Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 กรรมหนัก (ท.เลียงพิบูลย์) อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Image

กรรมหนัก
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓



หลังจากข้าพเจ้าได้เขียนเรื่อง “มารศาสนา” ได้จัดพิมพ์แจกในงานศพมารดาของเพื่อน ข้าพเจ้านำไปถวายท่านเจ้าอาวาสสองเล่ม และตั้งใจว่าจะกราบนมัสการขอบพระคุณที่ท่านได้กรุณาเล่าประวัติของพระพุทธรูปสององค์ เป็นที่น่าสนใจให้ข้าพเจ้าทราบ

เมื่อขึ้นไปบนกุฏิของท่าน นมัสการท่านแล้วก็หันไปมองหาพระพุทธรูปทั้งสององค์ ไม่เห็นอยู่ในที่นั้นก็สงสัย จึงกราบเรียนถามท่านเจ้าคุณ ท่านก็กรุณาชี้ให้ดู ข้าพเจ้าก็งงพูดอะไรไม่ถูก ความตั้งใจว่าจะมากราบสนทนากับท่าน เพื่อเรียนถามหาความรู้เรื่องอื่นๆ ก็ลืมหมด ความคิดสับสนเหมือนฝัน คิดสงสัยตัวเองประเภทสมอง และทางตาคงจะหลอกหลอนเมื่อมาครั้งก่อนจึงได้เห็นพระพุทธรูปสูงใหญ่เท่าคนธรรมดา แต่ครั้งนี้เห็นองค์ท่านเล็กกว่าครั้งก่อน ความงงงวยทำให้ข้าพเจ้ากราบลาท่านเจ้าคุณ รีบลงจากกุฏิโดยมิได้พูดจาอะไร ท่านก็คงสงสัยกิริยาท่าทางผิดปกติของข้าพเจ้า

เมื่อลงจากกุฏิออกจากวัดแล้ว ก็คิดว่าควรจะไปถามผู้ที่ร่วมทางไปเห็นพระพุทธรูปสององค์นั้น เมื่อได้ไปสอบถามแล้วเป็นอันทราบว่าข้าพเจ้าตาฝาดคนเดียว ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้เรื่อง “กรรมหนัก” นี้จากท่านนายทหารผู้ที่เคยพาข้าพเจ้าไปหาท่านเจ้าคุณเพื่อนำประวัติพระพุทธรูปสององค์เขียนในเรื่อง “มารศาสนา”

ข้าพเจ้าได้เจ้า “กรรมหนัก” นี้จากท่าน เมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว ทำให้ข้าพเจ้านึกเศร้าใจมาก คิดว่าในยุคนี้ศีลธรรมเสื่อมลงมาก แม้แต่ผู้ได้รับการศึกษาเล่าเรียนชั้นสูง มีวิชาความรู้ดีแต่ขาดความรู้ในศีลธรรม เห็นความชั่วเป็นเรื่องสนุกเกินขอบเขต เป็นกีฬาสมัครเล่นสนุกสนานก็ย่อมพาตนให้ไปสู่ทางชั่วด้วยกิเลส ตัณหา โลภ รัก โกรธ หลง เป็นต้น ต้องได้รับทุกข์กรรมอย่างหนักติดตามมาสนองภายหลัง

เรื่องนี้ท่านผู้ให้เรื่องบอกข้าพเจ้าว่า เรื่องกรรมหนักนี้เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ เล่าจากปากคำผู้ประสบเคราะห์กรรมโดยตรง ตั้งอกตั้งใจเล่าอย่างละเอียด ใช้เวลากว่าสองชั่วโมง เพราะตัวผู้เล่าเองก็ตกอยู่ในห้วงทุกข์ ไม่มีเวลาสบายใจ ตกอยู่ในความหวาดกลัวตลอดเวลา แม้จะไม่ได้เป็นตัวการลงมือประกอบกรรมเอง แต่ก็เป็นผู้รู้เห็นเป็นใจ

แม้จะได้รับกรรมตามสนองแล้ว แต่ก็ยังหวาดว่าจะมีเคราะห์อะไรเกิดขึ้น อีกเสียงสาปแช่งด้วยความแค้นสาหัส เสียงร้องไห้ของสองพ่อลูกยังก้องหู และเห็นภาพผู้รับกรรมหนัก ทำให้ก่อกวนทำลายประสาทแทบจะเป็นบ้า เหตุการณ์พบเห็นยังติดตาไม่รู้ลืม จึงอยากระบายเหมือนคำสารภาพความจริงออกมา จากการอัดความทุกข์ร้อนไว้ภายในอกระบายให้หมดไป คิดว่าเมื่อเล่าหมดแล้วคงจะลดหย่อนผ่อนคลายความหวาดกลัว ความเดือดร้อนให้เบาบางลงได้บ้าง

ข้าพเจ้าผู้เขียนคิดว่าหากได้นำเรื่องเข้าในชุดกฎแห่งกรรม คงจะเกิดประโยชน์ทางกุศลที่ได้เป็นตัวอย่างชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว มีโอกาสคอยตักเตือนจิตใจของผู้หลงผิดเป็นชอบกำลังจะประกอบกรรมชั่วในทำนองเดียวกัน ได้มีสติยับยั้งไว้ได้ ย่อมจะเกิดเป็นกุศลบารมีคงจะส่งบุญให้ผู้เล่า หากยังได้รับทุกข์กรรมอยู่ก็คงจะคลี่คลายเบาบางลง หากเพิ่มการทำบุญแผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตากรวดน้ำ ขอให้อโหสิกรรมกับผู้จองเวรจองกรรมคิดว่าคงได้ผลไม่มากก็น้อย ทำให้จิตใจสบาย เพราะเป็นประโยชน์แก่สังคม

ข้าพเจ้าผู้เขียน ก่อนจะเริ่มเนื้อเรื่อง “กรรมหนัก” ขอเรียนให้ทราบว่า การใช้คำว่า “ข้าพเจ้า” ต่อไปนั้นเป็นคำแทน “ท่านข้าราชการทหาร” ที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากผู้ประสบเคราะห์กรรมโดยตรง มิใช่ผู้เขียน เพื่อป้องกันความเข้าใจสับสน ดังผู้เขียนจะดำเนินเรื่องต่อไปนี้

ครั้งนั้น ข้าพเจ้ามีธุระจำเป็นต้องเดินทางโดยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปภาคเหนือ ความตั้งใจว่าจะไปทางเครื่องบินเพราะรวดเร็วไม่เสียเวลา แต่การไปทางเครื่องบินจะต้องจองที่นั่งล่วงหน้า ๒ หรือ ๓ วัน จะเดินทางโดยไม่จองล่วงหน้าก็ไม่มีหวัง ข้าพเจ้าไม่มีเวลาคอยจึงต้องเดินทางโดยรถไฟ แม้จะช้าหน่อยก็จำเป็น การเดินทางโดยรถไฟสำหรับคนใจร้อนหากมีหนังสือเรื่องสนุกๆ หรือมีเพื่อนคุยที่ถูกอกถูกใจก็ทำให้เวลาผ่านไปโดยไม่รู้สึกเบื่อหน่าย

วันนั้นเมื่อรถไฟแล่นออกจากกรุงเทพฯ ไม่นานนัก ข้าพเจ้าก็หยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน ทำให้เกิดความสนุกเพลิดเพลินจนวางไม่ลง แม้รถไฟจะวิ่งผ่านไปหยุดกี่สถานีแล้วก็ไม่สนใจ ไม่รู้สึก เพราะทางรถไฟสายนี้ได้เคยผ่านไปมามากครั้งแล้ว สองข้างทางก็ไม่มีอะไรแปลกกว่าเดิม ทั้งหนังสือที่อ่านก็สนุกเพลิดเพลินจึงเป็นเพื่อนแก้เหงาที่ดี สำหรับผู้เดินทางคนเดียว

มารู้สึกเมื่อรถไฟเข้าเทียบชานชาลา หยุดหน้าสถานีใหญ่แห่งหนึ่ง เพราะบังเอิญอ่านหนังสือจบเล่มพอดี ข้าพเจ้าชะโงกหน้าต่างรถไฟดูทางสถานีซ้ายและขวา เห็นผู้คนโดยสารรถมากมายจอแจคึกคักรีบร้อน มีทั้งผู้ที่เร่งร้อนรีบลงจากรถ และมีผู้ที่รีบเร่งจะขึ้นมาบนรถเป็นเวลาชุลมุนวุ่นวาย เป็นธรรมดาของคนเดินทางที่ต้องรีบเร่งแข่งกับเวลาตอนขึ้นลง เพราะรถไฟหยุดที่สถานีให้คนขึ้นลงในเวลาจำกัด ไม่นานนัก

เมื่อผู้ที่ขึ้นมาบนรถแล้วก็ยังวุ่นวายหาที่นั่งอีกพักหนึ่ง ผู้ที่มาอยู่ข้างล่างก็ช่วยกันยกหีบห่อ และชะลอมให้ผู้เดินทางคอยรับขึ้นทางหน้าต่างเพื่อความสะดวก การพูดจาสั่งเสียกันระหว่างผู้จะเดินทางไปนานวันกับผู้มาส่ง ในเรื่องทางบ้านทางครอบครัวมีเป็นธรรมดาไม่มากก็น้อย เมื่อรถไฟจวนจะเคลื่อนออกจากสถานี หลังจากระฆังดังขึ้นครั้งหลัง ก็เห็นชายผู้หนึ่งหิ้วกระเป๋าใบไม่ใหญ่นัก วิ่งเข้ามาในสถานีด้วยความรีบร้อน เพราะนายสถานีกำลังโบกธงเขียวให้สัญญาณ รถไฟกำลังค่อยๆ เคลื่อนออกจากสถานีและเร็วขึ้น

ชายผู้นั้นวิ่งอย่างไม่คิดถึงภัยอันตรายใดๆ มุ่งแต่จะให้ทันแล้วกระโดดเกาะราวทองเหลืองทางขึ้นไปบนรถ โหนเกาะราวจนตัวงอ ทั้งมืออีกข้างหนึ่งยังถือกระเป๋าเดินทาง ทำให้ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งบนรถมองดูด้วยความหวาดเสียว ใจหายใจคว่ำเพราะใกล้อันตราย ถ้าพลาดก็หมายถึงชีวิต

เมื่อชายผู้นั้นวิ่งโดดเกาะราวทองเหลืองโหนตัวขึ้นบนรถ โดยมีคนยืนอยู่ท้ายรถช่วยกันฉุดขึ้นบนรถได้อย่างปลอดภัย ทำให้ทุกคนโล่งใจไปตามกัน เมื่อรถออกจากสถานีปล่อยเต็มที่ ข้าพเจ้าก็หยิบหนังสือเล่มใหม่ขึ้นมาพลิกดู ยังไม่ทันเริ่มอ่าน ก็เห็นชายผู้หนึ่งเดินทางจากทางหัวรถกำลังจะผ่านไป เมื่อหันมาเห็นข้าพเจ้า แกชะงักแล้วยกมือขึ้นไหว้ทำความเคารพพร้อมทั้งถามว่า

“ท่านจะไปลงสถานีไหนครับ ผมยินดีที่ได้พบท่านในรถไฟ”

ข้าพเจ้ามองดูหน้าชายผู้นั้น และนึกถึงใบหน้าอย่างไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ยังนึกไม่ออก ว่าเคยรู้จักกันมาก่อน ข้าพเจ้าได้แต่ยกมือไหว้ตอบ และบอกสถานที่ที่ข้าพเจ้าเดินทางไป ชายผู้นั้นเห็นข้าพเจ้ายังงงและลังเลใจอยู่ ก็พูดแนะนำตัวว่า

“ผมชื่อกระสินธุ นามสกุล..... ท่านจำผมได้ไหมครับ”


(มีต่อ ๑)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:08 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:33 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เมื่อข้าพเจ้าได้ยินชื่อ และดูรูปร่างคลับคล้ายคลับคลาก็นึกได้ จึงร้องออกไปว่า “อ้อ คุณกระสินธุ จำได้แล้ว ขอโทษเถิดหมู่นี้หูตาไม่ค่อยดี แก่ตัวก็อย่างนี้แหละคุณ ได้ข่าวว่าย้ายไปอยู่ทางเหนือไม่ใช่หรือ เชิญนั่งตรงนี้และจะได้คุยกันให้สนุก เพราะนานแล้วไม่ได้พบกันจนจำไม่ได้ กระเป๋าเดินทางของคุณอยู่ไหนล่ะ เอามารวมไว้ที่นี่ซิ”

แกก็นั่งลงตามที่ข้าพเจ้าเชิญ แล้วพูดว่า “ขอบคุณครับ กระเป๋าของผมฝากไว้ที่ห้องอาหารไม่ต้องเอามานี้ก็ได้ครับ”

ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูรูปร่างสังขารของแกแล้ว ก็นึกสังเวชอยู่ในใจว่าไม่นึกเลยว่า แกจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายเช่นนี้ ดูแก่เกินอายุมาก ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงจำไม่ได้ เพราะชายหนุ่มที่ข้าพเจ้ารู้จักที่ชื่อ กระสินธุ นั้นเป็นชายหนุ่มที่มีร่างกายเข้มแข็งองอาจมีสง่า กิริยาท่าทางร่าเริงสนุกสนานยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่บัดนี้ตรงกันข้าม ความสง่าเข้มแข็งยิ้มร่าเริงได้หายไปหมด ดวงหน้าที่เคยมีเสน่ห์ก็เหี่ยวแห้งมีรอยย่น ดวงตาก็มีแววเศร้าอย่างหวาดหวั่นสะดุ้งกลัว เหมือนคนมีทุกข์หนัก สภาพของสังขารร่วงโรยผิดรูปร่างเดิม ดูแก่กว่าอายุจริงมาก

ชายผู้นี้แม้จะมีอายุอ่อนกว่าข้าพเจ้าประมาณ ๒ รอบ แต่ก็เคยใกล้ชิดกันมาก่อน เมื่อมาเห็นสภาพแล้วก็เศร้าใจจึงไม่อยากจะถามอะไร กลัวจะไปสะเทือนจิตใจ คิดว่าคนอยู่ในความทุกข์เช่นนี้ หนังสือเป็นเพื่อนที่ดี ข้าพเจ้าคิดแล้วจึงหยิบยืนให้หนึ่งเล่มแล้วบอกว่า

“คุณนั่งอ่านหนังสือไปพลางก่อน หนังสือนี้เป็นเพื่อนที่ดีของเรา เล่มนี้ผมเพิ่งจะอ่านจบ ผมจะเข้าห้องน้ำ ประเดี๋ยวเราค่อยมาคุยกัน ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง” พูดแล้วข้าพเจ้าก็เดินมาที่ห้องน้ำซึ่งอยู่ทางท้ายรถ เมื่อออกจากห้องน้ำข้าพเจ้าแอบดูก็เห็นแกก้มหน้าก้มตาอ่าน จึงคิดว่า เราควรปล่อยให้มีเวลาอ่านหนังสือไม่มีอะไรรบกวนให้แกเพลิดเพลินสักพักใหญ่ๆ คงจะผ่อนคลายอารมณ์ของแกได้บ้าง

ข้าพเจ้าจึงออกมายืนท้ายรถชมสองข้างทางท้ายรถไฟ ดูทิวไม้และภูเขาหมู่บ้านป่าดงพงพีพักใหญ่ๆ ก็ค่อยๆ เดินเข้าไปนั่งในตู้รถ ก็เห็นแกนั่งอย่างมีสมาธิ แม้ข้าพเจ้าจะเข้าไปนั่งตรงข้ามก็มิได้เงยหน้าขึ้นมามองดู ข้าพเจ้าจึงหยิบหนังสือในจำนวนที่มีหลายเล่มขึ้นพลิกดูโดยไม่รบกวนสมาธิของแก แล้วเราก็ต่างนั่งอ่านหนังสือ ไม่ได้พูดจาอะไรกันในระยะนานพอสมควร แต่แล้วคุณกระสินธุเงยหน้าจากหนังสือ เมื่ออ่านจบไปเรื่องหนึ่งแล้ว พลางพูดขึ้นลอยๆ ว่า

“เรื่องกรรมเมื่อก่อนนี้ผมไม่เชื่อเลย ผมเคยหัวเราะเยาะผู้ที่เชื่อกรรมนั้นเป็นคนงมงาย แต่บัดนี้ผมเชื่อแล้ว กรรมนั้นมีจริง ใครทำดีทำชั่ว กรรมนั้นตามสนองเป็นความจริง ผมเองไม่เคยนึกว่าจะมาประสบกับตัวเอง เพราะกรรมมองไม่เห็นเป็นสิ่งลี้ลับไม่มีโอกาสจะต่อสู้ ผมต้องหวาดกลัวไม่มีความสุข แม้จะนอนหลับก็ต้องสะดุ้งตลอดมา”

ข้าพเจ้าได้ยินแกพูดเช่นนั้นก็มีความสนใจ ทั้งกิริยาท่าทางสะดุ้งหวาดกลัวของแก ทั้งสังขารร่างกายของแกก็ร่วงโรย ผิดกับเมื่อก่อนที่แกจะย้ายมาต่างจังหวัด แต่ข้าพเจ้าไม่กล้าทัก ไม่กล้าถาม ว่ารูปร่างแก่จนผิดหูผิดตาไปมากเช่นนี้ เพราะกลัวแกจะเสียกำลังใจ แต่เมื่อแกพูดขึ้นเองข้าพเจ้าก็เกิดความสนใจ จึงพูดกับแกว่า

“เรื่องกรรมหรือทำดีทำชั่วนั้น กรรมย่อมตามสนองเป็นหลักธรรมชาติ พิสูจน์ได้ง่ายๆ ทั้งความดีและความชั่ว”

แกสนใจที่ข้าพเจ้าพูดจึงถามขึ้นว่า “การพิสูจน์ง่ายๆ ท่านจะทำอย่างไรครับ”

ข้าพเจ้าจึงอธิบายยกตัวอย่างให้ฟังว่า “สมมติว่าเราเดินไปทางรถเสบียง และได้พบผู้โดยสารที่มีอายุแล้ว เราก็ยิ้มแย้มเข้าไปยกมือไหว้และถามอย่างเคารพนบนอบว่า ท่านจะไปลงที่ไหน หรือถามว่า ท่านจะไปไหนครับ ส่วนคนที่คุณเข้าไปทักถามแม้จะไม่เคยรู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าคุณมาก่อนเลย อย่างน้อยท่านผู้นั้นก็ตอบคำถามของคุณด้วยท่าทางยิ้มแย้มเช่นเดียวกัน เหตุนี้ก็เพราะกิริยาท่าทางอ่อนน้อมแสดงความเคารพผู้ใหญ่ของคุณ ทำให้ผู้ถูกทักเกิดมีจิตใจเอ็นดู เป็นธรรมดามนุษย์ปุถุชนย่อมจะนิยมชมชอบผู้อ่อนน้อม เป็นความรู้สึกของบุคคลทั่วไป นี่แสดงถึงการทำความดีก็ได้รับตอบแทนด้วยความดี

หากเราจะพิสูจน์ในมุมกลับตรงกันข้ามก็คือ ทำชั่ว เพียงแต่เราเดินไปทางท้ายรถ พบคนเดินสวนมา เราทำหน้าบึ้งตึงเราจะชายหางตามองดูผู้นั้นตั้งแต่หัวถึงตีนอย่างเหยียดหยาม หรือทำท่าขึงขังวางโตเป็นนักเลง จ้องมองแกด้วยสายตาดุๆ กวนๆ อย่างไม่เป็นมิตร ถ้าเขาหันมาจ้องมองดูเราอย่างไม่เป็นมิตรเช่นเดียวกัน เราก็เบ่งตวาดออกไปอย่างคนชั่วชอบหาเรื่องว่า “มองอะไรโว้ย อยากหาเรื่อง”

เพียงเท่านี้ก็ได้เรื่อง แต่ก็ไม่เป็นทุกคน หากไปพบคนดีมีศีลธรรมมีความอดกลั้นได้ เขาก็ยิ่งเดินหลีกไป เพราะเขารู้ว่ากิริยาท่าทางเช่นนี้ เป็นคนพาลสันดาลชั่ว หรือไม่เขาก็นึกว่าอ้ายนี่ไม่บ้าก็เมา ปล่อยให้มันบ้าไปคนเดียว การนิ่งมีความอดทนเมื่อพบคนพาลย่อมจะผ่านพ้นไปได้ หากไปพบคนที่มีอารมณ์รุนแรง และมีนิสัยพาลอยู่ด้วย การพิสูจน์ก็จะได้ผลแน่นอน อาจได้ทั้งเรื่องได้ทั้งเลือด นี่ก็พอจะพิสูจน์ได้ การทำชั่วก็ได้ชั่วตอบแทน มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่คิดก็ไม่เห็น”

เมื่อแกได้ฟังข้าพเจ้าอธิบายแล้ว แกก็หัวเราะออกมาได้เป็นครั้งแรก แล้วก็หยุดอย่างใช้ความคิดไตร่ตรอง และพูดขึ้นว่า

“ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้ท่านฟังสักเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องเกิดขึ้นกับชีวิตจริงของผมในเรื่องกรรม แต่จะต้องใช้เวลานานเพราะเรื่องมันยืดยาวสักหน่อย ถ้าท่านให้เวลาฟังผมด้วยความอดทนแล้ว ก็จะนับว่าเป็นพระคุณแก่ผมมาก เพราะคิดว่าหากผมได้ระบายเรื่องนี้ออกจากความอัดอั้นแน่นอยู่ในใจให้ผู้ที่ผมเคารพนับถือเช่นท่านฟัง ผมคิดว่าอาจจะทำให้ความทุกข์ที่ยังสุมอยู่ในอกเบาบางลงบ้าง”

ข้าพเจ้าฟังดูก็รู้สึกเห็นใจคิดว่าคงจะเป็นทุกข์หนัก จึงพูดสนับสนุน “เป็นธรรมดาคนเรา เมื่อมีอะไรคับอกก็ควรระบายออกมาเสีย เพื่อจะโล่งอกสบายใจลงบ้าง ฉะนั้น บางศาสนาเขาถึงต้องมีการล้างบาป ต้องไปสารภาพกับพระว่า ได้ทำอะไรผิดไว้บ้าง เพื่อระบายออกมาให้หมด แล้วก็โล่งใจ”

เมื่อข้าพเจ้าสนับสนุนและแนะนำให้แกระบายเรื่องออกมา ก็เห็นหน้าแกสดชื่นขึ้นมาบ้าง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อครั้งผมย้ายไปอยู่ภาคเหนือ ตามที่ท่านเคยรู้มาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ ผมมีเพื่อนรุ่นเดียวกับผมคนหนึ่ง เราออกมาทำงานด้วยกัน ท่านคงจะรู้จักเพื่อนผมคนที่ชื่อ สุธี เรามีความสนิทสนมรักใคร่กันมาก ทั้งเราก็ทำงานอยู่ในสำนักงานเดียวกัน เมื่อผมไปอยู่ที่จังหวัดนั้นไม่นานนัก ผมเกิดไปพออกพอใจหญิงสาวชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง ที่สุดเกิดสมัครรักใคร่กัน ต่อมาไม่นานนักเราก็ตกลงสมัครใจจะร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน กำหนดวันที่จะทำการสมรสในจังหวัดนั้น

การจัดงานต่างจังหวัดย่อมเป็นการใหญ่ ต้องล้มวัวล้มควาย เพื่อจัดเป็นอาหารเลี้ยงพวกแขกที่รับเชิญเป็นจำนวนไม่น้อย แขกที่รับเชิญทางผมเจ้าบ่าวและทางเจ้าสาวก็มีมากด้วยกัน เมื่อกำหนดวันงานแน่นอนออกบัตรเชิญแขกแล้ว เจ้าเพื่อนรักของผมสุธีมาแอบกระซิบบอกว่า “อั๊วจะเอาเนื้อควายให้ลื่อ ไม่ต้องไปซื้อที่ไหนหรอก เสียเงินนิดหน่อยได้ของมาก”


(มีต่อ ๒)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:17 pm, ทั้งหมด 3 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:37 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมสงสัยจึงถามว่า “หมายความว่าอย่างไร เสียเงินน้อยได้ของมาก อั๊วยังไม่เข้าใจ”

เพื่อนผมหัวเราะ แล้วป้องมือกระซิบที่หูว่า “อั๊วจะให้ลูกน้องไปขโมยควายมาฆ่าในถ้ำ ที่ป่าหลังองค์การของเรา รับรองว่าได้เนื้อมาทำอาหารทันเวลา”

ผมได้ฟังก็ตกใจ ไม่นึกว่าแกจะไปขโมยควาย จึงห้ามว่า “อั๊วขอเสียที อย่าทำเป็นอันขาดไม่ดีแน่”

แต่เพื่อนกลับกระซิบว่า “เราไม่ได้ลงมือเอง สั่งให้ลูกน้องมันไปจัดการ ไม่ต้องเดือดร้อนอะไร ลื้ออยู่เฉยๆ ไม่ต้องกลัว อั๊วจัดการได้เรียบร้อย ได้เนื้อมาทันงาน พวกลูกน้องอั๊วชำนาญ”

ผมจึงบอกแกว่า “อย่าทำ อั๊วไม่ชอบ อั๊วไม่สบายใจ ประเดี๋ยวพวกลูกน้องลื้อจะได้ใจ กลายเป็นโจรปล้นควายชาวบ้าน บาปจะตกหนักอยู่กับอั๊วที่เป็นต้นเหตุ”

เสียงเพื่อนผมหัวดื้อแย้งขึ้นมาว่า “เฮ้ย ลื้อเฉยเถิดน่า อย่าขี้ขลาดไปหน่อยเลย เราขโมยสมัครเล่นครั้งเดียวเท่านั้นคงจะสนุกพิลึก อั๊วรับรองว่าลื้อไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ อั๊วรับผิดชอบทั้งหมด มันเป็นเรื่องของอั๊ว ลื้อจะไปเชื่อเรื่องบุญเรื่องบาปทำไมวะ ใครขืนเชื่อทำให้จิตใจอ่อนแอกลัวโน่นกลัวนี้ไปเปล่าๆ ควายตัวหนึ่งถ้าลื้อซื้อราคาก็พันกว่า นี่ลื้อเลี้ยงสุราปลาปิ้งให้อ้ายพวกลูกน้องอั๊วก็เพียงไม่กี่ร้อยบาท เชื่ออั๊วเถิดน่า ไม่ต้องคิดอะไรมาก บุญบาปไม่มี เวรกรรมไม่มีทำใจให้สบาย”

เมื่อผมได้ยินเพื่อนพูดเช่นนั้นชักจะคล้อยตาม คนเรามีความโลภอยู่ในสันดาน คิดว่าเสียเงินน้อยได้ของมาก เวลานั้นไม่รู้อะไรดลใจผมให้เห็นผิดเป็นชอบ คิดว่าคงจะเป็นเพราะไม่เชื่อเรื่องกรรม ไม่เชื่อเรื่องบุญบาป ไม่เชื่อทำดีทำชั่ว ผลจะติดตามสนอง คนที่มีความรู้สึกเช่นนี้ย่อมทำอะไรได้ทั้งหมด ไม่สนใจว่าทางชั่วหรือทางดี จึงพูดเสียงอ่อนลงว่า “มันจะดีหรือ กลัวมันจะลำบากทีหลังนะ”

เพื่อนยิ้มเห็นผมอ่อนลง จึงบอกว่า “รับรองไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ ตกลงนะอั๊วจะสั่งพวกลูกน้องจัดการ”

ผมจึงพูดออกไปว่า “ถ้าลื้อรับรองแข็งแรงว่าไม่มีเรื่องเกี่ยวข้องมาถึง อั๊วจะตกลงก็ได้”

เพื่อนได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจ จัดแจงไปสั่งลูกน้องที่ทำงานอยู่ด้วยกันในองค์การนั้น ผมก็กะอาหาร เมื่อได้เนื้อควายมาก็จะทำสะเต๊ะเลี้ยงแขกให้ลือชื่อ และเครื่องในก็จะต้มและปรุงอาหารอย่างอื่นให้อร่อย อย่างไม่เคยมีใครทำมาก่อนในจังหวัดนี้

ก่อนกำหนดวันแต่งงานของผมหนึ่งวัน เพื่อนรักของผมก็ให้พวกลูกน้องไปคอยแอบดักดูพวกเลี้ยงควาย มันเผลอเมื่อไหร่ก็จะจัดการต้อนไล่เอาไปทันที ไปพบควายอ้วนพีตัวหนึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ชายป่าซึ่งมีเด็กคอยเลี้ยงดู พวกขโมยควายสมัครเล่นมีความพอใจในควายตัวนั้นยิ่งนัก จึงแอบคอยเวลาพอเลยเที่ยงไปแล้ว เจ้าเด็กเลี้ยงควายคงจะหิวข้าว จึงเดินกลับไปกินข้าวบ้าน จึงปล่อยให้ควายเล็มหญ้าเพลินอยู่โดดเดี่ยวห่างไกลจากบ้านผู้คน ทั้งคนก็ไม่ระแวงว่าจะมีภัยเกิดขึ้นแก่ควายของตัว เพราะยังไม่ปรากฏว่าควายเคยหายมาก่อน

ในสมัยก่อน (ผู้เขียน) ทราบว่า ทางภาคเหนือเขาถือว่าควายเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณต่อมนุษย์ เพราะคนเราได้อาศัยกำลังแรงงานของควายทำไร่ไถนา ได้อาหารมาเลี้ยงชีวิตก็ควรนึกถึงบุญคุณของควาย เมื่อถึงหน้าทำนาเขาก็ใช้แรงควาย เมื่อหมดฤดูทำนาเขาก็ปล่อยให้เป็นอิสระเข้าไปหากินในป่าตามใจชอบ ไม่ได้กักขังไว้ในบ้านเหมือนภาคกลาง ทุกๆ หมู่บ้านส่วนมากก็ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้ ควายจึงพากันไปหากินในป่าเป็นฝูง พวกสัตว์ร้ายก็ไม่สามารถจะทำอันตรายในฝูงควายได้ เพราะกลัวเขาแหลมที่จะรุมขวิดเอา

ครั้นเมื่อถึงฤดูทำนา ชาวบ้านเจ้าของควายก็ต่างเข้าป่าตามควายของตนกลับบ้าน ควายของใครของมันไม่มีสับสน ควายใครเข้าคอกใคร ไม่มีจูงผิดตัว ไม่เคยมีควายของใครหาย ไม่มีการลักขโมยควาย ประเพณีอันงดงามควรยกย่องสรรเสริญยิ่ง แต่ในปัจจุบันนี้คงจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้ว เพราะมนุษย์ส่วนมากเวลานี้มีจิตใจเสื่อมไม่มีศีลธรรม ฉะนั้น เด็กเลี้ยงควายเดินกลับบ้านกินข้าว ไม่ได้เฉลียวใจว่าควายของตนจะหาย

พวกลูกน้องของเพื่อนผมซึ่งแอบดักดูอยู่ก่อนแล้วพอเห็นเด็กเดินคล้อยหลังไปไม่นานนัก ก็พากันออกมาช่วยกันจับควายทั้งฉุด ทั้งดึง ทั้งผลัก ทั้งตีด้วยไม้ให้เดิน เจ้าควายที่น่าสงสาร แม้จะดื้อไม่ยอมไป แต่เมื่อถูกฉุดกระชากลากไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย ซ้ำยังถูกเฆี่ยนตีอย่างไม่ปรานีสงสาร สุดที่จะดื้อดึงไม่ยอมไปจึงถูกลากถูกถูลู่ถูกังไปตลอดทาง แม้มันจะแสนรู้ร้องไปตลอดทาง ก็ไม่มีใครสามารถที่จะช่วยได้ ที่สุดพวกขโมยควายสมัครเล่นเหล่านั้นนำตัวไปซ่อนไว้ในถ้ำลึกหลังที่ทำงานองค์การอย่างมิดชิด ไม่มีใครสามารถจะตามหาพบได้

พอตอนบ่ายๆ แดดร่มลมตก เด็กน้อยออกจากบ้านเดินตรงไปชายป่าที่ปล่อยให้ควายไว้กินหญ้าตัวเดียว เมื่อไม่เห็นอยู่ในที่นั้นก็มีความร้อนใจ เที่ยวตามหาเพราะไม่เคยปรากฏว่า ควายตัวนี้เคยไปห่างไกลจากชายป่ามาก่อน เคยปล่อยไว้ที่ไหนก็อยู่ในบริเวณนั้น

เด็กเที่ยวตามหาควายจนเย็น เมื่อไม่พบก็เสียใจอาลัยรักเจ้าควายคู่ยาก เดินร้องไห้กลับบ้านบอกพ่อ เมื่อพ่อรู้ว่าควายหายก็ตกใจ รีบจัดแจงพาลูกออกตามหา สองพ่อลูกเที่ยวค้นหาควายด้วยความร้อนใจเป็นห่วง เพราะแกรักควายตัวนี้เป็นชีวิตจิตใจ ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีควายตัวนี้เป็นสมบัติมีค่าที่รักใคร่หวงแหนของแกไม่ผิดกับลูกชาย

ฉะนั้น เมื่อยิ่งหาก็ยิ่งห่วงยิ่งอาลัยมากขึ้น ก็เกิดเสียอกเสียใจร้องไห้ฟูมฟายน้ำตา เมื่อนึกถึงตัวยากจนมีควายอยู่ตัวเดียว ที่ได้อาศัยกำลังแรงช่วยทำไร่ทำนาพอเลี้ยงชีวิตไม่อดตายไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ได้มั่งมีอะไร บัดนี้มนุษย์ใจร้ายได้ลักขโมยควายไปเท่ากับตัดตีนตัดมือ

เมื่อถึงฤดูทำนาก็ไม่รู้จะเอาควายที่ไหนมาช่วย คิดแล้วก็ตื้นตันใจร้องไห้ออกมา เจ้าลูกชายเห็นพ่อร้องไห้ก็ร้องบ้าง พ่อลูกเดินเที่ยวตามหาควายพลางร้องไห้พลางจนค่ำ ก็จุดไฟไปเที่ยวตามหาควายมิได้ลดละ มันจะลำบากยากแค้นอย่างไรก็ไม่ย่อท้อ เพราะควายเป็นหัวใจเป็นตีนเป็นมือของตน

สองพ่อลูกติดตามควายเข้าไปในเขตขององค์การที่เราอยู่ เจ้าเพื่อนรักได้สั่งให้คนยามไล่สองพ่อลูกให้ออกไปนอกเขต เพราะเป็นเวลาค่ำคืนดึกดื่น หากไม่เชื่อจะจับตัวแจ้งข้อหาว่าบุกรุกสงสัยจะลักทรัพย์ พ่อลูกจนใจจึงปลอบตัวเองว่า ควายมันคงจะเข้าไปหากินในป่าลึก พรุ่งนี้มันคงจะออกมาเอง ถ้าไม่ออกมาพรุ่งนี้เช้าจะติดตามเข้าไปค้นหา เพราะเป็นเวลาดึกแล้ว จึงเดินกลับบ้านอย่างคนหมดหวังและอิดโรย อาหารเย็นไม่ตกถึงท้อง อย่างคนหมดอาลัยในชีวิต สองชีวิตพ่อลูกตามหาควาย เป็นที่น่าสงสารของชาวบ้านผู้รู้เห็นเหตุการณ์ยิ่งนัก

คืนนั้นตอนดึก เพื่อนผมกับพวกลูกน้องคู่ใจหลายคน ต่างเลี้ยงหาอาหารจากจำนวนเงินที่ผมมอบให้ ๖๐๐ บาท เป็นที่ร่าเริงสนุกสนานในถ้ำป่าลึกหลังองค์การ พอหน้าตึงๆ ก็มัดควายขึงพืด เพื่อนผมกับลูกน้องก็เตรียมลงมือช่วยกันฆ่าควาย โดยจะใช้มีดแทงคอ จึงช่วยกันจับช่วยกันมัดไม่ให้ดิ้น มิไยควายที่น่าสงสารร้องขึ้นเหมือนรู้ตัวว่าจะตายคล้ายจะขอชีวิต และพยายามดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความทารุณ แต่ก็หมดหวังที่จะดิ้นหลุดเป็นอิสระได้ ได้แต่กรอกตาไปมาอย่างน่าสงสารน่าสมเพชยิ่งนัก เป็นสัญชาตญาณไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ ย่อมมีความรู้สึกกลัว รู้สึกโกรธ รู้สึกมีความอาฆาตพยาบาท


(มีต่อ ๓)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:18 pm, ทั้งหมด 2 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:41 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันจ้องตาเพ่งมองน้ำตาไหลพรากออกมา ดูพวกมนุษย์ใจร้ายที่กำลังจะทำลายชีวิตของมัน ด้วยความโกรธแค้น แต่มันทำอะไรไม่ได้ สัตว์ก็มีความกลัวตาย รักชีวิตเช่นเดียวกับพวกมนุษย์ทั่วไป แต่พวกฆ่าควายสมัครเล่นกำลังเมาหน้าชาๆ ก็มุ่งหวังจะฆ่าให้ตายเพื่อเอาเนื้อมาทำประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้คิดอะไร ไม่เคยมีความสง สารเมตตา คิดว่าไม่มีบาปบุญ ไม่มีกรรมตามสนอง เมื่อมัดแล้วยังช่วยกันไม่ให้กระดิกตัวได้ แล้วก็ลงมือเอามีดแทงคอแทงแล้วแทงอีก

ควายเคราะห์ร้ายที่น่าสงสารร้องครวญครางดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว เมื่อแทงคอแล้วก็เช็ดเลือดไหลออกมาด้วยคมมีด มันกำลังชัก แต่ตามันโตของมันเพ่งมองดูคนเชือดอีกครั้งหนึ่ง แฝงไว้ซึ่งความพยาบาทอาฆาต คล้ายมันจองเวรก่อนที่มันจะหมดลม ขาที่ถูกยึดด้วยเชือกและคน ๔ ข้างนั้นสั่นไหวระรัว ไม่ช้ามันก็หมดลมหายใจ เลือดพุ่งออกมาทางจมูกและปาก ทันใดนั้นเพื่อนผมกับพวกสมุนลูกน้องก็จัดการตัดคอแร่หนังและตัดขาแบ่งออกเป็น ๔ ขา หน้า หลัง บางคนก็ผ่าท้องเอาเครื่องในออก มีลำไส้และตับปอดหัวใจและสิ่งอื่นๆ ตัดออกหั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อง่ายต่อการขนส่งเข้าเมือง

พอเช้ามืดก่อนฟ้าสาง เพื่อนกับพรรคพวกลูกน้องก็เอารถขนเนื้อควายมาส่งถึงบ้านผมในเมืองไม่ทันสว่าง จัดการเข้าครัวแยกออกปรุงเป็นอาหารต่อไป เพราะรุ่งขึ้นจะเป็นวันมงคลทำพิธีสมรสของผม เจ้าของควายตื่นแต่เช้ามืด เที่ยวออกเดินตามหาควายที่หาย ทั้งพ่อลูกคงนอนไม่หลับตลอดคืน เพราะเป็นห่วงควายยังตามไม่พบ แกหารู้ไม่ว่าควายที่รักเหมือนสมาชิกในครัวเรือนของแก บัดนี้ได้ถูกฆ่าแยกออกเป็นส่วนกำลังปรุงอาหารแล้ว

ผมสงสัยว่าหากพวกแขกที่รับเชิญมาเลี้ยงอาหารในคืนนั้นรู้ว่าเนื้อควายที่ปรุงอาหารนั้น คลุกเคล้าชีวิตกับน้ำตาของชาวนาจนๆ มันเป็นควายคู่ทุกข์คู่ยากของสองพ่อลูก เป็นชีวิตที่เศร้าพวกแขกก็คงกลืนไม่ลงคอ แม้จะเอร็ดอร่อยอย่างไรก็ดี คงกินไม่ลงเป็นแน่

ชายเจ้าของควายกับลูกชาย เที่ยวติดตามหาควายคู่ทุกข์คู่ยากแทบพลิกป่า เสาะสืบถามชาวบ้านตลอดไปว่าเห็นควายหลงมาบ้างไหม ชาวบ้านที่รู้เรื่องดีเห็นสองพ่อลูกบุกป่าฝ่าดง มิได้คิดถึงความยากลำบากเที่ยวตามหาควายเลือดตาแทบกระเด็น ก็อดสงสารไม่ได้ ครั้นจะบอกตรงๆ ก็กลัวอิทธิพลของเพื่อนผม เพียงบอกว่าควายเวลานี้ไม่มีตัวตนอยู่แล้ว ไม่ต้องไปหาให้เสียเวลา สองพ่อลูกได้ยินเช่นนั้นก็ใจหาย หมดควายก็หมายถึงหมดกำลัง ความรู้สึกเหมือนใครมาควักเอาดวงใจ ก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น

ถามชาวบ้านก็ไม่มีใครกล้าบอก ที่สุดก็ได้กลิ่นคาวเลือดคล้ายกับวิญญาณของควายมาบอก นำทางให้สองพ่อลูกได้กลิ่นสาบควายกลิ่นคาวเลือดอาศัยนำทางไปถึงที่ฝังซากควาย เมื่อรู้แน่ว่าเป็นที่ฝังซากแล้วก็ขุดลงไปได้ซากหัวเขาและหนังควาย ชายผู้พ่อจัดแจงแบกเดินร้องไห้สงสารควายไปยัง ที่ทำการองค์การที่ผมกับเพื่อนทำงานอยู่ที่นั่น เพื่อให้ผู้อำนวยการองค์การช่วยสอบสวนขอความเป็นธรรม

แกก้มลงกราบผู้อำนวยการแล้วร้องไห้ เพราะรู้แน่ชัดว่า คนร้ายที่ฆ่าควายนั้นทำงานอยู่ที่ในองค์การนี้ ขอให้หาตัวและจัดการกับผู้ฆ่าควายไปตามความยุติธรรม ความจริงผู้อำนวยการและคนในองค์การนั่นรู้เรื่องดีว่า ใครเป็นตัวการฆ่าควาย แต่ก็รู้เมื่อสายเสียแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ จำเป็นที่จะช่วยผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อชื่อเสียง จึงสั่งให้ผู้จัดการเป็นผู้สอบสวนพอเป็นพิธีเท่านั้น ที่สุดก็บอกว่าไม่สามารถจะจับมือใครดม ไม่สามารถจะหาตัวผู้ฆ่าควายมาได้ รู้สึกเสียใจด้วย

แม้เจ้าของควายจะร้องไห้สะอึกสะอื้น ขอร้องความเป็นธรรมเพียงไร ก็ไม่เกิดผล ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านมีความสงสาร มาช่วยพูดว่า “ไหนๆ ควายของแกก็ตายไปแล้ว ขอให้แกได้รับการชดใช้เงินทอง เพื่อจะนำไปซื้อควายมาแทนตัวเก่า เพราะแกยากจนจริงๆ ได้อาศัยควายเป็นแรงทำมาหาเลี้ยงชีวิต”

แต่ผู้จัดการบอกว่าได้ไต่สวนแล้ว รู้สึกเสียใจที่ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้หมดทาง ช่วยไม่ได้ ผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านรู้สึกสงสารเจ้าของควายพ่อลูกมาก แต่ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ครั้นจะยืนยันว่าคนโน้นคนนี้เป็นตัวการก็ไม่กล้า เกรงอิทธิพลของเพื่อนผม ทั้งผู้ใหญ่ก็คอยช่วยอยู่ด้วย หาความเดือดร้อนมาจึงหมดปัญญา ผู้ใหญ่บ้านจึงบอกกับเจ้าของควายว่า

“ได้พยายามจะช่วย ก็ช่วยอะไรไม่ได้ มีปากก็พูดอะไรไม่ได้ ถ้าพูดมากไปก็เท่ากับหาความเดือดร้อนมาใส่ตัว”

เจ้าของควายกับลูกชายก็หมดที่พึ่ง หมดหวังจะพึ่งใครไม่มีใครสามารถจะช่วยได้ ทุกข์หนักเรื่องควายตายเปล่า ต่อไปจะต้องรับกรรมความยากลำบาก จึงแค้นใจมีความเจ็บใจอย่างสุดซึ้ง เมื่อทางโลกหาความยุติธรรมไม่ได้ คนฆ่ายังลอยนวลอยู่ ด้วยความโกรธแค้นที่ทำอะไรกับคนผิดไม่ได้ จึงไปเอาพริกกับเกลือและธูปมาจุดแล้วปักไว้ที่ซากหัวควายตรงหน้าที่ทำการขององค์การ ทั้งชาวบ้านและผู้ที่ทำงานในองค์การนั้นต่างก็มามุงดู ด้วยความอยากรู้ว่าชายเจ้าของควายจะทำอะไร

เมื่อเห็นสองพ่อลูกสะอึกสะอื้นก็อดสงสารไม่ได้ บางคนใจอ่อนก็พลอยน้ำตาไหลไปด้วย เพราะนึกถึงอกเขาอกเรา นอกจากพวกมีจิตใจแข็งกระด้างไม่รู้จักบาปกรรมเท่านั้น ที่ไม่มีความรู้สึก แต่แล้วพิธีของชายเจ้าของควายก็เริ่มขึ้นในท่ามกลางของฝูงชนที่ล้อมดู เมื่อเริ่มต้นปักธูปที่ซากหัวควาย แล้วก็จัดการเผาพริกเผาเกลือ แล้วร้องไปแช่งขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า

“ข้าขอสาปแช่งอ้ายคนที่มันฆ่าควาย ซึ่งเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณต่อมนุษย์ หรืออ้ายคนที่ร่วมมือก็ดี และอ้ายคนที่รู้เห็นเป็นใจก็ดี ขอให้มันฉิบหายวายวอด ขอให้มันถูกฆ่าตายด้วยของมีคมและเขี้ยวงา ขอให้มันตายด้วยความทุกข์ทรมานเหมือนอย่างควายที่มันฆ่า ขอให้มันทั้งพวกอย่าได้รอดพันกรรมที่มันก่อขึ้น ขอให้กรรมอันนี้ตามสนองมันตลอดไป ขออย่าได้มีอำนาจใดๆ ขัดขวางกรรมอันนี้ ขอให้มันประสบผลในชาตินี้และชาติหน้า ขอให้มันใช้กรรมตลอดทุกชาติไป”

ชายเจ้าของควายปากก็สาปแช่ง มือก็หยิบพริกหยิบเกลือขึ้นเผาแช่งพลางเผาพลาง แล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น คนที่ยืนล้อมรอบด้วยต่างก็นิ่งเงียบ ตาจ้องมองดูหูคอยฟังไม่มีใครพูดจาซุบซิบเหมือนต้องมนต์เจ้าของควาย เมื่อเสร็จพิธีแล้วสองพ่อลูกก็ช่วยกันแบกหัวควายและหนังเดินกลับบ้าน

ต่อมามีผู้ทนไม่ไหว ที่ชายเจ้าของควายไม่ได้รับความเป็นธรรม จึงเขียนรายงานเหตุการณ์ส่งไปสำนักงานใหญ่ขององค์การ ขอความเป็นธรรมแก่ชายเจ้าของควาย ทางสำนักงานใหญ่เมื่อได้รับรายงานกล่าวโทษพวกเจ้าหน้าที่ของตน ก็ไม่นิ่งนอนใจ จัดตั้งกรรมการส่งมาสอบสวนทันที แต่ก็คงไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เพราะไม่มีใครกล้ายืนยันเป็นพยาน จะหาหลักฐานอะไรแน่นอนไม่ได้

ทั้งรายงานเหตุการณ์ฉบับนั้นก็ไม่กล้าลงชื่อจริง จึงถือว่าเป็นบัตรสนเท่ห์ เพราะกรรมการก็ไม่สามารถจะหาพยานหลักฐานมาคลี่คลายเรื่องนี้ให้แจ่มแจ้ง พอจะมัดตัวคนผิดได้ตกลงเพื่อนผมกับลูกน้อง ทั้งพวกรวมทั้งผมด้วยก็อยู่อย่างลอยนวลอย่างคนบริสุทธิ์ไม่มีความผิด เพราะกฎหมายทางบ้านเมืองไม่สามารถจะลงโทษคนทำผิดได้ ด้วยไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอ ทำให้ชาวบ้านที่รู้เรื่องดีพากันน้อยใจเจ็บใจว่า ความยุติธรรมได้สูญหายไปไหน คนชั่วกลับไม่ได้รับโทษ

ผมรู้สึกไม่สบายใจ ตั้งแต่ผมรู้ว่าการฆ่าควายครั้งนั้นผมเป็นต้นเหตุ ซ้ำผมได้ถามลูกน้องของเพื่อนว่าได้ฆ่าอย่างไร เวลาควายจะตายมันแสดงกิริยาอย่างใดบ้าง ผมได้ฟังอย่างละเอียดตามที่ผมเล่ามาแล้ว ผมรู้สึกว่าตั้งแต่แต่งงานมาแล้วผมไม่มีความสุขเลย นึกถึงลูกน้องของเพื่อนเล่าให้ฟังเหมือนกับเห็นด้วยตาเอง และรู้ดีว่าอาหารเนื้อที่เลี้ยงแขกในวันแต่งงานนั้นไม่บริสุทธิ์ นึกเสียใจ ปล่อยความโลภเข้าบัง กลับเห็นดีไปด้วย เมื่อได้ยินคำ สาปแช่งผมก็หมดความสุขตลอดมา


(มีต่อ ๔)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:24 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:45 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หลังจากผมแต่งงานแล้วอยู่กับภรรยาได้ ๒ ปี ไฟได้ไหม้ครั้งใหญ่ในจังหวัดนั้นเป็นประวัติการณ์ ไม่เคยมีมาก่อนกินเนื้อที่กว้างใหญ่ตลอดย่านการค้าไหม้หมด ผมก็ได้หมดตัวในครั้งนั้น เพราะบ้านผมใกล้กับบ้านต้นเพลิง การไหม้ครั้งนั้นก็ไหม้เวลาดึก คนที่บ้านกำลังนอนหลับสบาย ไม่มีใครรู้ว่าไฟจะไหม้

เมื่อรู้ตัวตื่นขึ้นมาไฟก็กำลังจะเข้าถึงตัวแล้ว ผมลุกขึ้นมาปลุกภรรยาหอบหิ้วลูกน้อยพากันหนีไฟออกมา ได้แต่เสื้อที่ติดตัวมาเท่านั้น นอกนั้นไม่มีอะไรเหลือเลย ทั้งบ้านก็ไหม้หมดและผมก็ไม่ได้ประกันไฟไว้ ผมได้ฉิบหายวายวอด เหลือแต่ตัวแท้ๆ

ทรัพย์สมบัติที่เก็บสะสมไว้ไหม้อยู่ในกองไฟหมด เมื่อผมนึกถึงคำสาปแช่งของชายเจ้าของควายขึ้นมา ผมก็สะดุ้งทันที ผมปลอบใจตัวเองว่าเหตุบังเอิญผมไม่เชื่อกรรม กรรมอะไรทำดีทำชั่วไม่สนใจ แต่ผมก็หาบ้านอยู่ไม่ได้เพราะบ้านที่ไฟไหม้นั้นผมได้ปลูกในที่เช่าจากเทศบาล เมื่อไฟไหม้แล้วเทศบาลก็ไม่ให้เช่าเพราะต้องการจะสร้างตึกสามชั้น เพื่อเก็บเงินกินเปล่าห้องละ ๖ - ๗ หมื่น ตกลงผมก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ โดยเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัว


บางครั้งผมก็นึกสงสัยอยู่ว่า เหตุเกิดขึ้นนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญ คงเป็นกรรมที่ผมสมรู้ร่วมคิด ผมก็ไม่สบายใจ สุธีเพื่อนรักของผมบอกว่า “ลื้อไปคิดเรื่องเหลวไหลทำไม เรื่องกรรมเรื่องบาปบุญเป็นเรื่องหลอกคนให้งมงาย ถ้าหากว่าเป็นจริงแล้ว มันควรจะเกิดแก่อั๊วมากกว่าลื้อ เพราะอั๊วและลูกน้องอั๊วเป็นผู้ลงมือฆ่า ทำไมไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเราเลย อย่าไปนึกถึงมันเลย ลืมเสียเถิดน่า ดูแต่กฎหมายยังทำอะไรเราไม่ได้เลย”

ผมฟังคำปลอบใจก็เห็นจริงไปพักหนึ่ง เพราะว่าคนอื่นทำไมเขาไม่ได้รับเคราะห์กรรมล่ะ ทำไมมาเจาะจงกับผมคนเดียว มันเป็นการบังเอิญอย่างเพื่อนว่าแน่ และไฟก็ไม่ได้ไหม้บ้านผมเท่านั้นได้ไหม้ทั้งตลาดหมด แล้วผมก็พยายามลืมเรื่องนี้

ต่อมาองค์การของเราก็ย้ายขึ้นเหนือข้ามไปหนึ่งจังหวัด สุธีกับพวกลูกน้องก็มาอยู่รวมกันเช่นเดิมไม่ได้แยกไปอื่น เหตุการณ์อะไรก็ไม่มีวี่แววจะเกิดขึ้นกับเพื่อน และพวกลูกน้องของเพื่อน ทำให้ผมนึกยิ้มเยาะตัวเองที่หวาดกลัวไม่เข้าเรื่อง ถ้ากรรมมีจริงแล้ว คำสาปแช่งของชายเจ้าของควายมันก็ควรเกิดขึ้นกับเพื่อนรักและพวกลูกน้องของเขา เมื่อนึกแล้วก็ทำให้ผมสบายใจขึ้น แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่เคยนึกฝันว่าจะเกิดขึ้นก็ได้เกิดขึ้นแล้ว

วันนั้นจำได้ว่าเป็นเวลาเย็น ผมอยู่บ้านพักไม่ได้ไปไหน มีคนงานขับรถของสุธีเพื่อนรักของผม ขับรถอย่างรีบร้อนมาหยุดที่หน้าบ้าน ลุกลี้ลุกลนรีบลงมาจากรถวิ่งมาหาผมด้วยกิริยาตื่นเต้นหวาดกลัวตกใจจนสุดขีด ละล่ำละลักพูดอะไรไม่เป็นศัพท์ จับใจความไม่ได้หน้าตาซีดเซียวเหมือนถูกผีหลอก ผมดูกิริยาท่าทางของแกก็รู้ว่ามีเหตุร้าย ผมปลอบแกให้หายหวาดกลัวให้หายตื่นเต้น อย่าตกใจ แล้วค่อยๆ พูดให้รู้เรื่อง พอแกได้สติรู้สึกตัว ก็ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ร้องไห้พลางพูดพลางทีละประโยค สลับกับการสะอื้น ผมฟังแล้วได้ใจความว่า

สุธีเพื่อนรักของผมถูกระเบิดมีอาการสาหัส พวกลูกน้องที่ติดตามไปด้วย ก็ถูกระเบิดบาดเจ็บสาหัสด้วยทุกคน ผมได้ยินว่าเพื่อนรักและลูกน้องถูกระเบิดก็หวาดเสียวใจหายขึ้นมาทันที แต่ผมจะช้าอยู่ไม่ได้ไม่มีเวลานึกอะไร คนป่วยบาดเจ็บยังรอความช่วยเหลือ

ผมรีบจัดการตามนายแพทย์และพยาบาล เรียกคนงานเท่าที่มีอยู่ให้ไปช่วยกันขนคนเจ็บขึ้นรถส่งโรงพยาบาลด่วนด้วยความร้อนใจอยากจะไปให้ถึงเพื่อนเร็วที่สุด นอกนั้นคิดอะไรไม่ออกสมองมันตื้นตันไปหมด เมื่อพร้อมกันแล้วก็สั่งให้คนขับรถรีบนำทางให้รถพยาบาลตามไปให้ถึงที่เกิดเหตุเร็วที่สุด ระหว่างทางผมนึกภาวนาขอให้เพื่อนรักอย่าได้เป็นอันตรายเลย ใจคอผมไม่ดี นึกแต่สิ่งไม่เป็นมงคลมาตลอดทาง

เมื่อรถพามาถึงสถานที่เกิดเหตุ ผมมองเห็นก็เข้าใจว่าเป็นเขตที่เขาซ้อมยิงปืนผมรีบลงจากรถ ด้วยความร้อนรนจิตใจเป็นห่วงนึกถึงแต่เพื่อนรัก เมื่อผมลงจากรถได้รีบวิ่งนำหน้า เมื่อตอนที่ผมทราบข่าวคนขับรถไปบอกว่า เพื่อนถูกระเบิดผมก็ใจหายนึกเสียวอยู่แล้ว

แต่เมื่อผมบุกเข้าไปเห็นภาพจริงเข้ามันร้ายยิ่งกว่านึกไว้หลายเท่า เห็นผู้คนเกลื่อนกลาดที่นอนร้องครวญครางกลิ้งเกลือกทุรนทุรายทนทุกข์ทรมานอยู่กลางดิน บางคนไส้ออกมากองอยู่ข้างนอก บางคนเนื้อเละเพราะถูกสะเก็ดระเบิดเฉือนหนังขาดกะรุ่งกะริ่ง ส่วนสุธีเพื่อนของผมมีอาการร้ายแรงกว่าผู้อื่น เห็นแล้วน้ำตาผมร่วงอย่างไม่รู้สึกตัว มือเท้าอ่อนหมดไม่มีกำลังจะก้าวขาออก

ผมกำลังจะเป็นลมหน้ามืดใจสั่น สติผมเกือบจะเป็นบ้า แต่ผมจะปล่อยให้จิตใจอ่อนแอเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เพื่อนกำลังรอความช่วยเหลือครั้งสุดท้ายจะช้าไม่ได้ ผมรวบรวมกำลังทำให้จิตใจเข้มแข็งและผมก็ทำอะไรไม่ถูก ที่มองเห็นภาพที่น่าสยดสยองอยู่ตรงหน้า คือ สุธีเพื่อนรัก ผมชะงักอยู่ครู่หนึ่ง ก็วิ่งเข้าไปย่อตัวประคองหัวไว้บนตัก ไม่รังเกียจทั้งที่เพื่อนได้ถูกสะเก็ดระเบิด ตัดแขนตัดขาออกจากกันดิ้นทุรนทุราย เลือดไหลชุ่มเสื้อผ้าที่สวมใส่ หน้าตายังดีแต่ซีดเชียวเพราะเลือดออกมากไม่หยุด ส่ายหัวไปมาลูกตาเหลือกไม่กะพริบ

ร้องเสียงโอ๊กๆ ๆ ๆ เหมือนควายที่ถูกฆ่ากำลังจะสิ้นใจ เมื่อถูกแทงคอ สภาพของเพื่อนไม่ผิดเช่นเดียวกับ ควายที่ถูกตัดขาทั้งสี่ออกจากตัว ผมเขย่าตัวให้แกรู้สึก และเรียกชื่อกรอกลงที่หู เมื่อเห็นว่าแกไม่มีสติจำอะไรไม่ได้ ปากก็ร้องโอ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา แต่ผมก็ได้พยายามพูดกรอกใสที่หูแกว่า

“นี่กระสินธุ เพื่อนของแก สุธีได้ยินไหม แต่แล้วเสียงร้องโอ๊กๆ เสียงร้องเป็นควายก็ค่อยๆ เงียบลงแล้วมีอาการหายใจหอบ ปากก็ปะหงับๆ หายใจสะท้อนขึ้นสะท้อนลง สักครู่นัยน์ตาก็หลับ ผมนึกว่าแกกำลังจะดับจิต ผมประคองช้อนศีรษะแกไว้ให้สูงเพื่อให้หายใจสะดวกไม่อยากให้แกทรมานมาก แต่แล้วแกก็มีแววตาเข้าสู่ปรกติลืมตาดูผมด้วยดวงตาที่ฝ้าฟาง ผมก็ไม่รู้ว่าแกมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร ควรตายนานแล้วเสียงพูดแผ่วเบาได้ยินชัดเจน

“กระสินธุหรือ กันคอย - คอย - แก - เหมือนนานตั้งปีๆ มันทรมาน เหลือเกิน”

ผมนึกดีใจที่เพื่อนได้สติจำผมได้แล้ว ผมจึงรีบตอบ “กันเองกระสินธุ ได้รีบมาหาแก มีอะไรจะพูดหรือ ทำใจดีๆ ไว้”

ผมพยายามปลอบใจแก ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางรอด แกหอบถี่ขึ้นแล้วพูดเว้นระยะเป็นห้วงๆ ว่า “เรา - เรา - เข้าใจ - ผิด เรื่องกรรมไม่มี - บุญบาปไม่มี อ้ายควายตัวนั้นมันคอยจ้องจะเข้ามาขวิด - โอยกันกลัว กระสินธุช่วยกันด้วย”

คนเจ็บพูดเพ้อ แต่ผมก็ใจไม่ดี รู้สึกพูดอะไรไม่ถูก ได้แต่ปลอบใจคนเจ็บเท่าที่จะนึกได้ คนเจ็บนิ่งเงียบไปครูหนึ่ง แล้วก็กลับรู้สึกตัวพูดแผ่วเบา หายใจหอบถี่ขึ้นว่า “กระสินธุกันอยากกินน้ำ - ขอน้ำกิน - หน่อย”

ผมตะโกนร้องเรียกคนขับรถให้ไปเอาน้ำมาเร็ว ถ้าไม่มีก็เอาอะไรไปตักที่คูข้างทางก็ได้ เพราะเราอยู่ไกลบ้านคน แต่หมอและพยาบาลเมื่อช่วยกันขนคนป่วยขึ้นรถหมดแล้ว ก็มายืนดูผมประคองคนเจ็บด้วยอาการเศร้าหมองจัดแจงจะฉีดยาให้คนเจ็บ ผมเงยหน้าทั้งน้ำตาขึ้นมองดูหมอ แล้วถามว่า “หมอเพื่อนผมมีหวังบ้างไหม”


(มีต่อ ๕)
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --

แก้ไขล่าสุดโดย admin เมื่อ 26 ก.ค.2006, 9:29 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
admin
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 15 ธ.ค. 2004
ตอบ: 1886

ตอบตอบเมื่อ: 02 เม.ย.2006, 8:49 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

หมอไม่ตอบอะไร ได้แต่สั่นหัว ผมก็นึกแล้วเหมือนกันว่าหมดหวัง แต่ทันใดนั้นคนป่วยเบิกตากว้าง แสดงความตกใจสุดขีด - ร้องออกมาว่า “- ควายมันจ้องมองกัน ตามันดุโกรธจนตาแดง - มันวิ่งตรงเข้ามาแล้ว - โอย - โอย - ช่วยด้วย สินธุช่วยกันด้วย”

คนเจ็บตัวสั่นตาเหลือกหายใจหอบถี่ขึ้น ทะลึ่งพรวดตาตั้ง สะอึกสองครั้งแล้วก็คอตกเงียบไป หมอรีบก้มลงนับชีพจรและฟังหัวใจ แล้วพยักหน้าไม่พูดอะไร ผมก็รู้ว่าชีวิตของเพื่อนได้สุดสิ้นลงแล้ว วิญญาณได้จากร่างไปแล้ว ผมพึมพำว่า “ขอเพื่อนจงไปสู่ที่ชอบเถิด”


ชีวิตเพื่อนในโลกมนุษย์ได้สุดสิ้นลงแล้ว แม้เพื่อนจะหนีมือกฎหมายในเมืองมนุษย์ได้ แต่ก็ไม่สามารถจะหนีกฎแห่งกรรมได้ ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่ เพราะสิ่งที่ผมแน่ใจว่า เป็นกรรมตามสนองก็คือ พวกลูกน้องที่ร่วมกันในการฆ่าควายนั้น ต่างก็มีอาการสาหัสได้รับความทุกข์ทรมานทุกคน บางคนถูกคมสะเก็ดระเบิดตัดตอนท้องไส้ไหลออกมาขาดเป็นชิ้นๆ หมอได้พยายามยัดไว้เข้าไปในท้อง รีบส่งโรงพยาบาล ได้พยายามตัดต่อไส้ แต่อาการหนักมาก เพราะไส้ขาดออกเป็นหลายท่อนสุดความสามารถที่หมอจะช่วยชีวิตไว้ได้ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานรอเวลาตาย ต่อมาอีก ๓ วันจึงได้หมดลม

ลูกน้องคนนี้คงจะเป็นผู้ที่ผ่าท้องควาย เอาเครื่องในออกมาสับเป็นชิ้นๆ อีกหลายคนที่ถูกสะเก็ดระเบิดเนื้อขาดกะรุ่งกะริ่ง เหมือนเนื้อควายที่ถูกเฉือนออกมาจากตัว ทุกคนได้รับพบความทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ ร้องครวญครางเหมือนได้รับความเจ็บปวดแสนสาหัสกว่าจะตาย และที่ตายก่อนในวันถูกระเบิดมีจำนวน ๓ คน

นอกนั้นต้องทนทุกข์ทรมานจนกว่าจะสิ้นกรรม บางคนอยู่ทรมานคอยเวลาตายรวมเสร็จทั้งสุธีเพื่อนรักของผม ทุกๆ คนในสิบชีวิตได้จบลงเพราะถูกคมสะเก็ดระเบิด คล้ายกับต้องคำสาปแช่งเจ้าของควายผู้น่าสงสาร เพราะทุกๆ ชีวิตล้วนแต่ร่วมสร้างบาปฆ่าควายด้วยกันทั้งสิ้น นอกจากคนขับรถที่มาบอกข่าวร้าย เห็นจะเป็นเพราะแกไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวข้องในการฆ่าควายมาก่อน

เมื่อทางการได้ไต่สวนสอบถึงสาเหตุที่เกิดลูกระเบิดนั้น ทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายมาก ก็ปรากฏได้ความจริงเป็นความประมาทของสุธี จึงต้องสูญเสียชีวิตลูกน้องและตัวเอง ก่อนเกิดเหตุเย็นวันนั้นประมาณ ๑๗.๐๐ น. สุธีกับพวกลูกน้องอีก ๑๐ คน ได้นั่งรถยนต์บรรทุกผ่านมาถึงที่เกิดเหตุ

จะเป็นผลกรรมอย่างไร จึงทำให้สุธีได้มองเห็นวัตถุโลหะรูปร่างยาวกลมๆ ซึ่งอยู่ห่างไกลจากสายตามนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นได้เพราะห่างจากทางรถวิ่ง สุธีจึงให้คนขับหยุดแล้วตัวกับลูกน้องต่างก็ลงจากรถเข้าไปดู พอเห็นก็ชอบโลหะชิ้นนั้น รูปร่างเหมาะสมที่จะนำไปทำแจกันปักดอกไม้เพราะความโลภ

ผลกรรมที่ตามมาเห็นกงจักรเป็นดอกบัว สุธีรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เมื่อเก็บมาแล้วก็ใช้ขาสองข้างเหน็บไว้แล้วใช้มือสองข้างจับบิดไปมา สุธีพยายามปลุกปล้ำถอดวัตถุประหลาดอันนั้น แต่แล้วก็เกิดระเบิดขึ้นทันที ทั้งสุธีและลูกน้องที่มุงดูต่างก็ได้รับเคราะห์กรรมตามมากตามน้อย สุธีกรรมหนักจึงถูกตัดทั้งแขนทั้งขาขาดหายไป ลูกน้องท้องแหวะไส้ขาดดังที่ผมได้เล่ามาแล้ว

ฉะนั้น ผมจึงเชื่อแน่ว่า “กรรม” นั้นมีจริงผมเชื่อแล้ว ทำดีทำชั่วนั้นย่อมมีกรรมดีกรรมชั่วตามสนอง บัดนี้ผมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยใดๆ เหลืออีกเลย เพราะทุกๆ คนที่ถูกระเบิดในครั้งนั้น คือพวกฆ่าควายของชาวนาที่ยากจนผู้น่าสงสารสองพ่อลูก คงเหลือแต่คนขับรถที่ไม่เคยรู้เรื่องในการฆ่าควายมาก่อน ทำให้แกคนเดียวเฝ้าอยู่ที่รถทั้งแอบบังต้นไม้ใหญ่ จึงอยู่ห่างไกลรอดพ้นจากรัศมีระเบิดไม่เป็นอันตราย

แต่แกก็ได้รับความตกใจแทบช็อกเมื่อระเบิดขึ้น แกรีบวิ่งไปดูสุธีนายของแกและพวกลูกน้อง เห็นภาพที่สยดสยอง แกกลัวแทบจะเป็นบ้า รีบขับรถบึ่งมาหาผม เพราะแกรู้ว่าผมกับสุธีเป็นเพื่อนรักกันมาก แกนึกว่าทำอย่างไรเมื่อผมทราบผมจะต้องรีบร้อนไปช่วยเป็นแน่

นี่แหละครับเขาบอกว่าคนดีผีคุ้ม เวลานี้ภาพของเพื่อน เสียงร้องครวญครางของคนเจ็บยังหลอกผม ติดหูติดตาตลอดมา เป็นภาพที่น่าขนพองสยองเกล้าที่สุดในชีวิตของผมที่ได้พบเห็น ผมรับตรงๆ ว่าผมกลัวกลัวว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับผมอีก ประสาทผมเสีย เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัวต้องหวาดสะดุ้งอยู่เสมอ ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันทรมานจิตใจ ดูรูปร่างผมซิใกล้จะเป็นผีอยู่แล้วๆ

แกเล่าพลางเน้นคำพูด พร้อมกับสะอื้นไห้อยู่ในอกอย่างน่าสงสาร ข้าพเจ้าได้ฟังแกเล่าแล้วก็เห็นใจแกมาก ทั้งที่แกไม่ใช่ตัวการในเรื่องนี้ จึงปลอบใจให้สติแกว่า

“จงทำใจให้สบายเถิด ต่อไปไม่ต้องคิดอะไรอีก คุณพ้นจากการสาปแช่งพ้นกรรมแล้ว อย่างน้อยคุณก็เคยห้ามเพื่อนมาก่อน แต่เขาหาฟังคำห้ามของคุณไม่ ฉะนั้นกรรมที่คุณได้รับก็เบาบางไม่มาก เพราะคุณยังมีความดีเป็นบารมีอยู่บ้าง ฉะนั้นคุณจึงได้รับกรรมเป็นคนแรกเป็นกรรมทำให้ทรัพย์สินวอดวายไปในกองไฟ สิ้นทรัพย์สินแล้วก็คือคุณได้ใช้หนี้กรรมสุดสิ้นลงแล้ว ส่วนพวกกรรมหนักนั้นได้รับภายหลังช้ามากกว่ากรรมเบา บัดนี้ก็ได้รับกรรมทั่วทุกคนแล้ว ต่อไปนี้คุณไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนมุ่งหน้าสร้างความดีต่อไปเถิด ผมรับรองได้ว่าคุณหมดกรรม จำไว้ว่า คุณได้ใช้หนี้กรรมแล้ว อย่านึกถึงต่อไป ลืมอดีตเสีย ทำให้ใจสบายคิดถึงแต่ที่จะทำดีในปัจจุบัน”

แกฟังผมพูดรู้สึกมีสีหน้าแจ่มใสขึ้น ไม่ซีดเซียวเหมือนแรกพบ แกยิ้มอย่างมีเลือดฝาด แล้วพูดว่า “ผมได้ยินท่านพูด ผมสบายใจขึ้นมาก เมื่อได้ยินท่านรับรองว่าผมหมดกรรมแล้ว คำนี้เหมือนคำประกาศิตของผู้พิพากษา เหมือนอ่านคำพิพากษาให้ปล่อยผมพ้นกรรมแล้วผมดีใจ เห็นจะเป็นเหตุที่ผมเล่าเรื่องชีวิตของผมให้ท่านฟัง ความรู้สึกเหมือนผมเป็นจำเลยให้การสารภาพผิดต่อหน้าผู้พิพากษา เป็นครั้งแรกที่ผมได้เล่าให้ท่านฟัง และผมก็ได้ระบายใจความอัดอั้นไว้ในอกนานแล้วออกหมด ความทุกข์หนักอกก็เบาลง ผมก็โล่งอกหายใจคล่องขึ้นกว่าเก่า

ท่านได้กรุณาอดทนฟังผมเล่าจนจบ แล้วท่านก็กรุณาชี้แจงเหมือนคำตัดสินอันศักดิ์สิทธิ์ควรเคารพ ให้ผมพ้นบาปกรรม ให้หลุดพ้นจากความรู้สึกว่า ถูกจองจำจิตใจ ปล่อยให้เป็นอิสระในบัดนี้แล้ว สัญชาติญาณของผมมีความรู้สึกว่า ท่านเป็นผู้ที่มาล้างบาปจากความรู้สึกทางจิตใจของผมให้หมดสิ้นไป ผมกลับเป็นผู้บริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง ผมมีความดีใจมาก ไม่รู้ว่าจะกราบขอบพระคุณท่านอย่างไรถูก”

ข้าพเจ้าได้ฟังแกพูด ทั้งได้เห็นแกเปลี่ยนกิริยาท่าทางจากความเศร้าความทุกข์ทุกข์หนัก กลับสู่ความเป็นปรกติร่าเริงแจ่มใสทางจิตใจทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกปลื้มปิติ นึกว่าข้าพเจ้าเคราะห์ดีที่เดินทางโดยรถไฟ จึงได้ทราบเรื่องแปลกประหลาดอันมีคุณค่ายิ่ง หากข้าพเจ้าเดินทางโดยเครื่องบิน ก็คงไม่ทราบอะไรที่เป็นประโยชน์ ดังที่ท่านได้ฟังมาแล้ว

หลังจากคุณกระสินธุได้เล่าเรื่องของแกประมาณสองชั่วโมงจึงได้สุดสิ้น เนื้อความที่น่าศึกษา แกก็หลุดพ้นเครื่องพันธนาการทางจิตใจ ข้าพเจ้าก็ได้รับความปิติในเมื่อได้เห็นผู้อื่นมีความสุข เราได้สนทนาในเรื่องต่างๆ ต่อไปจนกว่ารถไฟจะถึงจุดหมายปลายทาง เราจึงได้ลาจากกันด้วยความปิติทางจิตใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย จึงขอจบเรื่อง “กรรมหนัก” ไว้เพียงนี้



....................... เอวัง .......................
 

_________________
-- การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง --
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวส่ง Emailชมเว็บส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง