Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ปัญหาชีวิต (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 6:17 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

ปัญหาชีวิต
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑



ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าต้องประสบกับปัญหาอันใหญ่ยิ่ง มันเป็นปัญหาที่ก่อให้เกิดความลังเลจนไม่อาจตัดสินใจลงไปได้ แม้ว่าจะไม่ใช่ปัญหาที่ลึกซึ้งหรือสลับซับซ้อนจนมองไม่เห็น ความจริงเป็นกรณีง่ายๆ ซึ่งเกือบจะไม่ต้องใช้สติปัญญา หรือความรู้ความสามารถอะไรเลย แต่ทว่ามันก่อความกังวลใจอย่างหนักให้ข้าพเจ้าตลอดเวลา

ทั้งนี้ก็เพราะมีบุคคลผู้หนึ่งมาติดต่อขอร้องให้ข้าพเจ้ากระทำการสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นงานอยู่ภายใต้อำนาจหน้าที่ของข้าพเจ้าเอง และจะสำเร็จได้โดยไม่ยากเย็น ถ้าหากข้าพเจ้าจะตัดสินใจกระทำลงไป บุคคลผู้นั้นได้พยายามติดต่อขอร้องให้ข้าพเจ้ารับปาก พร้อมด้วยสินบนลาภก้อนใหญ่ แต่ดังที่กล่าวมาแล้ว มันเป็นปัญหาอันยิ่งใหญ่ที่ข้าพเจ้ายังตกลงใจไม่ได้ จึงผัดผ่อนขอเวลาตรึกตรองให้รอบคอบเสียก่อน จึงจะให้คำตอบ

จริงอยู่ถ้าข้าพเจ้ารับปากจัดการลงไป แล้วการนั้นเป็นความผิดที่กฎหมายไม่อาจทำอะไรข้าพเจ้าได้ถนัดนัก แต่ทว่าข้าพเจ้าจะต้องทำลายศีลธรรม และมนุษยธรรมของตนเองลงอย่างสิ้นเชิง โดยเหตุผลข้อหนึ่ง และอาจเป็นเหตุผลข้อนี้ก็ได้ที่ทำให้เกิดปัญหาในการตัดสินใจของข้าพเจ้า นั่นคือตั้งแต่เยาว์ข้าพเจ้าได้รับการอบรมจากคุณพ่อ สั่งสอนให้ทำแต่กรรมดีให้เป็นผู้อยู่ในศีลสัตย์ ท่านกล่าวเสมอว่า ถ้าเราทำแต่ความดี จะทำให้เรามีความสุขใจไปตลอดชาติ

ถ้าเช่นนั้น เหตุใดข้าพเจ้าจึงไม่ปฏิเสธการขอร้องนั้นเสีย ข้อนี้ขอสารภาพอย่างเปิดเผยว่า ข้าพเจ้ายังเป็นปุถุชน ไม่อาจล่วงพ้นไปจากความโลภ โกรธ หลง ได้ และโดยเฉพาะเรื่องนี้ ถ้าหากเพียงรับปากตกลงเท่านั้น มันหมายถึงลาภก้อนใหญ่ ซึ่งสามารถเปลี่ยนฐานะของข้าพเจ้าได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว ทั้งข้าพเจ้าเองก็มีฐานะปานกลาง ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัวพอทำพอกิน ไม่อยู่ในฐานะมั่งคั่งร่ำรวย แต่ความพอของมนุษย์ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งหาได้ยาก จิตใจของข้าพเจ้ากำลังตกอยู่ในความโลภ มีความอยากได้แรงกล้า อยากได้จำนวนเงินก้อนใหญ่ซึ่งเชื่อว่าจะไม่สามารถหาได้ในชั่วชีวิตนี้

แต่อีกส่วนหนึ่งของความรู้สึก ซึ่งแฝงอยู่ในกมลสันดานนั้น เป็นความรู้สึกที่เกิดความละอาย และหวาดกลัวต่อการที่จะกระทำการดังกล่าวซึ่งเป็นสิ่งเลวและร้าย จะเป็นต้นเหตุย้อมจิตใจไปในทางชั่ว เพราะคนเราได้ทำชั่วเพียงครั้งแรกครั้งเดียว ต่อไปก็เห็นความชั่วเป็นของธรรมดา

ฉะนั้นในเมื่อจิตใจของข้าพเจ้าเพียงคนเดียว ได้บังเกิดความรู้สึกนึกคิดแตกแยกออกไปเป็นหลายทาง ในขณะเดียวกันมีทั้งความปรารถนาอยากได้อาลัยอาวรณ์ แต่ก็ไม่กล้าจะตัดสินใจลงไป เพราะเกิดความละอายใจและประหวั่นพรั่นพรึงต่อความผิดความชั่ว ความรู้สึกต่างๆ เหล่านี้ จึงรวมตัวกลายเป็นความทุกข์กังวลใจอย่างหนักของข้าพเจ้า ทำให้จิตใจฟุ้งซ่านไม่อาจสงบลงได้

เป็นความจริงอีกประการหนึ่ง ที่คนเราเมื่อเกิดความทุกข์หรือกลัดกลุ้ม ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรถูก ก็มักจะนึกถึงพระเป็นที่พึ่ง อย่างน้อยก็ไปสนทนากับท่านพอให้จิตใจสงบได้บ้าง ความกลัดกลุ้มก็คงผ่อนคลายลง ข้าพเจ้าก็เช่นเดียวกัน ฉะนั้นในตอนเช้าวันต่อมา ซึ่งเป็นวันหยุดงาน เมื่อรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็ตรงไปที่วัดซึ่งอยู่ไม่ห่างไปจากบ้านนัก เพื่อไปกุฏิท่านมหาฯ พระภิกษุรูปนี้เป็นที่คุ้นเคยกับข้าพเจ้ามานาน เคยไปมาหาสู่ท่านอยู่เสมอ

ก่อนจะถึงกุฏิท่านมหาฯ ข้าพเจ้าต้องเดินผ่านลานใหญ่ภายในวัด ทำให้หวนนึกถึงหลายปีก่อนโน้น เมื่องานศพบิดาของข้าพเจ้า ได้จัดงานที่วัดนี้ และลานนี้เต็มไปด้วยท่านที่เคารพและเพื่อนฝูงของคุณพ่อ ข้าพเจ้ายังได้ยินแขกที่มาในงานบ่นถึงคุณพ่อว่า น่าเสียดายที่ต้องเสียคนที่ซื่อสัตย์และอารีอารอบไป ท่านเป็นคนซื่อต่อการงานและอารีอารอบต่อเพื่อนบ้าน ข้าพเจ้ายังจำได้ว่า เมื่อชาวบ้านแถบนั้นได้ทราบว่าท่านได้ถึงแก่กรรมลง บางคนถึงกับร้องไห้โฮ ราวกับญาติสนิทได้ตายจากไป ฉะนั้นบางคนถึงจะไม่ปล่อยโฮ ก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้ เมื่อข้าพเจ้านึกถึงความหลังเช่นนี้แล้ว จิตใจที่กำลังพะวักพะวนเกิดทุกข์เพราะความโลภอยากได้ ค่อยเบาบางลงบ้าง

เมื่อหวนระลึกถึงความดีของคุณพ่อเป็นที่เคารพของผู้อื่น พอถึงกุฏิท่านมหาฯ แล้ว ได้ทราบจากลูกศิษย์ว่าท่านไปลงโบสถ์ทำวัตร จึงถือโอกาสนั่งคอยตั้งใจจะคุยกับท่านมหาฯ ให้สบายใจแล้วจะกลับบ้าน แต่นั่งคอยก็แล้วนอนคอยก็แล้ว ท่านก็ยังไม่กลับขึ้นจากโบสถ์ ในขณะที่ข้าพเจ้าจะเคลิ้มครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงกุกกักทางเบื้องศีรษะในความรู้สึกขณะนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าท่านมหาฯ กลับมาแล้ว จึงเงยหน้าขึ้น ข้าพเจ้าต้องสะดุ้งทั้งตัว เพราะผู้ที่ยืนอยู่เบื้องศีรษะของข้าพเจ้านั้นไม่ใช่อื่นไกล คุณพ่อของข้าพเจ้านั่นเอง

“คุณพ่อ” ข้าพเจ้าร้องออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว


ท่านยิ้มอย่างเอ็นดู พลางกวักมือเรียก ข้าพเจ้าไม่ได้พูดอะไร ลุกขึ้นเดินตามคุณพ่อออกไปอย่างเลื่อนลอย ออกจากกุฏิท่านมหาฯ ผ่านลานวัดอันกว้างใหญ่ ผ่านเข้าไปใกล้โบสถ์ได้ยินพระท่านสวดมนต์ แต่ตัวข้าพเจ้ามีความรู้สึกเหมือนต้องมนต์สะกดบังคับให้ติดตามไปอย่างใกล้ชิด ผ่านทุ่งผ่านป่าอย่างเลือนลาง ผ่านหมอกขาวๆ ที่คล้ายควัน ยิ่งไปไกลก็ยิ่งพบหมอกขาวมากขึ้นเหมือนลอยอยู่บนกลุ่มเมฆขาว อากาศเยือกเย็น มีแสงสว่างสลัวๆ


(มีต่อ)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:38 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 6:25 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงคุณพ่อพูดว่า “ลูกรัก เจ้าลืมคำสั่งสอนของพ่อแล้วหรือ”

ในความรู้สึกขณะนั้น ข้าพเจ้าตอบคุณพ่ออยู่ในลำคอว่า “ผมไม่เคยลืมเลยครับคุณพ่อ”

“แต่ทำไมเจ้าจึงไม่ถือให้มั่นคง” เสียงท่านพูดต่อไป

“ผมก็ยังไม่เคยทำความเสียหายเลยครับ คุณพ่อ”

คุณพ่อถอนหายใจ “แต่เจ้ากำลังจะตัดสินใจเดินทางผิดด้วยเห็นแก่ลาภอามิส เจ้ากำลังจะทำผิดศีลธรรม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ท่านพูดสีหน้าเศร้าๆ

ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “ผมยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรลงไปเลยครับคุณพ่อ”

ท่านยิ้มอย่างฝืนๆ แล้วพูดว่า “พ่อรู้ดี แต่มันยังไม่สายนักหรอก อยากให้เจ้าหูตาสว่าง ให้เจ้าเห็นเหตุการณ์เพื่อขัดเกลาจิตใจของเจ้า พ่อจึงเรียกเจ้ามา อยากจะบอกกับเจ้าว่า เวลาเป็นคนอยู่ในโลกมนุษย์นี้มันสั้นมาก เมื่อพ้นจากโลกมนุษย์แล้ว มันเป็นเวลาที่ยืดยาวอย่างเทียบกันไม่ได้เลย พ่อจะยกตัวอย่างให้ฟัง”

“เมื่ออยู่ในเมืองมนุษย์นั้น เหมือนกับว่าเจ้าเพียงแต่แสดงละครเพียงฉากเดียว และการแสดงละครนี้เจ้าแสดงในเวลาอันสั้นมาก การแสดงละครชีวิตเพียงระยะสั้นๆ นี้ ถ้าเราแสดงดี ความดีก็จะติดตัวไปตลอด ถ้าแสดงชั่ว เราก็จะได้รับกรรมชั่วตลอด จนกว่าจะสิ้นกรรม พูดง่ายๆ ก็คือ เมื่อเป็นมนุษย์อยู่นั้นทุกคนมีสิทธิที่จะสร้างความดีและความชั่วได้เหมือนกันหมด การสร้างความดีหรือความชั่วนี้มีเพียงในโลกมนุษย์เท่านั้น ในโลกอื่นไม่มี มีแต่กรรมดีและกรรมชั่วที่สร้างไว้ในโลกมนุษย์เท่านั้นที่ตามสนอง”

ข้าพเจ้านิ่งฟังท่านอย่างเข้าใจตลอด ทั้งที่รู้สึกว่าตัวเรายังเบา และลอยไปที่ใดไม่ทราบ ที่สุดคุณพ่อยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วพยักหน้ามายังข้าพเจ้าบอกว่า “มาเถิด พ่อจะให้เจ้าได้ยินได้ฟัง สำหรับผู้ที่รับเวรสถานเบา”

ทันใดนั้นคุณพ่อก็หันมากดบ่าข้าพเจ้าไว้ ตัวข้าพเจ้ารู้สึกว่าตกลงจากที่สูงลอยละลิ่วลงมา ได้ผ่านเมฆขาวมากบ้างน้อยบ้าง แต่ก็ค่อยหมดแสงสว่างไปทุกที จนกระทั่งมืดมิดลง ข้าพเจ้าสุดจะทน สงสัยจึงได้ร้องถามคุณพ่อ “คุณพ่อครับ คุณพ่อจะพาผมไปที่ไหน”

“พ่อก็บอกเจ้าไม่ได้เหมือนกันว่า พ่อจะพาเจ้าไปที่ไหน พ่อจะเปรียบให้ฟังว่าพ่อกำลังพาเจ้าไปสู่ใจกลางของโลกเปรียบก็เหมือนว่าเรายืนอยู่บนพื้นโลกแล้วขุดลงไป ขุดลงไปสู่ศูนย์กลางของโลกนั่นแหละ”

ความจริงข้าพเจ้าไม่มีความสบายเลย ที่ต้องต่อสู้กับความมืด รู้สึกไม่มีความสุข แต่ก็ยังอุ่นใจที่ผู้พาข้าพเจ้าไปไม่ใช่คนอื่น ท่านเป็นบิดาบังเกิดเกล้าที่เคยให้ความเมตตากรุณาแก่ลูกๆ เคยช่วยเหลือเพื่อนบ้าน เป็นร่มโพธิ์ซึ่งให้ความร่มเย็นแก่ลูกๆ และเวลานี้ดูท่านไม่ผิดแปลกไปกว่าเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ฉะนั้น ข้าพเจ้าไม่สู้หวาดกลัวนัก ยิ่งดิ่งลึกลงไปยิ่งมืดลงทุกที จนกระทั่งเหมือนกับว่าเอาผ้าดำมาผูกตาไว้สักร้อยชั้น ต่อมารู้สึกค่อยๆ ช้าลงจนหยุดเสียงคุณพ่อพูดว่า

“นี่แหละลูก ที่สำหรับลงโทษสถานเบา เจ้าจงฟังดูนะ”

ข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังถูกขังเดี่ยว กำลังคลุ้มคลั่ง บางทีก็ร้องโวยวาย บางครั้งก็ร้องโหยหวนเยือกเย็นมันเป็นกระแสเสียงของผู้ที่กำลังตกอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ข้าพเจ้าเริ่มหวาดกลัวต่อเสียงอันมีกังวานเยือกเย็นเข้าจับหัวใจ ขนลุกชันไปทั้งตัว ขณะนั้นเกือบไม่มีความรู้สึกเป็นอย่างอื่น มีแต่ความหวาดกลัวเข้าสิงใจประการเดียว ข้าพเจ้าเกาะคุณพ่อไว้แน่น ท่านก็เอามือตบบ่า เพื่อปลอบโยนข้าพเจ้าแล้วก็มีเสียงดังขึ้นมาอีก

“โอย ! นี่ไม่รู้กี่เดือนกี่ปีแล้ว แสงสว่างเท่ารูเข็มก็ไม่เคยเห็น โอย ! นี่จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนี้สักอีกเท่าใด ไม่ไหวแล้วขอให้ข้าไปเถิด ข้าเข็ดแล้ว เข็ดแล้ว เข็ดแล้ว โอย ! ขอแสงสว่างข้าหน่อย แสงสว่าง แสงสว่าง ฯลฯ”

ข้าพเจ้าทนฟังอีกไม่ไหว หัวใจเกือบจะหยุดเพราะความกลัวจึงบอกคุณพ่อว่า “คุณพ่อครับ ขอให้ผมกลับเถิด ผมจะไม่ยอมทำกรรมใดๆ ให้เดือดร้อนเบียดเบียนคนอื่นเป็นอันขาด ลูกของพ่อยังไม่เคยทำกรรมชั่วใดๆ มาก่อน ก็ขอปฏิญาณว่าจะไม่ก่อกรรมชั่วเป็นอันขาด”

“สาธุ ! พ่อยินดีมาก เป็นกุศลของพ่อและของลูกเอง มาเรากลับกันเถิด”

ทันใดนั้นร่างเราก็พุ่งขึ้นทันที พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ความมืดค่อยๆ จางลงมีแสงสว่างมากขึ้นจนเห็นหมอกจางๆ แล้วสว่างขึ้น บัดเดี๋ยวเราก็รู้สึกว่า เราได้ขึ้นมาบนโลกแล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกยินดีมากที่ได้ขึ้นมาบนพื้นโลกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนขึ้นจากนรกมาสู่สวรรค์

“เอาละลูกของพ่อ ต่อไปจงสร้างแต่ความดีเถิด พ่อลาแล้ว” สังเกตเห็นท่านน้ำตาไหลซึม

ข้าพเจ้ามีความอาลัยคุณพ่อมาก หันมาจะเข้าไปกอดเท้า แต่ฉับพลันนั้นภาพของท่านก็เลือนลางจากไปทันที ข้าพเจ้าแสนอาลัยท่าน ทันใดนั้นข้าพเจ้ามองเห็นลานวัดอันกว้างใหญ่ เห็นท่านมหาฯ กำลังเดินขึ้นกุฏิ และยังเห็นพระอีกหลายองค์กำลังออกจากโบสถ์และแยกย้ายกันขึ้นกุฏิ พอรู้สึกตัวลืมตาขึ้นก็รู้ว่าหลับอยู่บนกุฏิท่านมหาฯ นั่นเอง ท่านกำลังเปลื้องจีวร ท่านถามข้าพเจ้าว่ามานานแล้วหรือ ข้าพเจ้าลุกขึ้นนมัสการท่านแล้วเรียนว่ามานานแล้ว หลับไปตื่นหนึ่ง ท่านบอกวันนี้มีปาฏิโมกข์จึงลงโบสถ์ช้าหน่อย ข้าพเจ้ายังตื่นเต้นต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาใหม่ๆ ข้าพเจ้าสนทนากับท่านเพียงเล็กน้อย แล้วก็นมัสการลาท่านกลับ

อย่างไรก็ตาม ตอนกลับบ้านนี้จิตใจของข้าพเจ้าแจ่มใสสิ้นทุกข์สิ้นกังวล และพบกับความสว่างเป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่งจะด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่าวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณพ่อ ได้มีส่วนดลบันดาลให้ข้าพเจ้าไปประสบเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว และใคร่จะเรียนให้ท่านทราบว่า ข้าพเจ้าได้ปฏิเสธการขอร้องของบุคคลนั้นไปอย่างเด็ดขาดเลย



......................... เอวัง .........................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 8:44 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 04 เม.ย.2006, 6:26 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เป็นข้าราชการทำชั่วคอรัปชั่น
ผลกรรมนั้นจะสนองให้หมองไหม้
เสียชื่อเสียงวงศ์ตระกูลคนลือไกล
ทุกข์ร้อนใจเกิดคดีความติดตามมา
ถ้าเป็นคนใจซื่อมือสะอาด
คงแคล้วคลาดความสับสนคนครหา
สร้างคุณงามความดีเสมอมา
กุศลพาจารึกไว้ในสังคม

ท.เลียงพิบูลย์
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง