Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 อยากทราบวิธีแก้ราคจริต อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
Nirvana...
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.ค.2004, 5:07 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

สวัสดีครับ

ผมเป็นคนโทสจริต และราคจริต
ในส่วนของ โทสจริต ก็พอแก้ได้บ้างครับ

แต่ในส่วนราคจริต แก้อยากครับ อยากทราบอุบายที่แก้ราคจริต ระงับไปนานๆ หรือตัดโดยเด็ดขาดครับ เพราะ มันเป็นตัวขัดขวางการเจริญสมาธิครับเช่น ขณะนั่งสมาธิ จิตก็ฟุ้งซ่านไปถึงเสียงเพลงเพราะๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ช่วยแก้ให้หน่อยครับ
ขอบคุณครับ
 
matrix
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.ค.2004, 6:12 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เท่าที่อ่านเจอในหนังสือเค้าบอกว่า ให้พิจารณาอสุภะ คือพิจารณาร่างกายให้เป็นเนื้อหนังหุมกระดูก มีเลือดน้ำดีนำเสียประกอบกัน
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 23 ก.ค.2004, 8:27 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อือม.....วิธีที่เคยใช้เป็นอุบายในการแก้ราคะจริต ให้ระงับไปนานๆ บางคนอาจตัดได้โดยเด็ดขาด ก็โดยไปล้างป่าช้า เก็บศพด้วยตัวเอง เราจะเห็นสภาพศพที่สด และแห้ง ที่ตายในทุกลักษณะ

ระหว่างเราทำศพนั้น เราจะเห็นและได้จับสภาพที่ปราศจากชีวิตอย่างแท้จริง ทั้งเนื้อหนัง เส้นเอ็น เส้นเลือด กล้ามเนื้อ รูพรุนกระดูก เมื่อเราเข้าสู่การปฏิบัติสมาธิ จะนำมาพิจารณากายในได้ง่ายค่ะ

สำหรับจิตฟุ้งซ่านไปถึงเสียงเพลงเพราะๆ เราก็เปลี่ยนจากเพลงเป็นบทสวด หรือฟังเทปธรรมะแทน วิธีนี้แก้ได้ค่ะ ระหว่างนั้นก็เข้าสมาธิระลึกตามบทสวดที่เปิด หรือเสียงบรรยายธรรมะในเทป แต่เมื่อหายฟุ้งแล้วก็ควรเข้าปฏิบัติตามปกติโดยไม่ต้องเปิดเทป เพราะเดี๋ยวจะเคยตัวค่ะ

ขอธรรมะคุ้มครองทุกท่านค่ะ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
DEV
บัวเริ่มพ้นน้ำ
บัวเริ่มพ้นน้ำ


เข้าร่วม: 24 พ.ค. 2004
ตอบ: 155

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ค.2004, 8:21 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
เด็กบ้านยางสีสุราช
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 05 มิ.ย. 2004
ตอบ: 305

ตอบตอบเมื่อ: 24 ก.ค.2004, 12:30 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
sam
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2004, 3:39 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ตามรู้เท่าทันมัน

มีเมื่อไร คิดว่าหญิงนั้นไม่งามไปได้นาน
 
๛ สายลม ๛
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 25 ก.ค.2004, 8:09 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

เรียนคุณ Nirvana

คุณควรหันมาเจริญสติ ให้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง ให้มากกว่าปัจจุบัน
การเจริญสติ ที่เรียกกันว่า "สติปัฏฐานสี่" เป็นหนทางเดียวที่จะดับทุกข์ ดับกิเลสตัณหาได้

ส่วนสมาธินั้น เป็นการฝึกเพื่อการหยุดพัก หรือหลบหลีก ปัญหาบางครั้งบางคราวเท่านั้น
แต่เมื่อออกจากการฝึกสมาธิแล้ว จิตก็จะเข้าไปสู่ความเคยชินอย่างเดิม

การฝึกสติให้เท่าทันความคิดนึกปรุงแต่งของจิตนั้นสำคัญมาก ปัจจุบันนักปฏิบัติเค้าเรียกว่า "ดูจิต"

การดูจิต เป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ เพื่อให้เท่าทันความคิดปรุงแต่งที่อยู่ภายในจิตใจของเราโดยตรง

สติ แปลว่าระลึกรู้ สัมปชัญญะ แปลว่ารู้ตัว ทั่วพร้อม ทั้งสองนี้ถ้ามีพร้อมแล้ว

ก็จะสามารถรับรู้เท่าทันความคิดปรุงแต่ง อันทำให้เกิดอารมณ์ต่างๆ จนสามารถปล่อยวางเรื่องนั้นๆ ไป

การเจริญสติ เป็นการปฏิบัติเพื่อให้จิตรับรู้แต่เรื่องปัจจุบันธรรม เท่านั้น
ไม่คิดฟุ้งซ่านเก็บเรื่องราวในอดีตมาคิดนึกปรุงแต่ง และไม่คิดฟุ้งไปในเรื่องราวที่ยังมาไม่ถึง

การเจริญสติ เป็นการตัดขบวนการคิดปรุงแต่ง ซึ่งนำมาซึ่งอารมณ์ และความทุกข์ เพราะความคิดปรุงแต่งนั้น ถ้าไม่มีสติเท่าทันแล้ว ความคิดปรุงแต่งนั้นก็จะประกอบด้วยกิเลสตัณหา อุปาทาน แต่ถ้าเรามีสติเท่าทัน ก็จะตัดกระบวนการทำงานของกิเลสตัณหา อุปาทานเหล่านั้นได้ โดยมีสติเท่าทัน และวางเฉย ปล่อยวาง

กิเลสตัณหานั้นเราไม่สามารถนำความคิดเข้าไปตัด ลด ละ ให้หายไปจากใจเราได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือมีสติเท่าทัน ปล่อยวาง

ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะรับรู้กับเรื่องราวปัจจุบันได้แล้ว การที่เราจะเก็บเรื่องราวที่ผ่านไปแล้ว หรือคาดคิดไปในเรื่องราวในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ก็จะมีน้อยลง นั้นเวลาที่คุณเห็น แล้วก็ผ่านๆ ไป ไม่เก็บมาคิดนึกปรุงแต่งต่อ อารมณ์ที่จะเกิดตามมาก็จะไม่มี หรือเห็นว่ายังมีหลุดไปปรุงแต่ง แล้วระลึกรู้ขึ้นมา คุณก็ปล่อยวาง วางเฉยกับเรื่องราวที่ปรุงแต่งเหล่านั้น สิ่งที่คุณคิดนั้น ก็จะคลายหายไปในที่สุด เพราะว่าเราไม่สนใจหรือเข้าไปคิดนึกปรุงแต่งเรื่องราวเหล่านั้นต่อ

ก็ลองนำไปใช้ดูนะครับ

....

มีข้อสงสัยอะไรเพิ่มเติม ก็สอบถามได้นะครับ
 
คนเฝ้ามองโลก
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 26 ก.ค.2004, 12:50 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ให้ท่านคิดว่าท่านไม่ได้เป็นสิ่งที่ท่านเป็นอยู่...แล้วท่านจะไม่เป็นอย่างที่ท่านเป็นอยู่...ให้ท่านคิดว่าท่านไม่ได้คิดสิ่งที่ท่านคิดอยู่..แล้วท่านจะไม่คิดสิ่งที่ท่านเคยคิด

 
z
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 23 ต.ค. 2007
ตอบ: 46
ที่อยู่ (จังหวัด): กทม.

ตอบตอบเมื่อ: 14 พ.ย.2007, 8:35 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

....กายคตานุสสติกรรมฐาน+อสุภกรรมฐาน....เป็นกรรมฐานแก้ ราคะจริต....
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
Buddha
บัวบาน
บัวบาน


เข้าร่วม: 29 พ.ค. 2007
ตอบ: 415

ตอบตอบเมื่อ: 15 พ.ย.2007, 7:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Nirvana... พิมพ์ว่า:
สวัสดีครับ

ผมเป็นคนโทสจริต และราคจริต
ในส่วนของ โทสจริต ก็พอแก้ได้บ้างครับ

แต่ในส่วนราคจริต แก้อยากครับ อยากทราบอุบายที่แก้ราคจริต ระงับไปนานๆ หรือตัดโดยเด็ดขาดครับ เพราะ มันเป็นตัวขัดขวางการเจริญสมาธิครับเช่น ขณะนั่งสมาธิ จิตก็ฟุ้งซ่านไปถึงเสียงเพลงเพราะๆ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ช่วยแก้ให้หน่อยครับ
ขอบคุณครับ



ตอบ........
ความจริงแล้ว จะโทสะจริต หรือ ราคะจริต มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากฐานเดียวกัน หากไม่นับภายนอกร่างกายตัวคุณ
ดังนั้นหากคุณสามารถแก้ไขในเรื่อง ของโทสะจริตได้บ้าง ก็คงจะสามารถแก้ไข ราคะจริตได้เช่นเดียวกัน และด้วยวิธีเดียวกัน

แต่หากจะพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปอีก ก็ต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวคุณให้มากกว่าที่คุณกล่าวมา เช่น คุณมีครอบครัวไหม หรือว่ายังไม่มี ราคะจริตเกิดตอนไหน ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น จึงจะสามารถวิเคราะห์และแนะนำวิธีแก้ไข ได้อย่างถูกต้อง
เพราะการแก้ไขกิเลส (เรียกว่ากิเลสนะ) ก็คล้ายกับการ รักษาอาการของแพทย์พยาบาล คือ ต้องใช้ยาให้ถุกต้องตามประเภทและชนิดของยา,ต้องใช้ยาให้ถูกต้องตามวิธีใช้,ต้องใช้ยาให้ถูกต้องตามขนาดของยา ,ต้องใช้ยาให้ถูกกับคน,และต้องใช้ยาให้ถูกต้องตามเวลาที่ใช้ อย่างนี้เป็นต้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
ช้างชูธง
บัวพ้นดิน
บัวพ้นดิน


เข้าร่วม: 18 พ.ค. 2007
ตอบ: 50

ตอบตอบเมื่อ: 16 พ.ย.2007, 9:33 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ระวังเรื่องสายตา เพราะ ราคะ เข้ามาทางสายตาง่ายที่สุด

อย่าดูภาพที่ทำให้เกิดราคะ รวมทั้งการอ่านด้วย

ต่อไปก็ระวัง ความคิด อันนี้ยากหน่อยครับ สู้ สู้
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัว
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง