Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ประวัติความเป็นมาของวัดวัดป่าหนองผือนาใน ของหลวงปู่มั่น อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 21 ก.พ.2006, 5:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน



kutee.jpg


kutee.jpg


ประวัติความเป็นมาของวัดวัดป่าหนองผือนาใน ของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จ.สกลนคร พร้อมภาพประกอบ



และหุ่นขี้ผึ้งหลวงปู่มั่นบนกุฏิ ความเป็นมาของวัด
เมื่อครั้งที่องค์หลวงปู่มั่นพำนัก ณ เสนาสนะป่าบ้านห้วยแคน ขณะนั้นท่านพระอาจารย์หลุย ( หลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ) จำพรรษาอยู่ที่ บ้านหนองผือนาใน พระอาจารย์หลุยได้แนะนำชาวบ้านหนองผือให้อาราธนาหลวงปู่มั่นมาจำพรรษาที่นี่ ชาวบ้านจึงได้เดินทางไปอาราธนาหลวงปู่มั่น ณ บ้านห้วยแคน ท่านจึงได้มาจำพรรษา ณ วัดป่าบ้านหนองผือในเวลาต่อมา ติดต่อกันเป็นเวลาถึง ๕ พรรษา ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๘๘ - ๒๔๙๒ ( อ่านรายละเอียดได้ที่ ความเป็นมาของวัดป่าบ้านหนองผือ และ ปกิณกธรรม )

ในอดีตองค์ท่านไม่เคยจำพรรษาซ้ำที่ไหนเป็นปีที่ ๒ เลย การที่ท่านจำพรรษาที่นี่นานเป็นพิเศษนั้น พระอาจารย์วิริยังค์ได้บันทึกถึงสาเหตุไว้ในหนังประวัติพระอาจารย์มั่นไว้ดังนี้

" ... ในการที่ท่านอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือนี้ มีความประสงค์เพื่อให้บรรดาศิษย์เก่าและศิษย์ใหม่เข้ามาศึกษา เป็นการเปิดโอกาสแก่บรรดาพระภิกษุสามเณร และเพื่อให้เข้าใจในธรรมยิ่งๆ ขึ้น กับทั้งการแสดงธรรมนั้นยังความชื่นชมและแก้ความสงสัยให้อย่างไม่มีข้อแย้ง ซึ่งคล้ายกับว่าท่านจะรู้จักกาลแห่งสังขารธรรมจักอยู่ไปไม่ได้นาน ใคร่จะสอนให้แก่บรรดาศิษย์เป็นผู้เข้าใจในธรรมอันควรที่จะพึงรู้พึงเข้าใจ สืบแทนท่านได้เป็นหลักฐานแก่คณะกัมมัฎฐานต่อไป ... เมื่อท่านพระอาจารย์มั่นได้พักอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือตลอดระยะเวลา ๕ ปี ก็มีประโยชน์ที่ได้วางแผนงานขั้นสุดท้ายให้แก่คณานุศิษย์และพระคณาจารย์ของท่าน ซึ่งท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญในการเป็นทายาทของท่านอย่างยิ่ง ... "
ศาลาหลวงปู่มั่น



กุฏิหลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือ* เตียง ธรรมมาสน์ และเก้าอี้ภายในกุฏิ
หลวงปู่หล้า เขมปตฺโตเป็นผู้ต่อถวาย

ศาลาโรงฉันหลวงปู่มั่น
กุฏิที่หลวงตามหาบัวเคยจำพรรษา*

สภาพวัดป่าบ้านหนองผือในสมัยนั้น หลวงพ่อชา สุภัทฺโธได้เล่าถึงบรรยากาศในช่วงที่ท่านมาศึกษาธรรมปฏิบัติกับองค์หลวงปู่มั่น ณ วัดป่าบ้านหนองผือไว้ในหนังสือ " ใต้ร่มโพธิญาณ " ดังนี้


ทางเดินจงกรมหลวงปู่มั่น
ที่ข้างกุฏิหลวงปู่ "...ที่ผมได้ความรู้ความฉลาด จนได้มาแบ่งปันพวกท่านทั้งหลายนั้น ก็เพราะผมได้ ไปกราบครูบาอาจารย์มั่น...

ไปพบท่าน แล้วก็เห็นสภาพวัดวาอารามของท่าน ถึงจะไม่สวยงาม แต่ก็ สะอาดมาก พระเณรตั้งห้าสิบหกสิบ เงียบ! ขนาดจะถากแก่นขนุน (แก่นขนุนใช้ต้มเคี่ยว สำหรับย้อมและซักจีวร) ก็ยังแบกเอาไปฟันอยู่โน้น.. ไกล ๆ โน้น เพราะกลัวว่าจะ ก่อกวนความสงบของหมู่เพื่อน...

พอตักน้ำทำกิจอะไรเสร็จ ก็เข้าทางจงกรม ของใครของมัน ไม่ได้ยินเสียง อะไร นอกจากเสียงเท้าที่เดินเท่านั้นแหละ
บางวันประมาณหนึ่งทุ่ม เราก็เข้าไปกราบท่านเพื่อฟังธรรม ได้เวลาพอ สมควรประมาณสี่ทุ่มหรือห้าทุ่มก็กลับกุฏิ เอาธรรมะ ที่ได้ฟังไปวิจัย... ไปพิจารณา

เมื่อได้ฟังเทศน์ท่าน มันอิ่ม เดินจงกรมทำสมาธินี่... มันไม่เหน็ดไม่เหนื่อย มันมีกำลังมาก ออกจากที่ประชุมกันแล้วก็เงียบ! บางครั้งอยู่ใกล้ ๆ กัน เพื่อนเขาเดิน จงกรมอยู่ตลอดคืนตลอดวัน จนได้ย่องไปดูว่าใครท่านผู้นั้นเป็นใคร ทำไมถึงเดินไม่หยุดไม่พัก นั่น... เพราะจิตใจมันมีกำลัง..."

จึงถือได้ว่าวัดป่าบ้านหนองผือในสมัยนั้นเปรียบดั่งมหาวิทยาลัยแห่งพระพุทธศาสนา โดยมีองค์หลวงปู่มั่นเป็นพระอาจารย์ใหญ่ มีหลักสูตรคืออริยมรรคและธุดงควัตร มีกฏระเบียบคือพระธรรมวินัย ข้อวัตรต่างๆ มีปริญญาคือความพ้นทุกข์เป็นหลักชัยตามแนวทางแห่งพระบรมครูพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรดาพระอาจารย์ท่านต่างๆ ที่ได้หลั่งไหลมาศึกษา ณ วัดป่าบ้านหนองผือนี้ ก็คือครูบาอาจารย์พระภิกษุสงฆ์ที่เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระอริยสัจธรรมในเวลาต่อมานั่นเอง
กุฏิพระอาจารย์วิริยังค์


ทางเดินภายในวัด* สภาพวัดป่าบ้านหนองผือในปัจจุบัน
วัดป่าบ้านหนองผือ หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า " วัดภูริทัตตถิราวาส " ซึ่งเป็นนามที่ตั้งโดยท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ ( จูม พนฺธุโล ) ตามฉายาของหลวงปู่มั่น เพื่อถวายเป็นอนุสรณ์แก่องค์ท่านที่ได้เมตตาจำพรรษาที่นี่นานที่สุด ในปัจจุบันเสนาสนะต่างๆ ในสมัยหลวงปู่มั่นก็ยังคงรักษาและอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ได้แก่ กุฏิพร้อมทางเดินจงกรม ศาลาโรงธรรม ศาลาฉันภัตตาหาร และของใช้เล็กๆ น้อยๆ ขององค์ท่าน สภาพบรรยากาศวัดก็ยังคงความสงบวิเวกอยู่เช่นเดิม ป่าไม้ยังคงสภาพสมบูรณ์มีกุฏิกรรมฐานซ้อนตัวอยู่จุดต่างๆ ภายในวัด ภายใต้ร่มไม้ที่เปรียบดั่งหลังคาธรรมชาติร่มเย็นตลอดทั้งวัน เป็นรมมณียสถานสำหรับการภาวนาอีกแห่งหนึ่งสำหรับนักปฏิบัติทั้งหลาย

อัฐิธาตุหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ประดิษฐานบนศาลาใหญ่ วัดป่าบ้านหนองผือ


ศาลาในเขตสังฆาวาส*
ศาลาใหญ่หลังปัจจุบัน

บิณบาตยามเช้า*

พระอาจารย์พยุง ชวนปญฺโญ
เจ้าอาวาสรูปปัจจุบัน ปัจจุบันมีท่านพระครูสุทธธรรมมาภรณ์ ( พระอาจารย์พยุง ชวนปญฺโญ ) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งท่านยังคงรักษาข้อวัตรต่างๆ ไว้เช่นเดียวกับสมัยหลวงปู่มั่น รวมถึงพยายามจำกัดสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้มีแต่พอดี เพื่อให้วัดแห่งนี้ยังคงสภาพเดิมต่อไป

ในทุกวันที่ ๑๐ - ๑๑ พฤศจิกายนของทุกปีจะมีจัดงาน วันน้อมรำลึกครบรอบคล้ายวันมรณภาพหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ซึ่งในงานจะได้มีการแสดงพระธรรมเทศนาปฏิบัติธรรมเพื่อน้อมรำลึกถึงองค์หลวงปู่



ประวัติวัดป่าภูริทัตถิราวาส (วัดป่าบ้านหนองผือ)
เข้าที่ http://www.luangpumun.org/wara/nangpep.html
เข้าที่ http://www.luangpumun.org/watpa.html
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
วีรยุทธ
บัวทอง
บัวทอง


เข้าร่วม: 24 มิ.ย. 2005
ตอบ: 1790
ที่อยู่ (จังหวัด): สกลนคร

ตอบตอบเมื่อ: 21 ก.พ.2006, 5:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ต่อมาข่าว ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺตเถร ซึ่งธุดงค์จำพรรษาอยู่ทางภาคเหนือเป็นเวลาหลายปี ท่านได้รับนิมนต์จากพระเถระทั้งหลายทางภาคอีสาน ซึ่งเป็นศิษยานุศิษย์ของท่านในขณะนั้นให้มาโปรดชาวภาคอีสาน เมื่อท่านตกลงรับนิมนต์แล้ว ท่านก็ได้เดินทางกลับภาคอีสาน โดยแวะพักอยู่ที่วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา และวัดป่าโนนนิเวศน์ จังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งถึงจังหวัดสกลนคร อันเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ใกล้ชิดติดกับเทือกเขาภูพานเหมาะสำหรับผู้ต้องการแสวงหาความสงบวิเวกเป็นอย่างมาก

ส่วนพระอาจารย์หลุย จนฺทสาโร ซึ่งเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นรูปหนึ่ง ขณะนั้นท่านยังพักทำความเพียรอยู่ที่วัดป่าบ้านหนองผือ ได้ทราบข่าวว่า ท่านพระอาจารย์มั่นมาถึงเขตจังหวัดสกลนครแล้ว และพักวิเวกอยู่ที่สำนักสงฆ์วัดป่าบ้านม่วงไข่ผ้าขาว (ขณะนี้อยู่ในเขตอำเภอพังโคน) เมื่อท่านทราบแน่นอนแล้ว จึงได้ชักชวนพาญาติโยมทายกวัดป่าบ้านหนองผือ ๔ – ๕ คน ไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นที่นั่น (เดินทางหนึ่งวันและพักค้างคืนกับท่านสามคืน) ถึงแล้วเข้าไปกราบนมัสการท่านเรียบร้อย จึงได้พูดคุยสนทนากันตามประสาลูกศิษย์กับอาจารย์เสร็จแล้วกราบลาแยกย้ายกันไปหาที่พักตามอัธยาศัย

เมื่อตอนขากลับคณะของพระอาจารย์หลุยได้เข้าไปกราบลาท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งมีตอนหนึ่งที่ท่านได้กล่าวว่า “แถวอื่น ๆ เคยไปหมดแล้ว แต่ไม่รู้เป็นอย่างไรตรงหุบเขาบริเวณบ้านหนองผือนั้น ยังไม่เคยได้เข้าไป เอาล่ะ ถ้ามีโอกาสก็จะเข้าไป” ท่านพูดคุยสนทนากันพอสมควรแก่เวลา เสร็จแล้วคณะของพระอาจารย์หลุยจึงถือโอกาสกราบลาท่านกลับบ้านหนองผือ เมื่อคณะของพระอาจารย์หลุยกลับบ้านหนองผือแล้ว ภายหลังต่อมาไม่นานก็ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์หลุยกลับบ้านหนองผือแล้ว ภายหลังต่อมาไม่นานก็ได้ทราบข่าวว่าท่านพระอาจารย์มั่นเดินธุดงค์ มาพักวิเวกอยู่ที่พักสงฆ์บ้านห้วยแคน ซึ่งอยู่ในเขตอำเภอโคกศรีสุพรรณ จังหวัดสกลนครในปัจจุบันนี้ พระอาจารย์หลุย เมื่อได้โอกาสเช่นนี้จึงสั่งให้ โยมพ่อออกพุฒ ซึ่งเป็นทายกวัดมาที่วัดโดยเร็วไว เพื่อมอบหน้าที่ให้ไปกราบอาราธนาท่านพระอาจารย์มั่นซึ่งขณะนั้นพักอยู่ที่บ้านห้วยแคนมาบ้านหนองผือโดยรีบด่วน ให้ทันก่อนที่จะเข้าพรรษา

โยมพ่อออกพุฒมาที่วัดป่าบ้านหนองผือรับคำสั่งจากพระอาจารย์หลุย เมื่อเข้าใจแล้วจึงกลับไปชวนนายดอนลูกชายไปเป็นเพื่อเดินทาง เมื่อตระเตรียมสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทางเสร็จแล้ว รุ่งเช้าวันใหม่สองคนจึงออกเดินทางด้วยกำลังฝีเท้า เพราะสมัยนั้นยังไม่มีรถราใช้ในการเดินทาง ไปถึงบ้านห้วยแคนเป็นเวลาค่ำมืดพอดี จึงพักนอนค้างคืนที่บ้านห้วยแคนหนึ่งคืน ตอนเช้าจึงเข้าไปกราบนมัสการท่านพระอาจารย์มั่นในวัดที่ท่านพักอยู่ และเล่าเรื่องราวความเป็นมาต่าง ๆ ให้ท่านทราบ แล้วถือโอกาสกราบอาราธนานิมนต์ท่าน ท่านก็รับนิมนต์ว่า จะมา แต่วันนั้นยังมาไม่ได้ เพราะมีของสัมภาระหลายอย่าง แต่คนที่จะช่วยขนของมีน้อย โยมพ่อออกพุฒพร้อมลูกชายจึงกราบลาท่าน รีบกลับบ้านหนองผือมาก่อน เพื่อมาบอกชาวบ้านให้ไปช่วยขนของและส่งคนไปรับท่านด้วย

เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว จึงรีบไปรายงานให้พระอาจารย์หลุยทราบ พระอาจารย์หลุยท่านเป็นผู้คอยแนะนำ วางแนวปฏิบัติให้กับญาติโยมชาวบ้านหนองผืออยู่เบื้องหลัง ท่านได้สั่งให้เกณฑ์โยมคนหนุ่ม ๆ แข็งแรงเพื่อไปขนของ เครื่องใช้ สัมภาระต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับองค์ท่านพระอาจารย์มั่น ตลอดทั้งของใช้อย่างอื่น ๆ ด้วย ในที่สุดก็เกณฑ์บุคคลได้ ดังรายนามที่รวบรวมได้ดังต่อไปนี้

โยมฝ่ายผู้เฒ่า ได้แก่
๑. พ่อออกทิศสร้าง พิมพ์บุตร
๒. พ่อออกพัน เทพิน
๓. พ่อออกสีลา เทพิน
๔. พ่อออกเชียงแสน ชาตะรักษ์
๕. พ่อออกอุ่น จันทะวงษา (ชาวบ้านหนองผือ ผู้ถ่ายทอด และเล่าเรื่องในเหตุการณ์สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมาพักที่วัดป่าบ้านหนองผือเป็นโยมอุปัฏฐากรับใช้สมัยท่านพระอาจารย์มั่น ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว)
ฯลฯ

โยมฝ่ายคนหนุ่ม ได้แก่
๑. นายกอง เณธิชัย
๒. นายแก้ว เทพิน
๓. นายสงค์ สีเหลือง
๔. นายนอ เณธิชัย
๕. นายพรหมา โพธิ์ศรี
๖. นายบุญเลิง เทพิน (ชาวบ้านหนองผือ ผู้ถ่ายทอดและเล่าเรื่องในเหตุการณ์สมัยท่านพระอาจารย์มั่นมาจำพรรษา ปัจจุบัน (พ.ศ. ๒๕๔๔) เป็นพระภิกษุ อยู่วัดป่าบ้านหนองผือ)
๗. นายโส เทพิน


เมื่อทุกคนทราบแล้ว จึงจัดเตรียมสิ่งของที่จำเป็นในการเดินทางอย่างเรียบร้อย พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็พากันออกเดินทาง ฝ่ายพระอาจารย์หลุย ท่านคงทราบอุปนิสัยของท่านพระอาจารย์มั่นเหมือนกัน คือปกติท่านพระอาจารย์มั่น ท่านจะไม่พักสำนักวัดป่าที่มีพระสงฆ์กำลังพักอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นพระอาจารย์หลุย จึงให้พระเณรที่พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือทุกรูปออกไปอยู่ข้างนอกหมด หมายความว่าให้ไปอยู่วัดรอบนอก ซึ่งไม่ห่างจากวัดป่าบ้านหนองผือเท่าไรนัก ทำทีให้เป็นสำนักวัดร้าง ไม่มีพระสงฆ์อยู่เสียก่อน ภายหลังจึงค่อยทยอยกันเข้ามาใหม่

สำหรับพวกโยมที่ส่งไปให้เดินทางไปรับท่านพระอาจารย์มั่น เดินทางด้วยฝีเท้าออกจากบ้านหนองผือไป ผ่านบ้านผักคำภูและบ้านลาดกะเฌอ ไปนอนพักค้างคืนที่บ้านนากับแก้ ออก จากบ้านนากับแก้ไปถึงบ้านห้วยแคนเป็นเวลาประมาณ ๔ – ๕ โมงเย็น คณะญาติโยมจึงพากันไปขอพักนอนที่โรงเรียน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักที่พักของท่านพระอาจารย์มั่นมากนัก เมื่อได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว คณะโยมผู้เฒ่า ๔- ๕ คนจึงถือโอกาสไปที่วัด เพื่อกราบนมัสการและอาราธนาท่านด้วย เมื่อท่านรับนิมนต์แล้ว ได้พูดคุยสนทนาพอสมควรแก่เวลา คณะโยมผู้เฒ่าก็กราบลากลับที่พักของตน

พอรุ่งเช้าเมื่อพระออกบิณฑบาต คณะโยมบ้านหนองผือก็ออกจากที่พักของตนไปที่วัด เพื่อรอขนสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ท่านจัดเตรียมไว้แล้วไปด้วย เสร็จแล้วจึงพากันออกเดินทางกลับบ้านหนองผือ โดยคณะพวกโยมหนุ่ม ๆ ได้ขนของหนักหน่อยเดินทางล่วงหน้ามาก่อน สำหรับคณะของท่านพระอาจารย์มั่นนั้นค่อย ๆ เดินทางมาทีหลัง เพราะเป็นคณะของคนชรามีพระอุปัฏฐากติดตามท่านอีก ๕ รูป คือ พระอาจารย์มนู พระอาจารย์สอ พระอาจารย์หนู พระอร่าม พระเดือน พร้อมกับโยมผู้เฒ่าที่ไปรับท่านอีก ๔ – ๕ คน เดินทางด้วยฝีเท้ามาเรื่อย ๆ มาพักนอนค้างคืนที่ป่าใกล้บ้านลาดกะเฌอและบ้านกุดน้ำใส

ส่วนพระอาจารย์หลุยได้ทราบข่าวว่า คณะของท่านพระอาจารย์มั่นมาถึงบ้านกุดน้ำใสแล้วได้พักนอนที่นั่นหนึ่งคืน และขณะนี้ท่านกำลังเดินทางมาที่วัดป่าบ้านหนองผือแล้วด้วย พระอาจารย์หลุยจึงชวนญาติโยมรีบเดินทางไปรับท่าน และได้พบคณะของท่านพระอาจารย์มั่นในระหว่างทาง จึงเข้าไปกราบนมัสการและช่วยขนของบางสิ่งบางอย่างที่พอจะช่วยได้ แล้วเดินทางกลับมาพร้อมกับคณะของท่านพระอาจารย์มั่น จนถึงวัดป่าบ้านหนองผือรวมเวลาในการเดินทางประมาณ ๔ คืน ๕ วัน เมื่อมาถึงวัดป่าบ้านหนองผือก็นิมนต์ให้ท่านขึ้นพักอยู่กุฏิหลังหนึ่งที่เห็นว่าถาวรที่สุดในสมัยนั้น อยู่ตรงบริเวณใกล้ ๆ ใต้ต้นไม้พะยอม ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของศาลาหลังใหญ่ในขณะนี้

หลังจากนั้นท่านก็ได้อยู่พักผ่อนทำความเพียรตามอัธยาศัย พร้อมทั้งได้อบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณรตลอดทั้งญาติโยมมาเรื่อย ๆ พระภิกษุสามเณรก็เริ่มทยอยมากันมากขึ้น จนกระทั่งใกล้จะเข้าพรรษา ท่านจึงได้ย้ายจากกุฏิหลังที่อยู่เดิม ขึ้นไปอยู่ที่ห้องบนศาลาสวดมนต์หลังเก่าซึ่งมองเห็นอยู่ทางทิศตะวันตกของศาลาหลังใหญ่ในขณะนี้ เพื่อให้สะดวกในการต้อนรับพระภิกษุสามเณร ตลอดทั้งญาติโยมที่มากราบนมัสการท่าน เพราะเป็นสถานที่กว้างขวางพอสมควรจนออกพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็มีพระภิกษุสามเณรเข้าไปกราบฟังเทศน์กับท่านบ้างเข้าไปพักฝึกฝนอบรมข้อวัตรปฏิบัติกับท่าน หรือเข้าไปปรึกษาหรือแก้ไขปัญหา ข้อสงสัยในธรรมะต่าง ๆ บ้าง ทั้งนี้มีพระภิกษุระดับชั้นผู้ใหญ่เป็นท่านเจ้าคุณถึงมหาเถระ จนระดับเล็กถึงสามเณรน้อย ตลอดทั้งอุบาสกอุบาสิกา (แต่ยังมีไม่มาก) ทยอยกันเข้ามาทุกสารทิศ

แม้สมัยนั้นบ้านหนองผือยังเป็นที่ทุรกันดารมาก ทางสัญจรไปมาก็ลำบากเพราะเป็นหมู่บ้านที่ตั้งอยู่แอ่งเขา จะเข้าจะออกต้องเดินด้วยกำลังฝีเท้าข้ามภูเขา มิฉะนั้นก็ต้องนั่งเกวียนอ้อมเขาไปออกทางบ้านห้วยบุ่น บ้านนาเลา ทะลุถึงบ้านนาเชือก... โคกกะโหล่ง แล้วโค้งอ้อมไปทางบ้านอุ่มไผ่... บ้านกุดก้อม หรือไปทางบ้านโคกเสาขวัญจนถึงเมืองพรรณานิคมโค้งอ้อมไปโน้น ถึงอย่างนั้นผู้คนก็ยังอุตส่าห์พยายามดั้นด้นเดินทางเข้าไปนมัสการท่านโดยไม่เกรงกลัวอันตรายใด ๆ ทั้งสิ้นในการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้าย พวกเสือ พวกหมี พวกงู และไข้มาลาเรียก็ตามไม่ได้คำนึงถึง เพราะอรรถธรรมกิตติคุณของท่านพระอาจารย์มั่น ผู้ที่เดินทางเข้าไปส่วนมากเป็นพระภิกษุสามเณร บางท่านก็ไปพัก ๓ วัน ๗ วัน ๑๕ วัน บางท่านก็อยู่จำพรรษา พอออกพรรษาแล้วก็เที่ยวเดินธุดงค์ต่อไป บางท่านก็อยู่จำพรรษาประจำกับองค์ท่านตลอดจนท่านนิพพานก็มี สร้างกุฏิถวายท่านพระอาจารย์มั่น

พ.ศ. ๒๔๘๙ ญาติโยมชาวบ้านหนองผือ คิดอยากจะสร้างกุฏิถาวรถวายท่านพระอาจารย์มั่นสักหลังหนึ่ง จึงพากันไปขออนุญาตจากท่าน ตอนแรกท่านไม่อนุญาตให้สร้าง ท่านว่า “แค่นี้ก็พออยู่แล้ว” ต่อมาอีกไม่นานญาติโยมก็ไปขอท่านสร้างอีกเป็นครั้งที่สอง ท่านก็ไม่อนุญาต พอครั้งที่สามท่านจึงอนุญาตให้สร้าง

เมื่อท่านอนุญาตแล้วญาติโยมจึงพากันจัดเตรียมหาเครื่องสัมภาระที่ใช้ในการก่อสร้าง เช่น ไม้เสาก็ได้จากชาวบ้านที่มีศรัทธาบริจาคให้บ้างจนครบ นอกจากนั้นก็จัดหาเครื่องประกอบและอุปกรณ์อย่างอื่น ๆ เช่น ไม้ทำขื่อ แป ตง กระดานฝา และกระดานพื้น ตลอดทั้งไม้กระดานมุงหลังคาจนครบทุกอย่างเช่นกัน ไม้ที่ได้มาเหล่านี้บางส่วน ได้มาจากการที่ญาติโยมพร้อมครูบาอาจารย์พระเณรในวัดช่วยกันจัดหามา ส่วนที่ยังไม่พอจึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่บ้านที่จะต้องป่าวร้องให้ลูกบ้านช่วยกันจัดหามาจนเพียงพอ จึงลงมือปลูกสร้างได้ เพราะการทำงานทุกอย่างต่อหน้าพระอาจารย์มั่นนั้น จะต้องระมัดระวังคิดให้รอบคอบ อย่าให้งานนั้นยืดเยื้อ ยาวนานหรือสะดุดหยุดลงเสียกลางคัน ให้งานนั้นทำไปเป็นช่วง ๆ และเรียบร้อย จึงจะสมที่ตนเองมีศรัทธาอยากจะสร้างจริง ๆ

เมื่อวันลงมือปลูกสร้างนั้น ท่านพระอาจารย์มั่นยังได้ไปเดินดูงานเองด้วย บางครั้งท่านก็ตอกตะปูเอง บางครั้งท่านก็แนะให้โยมผู้เป็นช่างทำตามที่ท่านต้องการ เช่น ไม้กระดานมุงหลังคาท่านบอกว่า “อย่าทำเป็นรูปทรงปลายแหลมมันไม่งาม ให้ทำเป็นรูปทรงปลายครึ่งวงกลมมันจึงงาม” (เดิมไม้กระดานมุงหลังคาจะเป็นแผ่น ๆ ที่ผ่าจากท่อนซุง ซึ่งตัดเป็นท่อนยาวขนาดช่วงแขนหนึ่ง แต่ละแผ่นผ่ากว้างประมาณคืบกว่า ๆ ก่อนจะเอาขึ้นมุงหลังคา เขาจะต้องใช้มีดพร้าโต้ที่คมซ่อนปลายข้างหนึ่งเสียก่อน ทำเป็นรูปทรงปลายแหลมก็มี ทำเป็นรูปทรงปลายครึ่งวงกลม แล้วแต่จะชอบแบบไหน แต่ท่านพระอาจารย์มั่นท่านชอบแบบทรงปลายครึ่งวงกลม จึงสั่งให้โยมทำแบบทรงครึ่งวงกลม)

วันหนึ่งโยมคนงานที่มาทำงาน บางคนนั่งคุยกัน บางคนนอนคุยกันไปด้วย พอท่านพระอาจารย์มั่นเห็น ท่านก็เดินดิ่งเข้าไปที่โยมซึ่งกำลังนั่งนอนคุยกันอยู่นั้น พร้อมพูดขึ้นว่า “โยมเป็นอะไรหรือ? ป่วยไข้ไม่สบายหรือ? ถ้าป่วยก็ขึ้นไปนอนซะที่บ้าน ไม่ต้องมานอนที่นี่” พอโยมกลุ่มนั้นได้ฟังแล้วก็แตกตื่นออกจากกลุ่ม ไปจับงานนั้นบ้างงานนี้บ้าง พอแก้เก้อ ต่อมาไม่มีใครกล้ามานั่งนอนคุยกันอู้งานอย่างนี้อีกเลย จนกระทั่งกุฏิเสร็จขึ้นเป็นหลังเรียบร้อยดังที่พวกเราท่านทั้งหลายเห็นเป็นที่ระลึกอยู่จนทุกวันนี้

กุฏิท่านพระอาจารย์มั่นหลังนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ในคราวเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรโครงการสร้างอ่างเก็บน้ำห้วยหินลาด บ้านนาใน และห้วยผึ้ง บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร ต่อมากุฏิหลังนี้ได้จดทะเบียนขึ้นกับกรมศิลปากร เป็นโบราณสถาน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒
 

_________________
ท่านสามารถฟังวิทยุเสียงธรรมหลวงตามหาบัวได้ทั่วประเทศ
และโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงธรรมทั้งภาพและเสียงได้แล้วที่
http://www.luangta.com
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง