจ เพื่อนๆ และผู้เป็นเจ้าของบ้านต่างก็ร้องทัก ต้อนรับด้วยความยิ้มแย้มสนุกสนานเป็นกันเอง ดิฉันจะหาโอกาสพูดถึงเด็กลูกชายเจ้าของบ้านยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว ก็ยังไม่เหมาะกับเวลา ก็สนุกเฮฮากันถึงเรื่องต่างๆ เมื่อดิฉันได้คุยกับเพื่อนๆ ไม่นานก็มีโอกาส จึงบอกกับเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านว่า

"นี่เธอ เมื่อฉันจะเดินเข้าบ้าน ฉันพบลูกชายเธอยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว จะเรียกแกให้เข้ามาในบ้านพร้อมกัน แกไม่ยอม จะฉุดแกก็ถอยหนี เธอให้ใครไปพาแกเข้ามาทีเถิด กลางค่ำกลางคืนปล่อยให้แกร้องอยู่ทำไม"

เพื่อนเจ้าบ้านผู้เป็นมารดาของเด็กได้ฟังดิฉันพูดเช่นนั้นก็หน้าตื่น แล้วร้องบอกว่า "อะไรกัน ลูกฉันแกอยู่เสียเมื่อไหร่เล่า ไปทัศนาจรทอดกฐินกันแต่เช้ามืดกับเพื่อนๆ กำหนดจะกลับมาถึงบ้านพรุ่งนี้เย็น แกจะกลับมาก่อนได้อย่างไร ตาเธอจะฝาดกระมัง"

เพื่อนๆ พากันสนใจที่เราโต้ตอบกัน ดิฉันจึงบอกว่า "ตาฉันไม่ฝาดแน่ เด็กอื่นเขาจะรู้จักฉันได้อย่างไร เธอให้คนไปดูที่ริมรั้วซิ หรือเราไปดูด้วยกันจะได้หายสงสัย ไม่ต้องเถียงกัน"

หลังจากนั้นเราก็วิ่งบ้างเดินบ้างออกไปนอกบ้านที่ริมรั้ว โดยมีดิฉันเป็นผู้นำ แต่แล้วก็แปลกใจ เพราะต่างก็ไม่พบใครอยู่ในบริเวณนี้เลย แม้แต่เราจะได้ค้นหาให้กว้างออกไปก็ไม่มีวี่แวว ทำไมจึงหายไปเร็วนัก ทุกคนก็ลงความเห็นว่า ดิฉันตาฝาดแน่ ทำให้ดิฉันน้อยใจที่ไม่สามารถพิสูจน์ความจริง จึงไม่มีใครเชื่อ ทั้งที่เขารู้ว่าดิฉันไม่เคยปดมาก่อนเลย

หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มลงมือกินอาหารกัน แต่ดิฉันรู้สึกไม่มีความสุขใจชอบกล กินอะไรไม่ค่อยลง เพื่อนๆ คุยกันที่โต๊ะอาหาร ดิฉันรู้สึกตัวว่าขาดความสนุกสนานลงไปมาก เสียงโต้ตอบสนทนาของเพื่อนๆ ที่ดิฉันได้ยินเบาเหมือนอยู่ไกลอดคิดไม่ได้ว่าทำไม ดิฉันรับว่าตาไม่ฝาดคิดแล้วไม่สบายใจ ทุกคนเขาคุยกันเรื่องอะไร ดิฉันก็ไม่รู้ไม่สนใจ แต่แล้วสิ่งประหลาดที่ไม่เคยนึกก็เกิดขึ้น คือ

เสียงสุนัขในบ้านมีอยู่ ๓ ตัว ก็ช่วยกันหอนเสียงโหยหวนเยือกเย็นขึ้นมา ท่ามกลางซึ่งทุกคนกำลังสนทนากัน ทุกคนได้ยินต่างก็สะดุ้ง ดิฉันเสียวแวบขึ้นสันหลัง ผู้ที่นั่งคุยสนทนากินอาหารพลางต่างหันมามองตากันแล้วก็นิ่ง หน้าตาตื่น

ดิฉันนึกในใจว่าสิ่งที่ดิฉันเห็นนั้นไม่เป็นมงคลเสียแล้ว เสียงคนรับใช้ออกไปดุและไล่ตีสุนัขไม่ให้มันหอน เพราะเสียงมันเยือกเย็นเข้าไปจับขั้วหัวใจ แต่ห้ามมันทางนี้มันก็ไปหอนทางโน้น มันไม่ยอมหยุดหอน ห้ามตัวนี้โดยฉวยไม้ไล่ตี แต่ตัวอื่นมันก็หอนต่อ ดิฉันรู้สึกมันหนาวจะเป็นไข้ ในบ้านคงมีแต่ผู้หญิง ข้างล่างมีคนทำสวนคนหนึ่งอายุมากแล้ว พ่อบ้านก็ยังไม่กลับ เมื่อเราอยู่กันตามลำพังผู้หญิงความอบอุ่นก็มีน้อย

ดิฉันสารภาพจากใจจริงว่าดิฉันกลัว แต่ก็ไม่แสดงออกมาภายนอก และรู้สึกว่าเพื่อนก็อยู่ในสภาพไม่ผิดกว่าดิฉัน รู้สึกเราปิดความเป็นจริงกันไว้ภายใน ท่านคงติดิฉันว่าเป็นคนอ่อนแอ เพียงแต่สุนัขหอนก็กลัวแล้ว ความจริงดิฉันเป็นคนเข้มแข็งไม่กลัวอะไรง่ายๆ โดยไม่มีเหตุผล ครั้งนี้มีหลายอย่างประกอบกับเสียงที่เยือกเย็นจนขนลุก ทำให้ดิฉันคิดไปต่างๆ ในทางอกุศล เราดูหน้ากันต่างก็ซีดไม่มีสีเลือด สำหรับเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้นทำท่าจะเป็นลม

พอเสียงหอนของสุนัขสงบลงแล้ว ก็ได้ยินเสียงรถยนต์ ดิฉันมองดูหน้าเจ้าของบ้านรู้สึกว่ามีสีเลือดขึ้นหน่อย พวกเรารู้สึกอุ่นใจขึ้นมาทันที เราเริ่มแสดงกิริยาร่าเริงต่อ เพื่อปกปิดความรู้สึกภายใน ไม่ช้าเราก็มองเห็นไฟหน้ารถกราดเข้ามาในประตูบ้าน รถยนต์เลี้ยวเข้ามาก็จอดนิ่ง ดับโคมไฟ ดับเครื่อง แล้วก็มีชายแต่งกายเรียบร้อยเดินเข้ามาบนบ้าน เข้ามาในห้องรับแขก เมื่อเห็นพวกเรากำลังกินอาหารค้างอยู่ ก็ชะงัก กล่าวคำขอโทษที่เข้ามาขัดจังหวะ พวกเราต่างทำความเคารพสามีเจ้าของบ้าน และได้รับการเคารพตอบ สีหน้าแสดงความยุ่งยาก มีความกังวลใจ เราก็ใจคอไม่ดีอยู่แล้วก็ทำให้ไม่ค่อยสบายใจ

แต่แล้วสามีของเจ้าของบ้านเปลี่ยนความรู้สึกทันที สีหน้าก็ยิ้มต้อนรับพวกเราเป็นอันดี กิริยาลุกลนเมื่อครู่นั้นหายไป แสดงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกเราก็ค่อยมีความสบายใจ เกิดความยิ้มแย้มขึ้นมา แล้วเราก็ได้กินอาหารต่อพร้อมกับพ่อบ้านอยู่จนเวลาพอสมควร เราต่างก็ได้ลาเจ้าของบ้านกลับด้วยความไม่ค่อยสบายใจนัก

เพื่อนคนหนึ่งจะอาสาขับรถมาส่งถึงบ้าน แต่ดิฉันเห็นว่าบ้านเราอยู่กันคนละทิศละทางไม่ใช่ทางผ่าน ดิฉันจึงขอลงปากซอย ตกลงเพื่อนผู้ใจดีก็ยอม ดิฉันคว้ากระเป๋าถือติดมือลงมาด้วย เมื่อลงจากรถแล้ว ตั้งใจจะคอยบนรถประจำทางเพราะยังไม่ดึกมากนัก

แต่รู้สึกกระเป๋าที่ดิฉันถือนั้นมันหนักผิดปกติ จึงหยิบขึ้นมาดูแล้วเปิดออก ดิฉันต้องตกใจ ตายแล้ว ดิฉันเอากระเป๋าของใครมีเงินอยู่ภายในมาก มันไม่ใช่ของดิฉัน แต่รูปร่างภายนอกเหมือนกันทุกอย่าง แต่มันไม่ใช่ของเรา นึกได้ว่ามันเป็นของเพื่อนผู้เป็นเจ้าของบ้าน ดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไรดี


(มีต่อ ๑)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2006, 7:59 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

คิดตกลงใจว่าจะต้องนำเข้าไปคืนให้เพื่อนในบ้านให้เร็วที่สุด นึกตำหนิตัวเองที่ไม่สังเกต เมื่อแรกหยิบมีกระเป๋าอยู่รวมกันหลายใบ หากไม่ใช่ของเพื่อนก็เอาไว้บ้านเพื่อน เมื่อเป็นของใครหายเขาคงจะกลับมาเอาคืนไป เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รีบเรียกรถสามล้อที่ปากซอย เพราะจะคิดเข้าไปคนดียวทั้งในกระเป๋ามีเงินมากไม่เหมาะกับเวลากลางคืน และเห็นกระเป๋ามีเศษเงินอยู่เพียงพอให้ค่าสามล้อแล้วใช้คืนก็คงไม่เป็นไร

หลังจากดิฉันขึ้นสามล้อไปลงหน้าบ้านเพื่อน ประตูใหญ่หน้าบ้านยังไม่มีใครมาปิดจึงเข้าไปได้อย่างสะดวก ทั้งสุนัขสามตัวที่อยู่ในบ้านก็ไม่รู้หายไปไหน ดิฉันจึงมีโอกาสเข้าไปถึงห้องรับแขกซึ่งยังเปิดไฟสว่างไสว แต่ดิฉันยังไม่ทันพรวดพราดเข้าไปในห้องรับแขก ก็ได้ยินสามีภรรยาโต้ตอบกันอย่างชัดเจน จึงต้องยืนนิ่งอยู่นอกห้องข้างประตูโดยคนในห้องไม่มีใครรู้ แต่จะเสียกิริยาอยู่บ้างก็มิได้ตั้งใจ เป็นเพราะเหตุบังเอิญทั้งสองคงไม่นึกว่ามีคนรู้ได้ยืนในคำโต้เถียง เสียงภรรยาพูดว่า "เมื่อคุณกลับมาแสดงกิริยาลุกลน แต่เมื่อเห็นเพื่อนดิฉันคุณก็กลับเปลี่ยนกิริยาปกติ เหมือนไม่มีอะไร ฉันสงสัยจริงๆ คุณมีเรื่องอะไรหรือ"

เสียงสามีตอบภรรยาไม่ตรงต่อคำถามว่า "นี่เธอ สมมุติว่าเราได้ข่าวที่ไม่ดีเป็นข่าวร้าย เธอจะทำใจให้เป็นปกติได้ไหม สมมุติว่าเหตุร้ายมันเกิดขึ้นแล้ว เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ถึงเราจะเสียใจเพียงไรก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา มีแต่จะเกิดโทษแล้วเธอจะดับความเสียใจเป็นทางเกิดทุกข์ออกได้ไหม"

เสียงภรรยาพูดว่า "มีเรื่องอะไรหรือ ดูคุณพูดเป็นปริศนา ฟังแล้วยังไม่รู้เรื่องจะพูดตรงๆ ไม่ได้หรือ"

เสียงสามีพูดปลอบว่า "ทำใจเย็นๆ ไม่ใช่ปริศนาอะไรหรอก เป็นแต่เพียงซ้อมความรู้สึกหากว่าข่าวร้ายแรงเกิดขึ้น จะได้ควบคุมสติไว้ได้ เช่นตัวพี่ไปเกิดอุบัติเหตุปัจจุบันทันด่วน เมื่อเธอทราบข่าวจะได้คุมสติอยู่ ไม่เกิดเสียอกเสียใจเกินไป เพราะเหตุเกิดขึ้นแล้วให้มันผ่านไป ไม่มีอะไรจะช่วยได้ พระท่านสอนให้ทำใจอยู่ในอุเบกขา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่ จะต้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักได้ทุกเวลา ทุกคนจะต้องผจญกับความทุกข์ตามกฎแห่งกรรม หนีไม่พ้น"

เสียงภรรยาพูดขัดขึ้น "ทำไมคุณจึงให้ร้ายแก่ตัวเอง ดิฉันไม่อยากฟัง พูดอะไรไม่เป็นมงคล เหมือนคนเสียสติ พอทีดิฉันไม่ชอบฟัง"

เสียงสามีพูดขึ้นว่า "เธอจำเป็นต้องฟัง เพราะเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องของชีวิตอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และเกิดขึ้นได้แก่คนทุกชั้น ฉะนั้น ควรจะฝึกความรู้สึกให้เห็นเป็นของธรรมดาเกิดขึ้นได้เสมอ จำเป็นแก่ทุกคนจะศึกษาหลักอุเบกขาไว้ เมื่อยามมีทุกข์ก็จะได้ปัดเป่าให้เบาบางลงได้ โดยเฉพาะเธอควรฝึกจิตไว้ หนักก็จะได้กลายเป็นเบา"

เสียงภรรยาพูดขึ้น "ฉันมีจิตใจความรู้สึกเข้มแข็งพอทนต่อความทุกข์ได้ หากจะมีอะไรเกิดขึ้น ฉันจะระงับได้ไม่เสียใจเกินไป"

สามีแสดงว่าใช้ความคิดครู่หนึ่งแล้วตัดสินใจพูดขึ้นว่า "ถ้าเธอมีจิตใจเข้มแข็ง ฉันจะบอกให้เธอทราบว่า สมมุติว่าบัดนี้ลูกชายของเราได้เกิดอุบัติเหตุตายเสียแล้ว เธอจะรู้สึกอย่างไร"

พอสิ้นเสียงสามีพูด เสียงภรรยาก็ร้องไห้โฮออกมาด้วยความหักใจไม่ได้ "ฉันรู้แล้ว นี่เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่สมมุติแล้ว เพราะเพื่อนฉันได้เห็นลูกยืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว"

ดิฉันยืนนิ่งฟังก็ยังใจสั่น มือเท้าเย็นหมด จึงได้ถือโอกาสเดินเข้าไปข้างในห้อง พอเพื่อนเห็นดิฉันเข้า ก็โผเข้ามาเหมือนเด็กโผเข้าหาผู้ใหญ่ให้ช่วยเมื่อมีทุกข์ รู้สึกเธอมีความปวดร้าวในหัวใจอย่างแสนสาหัส ดิฉันโอบกอดแกไว้ในวงแขน ปากก็ปลอบแกเท่าที่จะหาคำพูดที่จะเกิดประโยชน์ในเวลานั้นว่า

"ทำใจดีๆ อย่าเป็นทาสของความทุกข์ ทุกสิ่งเกิดแล้วก็ผ่านไป เราต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้ ใช้อำนาจจิตเข้าต่อสู้ อย่าให้ความทุกข์อยู่เหนือเรา"

ดิฉันได้เคยอ่านหนังสือ จึงนำข้อความที่นึกได้มาใช้กับเพื่อนในยามทุกข์หนัก ส่วนสามีของเพื่อนเห็นดิฉันเดินเข้ามาในเวลาที่เหมาะ ซึ่งกำลังต้องการผู้ปลอบใจภรรยาเพื่อระบายทุกข์ แต่ครั้งแรกสามีของเพื่อนเมื่อเห็นดิฉันเข้าไปก็แปลกใจ ดิฉันรีบอธิบายให้ทราบอย่างรีบร้อนว่า ดิฉันหยิบกระเป๋าผิดได้นำมาคืน จึงทำให้คลายข้อสงสัยลง แกคงนึกดีใจว่ามาทันเวลาอยู่เป็นเพื่อนช่วยปลอบใจภรรยาระบายคลายความทุกข์ลงได้บ้าง เพื่อนดิฉันฟูมฟาย ปากก็พูดอย่างคนร้องไห้แกมสะอื้นว่า

"ฉันไม่นึกเลยที่เธอพูดเมื่อหัวค่ำว่าจะเป็นเรื่องจริง คิดว่าเธอตาฝาดเพราะฉันไม่เคยเชื่อเรื่องวิญญาณ หรืออะไรที่หาแก่นสารไม่ได้ และฉันก็ไม่เคยนึกเลยว่าลูกชายฉันจะอายุสั้นอย่างนี้ โธ่ ลูกของแม่มันเป็นความผิดของแม่คนเดียวที่ตามใจลูกทุกอย่าง มิได้เฉลียวใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับลูก แม่ทอดทิ้งลูก มิได้คอยดูแลอย่างใกล้ชิดอย่างแม่คนอื่นเขาเลย ลูกสาวตายไปคนหนึ่งแล้วยังไม่เข็ด ลูกชายเหลือคนเดียวยังต้องจากไปอีก แม่รู้ตัวว่าชั่วช้าต่อลูกเพียงไหนที่ขาดการเอาใจใส่ต่อลูก"

เธอร้องไห้แล้วตีอกชกหัวคล้ายคนบ้า ดิฉันเห็นแล้วก็สงสาร เห็นใจเพื่อน และตัวเองก็น้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว นึกถึงอกเขาอกเรา ได้แต่ปลอบเท่าที่หาคำพูดเหมาะสมและนึกได้ สามีของเธอยืนนิ่งใช้ความคิด ดิฉันเห็นว่าแกมีความอดทน มิได้แสดงความเสียใจออกมาให้เห็น แม้หน้าตาแสดงความยุ่งยาก ดิฉันเดาว่าคงจะคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือคิดแต่ว่าจะทำอย่างไรจะให้ภรรยาของแกหายคลายความโศกเศร้าได้ แล้วพูดออกมาว่า

"ฉันเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเธอให้หายทุกข์ได้ เพราะเวลาฝึกใจให้เข้าถึงความรู้สึกนั้นน้อยมาก และข่าวร้ายติดตามมาอย่างกะทันหัน ความรู้สึกยังไม่อยู่ตัวพอที่จะต้านความทุกข์ไว้ได้ และฉันจะบอกให้เธอทราบด้วยว่า ลูกชายของเธอมิได้ไปในงานทัศนาจรหรือทอดกฐินตามที่เธอเข้าใจ แกไปคบกับพวกที่ชั่วช้าจูงใจให้ประพฤติตัวไม่ดี แนะไปในทางชั่ว พวกชั่วปรนเปรอให้แกมีความสุขสนุกสนานทุกอย่าง ฝึกความชั่วให้แกโดยไม่รู้ตัว ต้องการอะไรก็จัดให้ แกจะได้มีความสุขความสบาย ให้แกลืมพ่อลืมแม่ หวังจะเอาแกเป็นเครื่องมือประกอบกรรมชั่วต่อไป ถ้าหากไม่ตายเราก็ได้รับความเดือดร้อน อับอายขายหน้าเสื่อมเสียชื่อวงศ์ตระกูลไม่มีสิ้นสุด พระไม่เข้าข้างคนผิด ที่สุดรถที่พวกคิดทุจริตกำลังจะประกอบกรรมชั่ว พาไปก็พลิกคว่ำตกถนนลง ลูกเราก็คอหักตาย เด็กในวัยนี้ความรู้สึกอ่อนไหว หากผู้ใหญ่ไม่คอยควบคุมสั่งสอน เมื่อคบเพื่อนชั่วหมู่มาก ก็มักจะพากันไปเสียคนได้ง่าย เช่นลูกของเราเป็นตัวอย่าง ฉันได้ไปดูศพที่โรงพยาบาลแล้ว หลังจากทราบข่าวร้ายจากเพื่อน แต่ฉันระงับใจไว้ได้ไม่เกิดทุกข์เกินไป แล้วฉันสั่งให้เขาช่วยจัดการให้เรียบร้อยตลอดจนการฝากทางวัด"

เสียงภรรยาบ่นขึ้นทั้งน้ำตาว่า "คุณนี่ช่างใจเย็นจริงนะ ข่าวร้ายเรื่องลูกตายคุณอุบนิ่งไว้ได้ ฉันใจเย็นอย่างคุณไม่ได้ ลูกตายทั้งคนหัวเราะไม่ออก คุณมาพบเพื่อนของฉันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หน้าตายิ้มแย้ม คุณใจเย็นเหมือนคนไม่มีหัวใจ คนไม่ทุกข์ ไม่ร้อน คุณหัวเราะได้ทั้งที่ลูกเพิ่งตายสดๆ ร้อนๆ"

สามีเห็นภรรยาบ่นตัดพ้อต่อว่า ถ้าปล่อยก็จะไปกันใหญ่ จึงพูดตัดบทขึ้นมาว่า "นี่เธอจงฟังฉันก่อน แล้วดูว่าเราอยู่ในศาสนาพุทธ หลักธรรมของพระพุทธศาสนานั้น ข้อใหญ่สอนให้เราตอนสูญเสียลูกสาว ฉันเสียใจแทบจะเป็นบ้า หมดอาลัยในชีวิต แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย กลับเพิ่มทุกข์หนักมากขึ้นแทบจะเป็นบ้าคิดอยากจะตาย เพราะเรามีลูกสาวคนเดียว ฉันรักแกมาก แต่พอฉันได้ยินพระท่านสอนธรรมในทางวิทยุกระจายเสียงทำให้ฉันมีสติ จึงต้องหันเข้าพึ่งศาสนา เพื่อหาหลักธรรมดับความทุกข์ ทำให้จิตใจเข้มแข็งอดทน หาทางดับความเสียใจ หาต้นเหตุทำให้เกิดทุกข์ พิจารณาแล้วหาทางทำลายให้หมดสิ้นด้วยสติปัญญาจริง

ฉันตั้งใจจะบอกข่าวร้ายกับเธอ ฉันนึกมาตลอดทางว่ากลับถึงบ้านจะทำอย่างไรดีที่จะไม่ให้เธอเศร้าโศกเสียใจได้ เพราะไหนๆ ลูกก็ได้ตายไปแล้ว ครั้นฉันกลับมาถึงบ้านก็พบเพื่อนฝูงของเธอมากหน้าหลายตา กำลังสนุกสนาน กำลังสบายใจ แล้วฉันจะมาทำลายโดยเอาข่าวร้าย ทุกข์เศร้าสลดใจมาแจกจ่ายให้เพื่อนๆ ของเธอพลอยไม่สบายใจไปด้วยเรื่องอะไร ฉันต้องการให้ทุกคนไม่มีทุกข์ แล้วทำไมฉันจะเอาทุกข์มาแจกในเมื่อเรากำลังสนุกสนานสบายใจกันเช่นนี้ เพราะเราก็รู้ว่าทุกคนไม่ต้องการทุกข์ ไม่ต้องการเสียใจ ฉะนั้น ฉันถึงต้องพลอยสนุกสนานไปด้วย นี่เป็นความรู้สึกของฉัน จะผิดถูกอย่างไรสำหรับคนอื่นฉันไม่ทราบ"

เสียงสามีพูดต่อไปว่า "เรื่องนี้มีตัวอย่างมาแต่โบราณแล้ว พระท่านได้นำมาเทศน์สั่งสอนเป็นตัวอย่างให้ญาติโยมฟัง เรื่องมีว่า ในสมัยนั้นมีชาวนาผู้หนึ่งกำลังไถนา มีคนบอกว่าลูกชายเอาข้าวมาส่ง ถูกงูกัดตายอยู่ใต้ต้นไม้ ชายผู้กำลังไถนาบอกว่า ไหนๆ มันก็ตายไปแล้ว ขอไถนาให้มันเสร็จเสียก่อน อย่าให้เสียเวลา เสียลูกชายไปแล้ว ก็อย่าให้งานไถนามันเสียไปอีก"


(มีต่อ ๒)
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2006, 8:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ดิฉันสังเกตดูกิริยาท่าทางฝ่ายภรรยารู้สึกจะเห็นด้วย เพราะแกคลายความเศร้าเสียใจลงไปมาก ทำให้ดิฉันคิดจดจำคำพูดของชายผู้เป็นสามีเพื่อน เอามาคิดแล้วก็เห็นใจและเห็นจริง คืนนั้นดิฉันอยู่จนเห็นว่าเพื่อนของดิฉันได้คลายความเศร้าโศกเสียใจลงแล้ว จึงได้ลากลับ มาระหว่างทางอดนึกอดคิดไม่ได้ว่าพูดไปก็เหมือนนินทาเพื่อน ถ้าการพูดนินทาเรื่องของเพื่อนจะเป็นประโยชน์เป็นตัวอย่างเกิดเป็นคติต่อส่วนรวมแล้ว ดิฉันก็ยอมเสียให้คนตราหน้าว่าเป็นคนนินทาเพื่อนลับหลัง ทั้งดิฉันไม่ชอบคนนินทา

เพื่อนของดิฉันและสามีของเธอเป็นคนมั่งคั่ง มีเงินทองเหลือใช้จ่าย จึงตามใจลูกในเรื่องเงินทอง เข้าใจว่าจะทำให้ลูกมีความสุข การตามใจเช่นนี้ย่อมจะมีแต่โทษ และเงินก็เหมือนดาบสองคมมีทั้งคุณมีทั้งโทษ เมื่อปีกว่ามานี้นับแต่คืนวันนั้น บุตรสาวกำลังรุ่นกำลังงามก็ต้องมาจบชีวิตลง เพราะดื่มยาพิษฆ่าตัวตาย นำส่งโรงพยาบาลช้าเกินไป นายแพทย์จึงไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ เพราะฝ่ายแม่ก็มัวแต่ออกสังคม ไม่ค่อยจะมีเวลาอยู่ติดบ้าน ส่วนพ่อก็มัวแต่หาเงิน ต่างอยู่ไม่ติดบ้านด้วยกันทั้งคู่ น่าเสียดายเด็กสาวต้องจบชีวิตลงในวัยรุ่น กำลังสวยกำลังงาม ด้วยใจน้อยคิดสั้น

สาเหตุที่ดิฉันทราบแต่ก็ไม่แน่ชัดนักเพราะเขาปิด เราก็ไม่กล้าถามเป็นธรรมดาเพราะเป็นเรื่องไม่ค่อยงาม ทราบแต่ว่าหญิงสาวถูกขัดใจ ผิดหวังเรื่องเงินๆ ทองๆ เหตุเกิดขึ้นก็เพราะมีเพื่อนชายมาออกปากยืมเงิน หญิงสาวเป็นคนใจใหญ่ก็รับปาก เพราะเห็นโลกน้อยเกินไป จึงขาดสติยับยั้งอ่อนสังคม คิดว่าอย่างไรเสียเมื่อขอร้องแล้วพ่อแม่ก็ต้องให้ เพราะไม่เคยขัดใจมาก่อน


แต่ครั้งนี้กลับตรงกันข้ามหญิงสาวต้องผิดหวัง แต่ก็น่าเห็นใจพ่อแม่ที่รักลูกสาวและตามใจจนเคยตัว จึงคิดว่าเพียงแต่ตามใจลูกสาวก็หนักพออยู่แล้ว นี่ยังต้องเผื่อแผ่ไปถึงเพื่อนชายของลูกด้วยนั้น ยากที่พ่อแม่ของลูกคนใดจะปฏิบัติได้ ทั้งชายผู้เพื่อนลูกสาวนั้นไม่รู้หัวนอนปลายตีนมาจากไหน และก็ไม่รู้ว่าจะมาไม้ไหน พ่อแม่ไม่โกรธก็นับว่าเป็นบุญแล้ว

แต่ลูกสาวถูกตามใจไม่เคยผิดหวังมาก่อน แต่ต้องมาผิดหวังถูกขัดใจเพียงครั้งเดียวก็น้อยอกน้อยใจ เอาแต่อารมณ์เพราะถูกตามใจจนเคยตัว ไม่ได้หาเหตุผลว่าผิดหรือถูก เพียงถูกขัดใจ ผิดหวังเพียงครั้งเดียวก็เสียอกเสียใจไม่อยากอยู่เป็นผู้เป็นคน เห็นจะเป็นเพราะอ่อนวัย ขาดสติคิดว่าจะเอาสิ่งใดก็ต้องเอาให้ได้ เมื่อไม่ได้ก็น้อยใจ เพราะรับปากกับเพื่อนชายไว้เป็นมั่นเหมาะเมื่อไม่สมดังใจก็เกิดอับอายขายหน้า

ที่สุดก็คิดสั้นทำลายตัวเองจบชีวิตลง มันเป็นความผิดของพ่อแม่ที่ทะนุถนอมตามใจจนเกินไป สิ่งใดไม่ควรก็ตามใจไม่ปล่อยให้รู้สึกผิดหวังเสียบ้าง ให้ชีวิตเกิดความเคยชิน และให้เหตุผลประกอบไปด้วย เพราะฉะนั้น ดิฉันจึงไม่ยอมตามใจลูกส่งเสริมในทางที่ผิด ถ้าทำเช่นนั้นก็เหมือนเลี้ยงไม่รู้จักโต ไม่รู้จักผจญชีวิต ไม่มีความอดทน ดิฉันสอนลูกให้แกใช้สติปัญญา ให้รู้เท่าทันคน บางคนปรนเปรอลูกจนจมไม่ลง ดิฉันเคยได้ยินว่าบางคนเขาให้รถยนต์ราคาแพงรับลูกไปโรงเรียน และกลับบ้านวันไหน เอารถราคาต่ำก็จะไม่ยอมไปโรงเรียน ถ้าเย็นก็ไม่ยอมกลับบ้าน พ่อแม่ทำให้ลูกหัวสูงจนเคยตัว

ดิฉันเตือนลูกอยู่เสมอว่า เราต้องหมั่นเล่าเรียนศึกษาหาความรู้ด้วยความอดทน ผู้มีวิชาความรู้และมีความซื่อสัตย์สุจริตมีมนุษยธรรมนั้น เหมือนมีขุมทรัพย์อยู่ในตัวใช้ไม่รู้หมด นับวันจะนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง เราลำบากแต่เมื่อโตขึ้นเราก็สบาย ดีกว่าสบายเด็กๆ โตขึ้นลำบาก พวกที่พ่อแม่ตามใจแต่เด็กๆ ไม่เอาใจใส่เล่าเรียนศึกษา ปล่อยให้เวลาเรียนผ่านพ้นไป

เมื่อโตขึ้นไม่มีความรู้เมื่อขาดแม่ก็ต้องลำบาก ทรัพย์สินสมบัติเป็นของไม่แน่นอนรักษาไว้ไม่ดีก็หมดจนได้ ขอให้มีความพยายามมีความอดทนหาความรู้ใส่ตัว จนแล้วก็มั่งมีได้เช่นกัน มีตัวอย่างมากมายบางคนนึกว่าพ่อแม่มีเงิน ขี้เกียจก็ได้ ถึงไม่เรียนก็ไม่ต้องกลัวอดตายจึงขาดความรู้ ขาดความฉลาด ขาดสติ แม้จะมีมรดกก็ฉิบหายได้เหมือนกัน

ตามใจลูกเกินไปก็เกิดโทษ เข้มงวดเกินไปก็เกิดโทษทุกอย่าง ควรปฏิบัติอย่างกลางๆ ไม่ขาดไม่เกิน เท่าที่ดิฉันรู้พ่อแม่เป็นคนมั่งมี แต่ขาดความเอาใจใส่ความเป็นอยู่ของลูก ตระหนี่จนเกินไปทำให้ลูกโง่ถูกคนฉลาดหลอกลวง เช่น รับมรดกแล้วจ่ายให้ทันที คิดดูแล้วเป็นเล่ห์เหลี่ยมของพวกหากินในทางขูดเลือดขูดเนื้อถ่ายเทกระเป๋าคนโง่ได้ง่ายๆ เพราะพวกนี้ได้สืบดูแน่นอนว่าเงินจะไม่สูญแน่ เพราะผู้กู้เป็นผู้รับมรดกแน่นอน อยู่แต่เวลาช้าหรือเร็วเท่านั้น ในยุคนี้คนจิตใจต่ำเห็นแก่ตัว หากินในทางทุจริตมีมาก

ฉะนั้น ดิฉันจึงต้องคอยระวังลูกดิฉันอย่างใกล้ชิด ไม่ยอมให้คบเพื่อนที่มีจิตใจต่ำ แต่ตัวเป็นพวกบ้าๆ บอๆ และนำไปสู่ความพินาศหมดอนาคตที่จะแจ่มใสต่อไป คืนนั้นดิฉันคิดถึงลูกเหลือเกิน เมื่อกลับไปถึงบ้านแม้จะเป็นเวลาดึกแล้ว ดิฉันยังตรงเข้าไปห้องนอนของลูกๆ ทั้งหญิงและชาย ดิฉันจูบแก ทั้งๆ ที่ยังกำลังหลับอย่างสุขสบายอยู่บนที่นอน ดิฉันน้ำตาไหลดีใจที่ลูกอยู่ในโอวาท ดิฉันเริ่มจูบลูกคนโตตลอดจนลูกคนเล็ก พวกโตๆ หลับสนิทไม่รู้เรื่องอะไร แต่เมื่อดิฉันก้มลงจูบลูกคนเล็กซึ่งแกกำลังหลับสนิท เมื่อดิฉันจูบแก้มแกรู้สึกว่าแกยิ้มและแกเอามือเล็กๆ มาโอบคอดิฉัน ทั้งๆ ที่แกหลับไม่รู้สึกตัว น่ารักน่าเอ็นดูอย่างไม่เดียงสา ดิฉันพูดพึมพำว่า

"ทูนหัวของแม่ ความสุขของแม่ อยู่ที่แม่มีลูกดี"

พ่อบ้านเห็นดิฉันแสดงกิริยาผิดแปลกเช่นนั้น ก็ค่อยๆ ย่องตามหลังเข้ามาในห้องลูก เมื่อเห็นดิฉันจูบลูกอย่างชื่นอกชื่นใจก็กระซิบถามว่า "คืนนี้ทำไมเธอไม่พูดจาอะไร ตรงเข้ามาในห้องลูกแล้วจูบเอาจูบเอา ไม่ควรรบกวนลูกซึ่งกำลังหลับสนิทหลับสบาย"

ดิฉันเอามือประสานกุมไว้ที่หน้าอก แล้วส่ายหน้าพูดว่า "ดิฉันสบายใจเหลือเกินที่ลูกของเราอยู่ในโอวาท เคารพนับถือพ่อแม่ครูบาอาจารย์"

เสียงพ่อบ้านบ่นว่า "ทำไมเธอเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้เองหรือว่า ลูกเราเอาใจใส่ในการเรียน อยู่ในโอวาทของพ่อแม่"

และดิฉันบอกว่า "รู้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบ เพิ่งจะนึกเปรียบเทียบคืนนี้" แล้วดิฉันก็เล่าเหตุการณ์เริ่มที่ได้เห็นวิญญาณลูกของเพื่อนมายืนร้องไห้อยู่ริมรั้ว ตลอดจนสามีของเพื่อนมาบอกเรื่องลูกชายรถคว่ำคอหักตาย พ่อบ้านของดิฉันนิ่งฟังด้วยความสนใจ แล้วก็ออกความเห็นว่า

"อันคนเราอยู่ที่ควบคุมจิตใจ คนที่ไปไหนมาไหนนั่งรถราคาแพง มีเครื่องทำความเย็นภายใน แล้วจะมาให้โหนรถประจำทางหรือเดินข้างถนน พวกนี้คงทนไม่ไหวเพราะเคยตัว แม้ไม่มีใครเขาสนใจว่าใครจะโหนรถประจำทางหรือรถเก๋งราคาแพง ตัวของตัวเองนั่นแหละที่ทำให้คิดไปต่างๆ รู้สึกไปเอง คนทั่วไปไม่มีใครสนใจใคร นอกจากคนที่เคยอิจฉาริษยาผู้อื่นมาก่อนแล้วเป็นพวกที่จมไม่ลง ก็ต้องกลัวคนอื่นเขาจะกลับเอาเรื่องตัวไปนินทาเช่นกัน"

ดิฉันฟังแล้วจึงพูดว่า "ถึงดิฉันไม่มี ดิฉันก็พอใจแล้ว เพราะเราไม่เดือดร้อนอะไร ไม่เป็นหนี้สินใคร พอมีพอกิน เป็นสุข" มีผู้ถามว่า นั่งรถประจำทางไม่ลำบากแย่หรือ ฐานะก็พอมีรถใช้ได้ หาความสบายดีกว่า ดิฉันบอกความสบายก็คือความพอใจ รถส่วนตัวไม่อยู่ในสิ่งที่เราพอใจ ดิฉันห้อยโหนรถประจำทางจนเคยไม่รู้สึกลำบากเพราะเคยชิน ทำให้แข็งแรงดี

ดิฉันทราบว่า แต่ก่อนท่านเป็นขุนนางชั้นพระยา และรัฐมนตรีบางท่านก็ยังนั่งรถประจำทาง ท่านเหล่านี้ล้วนแต่มีผู้ยกย่องว่าเป็นคนดี ดิฉันพอใจในสภาพของตัวเอง พ่อบ้านและดิฉันเราก็ต่างเข้าใจกันดีมีความเห็นตรงกัน เราก็ต่างมุ่งหน้าช่วยกันฝึกฝนให้ลูกเรามีวิชาความรู้มีศีลธรรม จะได้เป็นพลเมืองดีของชาติต่อไป

ฉะนั้น เราจึงอยู่กันด้วยความหวังอันสดชื่น มีความเป็นอยู่อย่างพอใจ จิตใจเราจึงมีความสงบสุขตลอดมา นี่เป็นคำบอกเล่าของสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ได้มาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังผู้เขียนฟังในเช้าวันเสาร์ในปลายเดือนธันวาคม คำบอกเล่าของท่านสุภาพสตรีผู้นี้ คิดว่าคงจะเกิดประโยชน์แก่คนในยุคปัจจุบันนี้บ้างไม่มากก็น้อย



.................... เอวัง ....................
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
สาวิกาน้อย
บัวแก้ว
บัวแก้ว


เข้าร่วม: 27 มี.ค. 2006
ตอบ: 2065

ตอบตอบเมื่อ: 20 พ.ค.2006, 8:15 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นบุพการีมีใจไร้คุณธรรม
เป็นแกนนำให้ลูกนี้มีปัญหา
ชอบมั่วสุมกลุ่มเสพติดมิตรนำพา
ต้องติดยาติดเอดส์อนาถใจ
คำโบราณท่านนิยามเรื่องเลี้ยงลูก
ว่ารักวัวให้ผูกกับคอกไว้
เปรียบเหมือนการเลี้ยงลูกต้องผูกใจ
ให้ความอบอุ่นไซร้เอื้ออาทร
เป็นพ่อแม่มีคุณธรรมประจำจิต
คอยใกล้ชิดชี้แนะและสั่งสอน
ลูกจะไม่เตลิดนอกทางหนีจากจร
สิ่งแน่นอนรักแท้พ่อแม่เรา

ท.เลียงพิบูลย์
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัวMSN Messenger
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง