Home  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  •  สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทาน  • หนังสือ  •  บทความ  • กวีธรรม  • ข่าวกิจกรรม  • แจ้งปัญหา
คู่มือการใช้คู่มือการใช้  ค้นหาค้นหา   สมัครสมาชิกสมัครสมาชิก   รายชื่อสมาชิกรายชื่อสมาชิก  กลุ่มผู้ใช้กลุ่มผู้ใช้   ข้อมูลส่วนตัวข้อมูลส่วนตัว  เช็คข้อความส่วนตัวเช็คข้อความส่วนตัว  เข้าสู่ระบบ(Log in)เข้าสู่ระบบ(Log in)
 
ได้ทำการย้ายไปเว็บบอร์ดแห่งใหม่แล้ว คลิกที่นี่
www.dhammajak.net/forums
15 ตุลาคม 2551
 ^O^_^* นรก สวรรค์ ไม่มีจริงนะ อะครับ *O*_ อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
ผู้ตั้ง ข้อความ
d_buzta
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 11:44 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

^O^_________*-* นรก สวรรค์ ไม่มีจริงนะ อะครับ *O*_*__________^.^

ผมอายุ 31 แล้ว พิจารณาแล้ว
นรก สวรรค์ ไม่มีจริงแน่ๆ เพราะวิญาณ เป็น
สิ่งมีชีวิตอย่างนึงที่แยกเป็นหลายๆ ดวงมาเกิดเป็นคนหลายๆ คนได้ นี่
จึงเป็นเหตุทำให้คนบนโลกนั้นเยอะขึ้นเรื่อยๆ เพราะวิญาณมีเยอะ

เขาจะอาศัยตามหลืบของมิติต่างๆรอเวลาที่จะหาร่างที่เหมาะสมแล้วไปเกิดใหม่ได้
ซึ่งหากเป็นวิญาณที่ดีมีบารมีเขาก็มักจะได้ร่าง ที่ดี
มีฐานะและสุขภาพดี ถ้าวิญาณ ร้ายๆ จิตร้าย มีแต่บาปเขาคงจะหาที่เกิดดีๆ
ได้ยากถึงเกิดมาก็ลำบาก เพราะมีเจ้ากรรมคอยตามรังควาญ

~ทำไม่ นรกสวรรค์ไม่มีจริง
คำตอบคือถึงมีก็เปล่าประโยชน์

ลองคิดดู บอกว่าคนชั่วตายไปตกนรกไปทรมาร ทรกรรม พอมาเกิดใหม่ก็ลืมทุกอย่าง
เขาก็ชั่วอีก ตายแล้วก็ทรมารอีก และจับทรมาร มันไม่สมเหตุผล

เหมือนกับเรา ปิดประตูทรมารหมาแมว เนื่องจากมัน ขัดคำสั่งเรา

แล้วเราก็ให้มันดมยาให้มันลืมเรืองที่เราทรมารมัน เมื่อกี้ อย่างนี้ พอมันลืมเรื่องที่มันถูกทรมาน มันก็แน่ๆ ละมันจำไม่ได้หมด ก็จะ ขัดคำสั่งเราอีกเนื่องจากมันยลืมไปแล้ว แล้วเราก็จะจับมันไปทรมานอีกเหรอ แล้วทำให้มันลืมอีก มันก็ทำไม่ดีอีก มันจะไม่ถูกต้องนะ

เมื่อหมาแมวขัดคำสั่งเราตีหรือทรมารมัน ก็เพื่อจะให้มันหลาบจำพอมันจำได้ว่าถ้าทำผิดแบบนี้อีกแล้วจะถูกตี มันจำได้ว่ามันถูกตีเจ็บมากเพราะมันขัดคำสั่งเรา แล้ว มันไม่ลืมมันจำได้ มันก็จะเข็ดไม่กล้า

ทำอย่างนั้นอีก ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าคนเราตายแล้วจะไปอยู่ตามที่

ที่เป็นหลืบของมิติ บางทีถ้ามีบารมีเป็นคนดี ก็ อาจไปอยู่ตามศาลพระภูมิ และเพื่อ รอเวลามาเกิดใหม่ ซึ่งกรรมที่จะได้รับก็จะได้

รับตอนเกิดใหม่นี่ละเช่นมี กรรมมากเป็นคนบาป เกิดมาก็ลำบาก ทรมาน ไม่มีความสุข ชีวิต ลำบากมากๆ ถ้ากรรมน้อยก็สบายแต่เด็ก อะไรงี๊จะเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุด เพราะคนที่เกิดมาลำบากมากๆ เขาก็จะรู้ว่าเป็นเพราะกรรม เขาก็จะไม่ทำกรรมอีกหรือทำน้อยลงเพราะเขากลัวลำบาก ในชาติต่อๆ ไป
 
ปลา
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 2:23 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันก็จริงนะ ถ้าตกนรกมาเกิดใหม่แล้วจำอะไรไม่ได้มันก็เปล่าประโยชน์ที่จะไปตกนรก
 
คุรุ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 2:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มันก็จริงถ้า คนมาเกิดใหม่แล้วจำเรื่องที่ไปตกนรกทรมารมาไม่ได้ก็เปล่าประโยชน์จริงๆ
เกิดมาไม่นาน ก็ทำบาปอีก เพราะจำนรกไม่ได้

ถ้านรกมีจริงๆ เอาไว้ลงโทษกันให้เข็ดหลาบ เมื่อเวลาทุกคนมาเกิดใหม่
ย่อมจะต้องจำได้กันทุกคน สิ นะ จะได้ไม่เผลอทำผิดอีก

เหมือนคุ๊ก ที่ลงโทษคนผิด เขาก็ต้อง
ทำให้จำได้ ว่ามีนะเราเคยไปมาแล้ว แต่

นี่ไม่เคยไม่ใครจำได้เลยว่าก่อนตนเองมาเกิดเคยตกนรกทรมารแบบไหนมาก่อน
แบบนี้จึงพิสูจน์ได้ว่าไม่มี นรก แต่กรรม จะตามมาลง โทษตอนที่เรามีชีวิตนี่ละ มากกว่านะ
 
kea
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 3:55 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด เป็นการแสดงความคิดเห็น จะรู้ความจริงก็ตอนที่ตายไปแล้วนั่นแหละ แล้วคอยถามยมบาลเองว่ามีจริงหรือเปล่า วิญญาณที่อยู่ตามข้างทางยังไม่ไปเกิดตายจากอุบัติเหตุเพราะกรรมมาตัดรอนเขา อายุขัยยังไม่หมดต้องอยู่ตรงนั้นจนหมดอายุขัยจึงจะไปเกิดได้(ตามกรรม)
 
c
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 7:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

การกล่าวว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง เป็น มิจฉาทิฏฐิ ที่ชื่อว่า "อุจเฉททิฏฐิ" ที่เห็นว่า เรานี้ขาดสูญ ตายแล้วก็ไม่มี หรือบางท่านก็เป็น "สัสตทิฏฐิ" ที่ว่า วิญญาณนี้ล่องลอย แต่เรานี้ตายแล้วไม่ไปนรกสวรรค์ เพราะไม่มี

มิจฉาทิฏฐิ ระดับนี้ ขวางสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน เพราะเป็นทิฏฐิแนว นัตถิกทิฏฐิ อเหตุกทิฏฐิ และ อกิริยาทิฏฐิ ดังนั้นไม่ควรมีครับ

เพราะว่า ถ้ามีมิจฉาทิฏฐิเหล่านี้แล้ว ก็เท่ากับปฏิเสธ สัมมาทิฏฐิ คือ ปัญญา มีกัมมัสกตาเป็นเบื้องต้นแล้ว

เพราะกัมมัสกตาสัมมาทิฏฐิ ต้องเชื่อว่า ภพก่อนนี้มี ภพต่อไปมีอยู่ครับ

แต่จากข่ายของท่านเจ้าของ จะผิดโดยนัยยะ ของ บุญ กับ บาป ท่านปฏิเสธว่าไม่มีครับ เพราะท่านไม่เชื่อสวรรค์ - นรกครับ

ที่สำคัญ ท่านสำคัญว่ามีอัตตา สำคัญว่า อัตตามีอยู่ วิญญาณเป็นอัตตา คนแต่ตายเพราะกายแตก ก้มีสิ่งหนึ่งออกจากกายล่องลอยไป ซึ่งความเป้นจริงไม่ใช่นะครับ

ไม่มีอะไรล่องลอย ไม่มีอัตตาอะไรสิงอยู่ในกาย วิญญาณนี้ ก็เกิดดับติดต่อกัน เป้นล้านๆครั้งต่อลัดนิ้วมือ และวิญญาณนี้ ก็เกิดแต่เหตุ และปัจจัย และวิญญาณก็เป็นสังขาร เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป และดับตลอดเวลา เกิดใหม่ตลอดเวลาครับ

ดังคำถามที่ว่า

"พระเวสสันดร ใช่พระพุทธเจ้าหรือ?"

ตอบ ใช่ - สัสตทิฏฐิ

และจะมีคำถามมาอีกว่า "แล้วพระเวสสันดรไปไหนแล้วหละ?"

ตอบ ไม่ใช่ - อุจเฉททิฏฐิ

และจะมีคำถามมาอีกว่า "แล้วพระเวสสันดรจะเป็นอดีตชาติของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร?"

สิ่งที่ควรตอบ คือ เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดดับ สั่งสม สืบต่อกัน เกิดตามเหตุปัจจัย และเหตุปัจจัยที่ดับ ก็ทำให้สภาพธรรมที่เกิดจากเหตุปัจจัยนั้นด้วย ดังนั้นที่เป้นพระเวสสันดรนั้น ก็เป้นเพียงสภาพธรรมที่สั่งสมสืบต่อกัน ที่ว่าเป็นพระพุทธเจ้านั้นก็เป็นเพียงสภาพะรรมที่สั่งสมสืบต่อกันมา เกิดดับไปอย่างรวดเร้ว สืบต่อกันมา ตั้งนานแสนนาน และแม้พระเวสสันดร ก็เป็นช่วงหนึ่งของการเกิดดับ สั่งสม สืบต่อ ไม่มีประมาณของสภาพธรรมนั้น ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบัญญัติ บอกกล่าวครับ

มิจฉาทิฏฐิเหล่านี้ควรละครับ
 
ton
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 7:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อาทิตย์ที่แล้วคุณกินอะไร แค่นี้คุณจำได้ไหม ถ้าจำไม่ได้แล้วจะจำเรื่องชาติที่แล้วได้รึ ผมเชื่อว่าวิญญาณไม่สามารถแบ่งแยกได้ แต่สามารถคับไปได้เมื่อไม่เหตุให้เกิดคือตัณหา กำจัดอวิชา(ความหลงผิด) และเหตุที่เราจำสิ่งต่างๆไม่ได้เนื่องจากขันธ์5มันไม่ใช่ของของเราเช่น สัญญา(ความทรงจำ) เวทนา(ความรู้สึก) เมื่อเกิดก็คือขันธ์เกิดซึ่งโดยทั่วไปผมคาดว่ามีเวทนาเป็นฐาน สัตว์บางชนิดมีขันธ์เดียว มีขันธ์สี่ขันธ์ หรือมีขันธ์ห้า และสัญญาเป็นของไม่เที่ยงคนแก่บางคนยังจำชื่อลูกไม่ได้เลย นอกจากเขาจะมีร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ สัตว์ในนรกงีเง่าเงอะงะยิ่งกว่าคนแก่ใกล้ตายเสียอีก มันจะจำอะไรได้
 
ton
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 8:14 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ขออนุญาติอีกครั้งหนึ่งนะครับผมเชื่อว่าเวลาคนเราตายไปก็จะมีร่างอันเกิดแต่ใจ คือมีร่างที่เหมือนกับตนเองทุกประการชั่วระยะหนึ่ง จนกระทั่งจิตคลายความยึดมั่นก็จะไปเกิด จิตมีลักษณะเหมือนไฟเกิดดับไม่หยุด ในที่นี้ผมตอบคำถามโดยไม่ได้ประจักษ์จริงแต่ได้ยินต่อๆกันบวกกับความคิดของผมเอง ถ้ามีผู้รู้มาอ่านก็ช่วยแนะนำห้รู้จริงจะขอขอบคุณมากครับ
 
กระอาม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 8:18 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

พุทธศาสนิกชนทั้งหลายจงเชื่อมั่นในความจริงที่ว่าตายแล้วเกิดสุดแต่กรรมจะชักนำไป เพราะสิ่งนี้คือหลักสำคัญของพระพุทธศาสนาคือ การเวียน ว่าย ตาย เกิด หรือ การเกิดดับ เกิดดับ ไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากจะปฏิบัติตามพระพุทธองค์ที่สามารถทำพระองค์ให้หลุดพ้นจากการเกิดดับนี้ได้คือปรินิพพาน รวมทั้งบรรดาอรหันต์สาวกของพระองค์อีกมากมายทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ปฏิบัติตามอริยมรรคจนสามารถหลุดพ้นสู่นิพพาน คือไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป อย่างน้อยเราควรตั้งใจและปฏิบัติให้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีได้สร้างสมบารมีจนกว่าจะถึงเวลาที่ได้หลุดพ้นในกาลข้างหน้า

สำหรับคำตอบต่อคำถามว่าเราตายแล้วจะไปไหน พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับเจ้าผู้ครองนครสาวัตถีว่า คนที่เกิดมาในโลกนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภทคือ

1. คนที่มืดมาแล้ว มืดไป

2. คนที่มืดมาแล้ว สว่างไป

3. คนที่สว่างมาแล้ว มืดไป

4. คนที่สว่างมาแล้ว สว่างไป
 
ssk
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 9:06 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

มีเวอร์ชั่น แอบบเข้าใจง่ายๆไหมอะ ขอหน่อยสิฮะ
 
ปลาอะ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 9:13 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วใครมีข้อมูลอะไรดีๆก็มาบอกกันม่างนะค๊ะ
 
ปิงปอง ม.ราม
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 31 ต.ค.2005, 10:29 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมคิดว่าเป็นความเชื่อส่วนบุคคล การที่คุณเชื่อว่านรกสวรรค์ไม่มีจริงเป็นสิทธิของคุณ แต่ความจริงยังไงก็คือความจริงถ้านรกสวรรค์มีจริง คนที่ไม่เชื่อก็ต้องได้รับผลจากการที่ดูเบาในเรื่องนี้เพราะจะไม่มีความเกรงกลัว หรือละอายต่อบาปเพราะทำไปก็ไม่ต้องตกนรก คุณจะคิดยังไงก็ช่างไว้ดูกันตอนตายแล้วกันถ้านรกมีจริงแล้วคุณได้ไป คุณอย่ามาเสียใจแล้วกันนะครับ
 
ชนชน
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 4:49 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

จะเป็นไปได้ไหม? ..............

เหตุที่บุคคลไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ต่างๆ ณ ที่นั่นได้นั้น

เป็นเพราะที่นั่นมีแนวคิด แนวทาง หลักการ ...(จะเรียกอย่างไรก็ตามเถอะ) ของที่นั่นอยู่ว่า

"ผู้ที่ได้ชื่อว่ามนุษย์ อันเป็นสัตว์ที่มีสติปัญญากว่าสัตว์อื่น ควรจะได้ใช้คุณสมบัติอันประเสริฐนี้พิจารณาก่อนประกรรมใดๆลงไป แต่ไม่ว่าจะใช้หรือไม่ก็ตามกรรมนั้นๆ ย่อมส่งผลอย่างหนึ่งอย่างใดแน่ ถ้าบังเอิญผลนั้นเป็นคุณโดยถ่ายเดียวทั้งกับตนและเพื่อนมนุษย์แล้วก็สามารถอนุโลมให้แม้จะไม่ได้ใช้สติปัญญาใคร่ครวญก่อนการประกอบกรรมนั้นๆ ก็ตามที แต่ถ้าผลกรรมนั้นไม่บังเอิญเช่นนั้นแล้ว คือกรรมนั้นส่งผลที่เป็นโทษไม่ว่าจะทางตรงหรือโดยอ้อมกับตนและเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะมากน้อยอย่างไร ก็สมควรที่จะต้องตัดสินให้รับโทษไปตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกรรมนั้น เพราะถือว่าการมีสติปัญญานั้นเป็นโอกาสแล้วที่จะเลือกปฏิบัติกรรมดี หรือกรรมชั่ว แต่กลับไม่ได้ใช้เพื่อยังให้เกิดประโยชน์ มิหนำซ้ำยังทำให้เกิดโทษกับตนและเพื่อนมนุษย์สมควรที่จะต้องได้รับบทลงโทษตามส่วนของความผิดพลาด"

การต้องรับโทษในนรกเมื่อตายไปนั้นเป็นการรับผลแห่งกรรมที่ตนเคยทำไว้กับผู้อื่น ถือเป็นเพียงการรับผลสะท้อนจากผู้ที่ถูกเบียดเบียน จากผู้กระทำกรรม เหมือนกฎของทางวิทยาศาสตร์เรื่องแรงสะท้อน เมื่อแรงนั้นวิ่งกลับมายังจุดกำเนิดของตัวเองแล้ว ครบรอบวงแล้วก็ถือเป็นอันสิ้นสุด แห่งผลกรรมนั้นๆ

ความจำได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ตนเคยได้รับในนรกก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ คงไม่มีกำลังมากพอที่จะทัดทานกำลังของกิเลสในมนุษย์ปุถุชน แต่ถึงจะมากพอยับยั้งได้นั่นก็เป็นเพราะอำนาจของความกลัว กลัวความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่ตนจะได้รับ ซึ่งก็มีประโยชน์แต่ความเป็นปุถุชนที่ยังคงมีกิเลสจะกลัวได้นานแค่ไหน เมื่อกิเสสเข้ายึดครองจิตได้ความกลัวก็ไร้ประโยชน์ และที่สำคัญยิ่งกว่าคือ

การมีสติปัญญามากกว่าสัตว์อื่นก็จะสุญเสียสภาพความเป็นเครื่องมืออันประเสริฐที่จะใช้ในการพาตนให้พ้นจากวัฏฏสงสาร ซึ่งเมื่อไม่สามารถใช้สิ่งที่มีอยู่แล้วให้สมกับหน้าที่ของมัน ก็คงจะต้องวนเวียนอยู่ในวัฏฏสงสารอย่างไม่มีที่สิ้นสุด วิธีที่น่าจะถูกต้องที่สุดคือการเรียนรู้ที่ใช้สติปํญญาที่มีอยู่ให้ได้ประสิทธิผลที่สุด คือ นำตนสู่ มรรคผล นิพพาน ให้ได้เร็วที่สุด ถ้านรกมีจริง ถ้าความไม่มีความทรงจำ"
 
kia
บัวใต้ดิน
บัวใต้ดิน


เข้าร่วม: 02 ต.ค. 2005
ตอบ: 29

ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 9:40 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ดีครับมีการจุดประเด็นแปลกๆทำให้บอร์ดดูมีชีวิชีวามากขึ้น
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวชมเว็บส่วนตัว
จี
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 10:42 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็น กะตานะว่ามีจริงอะ บางทีนรกอาจเกิดจากจินตนาการก็ได้ คนสมัยก่อนชอบทรมานนักโทษแบบโหดๆ จับต้นจับแทงจับใส่เตรื่องทรมานจนตาย จับปีนเสาเหล็กมีหยนามเอาหอกแทงก้น ให้ตาย คิดๆ ไปคล้ายนรกเลย

คนที่เห็นเขาทรมารนักโทษโหดๆ ก็เอา วิธีการนั่นมา
จินตนาการก็ได้ว่านรกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จริงๆ ไม่น่ามีหลอก
สมัยนี้กฎหมายเขายังห้ามทรมาน
 
*O*
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 11:03 am ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ผมว่านะ นรกอะสมัยนี้อาจไม่มีนะ สมัยก่อนผมว่ามีแน่ๆ

ก็ เดี๋ยวนี้ โลกเราเจริญละ นรกเขาคงพัทนาการตามความเจริญ ของโลก แล้วเขาคงไม่ลงโทษโหดๆ ควักไส้ จับต้ม จับให้อีกากัด อะไรพวกเนี่ยโหดร้ายมากๆ ผมว่าเขาอาจยกเลิกไปแล้วก็ได้นะ เหลือแค่จองจำเฉยๆ เหมือนติดคุ๊กำอติดครบกำหนดก็ปล่อยมาเกอิดอะไรอย่างนี้ มากกว่านะ เขาคงไม่ทำโหดๆ อะ

อย่างเนี่ย สมัยนี้เด็กๆ พออายุ 17 พ่อแม่ก็ซื้อรถยนต์ ให้เราใช้แล้ว
เอามาแต่งซิ่งๆ เนี่ย เอาไปเที่ยวกลางคืน นะ บางทีเพื่อนผมนะ ไปขับ
รถยนต์ แข่งกันแล้วเฉี่ยวคน ได้ข่าวว่า กลับมานอนสบายไม่ฝันร้ายนะ
เสียเงินแต่ไม่ติดคุ๊ก

สมัยก่อนโบราณไม่มีรถใช้ต้องเดินอะ สมัยนี้สบายนะครับ
ผมว่านรกคงพัทนาแล้วละ เขาคงไม่ลงโทษโหดๆ หลอกอะ
 
ปุ๋ย
บัวเงิน
บัวเงิน


เข้าร่วม: 02 มิ.ย. 2004
ตอบ: 1275

ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 12:11 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

อือม...นั่นซิ เคยตอบกระทู้ทำนองนี้มาแล้ว ที่จริงเป็นวิธีสาธิตธรรมะในแง่ของหลักธรรมทางศาสนาเกี่ยวกับเรื่องหิริ-โอตตัปปะ ว่างๆ จากไปซิ่งถ้าวันไหนนอนไม่ดึกตื่นแต่เช้าลองไปตามวัดต่างๆ ลองพิจารณาดูซิว่าทำไมคนโบราณจึงได้วาดภาพต่างๆ ทั้งรูปเทวดา ทั้งรูปสัตว์นรกไว้ตามฝาผนังตามวัดวาอาราม ผนังโบสถ์ ผนังวิหาร ผนังศาลาการเปรียญอะไรต่างๆ

ภาพที่เกี่ยวกับมาลัยสูตรที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์เก่าๆ เราจะพบบ่อยๆ ที่แสดงถึงเรื่องนรกแต่ละขุมๆ เอาไว้ โบราณท่านก็ถ่ายทอดออกมาด้วยจินตนาการ คนวาดก็ไม่ใช่เป็นคนที่เห็นนรก ไม่ใช่เป็นคนที่เคยเห็นสวรรค์ แต่อาศัยมโนภาพที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้แสดงไว้ปรากฏเป็นอักษรสมัย และเมื่อเรารู้เราเข้าใจเราก็วาดมโนภาพขึ้น และบรรจงการขีดเส้นลงไปให้เป็นรูปร่างลักษณะต่างๆ ด้วยความวิจิตรพิสดาร ซึ่งเกิดมาจากการศึกษาค้นคว้าให้เข้าใจในหลักธรรมทางศาสนาแล้วจึงกระทำเช่นนั้นได้

โบราณจึงนิยมสร้างภาพต่างๆ ที่น่ากลัวที่สุดไว้ตามที่สาธารณะทางศาสนา บางทีก็พิมพ์เป็นอักษรสมัยเป็นตำรับตำรา ภาพเหล่านี้แม้ว่าจะเป็นภาพที่สร้างสรรค์ขึ้นด้วยจิตนาการแต่คนเห็น คนอ่านก็รู้สึกกลัวถึงผลจากการทำความชั่ว เขาจึงต้องประสบต่อผลของกรรมชั่วอย่างนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีส่วนที่จะเหนี่ยวรั้งจิตใจได้มากที่สุด เมื่อเกรงกลัวแล้วก็เป็นเหตุทำให้ไม่กล้าทำบาป ไม่กล้ากระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งลงไป

ถามว่าจะเข้าใจเรื่องนรก-สวรรค์ตามความเป็นจริงได้อย่างไร โลกมิติทางจิตวิญญาณได้รับความทุกข์ทรมานหรือสุขเหลือเกินในสวรรค์นั้นเป็นจริงอย่างไร ก็ต้องลงมือปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่เที่ยวไปนั่งบัวดูนรก ดูสวรรค์อย่างที่เข้าใจกัน ดูกันลงที่กาย ดูกันลงที่จิตนี่แหละ ดูซิว่านรกที่จินตนาการกันออกมานั้นมันก็เกิดจากน้ำมือมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ มันก็เกิดจากการกระทำชั่วจะเจตนาหรือไม่เจตนาของแต่ละบุคคลนั่นแหละ หนักหน่อยก็ข้ามภพข้ามชาติ ตามชดใช้กันก็มี พิจารณาดูซิว่าจิตที่ได้รับการพัฒนาระดับจิตวิญญาณให้สูงขึ้นประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนานั้น สุขเหมือนอยู่ในสวรรค์อย่างไร คิดสิ่งใดได้สมปรารถนาเหมือนเป็นเทวดาซะเองอย่างไร มีสัจจะ พูดสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้น วาจาศักดิ์สิทธิ์หยั่งกับเป็นพระอินทร์อย่างไร การปฏิบัติเข้าสู่สภาวะความเป็นเทพ ความเป็นเทวดาคงไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่ตั้งมั่นอยู่ในความเพียร คิดดี ทำดี พูดดี

สมปรารถนาในสิ่งที่ปรารถนา

มณี ปัทมะ ตารา ผีเสื้อ ผีเสื้อ ผีเสื้อ
 
ดูข้อมูลส่วนตัวส่งข้อความส่วนตัวMSN Messenger
เฟ
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 12:42 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

แล้วนรกเค้ามีไว้ลงโทษจริงๆ หรือ



คิดว่าไม่ใช่นะ นรกไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นผลที่เราได้รับจากการกระทำ เช่น เราโยนของลงไปที่พื้น ของก็ตกลงที่พื้น คนเรามักมองไม่เห็นความทุกข์อย่างถ่องแท้ ก็เลยไม่รู้จักนรกว่ามีจริง

สวรรคก็เหมือนกันไม่ใช่รางวัลแห่งการทำดี แต่เป็นผลที่ได้รับจากเหตุ



อายุ 31 เอง ด่วนสรุปไปรุเปล่าค่ะ
 
angle_devil
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 2:34 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

Glad to here from P pui suggestion number 15, These suggestion can help me to understand myself and basic behavior of human being.

 
สุรพงษ์
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 3:04 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่ต้องคิดไกลไปถึงชาติที่แล้วหรือชาติหน้าว่ามีจริงหรือไม่ เพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้คนธรรมดาเห็นไม่ได้ เอาที่เห็น ๆ กันในชาตินี้เลยดีกว่า จิตใจเวลาที่คุณโกรธ กับเวลาที่คุณให้อภัยคน เวลาไหนเป็นสุขกว่ากัน จิตใจเวลาที่อยากได้ กับเวลาที่อยากให้อันไหนเป็นสุขกว่ากัน ความสุขกับความทุกข์อย่างไหนดีกว่ากัน จะปฏิบัติอย่างไรให้เกิดสุขในปัจจุบันและอนาคต ระหว่างทำงานหาเงินโดยสุจริต กับลักขโมยของคนอื่น

ขอจงใช้ปัญญาไตร่ตรองทีละขั้น หวังว่าปัญญาที่แท้จริงจะเกิดแก่ทุกท่าน (ขออภัยอย่าพึ่งคิดคำนวณเรื่องคูณ และหาร ก่อนจะรู้จักตัวเลขและค่าของตัวเลข)
 
asa
ผู้เยี่ยมชม





ตอบตอบเมื่อ: 01 พ.ย.2005, 8:57 pm ตอบโดยอ้างข้อความขึ้นไปข้างบน

ไม่มีนะดีแล้วเราจะได้ไม่ต้องถูกทรมาร
 
แสดงเฉพาะข้อความที่ตอบในระยะเวลา:      
สร้างหัวข้อใหม่ตอบ
 


 ไปที่:   


อ่านหัวข้อถัดไป
อ่านหัวข้อก่อนหน้า
คุณไม่สามารถสร้างหัวข้อใหม่
คุณไม่สามารถพิมพ์ตอบ
คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลบข้อความของคุณ
คุณไม่สามารถลงคะแนน
คุณ ไม่สามารถ แนบไฟล์ในกระดานข่าวนี้
คุณ ไม่สามารถ ดาวน์โหลดไฟล์ในกระดานข่าวนี้


 
 
เลือกบอร์ด  • กระดานสนทนา  • สมาธิ  • สติปัฏฐาน  • กฎแห่งกรรม  • นิทานธรรมะ  • หนังสือธรรมะ  • บทความ  • กวีธรรม  • สถานที่ปฏิบัติธรรม  • ข่าวกิจกรรม
นานาสาระ  • วิทยุธรรมะ  • เสียงธรรม  • เสียงสวดมนต์  • ประวัติพระพุทธเจ้า  • ประวัติมหาสาวก  • ประวัติเอตทัคคะ  • ประวัติพระสงฆ์  • ธรรมทาน  • แจ้งปัญหา

จัดทำโดย  กลุ่มเผยแผ่หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนา ธรรมจักรดอทเน็ต
เพื่อส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมในสังคม
เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2546
ติดต่อ webmaster@dhammajak.net
Powered by phpBB © 2001, 2002 phpBB Group :: ปรับเวลา GMT + 7 ชั่วโมง